กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 819.5 เด็กหนุ่มข้ามแม่น้ำ
กับแกล้มบนโต๊ะสุราคือกุ้งเมา (อาหารจานหนึ่งของจีนที่จะนำกุ้งแม่น้ำสดๆ มาปรุงรสด้วยซอสเฉพาะสูตรของสถานที่ต่างๆ ราดด้วยเหล้าหรือไวน์ในขณะที่กุ้งยังเป็นๆ แล้วกินทันที คล้ายๆ กับเมนูกุ้งเต้น แต่กุ้งเมาจะใช้กุ้งตัวใหญ่) จานใหญ่ กวนอี้หรานจุ๊ปากพูดอย่างประหลาดใจ “โอ้โห เหล่าหลู ทุกวันนี้เป็นขุนนางได้เก่งมากเลยนะ รู้จักลงทุนติดสินบนแล้วหรือนี่?”
อาหารจานนี้ไม่ใช่กุ้งแม่น้ำทั่วไป แต่เป็น ‘มังกรแม่น้ำ’ ที่อยู่ในเส้นทางมังกรเดิน ถูกทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปเรียกว่า ‘ตัวเงิน’ เป็นของชอบของเหล่านักกินทั้งบนและล่างภูเขา
กวนอี้หรานมือหนึ่งถือถ้วย มือหนึ่งใช้ตะเกียบเขี่ยๆ ‘ตัวเงิน’ ที่ยังเมามายพวกนั้น ส่วนใหญ่จะยาวชุ่นกว่า แต่ก็มี ‘มังกรแม่น้ำ’ อยู่หลายตัวที่ยาวเท่านิ้วมือ เขาเลือกมาตัวหนึ่ง คีบให้กับชีฉี เอ่ยว่า “พวกเราถือว่าได้พึ่งใบบุญของผู้ตรวจการหลูแล้ว วันนี้ถึงกับได้กินเงินเกล็ดหิมะของแท้เลยทีเดียว”
หลูซานฝางด่าขำๆ “ติดสินบนกับท่านปู่เจ้าสิ เป็นข้าผู้อาวุโสที่ทุบหม้อขายเหล็ก ใช้เงินเดือนของตัวเองซื้อมา ไม่กินก็เรื่องของเจ้า”
กวนอี้หรานยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนเก้าอี้ยาว ยื่นมือไปโอบไหล่ชีฉี รอให้ชีฉีเคี้ยวช้าๆ อย่างละเอียดแล้วกลืนลงไปแล้ว กวนอี้หรานถึงได้แอบเลิกคิ้วให้หลูซานฝาง หลูซานฝางหัวเราะหึหึ
ชีฉีวางตะเกียบลง ออกจากห้องไปหาคนคุยด้วย
นางเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่มาจากร่องต้าหนีของศาลลมหิมะ ครั้งนี้ยังมีคนที่ลำดับอาวุโสสูงกว่านาง มีชาติกำเนิดมาจากยอดเขาเหวินชิง เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของต้าหลีที่รับหน้าที่มานานหลายปีเช่นเดียวกัน
แต่ศาลลมหิมะมีทัศนคติที่ย่ำแย่ต่อภูเขาตะวันเที่ยงอย่างมาก โดยเฉพาะร่องต้าหนีที่ชีฉีอยู่ ดังนั้นครั้งนี้นางลงจากภูเขามาพร้อมกับผู้อาวุโสจากยอดเขาเหวินชิงท่านนั้นก็เพื่อมารวมตัวกับสหายโดยเฉพาะ รอกระทั่งเรือข้ามฟากจอดเทียบท่าที่ภูเขาตะวันเที่ยงก็จะลงจากเรือ
บนเรือข้ามฟากของคืนนี้ นอกจากกวนอี้หรานที่เป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ยังมีหลิวสวินเหม่ยที่อยู่เมืองหลวงแห่งที่สอง
แต่กวนอี้หรานเคยเป็นแม่ทัพบู๊ใต้บังคับบัญชาของซูเกาซาน หลิวสวินเหม่ยกลับเป็นทหารสนิทคนรู้ใจของเฉาผิงอย่างแท้จริง
