กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 821.4 แยกร่างภูเขาตะวันเที่ยง
ในขณะที่นางกำนัลหญิงยังลังเลไม่แน่ใจอยู่นั้นเอง คิดไม่ถึงว่าบุรุษชุดเขียวสะพายกระบี่จะร่างเปล่งวูบแล้วข้ามธรณีประตู เดินเข้าไปในศาลบรรพจารย์แล้ว ส่วนแขนข้างนั้นของนางก็ได้แต่หยุดค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ นางเก็บมือมา ร้อนใจจนใบหน้าแดงก่ำ เกือบจะหลั่งน้ำตา ปล่อยให้เกิดข้อบกพร่องขนาดนี้ใต้เปลือกตาของตนได้ หลังจบเรื่องกลับไปที่ยอดเขาฉงจือจะไม่ถูกบรรพจารย์ด่าตายหรอกหรือ นางกระทืบเท้า ได้แต่หันตัวกลับไป รีบส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวเจ้าสำนักจู๋หวงทันที บอกว่ามีแขกไม่รู้กฎเกณฑ์คนหนึ่ง บอกว่าตัวเองชื่อเฉินผิงอัน มาจากภูเขาลั่วพั่ว ถึงกับบุกเข้าไปในศาลบรรพจารย์ก่อนแล้ว ดูเหมือนว่าจะเริ่มเลือกเก้าอี้ตัวที่เป็นของเขาเพื่อนั่งลงแล้ว คนผู้นี้ยังพูดจาวางโตอย่างไม่ละอาย บอกว่าทางที่ดีที่สุดเจ้าสำนักควรมาคุยธุระที่นี่คนเดียว…
เฉินผิงอันเอามือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งหิ้วกระบี่ เขากำลังเลือกเก้าอี้อยู่ด้านในจริงๆ กระทั่งเดินไปถึงเก้าอี้ตรงตำแหน่งประธานตัวที่เป็นของจู๋หวงเจ้าสำนัก เนื่องจากวันนี้เป็นงานเฉลิมฉลองของต้าเซิ่งย้ายภูเขาตนนั้น ดังนั้นทางฝั่งของยอดเขาอีเซี่ยนจึงยอมแหกกฎตั้งใจจัดเก้าอี้ที่เดิมทีตั้งอยู่ช่วงหน้าๆ แล้วให้มาอยู่เป็นอันดับหนึ่งเคียงข้างกับจู๋หวง
เฉินผิงอันจึงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น มองไปทางประตูใหญ่ ในมือถือกระบี่ยาวยันพื้น ยกขึ้นเบาๆ แล้วก็วางลง รอคอยจู๋หวงปรากฏตัวมาต้อนรับแขก
นางกำนัลจากตรอกฮวามู่คนนั้น เดิมทีก็ไม่กล้าละเมิดกฎของศาลบรรพจารย์บุกเข้าไปข้างในโดยพลการ นางจึงได้แต่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู แล้วพอนางได้เห็นภาพในศาล สีหน้าก็พลันเปลี่ยนมาเป็นซีดเผือด แขกไม่ได้รับเชิญที่มีท่าทางเป็นมิตรผู้นี้เป็นอย่างไรกันแน่นะ ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือไร?