ชีฉีที่อยู่ตรงหัวเรือได้เจอกับสตรีพกดาบศึกของกองทัพต้าหลี นางยังคงแต่งกายเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ขอแค่ถอดเสื้อเกราะออกก็จะเห็นเป็นชุดผ้าแพรแขนแคบ กระโปรงผ้าโปร่งบางสีหมึก รองเท้าปักลาย ปลายรองเท้ามีไข่มุกที่คล้ายดวงตามังกรติดอยู่สองเม็ด ชีฉีเรียกคำหนึ่งว่าอาจาร์อาอวี๋ นางหันหน้ามา พยักหน้าให้ สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทว่าชีฉีกลับเคยชินเสียแล้ว คนที่สามารถทำให้อาจารย์อาอวี๋ฮุ่ยถิงมีรอยยิ้มบนใบหน้าได้ คาดว่าคงมีแค่บรรพจารย์อาที่หอเทพเซียนของศาลลมหิมะเท่านั้นแล้ว
เฉาผิงคือแม่ทัพผู้เฉลียวฉลาดที่มีชื่อเสียงในราชสำนักต้าหลี มาดของเขาสุภาพสง่างาม ทว่าสีหน้าของทูตผู้ตรวจตราในเวลานี้กลับดูอิหลักอิเหลื่อยิ่ง
เฉาจวิ้นที่บ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกหนีผิงเคยเป็นแขนซ้ายแขนขวาให้กับหลิวสวินเหม่ย แต่หากอิงตามลำดับศักดิ์กันแล้ว กลับถือว่าเป็น…บรรพบุรุษของเฉาผิง
ดังนั้นคนทั้งสามคนที่นั่งอยู่ เฉาจวิ้นที่ทำตัวเอ้อระเหยลอยชาย ถอนตัวออกจากกองทัพต้าหลีมานานหลายปี ออกเดินทางท่องเที่ยวใบถงทวีปไปรอบหนึ่ง เวลานี้กำลังยุ่งอยู่การเอ่ยประจบเอาใจหลิวสวินเหม่ยอดีตหัวหน้าของตน ท่าทีของเขาไม่ยี่หระต่อโลกภายนอก หลิวสวินเหม่ยที่มียศรองเจ้ากรมฝ่ายขวากรมกลาโหมเมืองหลวงแห่งที่สองต้าหลีเพียงแค่ตามองจมูกจมูกมองใจ รู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม ส่วนเฉาผิงเองก็ไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเรียกผู้ฝึกกระบี่ ‘หนุ่ม’ อย่างเฉาจวิ้นว่าอย่างไร หากอิงตามบันทึกในทำเนียบตระกูล แม้จะบอกว่าลำดับอาวุโสของเฉาจวิ้นไม่ได้สูงอย่างเซียนกระบี่เฉาซี อีกทั้งสายสกุลเฉาในถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีการแบ่งสายออกไปอีกมาก แต่ลำดับศักดิ์ของเฉาจวิ้นก็ยังวางอยู่ตรงนั้นอยู่ดี
ยามฟ้าสาง
นักพรตหนุ่มปักปิ่นหยก สวมชุดเต๋าผ้าโปร่งสีเขียวเดินออกจากหอกั้วอวิ๋นลงจากเขาไป เดินเล่นไปตลอดทางกระทั่งไปถึงท่าเรือป๋ายลู่
บริเวณใกล้เคียงกับท่าเรือผู้คนจอแจขวักไขว่ มีเซียนซือที่ได้รับเอกสารผ่านทางจึงเรียกเอาเรือยันต์ตระกูลเซียนลำแล้วลำเล่าออกมาอย่างต่อเนื่อง บ้างก็ขี่สัตว์เซียนประเภทต่างๆ มุ่งหน้าไปยังกลุ่มยอดเขาของภูเขาตะวันเที่ยง โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกตนอิสระจะไปเข้าพักในเมืองรอบๆ ทั้งหมด
เดินเล่นได้ครึ่งชั่วยาม นักพรตหนุ่มก็กลับขึ้นมาบนภูเขา คิดไม่ถึงว่าหนีเยว่หรงจะยืนรออยู่ที่หน้าประตู บอกว่าทางฝั่งของโรงเตี๊ยมได้เตรียมอาหารเช้าไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ขอเฉาเซียนซือโปรดลองชมดู
คิดไม่ถึงว่าเจินเหรินลัทธิเต๋าผู้นี้จะยังปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ทำให้โทสะในใจของหนีเยว่หรงลุกโหม มาดช่างใหญ่เทียมฟ้าเสียจริง