เฉินผิงอันไล่มองไปตามเก้าอี้ที่วางอยู่สองแถว เขาถึงกับรู้ว่าเป็นเก้าอี้ของใครบ้าง แม้จะบอกว่าเมื่อก่อนไม่เคยมาเยือนศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยนมาก่อน ทว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่แปลกหน้าสำหรับเขาเลย
เซี่ยหย่วนชุ่ยแห่งยอดเขาหม่านเยว่ เทพเจ้าแห่งโชคลาภเถาแห่งยอดเขาชิวลิ่ง ผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่ เซียนกระบี่ผู้เฒ่าแห่งยอดเขาโปอวิ๋นที่เคยออกกระบี่ร่วมกับลี่ไฉ่ เซียนกระบี่หญิงจากยอดเขาเพียนเซียน เหลิ่งฉี่บรรพจารย์จากยอดเขาฉงจือ เถียนหว่านแห่งยอดเขาจูอวิ๋น อู๋ถีจิงที่เป็นหลี่ถวนจิ่งกลับชาติมาเกิดใหม่ อวี่หลิ่นแห่งยอดเขาอวี่เจี่ยวที่อาจารย์หร่วนไม่ถูกชะตา หยวนป๋ายแห่งยอดเขาตุ้ยเซวี่ยที่ข้างกายซ่อน ‘หลิวไฉผู้ฝึกกระบี่’ ไว้เกือบครึ่งตัว…
เป็นสถานที่ที่ดีที่มีเซียนกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆอย่างแท้จริง
หากมีแค่ภูเขาตะวันเที่ยงเพียงแห่งเดียว ก็ไม่มีอะไร
แต่หากบวกรวมราชสำนักต้าหลีและเถียนหว่าน มีเถียนหว่านก็มีป๋ายฉางที่มีแผนการอันยิ่งใหญ่ มีโจวจื่อก็ยิ่งมีหลิวไฉ
ยกตัวอย่างเช่นหากพูดถึงแค่หลิวไฉคนนั้น ในช่วงเวลาที่มองดูเหมือนเฉินผิงอันฮึกเหิมมีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด อยู่ดีๆ กลับมีลูกศิษย์ภูเขาตะวันเที่ยงที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งโผล่ออกมาขวางทาง
เลือกที่จะจ่ายค่าตอบแทนด้วยการที่เอาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่มาแลกกับชีวิตผู้ฝึกกระบี่ สุดท้ายทำให้อิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่อีกต่อไป
สำหรับสถานการณ์ที่ซับซ้อนของหลายใต้หล้าแล้ว บางทีนี่อาจเป็นสถานการณ์ที่น่าสนใจอย่างถึงที่สุด จะเป็นตัวแปรที่สร้างความไม่คาดฝันให้เกิดขึ้นได้มากมาย
แต่สำหรับเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วแล้ว กลับเป็นจุดจบอันน่าสังเวชที่ ‘อนาคต’ ไม่อาจจินตนาการได้ถึง
และเรื่องนี้ก็ดูเหมือนว่าโจวจื่อจะได้บอกกล่าวทักทายกับเฉินผิงอันมานานแล้ว อาศัยรายชื่อของคนรุ่นเยาว์สิบคนของหลายใต้หล้า อีกทั้งยังเปิดเผยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของหลิวไฉคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา็้็็้
ไม่แน่ว่ารายชื่อนี่ก็อาจเป็นฝีมือของโจวจื่อที่บงการอยู่เบื้องหลัง
สักวันหนึ่งเมื่อผู้ฝึกกระบี่ถามกระบี่ต่อผู้ฝึกกระบี่ จะเป็นการจับคู่เข่นฆ่าที่เปิดเผยตรงไปตรงมา
อีกทั้งยังเตือนอิ่นกวานหนุ่มอย่างเจ้าไว้ก่อนแล้วด้วย และยังยอมให้เจ้าเฉินผิงอันเตรียมตัวล่วงหน้านานหลายปี เพื่อรับมือกับการถามกระบี่ที่คู่ต่อสู้บอกทั้งชื่อและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตให้เจ้ารับรู้อย่างชัดเจน
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เพียงแต่ยังไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วนเหมือนไฟไหม้ลามขนคิ้ว แต่การถามกระบี่ที่โจวจื่อมีแต่จะเป็นผู้เลือกเวลาและสถานที่ครั้งนี้ได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะหลบเลี่ยงไม่ได้ หนีไม่พ้น
อันที่จริงไม่ว่าเฉินผิงอันจะคิดจนหัวแทบแตกอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดโจวจื่อผู้นั้นถึงตั้งตนเป็นปรปักษ์กับตนถึงเพียงนี้
ช่างมันเถิด
บนเส้นทางชีวิตคน ต่อให้เป็นคำว่าทำไมที่ไม่รู้ไม่เข้าใจมากมาย ควรจะทำอย่างไรก็แค่ต้องทำไปอย่างนั้นอยู่ดีไม่ใช่หรือ
มาแล้ว
เจ้าสำนักจู๋หวงแห่งภูเขาตะวันเที่ยง
แล้วก็มาแค่คนเดียวจริงๆ ด้วย
เฉินผิงอันยิ้ม ไม่ได้ลุกขึ้นยืน
จู๋หวงใช้ปราณกระบี่สกัดสร้างฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมา ยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขาเหลือบไปเห็นกระบี่โบราณบนยอดเขาสะพายกระบี่ที่อยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามได้ในปราดเดียว เจ้าขุนเขาที่เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนนี้หรี่ตาลง เอ่ยถามเสียงกร้าวกับเจ้าขุนเขาหนุ่ม “เฉินผิงอัน เจ้าคิดจะทำอะไร?”
คนผู้นั้นยังคงใช้ปลายด้านหนึ่งของฝักกระบี่เคาะพื้นเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอชาดื่มก่อนสักถ้วยแล้วค่อยพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกัน?”
จู๋หวงกำยันต์หยกขาวที่สืบทอดมาหลายยุคหลายสมัยที่อยู่ในชายแขนเสื้อแน่น หัวเราะหยันเอ่ยว่า “อ้อ? เจ้าคู่ควรหรือ?”
นาทีถัดมาปราณกระบี่ทั้งหมดบนยอดกระบี่ของยอดเขาอีเซี่ยนก็พลันมารวมตัวกัน ก่อตัวขึ้นเป็นเรือนกายสูงใหญ่ที่มีไอเมฆหมอกล้อมวน ยืนอยู่ข้างกายเจ้าสำนักจู๋หวง
คนชุดเขียวยังคงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่ยิ้มเอ่ยอย่างระอาใจว่า “นี่ยังไม่ทันได้เจรจาก็ตกลงกันไม่ได้แล้วหรือ?”
จู๋หวงเห็นเพียงว่าคนผู้นี้ปล่อยมือออก กระบี่พกที่เป็นของบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง เล่มนั้นปักค้างนิ่งอยู่กับพื้น จากนั้นเจ้าหมอนั่นก็ยกมือขึ้น สะบัดชายแขนเสื้อ ศีรษะหนึ่งกลิ้งหลุนๆ หล่นออกมาจากด้านใน เขายกปลายเท้าขึ้นเตะหัวของจื๋อหลินโส่วไปที่หน้าประตูจนมันชนเข้ากับธรณีประตู “จู๋หวง เจ้าไม่ลองคิดดูเล่าว่าเหตุใดข้าถึงสามารถตัดหัวผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าในถิ่นของเจ้าได้ ผลคือพอมาถึงยอดเขาอีเซี่ยนแล้วยังต้องเป็นฝ่ายทักทายก่อน เจ้าถึงเพิ่งจะรู้เรื่องนี้?”
สีหน้าของจู๋หวงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
ขอบเขตเซียนเหรินที่อยู่ข้างกายเขา แท้จริงแล้วสามารถปล่อยกระบี่ใส่คนหนุ่มผู้นั้นได้ทุกเมื่อ
เฉินผิงอันผายมือข้างหนึ่งไปทางเก้าอี้ตัวที่เป็นของจู๋หวง ยิ้มร่าเอ่ยว่า “ไหนๆ เจ้าก็มาแล้ว ข้าเองก็หนีไปไหนไม่ได้สักหน่อย ไม่สู้นั่งลงพูดคุยกันดีไหม?”