ตอนที่เฉินผิงอันกลับไปถึงระเบียงชมทิวทัศน์ หลิวเสี้ยนหยางก็ยังนอนหลับอยู่บนเก้าอี้หวาย
เดินมาหยุดข้างราวระเบียง เฉินผิงอันลังเลว่าควรจะอำพรางเรือนกายไปเยือนยอดเขาเซียนเหรินสะพายกระบี่เพียงลำพังสักรอบดีหรือไม่ แค่พอคิดดูอีกทีก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป
ทุกวันนี้สกุลซ่งต้าหลีและสำนักบนภูเขาต่างก็หลีกเลี่ยงไม่พูดถึงห้าขุนเขาของในทวีป
ในอดีตตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปล้วนแซ่ซ่ง ห้าขุนเขาของราชวงศ์ต้าหลีก็คือห้าขุนเขาของแจกันสมบัติทวีป ไม่มีปัญหาใดๆ
รอกระทั่งสกุลซ่งต้าหลีรักษาสัญญาที่ให้ไว้ เป็นฝ่ายยอมยกดินแดนเกือบครึ่งหนึ่งให้เหล่าแคว้นใต้อาณัติใหญ่ทั้งหลายไปปกครองกันเอาเอง อาณาเขตของต้าหลีใหม่หดหายไปครึ่งหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นสี่ขุนเขาที่เหลือนอกจากขุนเขาเหนือจึงมีความลุ่มลึกบางอย่างเกิดขึ้น
ดังนั้นจึงมีเพียงภูเขาพีอวิ๋นและเว่ยป้อที่ว่างงานผ่อนคลายที่สุด
เพราะไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนอย่างไร ขุนเขาเหนือก็ล้วนไม่มีปัญหา ฝ่ายที่สถานการณ์กระอักกระอ่วนที่สุดกลับยังคงเป็นจิ้นชิงซานจวินขุนเขากลางที่อยู่ในอาณาเขตของจูอิ๋งเก่า
เพราะขุนเขากลางถึงกับกลายมาเป็นขุนเขาใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศใต้สุดของอาณาเขตต้าหลีใหม่ อีกทั้งเรื่องของการเปลี่ยนชื่อขุนเขาก็ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เปลี่ยนชื่อบนทำเนียบขุนเขาสายน้ำของสกุลซ่งต้าหลีเท่านั้น ไม่เพียงแต่ขุนเขากลางเองจะได้รับบาดเจ็บกระเทือนไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก ยังจะเดือดร้อนภูเขาทายาททั้งหลาย รวมไปถึงโชคชะตาขุนเขาสายน้ำทั้งหมดที่อยู่ในอาณาเขตการปกครอง ได้ยินมาว่ายามอยู่กับเว่ยป้อ จิ้นชิงมักจะต้องสะอึกอึ้งพูดไม่ออกอยู่เสมอ ไม่เคยได้เปรียบใดๆ ทว่าในบรรดาซานจวินทั้งหลาย จิ้นชิงก็ชอบที่จะงัดข้อกับเว่ยป้อจริงๆ มักจะคอยส่งกระบี่บินมายังภูเขาพีอวิ๋น บอกว่ามีอักษรใหญ่ที่แกะสลักบนหน้าผาของนักประพันธ์ใหญ่คนใดกลายเป็นบทกวีที่สืบทอดต่อกันไปในโลกอีกแล้ว แน่นอนว่าก็มีการขอความรู้เรื่องการจัดงานเลี้ยงท่องราตรีจากเว่ยป้อด้วย เพราะถึงอย่างไรในเรื่องนี้เว่ยซานจวินก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสแล้ว หลายๆ ทวีปล้วนให้การยอมรับ
อันที่จริงฉายาเว่ยท่องราตรีนี้ แรกเริ่มสุดนั้นก็แพร่ออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว
ดูเหมือนว่าจะเป็นเฉินหลิงจวินที่พูดถึงเป็นคนแรก จากนั้นก็ถูกคนจิ๋วควันธูปที่มักจะมาขานชื่อบนภูเขาลั่วพั่วตรงตามเวลาเอาออกไปป่าวประกาศ พากลับไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองด้วย ทุกวันนี้ข้างกายเจ้าหมอนี่มีลูกสมุนตามเป็นพรวน บอกว่าจะต้องช่วยเจ้าประมุขเผยเฉียนสร้างสาขาเล็กๆ ขึ้นในตัวจังหวัดให้จงได้ จะต้องฝึกวรยุทธ ถือไม้ง่ามแทนหอกอยู่ทุกวัน ไปๆ มาๆ ตลอดทั้งจังหวัดหลงโจวก็รู้ชื่อเว่ยท่องราตรี พอแพร่ไปทั่วจังหวัดหลงโจวแล้วก็เท่ากับว่าทั่วทั้งอาณาเขตของขุนเขาเหนือต่างก็รู้กันหมดแล้ว
ให้ตายอย่างไรเฉินหลิงจวินก็ไม่ยอมรับ บอกว่าเว่ยซานจวินใส่ร้ายเขาแล้ว ตอนนั้นเด็กชายชุดเขียวยืนอยู่ตรงโต๊ะหินริมหน้าผา ตีอกชกตัว น้ำมูกน้ำตาไหล พูดจาหนักแน่นน่าเชื่อถือว่า เขาเป็นคนแบบนั้นหรือไร? จะต้องเป็นพ่อครัวเฒ่าที่ดื่มเหล้าเมาแล้วพูดจาเหลวไหลออกไปแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็เป็นเผยเฉียน ต้องเป็นนางแน่ ความสามารถในการตั้งฉายาของเจ้าเด็กนี่ บนภูเขาลั่วพั่วหากนางเรียกตัวเองว่าเป็นที่สองก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าเป็นที่หนึ่ง อีกอย่างก็อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นหมี่ลี่น้อยที่หลุดปากพูดไป
สรุปก็คือกลายเป็นบัญชีเลอะเลือนบัญชีหนึ่ง
ความจริงของเรื่องราวก็คือเป็นเผยเฉียนที่หลุดปากพูดออกไปก่อน แต่ว่าปีนั้นนางก็แค่พูดล้อเล่นกับหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยเป็นการส่วนตัว แต่พอโจวหมี่ลี่ได้ยินกลับรู้สึกว่าคำกล่าวนี้ฟังแล้วองอาจยิ่งนัก น่าฟังมากกว่า ตอนที่เดินลาดตระเวนภูเขาจึงอดพึมพำไปหลายทีไม่ได้ เฉินหลิงจวินมาได้ยินเข้าพอดี คนพูดไร้เจตนาแต่คนฟังกลับมีใจ จึงจับผลัดจับผลูกลายเป็นว่าภายหลัง ‘ชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งขุนเขาเหนือ’
ผลคือเทพอภิบาลเมืองที่ไม่เคยเห็นวงการขุนนางอยู่ในสายตามากที่สุดเกือบจะต้องไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นด้วยตัวเองรอบหนึ่ง เพื่อขออภัยเว่ยป้อ
ต่อให้จะเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับความจริงมากแค่ไหนก็ไม่ควรว่าร้ายกันอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้
อาณาเขตขุนเขาเหนือที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งเว่ยป้อยังดูแลพื้นที่มังกรลุกผงาดของต้าหลี จะเป็นนายท่านซานจวินที่พูดคุยได้ง่าย เป็นคนสบายๆ จริงหรือ?
ซ่งอวี้จางที่ย้ายจากภูเขาลั่วพั่วไปเป็นเทพภูเขาของภูเขาฉีตุนล่ะมีจุดจบเช่นไร? นี่ใช่การโยกย้ายตำแหน่งเพื่อไปรับตำแหน่งที่เท่ากันของวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำหรือ?