จู๋หวงไม่ได้ขยับเท้า เพียงแค่ถามว่า “หลิวเสี้ยนหยางเป็นขอบเขตหยกดิบแล้วใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันคร้านจะพูดคุยเรื่องนี้ เจ้าแม่งก็ไม่เดาเอาเองเล่า เพียงแค่ทุบศีรษะที่อยู่ตรงหน้าประตูให้แหลกง่ายๆ จากนั้นก็ทำท่าจะลุกขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “ให้โอกาสเจ้าได้พูดคุยดีๆ แต่ดันไม่ยอมคุยใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวแขกผู้มีเกียรติที่มารวมงานพิธีบนยอดเขาอีเซี่ยนซึ่งรวมถึงหลิวเสี้ยนหยางและข้าด้วย ทุกคนก็คงต้องอาบแดดอยู่บนซากปรักของศาลบรรพจารย์ด้วยกันแล้ว”
จู๋หวงหัวเราะ เดินก้าวหนึ่งข้ามธรณีประตูเข้ามา ทว่าเซียนเหรินที่อยู่ด้านหลังกลับรั้งอยู่นอกศาลบรรพจารย์ จู๋หวงเดินไปพลางพูดไปด้วย “เจ้าขุนเขาเฉิน จำไว้ว่าพูดจาอะไรก็ระวังหน่อย หากพูดไม่ดี ทั้งญาติทั้งมิตรอาจต้องมีคนตายเยอะมากเลยนะ”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถูกเจ้าทำให้ตกใจกลัวแทบตายแล้ว”
จู๋หวงเพิ่งจะเดินไปได้ครึ่งทาง เขาก็พลันเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมา ออกกระบี่พร้อมกับเซียนเหรินหน้าประตูที่อยู่ด้านหลัง ฝืนฝ่าค่ายกลกระบี่ที่แปลกพิลึกอย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่ง
ทว่านาทีถัดมา ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันผู้นั้นจะแค่ร่ายเวทกระบี่บทหนึ่งแล้วก็ไม่มีการกระทำที่เกินความจำเป็นแล้ว
ทว่ายอดกระบี่ของยอดเขาอีเซี่ยนที่ไม่มีปราณกระบี่ตัดสลับอยู่อีกแม้แต่น้อยกลับเกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามดุจภาพวาดขุนเขาสายน้ำ
ราวกับว่าภูเขาลูกหนึ่งมีบุปผาทยอยกันผลิบานไล่ระดับ จากนั้นก็มีกระบี่บินส่งข่าวหลายร้อยเล่มลากประกายแสงกระบี่ออกไปเส้นแล้วเส้นเล่า กระจายตัวกันไปสี่ด้านแปดทิศ แสงกระบี่พุ่งว่องไวดุจสายฟ้าแลบ มุ่งหน้าไปยังยอดเขาแห่งต่างๆ สุดท้ายไปหยุดลอยอยู่ข้างกายแขกทุกคนที่มาเข้าร่วมงานพิธี
ขณะเดียวกันสองมือของเฉินผิงอันก็กุมหัวและท้ายซึ่งเป็นปลายสองด้านของกระบี่โบราณยอดเขาสะพายกระบี่เล่มนั้นเอาไว้ ยิ้มเอ่ยว่า “อย่ารีบร้อนตีกันสิ นี่เป็นของแทนตัวที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งนับตั้งแต่ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้าเปิดขุนเขามาสองพันหกร้อยปีเชียวนะ หากไม่ทันระวังถูกข้าหักเข้า ถึงเวลานั้นจะโทษใคร?”
จู๋หวงไม่ได้เก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นมา ทว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มที่ไม่ว่าจะพูดจาหรือลงมือก็คล้ายคนสมองมีปัญหาผู้นั้นกลับทำเรื่องที่ไร้เหตุผลอีกเรื่องหนึ่ง ถึงกับโยนกระบี่ยาวเล่มนั้นกลับมาให้จู๋หวง จากนั้นก็ผายมือยิ้มเอ่ยอีกครั้ง “นั่ง”
จู๋หวงไม่ได้รับสมบัติพิทักษ์ภูเขาซึ่งเป็นของตกทอดจากบรรพจารย์เล่มนั้นเอาไว้ แค่ให้เซียนเหรินหน้าประตูรับหน้าที่ทำแทน
เมื่อเขานั่งลง ก็ให้รู้สึกพิลึกพิลั่นสุดขีด อยู่ในศาลบรรพจารย์บ้านตน ใครเป็นเจ้าบ้าน ใครเป็นแขกกันแน่?
จากนั้นประโยคแรกที่เจ้าหมอนั่นเปิดปากพูดก็ทำให้จู๋หวงรู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้า
“จู๋หวง ไม่สู้เจ้าตัดชื่อหยวนเจินเย่ออกจากทำเนียบขุนเขาสายน้ำบ้านพวกเจ้าก่อน? จากนั้นข้าค่อยยอมลำบากสักหน่อย ช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดเรือนให้เจ้าด้วยตัวเอง เจ้ารู้สึกว่าทำได้หรือไม่?”
ในใจจู๋หวงเดือดดาลอย่างหนัก เป็นเหตุให้เขาถึงกับถลันพรวดลุกขึ้นยืน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?!”
เห็นเพียงคนผู้นั้นยิ้มพยักหน้าตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ข้าคิดว่าทำได้”
……
บนขั้นบันไดของยอดเขาอีเซี่ยน หลิวเสี้ยนหยางเพิ่งจะเก็บดวงจันทร์ดวงหนึ่งใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เขาแกว่งชายแขนเสื้อเบาๆ กลับไปพร้อมของฝากเต็มไม้เต็มมือ ไม่เสียเที่ยวที่มาเยือน กลับไปแล้วจะเอาไปมอบให้แม่นางอวี๋ ต่อให้จะเป็นขายุงแต่ก็ยังเป็นเนื้อนี่นะ
ส่วนบนสนามรบโบราณที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด ผีสาวถามว่า “เจ้าอยู่ในที่แจ้ง ยังมีเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วที่หลบอยู่ในที่ลับด้วย ใช่หรือไม่?”
หลิวเสี้ยนหยางเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร ข้าไม่สนิทกับเจ้าสักหน่อย ไม่มีความจำเป็นต้องควักจิตควักใจออกมาให้เจ้าดู
ใบหน้าของนางพลันบิดเบี้ยว สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นดุร้าย แต่สายตากลับแสดงความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายไม่เอาไหน นางเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “พวกเจ้าถามกระบี่อย่างลวกๆ แบบนี้เองหรือ จะมีความหมายที่ใด?!”
หลิวเสี้ยนหยางถูกคำถามของนางทำให้อึ้งตะลึงไป
ราวกับโจรร้ายที่สันดานชั่วอำมหิต ก่อนจะตายจู่ๆ กลับถามจอมยุทธใหญ่ผู้ผดุงคุณธรรมว่าฆ่าแค่ข้าคนเดียวก็พอแล้วหรือ?
ต่อให้ไม่พอ ข้าก็คงไม่อาจฆ่าเจ้าสองรอบได้กระมัง
ทว่าซือถูเหวินอิงกลับเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว นางเริ่มพูดจาเสียสติว่า “นอกจากข้าแล้ว พวกเจ้ามาถามกระบี่ครั้งนี้ยังสามารถฆ่าใครได้อีก? จู๋หวง เซี่ยหย่วนชุ่ย เถาแยนโป เยี่ยนฉู่ ตะพาบเฒ่าพวกนี้สุดท้ายแล้วจะมีสักกี่คนที่ถูกสะบั้นรากฐานมหามรรคา? ภูเขาตะวันเที่ยงจะบาดเจ็บไปถึงกระดูกและเส้นเอ็นจริงๆ หรือ? หรือพวกเจ้าไม่รู้ว่าพวกตาแก่หนังเหนียวของภูเขาตะวันเที่ยงกลุ่มนี้เชี่ยวชาญเรื่องการอดทนข่มกลั้นที่สุด แต่ละปีที่ผ่านพ้นไป พวกเขาถึงได้อดทนจนหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าตายไป อดทนจนได้อักษรจงมาครอง ทุกวันนี้แม้แต่สำนักเบื้องล่างก็ใกล้จะมีแล้ว!”