ปีนั้นเว่ยป้อไปทำอะไรที่จุดเชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตขุนเขาเหนือกับขุนเขากลาง? ไปเยี่ยมเยือนหรือ? เห็นชัดๆ ว่าขอแค่จิ้นชิงที่เป็นซานจวินขุนเขาใหญ่เหมือนกันไม่ยอมก้มหัวอ่อนข้อให้ เว่ยป้อก็จะลงมือแล้ว
บนอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป เว่ยป้อคือเทพภูเขาคนแรกที่เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน แล้วยังเป็นเทพภูเขาขอบเขตเซียนเหรินคนแรกอีกด้วย จะยังเป็นเทพภูเขาคนแรกที่เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานด้วยไหม? ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้วไม่น่าจะต้องลุ้นกันสักเท่าไร ขอแค่สกุลซ่งต้าหลีสามารถรักษาดินแดนครึ่งทวีปเอาไว้ได้ก็พอ
คนจิ๋วควันธูปก็ถูกทำให้ตกใจขวัญผวาอย่างหนัก น้อยครั้งที่จะเห็นเทพอภิบาลเมืองเข้มงวด โกรธจริงจังเช่นนี้ ตอนนั้นมันยืนอยู่ในกระถางธูปอย่างขลาดๆ สองมือกำขอบกระถางธูปเอาไว้แน่น
เมื่อก่อนมักจะเอะอะว่าจะออกจากบ้าน แต่อันที่จริงทุกครั้งก็แค่ไปเดินเล่นอยู่ข้างนอกรอบหนึ่งก็กลับบ้านแล้ว ยกตัวอย่างเช่นไปขานชื่อที่ภูเขาลั่วพั่วมากครั้งหน่อย หรือไม่ก็สวมชุดแพรกลับคืนบ้านเกิดที่ภูเขาหมั่นโถว ‘บ้านเดิม’ ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหงจู๋
ยังดีที่เจ้าหมอนั่นเพียงแค่ทำหน้าดำอยู่ครึ่งวัน นั่งโมโหอยู่บนธรณีประตูเงียบๆ สุดท้ายก็พูดกับมันแค่ประโยคเดียวว่า วันหน้าอย่าพูดจาเหลวไหลอีก
อันที่จริงเฉินหลิงจวินเองก็รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะเช่นกัน แต่ก็ยังปากแข็ง เอ่ยปลอบใจคนจิ๋วควันธูปไปสองสามคำ บอกว่าทำผิดแล้วอย่างไร คนเราไม่ใช่อริยะปราชญ์ก็ย่อมต้องทำผิดกันบ้าง เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ อีกอย่างทำผิดพวกเราพี่น้องก็ยอมรับแล้ว ใช่ว่าจะไม่ยอมรับเสียหน่อย เว่ยซานจวินจะด่าจะดีก็ตามแต่ใจ หากใครขมวดคิ้วสักครั้งก็ถือว่าคนนั้นขี้ขลาด เฉินหลิงจวินปลอบใจเจ้าตัวน้อยที่ไหล่ลู่คอตก เอ่ยมาถึงตรงนี้เด็กชายชุดเขียวกับคนจิ๋วควันธูปที่ยืนอยู่บนโต๊ะหินก็สบตากันแล้วหัวเราะฮ่าๆ เพราะอันที่จริงพวกเขาสองคนต่างก็ไม่ใช่คนนี่นา
ยิ่งหัวเราะคนจิ๋วควันธูปก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าขำ กุมท้องหัวเราะก๊ากยังไม่พอ ยังกลิ้งไปกลิ้งมาบนโต๊ะอีกด้วย
วันนี้หมี่อวี้มาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่พอดี มองหนึ่งเด็กตัวโตหนึ่งเด็กตัวเล็กบนโต๊ะ สายตาของหมี่อวี้พลันอ่อนโยน พอนั่งลงแล้วก็มองเมล็ดแตงบนโต๊ะ ยิ้มถามว่า “มีแค่นี้เองหรือ?”
เฉินหลิงจวินกลอกตามองบน “หมี่ลี่น้อยไม่อยู่บ้านเสียหน่อย ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางเอาเมล็ดแตงไปซ่อนไว้ที่ไหน กินประหยัดๆ หน่อยล่ะ หากไม่ใช่พี่น้องที่รักจะยอมแบ่งให้เจ้ามากขนาดนี้หรือ? ดูเจ้าหมอนี่สิ ยังได้เมล็ดแตงแค่เมล็ดเดียวเท่านั้น มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
คนจิ๋วควันธูปที่กำลัง ‘เจาะภูเขา’ บนเมล็ดแตงเมล็ดหนึ่งพยักหน้ารับอย่างแรง แล้วจู่ๆ ก็พลันสบตากับเฉินหลิงจวินแล้วหัวเราะก๊ากขึ้นมาอีก
หลายปีมานี้ชีวิตมันราบรื่นไร้อุปสรรค มาขานชื่อที่ภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียน จิ่งชิง หน่วนซู่ หมี่ลี่น้อยล้วนเป็นเหตุผล
คนทั้งสามต่างคนต่างแทะเมล็ดแตง เฉินหลิงจวินถามชวนคุยว่า “อวี๋หมี่ คุณสมบัติในการฝึกกระบี่ของเจ้าไม่ได้เรื่องเลยใช่ไหม? ได้ยินมาว่าไม่ได้ฝ่าทะลุขอบเขตมาหลายปีแล้ว”
เฉินหลิงจวินเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นนะ อย่าคิดมากล่ะ”
หมี่อวี้ยิ้มตอบ “บอกตามตรง คุณสมบัตินับว่าพอใช้ได้ อันที่จริงไม่ถือว่าแย่เท่าไร”
เฉินหลิงจวินเอ่ยอย่างมีโทสะ “อะไรกัน กับพี่น้องยังจะพูดโกหกกันไปไย หน้าตาก็หล่อเหลา ทำไมถึงต้องตบหน้าตัวเองให้บวมสวมรอยเป็นคนอ้วนด้วย ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเหยียบย่ำตัวเองเช่นนี้”
หมี่อวี้หัวเราะอย่างฉุนๆ “มารดามันเถอะ นี่แม่งคือขนบธรรมเนียมอะไรกัน”
เฉินหลิงจวินหัวเราะหึหึ “คุณสมบัติไม่ได้เรื่องก็ไม่ได้เรื่อง พูดออกมาให้พี่น้องอารมณ์ดีก็เป็นเรื่องดีนะ”
นายท่าน เผยเฉียน หมี่ลี่น้อยต่างก็ไม่อยู่บ้าน นังเด็กโง่หน่วนซู่นั่นก็ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ดังนั้นจึงรู้สึกอุดอู้เล็กน้อย
คนจิ๋วควันธูปกระแอมหนึ่งที เตือนพี่ใหญ่จิ่งชิงว่าอย่าตัวลอยเกินไปนัก จะดีจะชั่วหมี่อวี้ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ อย่ารังแกกันเกินไป
หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “จะหลอกเจ้าทำไมล่ะ คำพูดคุยโวเอามากินแทนข้าวไม่ได้เสียหน่อย คุณสมบัตินับว่าพอใช้ได้จริงๆ”
หมี่อวี้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางตอนเจ็ดขวบ อายุสิบเก้าก็เป็นขอบเขตโอสถทอง อายุสี่สิบสองฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นก่อกำเนิด หลังจากนั้นก็เป็นช่วงระยะเวลานานมากที่ขอบเขตหยุดนิ่งไม่ขยับ รอกระทั่งเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้อย่างลุ่มๆ ดอนๆ ก็เริ่มฟ้าผ่าไม่สะเทือนอีกครั้ง
ลั่วซานสายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อนในอดีต อินเฉินที่ชอบไปอยู่บนผนังกำแพง น่าหลันไฉ่ฮ่วนคนเห็นแก่เงิน คนพวกนี้ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเดียวกับหมี่อวี้ ปีนั้นต่างก็ต้องแหงนหน้ามองเขา
ส่วนฉีโซ่วนั้นเป็นเด็กรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยอย่างมาก วิธีการเข่นฆ่าสังหารก็ยังเป็นเส้นทางเดินที่หมี่อวี้เคยเดินผ่านมาก่อน
แน่นอนว่าไม่ได้บอกว่าทางสายนี้หมี่อวี้เป็นคนแรกที่เดินไป น่าหลันเย่สิง เยี่ยนหมิง ต่างก็เคยเดินกันมาก่อนแล้ว นานกว่านั้นก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่แก่ยิ่งกว่า ช่วงแรกเริ่มสุดก็น่าจะเป็นหลงจวินแล้ว
——