เพียงแต่ไม่นานนางก็มีท่าทางห่อเหี่ยว
ในความเป็นจริงแล้วผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสองคนต่างก็อายุยังไม่ถึงห้าสิบปี แต่กลับสามารถมาถามกระบี่ต่อภูเขาตะวันเที่ยงได้เช่นนี้ นี่ก็ไม่ง่ายดายอย่างมากแล้ว สามารถเรียกว่าเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ได้เลยด้วยซ้ำ
แม้จะมีความเสียดาย แต่ก็สาแก่ใจยิ่งนัก
คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง บรรพจารย์ ผู้ถ่ายทอดมรรคา ลูกศิษย์ผู้สืบทอด ลูกศิษย์ของลูกศิษย์ ภูเขาตะวันเที่ยงมีแต่จะเป็นภูเขาตะวันเที่ยงไปตลอดกาล
แสร้งวางมาดภูมิฐาน คนนอกที่รู้เรื่องวงในก็ได้แค่รู้เท่านั้น อย่างมากสุดก็เป็นเหมือนบรรพจารย์ฉินแห่งร่องต้าหนีของศาลลมหิมะที่ได้แต่พูดเหน็บแนมสองสามประโยคทำให้ภูเขาตะวันเที่ยงรู้สึกชิงชัง
น่าเสียดายที่บนโลกนี้ไม่มีหลี่ถวนจิ่งอีกต่อไปแล้ว
ภูเขาตะวันเที่ยงที่มีทั้งผู้ฝึกกระบี่ที่จิตใจใสสะอาดดุจหิมะ ทว่ากลับซุกซ่อมความโสมมสกปรกไว้มากกว่าแห่งนี้ เปิดภูเขามาสองพันหกร้อยปี มักจะต้องเป็นคนมีแผนการชั่วร้ายที่ได้ครอบครองตำแหน่งสำคัญ ราวกับว่า ‘เวทกระบี่’ พวกนี้ต่างหากถึงจะเป็นเก้าอี้อันดับหนึ่งในศาลบรรพจารย์ที่มองไม่เห็นอย่างแท้จริง
ส่วนภูเขาที่ขนบธรรมเนียมเที่ยงตรงอย่างยอดเขาโปอวิ๋น ยอดเขาเพียนเซียน เมื่อก่อนหากมีการประชุมในศาลบรรพจารย์ มีครั้งใดบ้างที่แต่ละคนไม่ลุกออกไปก่อน? เมื่อภูเขาตะวันเที่ยงเจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วัน พวกเขาก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ามีแต่จะยิ่งกลายเป็นหุ่นเชิดไปเรื่อยๆ ผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์เต็มตัวที่แท้จริงเหล่านี้ ทุกครั้งที่พวกเขาออกกระบี่อย่างไม่ละอายใจล้วนซุกซ่อนไว้ด้วยแผนการที่แสวงหาผลประโยชน์สูงสุดของศาลบรรพจารย์ การปล่อยกระบี่อย่างไม่เสียดายชีวิตนอกภูเขาแต่ละครั้งของผู้ฝึกกระบี่ทุกคน มองดูเหมือนยอมสละชีวิตลืมกลัวตายอย่างกล้าหาญองอาจ แต่แท้จริงแล้วล้วนเป็นการค้าและการวางแผนจากศาลบรรพจารย์ทั้งสิ้น สุดท้ายคนที่ได้ผลประโยชน์ที่สุดกลับกลายเป็นว่าคือพวกผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่ต้องออกกระบี่
เด็กหนุ่มเด็กสาวทุกคนที่ในอดีตตอนขึ้นเขาล้วนมีชีวิตชีวาสดใส บางทีสุดท้ายอาจกลายเป็นเถาแยนโป เยี่ยนฉู่ เหลิ่งฉี่ หนีเยว่หรงคนถัดไป
สีหน้าของหลิวเสี้ยนหยางกระอักกระอ่วน
หลักๆ แล้วเป็นเพราะผู้ฝึกตนหญิงอาวุโสคนนี้เหมือนจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับภูเขาตะวันเที่ยงยิ่งกว่าคนนอกที่มาแก้แค้นอย่างเขามากนัก นี่ทำให้เขารู้สึกปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง
ร่างของซือถูเหวินอิงเริ่มสลายหายไป จิตวิญญาณส่ายไหว กลายเป็นควันเขียวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่นางกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย หรือบางทีนางก็ไม่สนใจเลยสักนิด นางเพียงเอ่ยว่า “ต่อให้วันนี้พวกเจ้ารื้อศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยนได้จริง แต่แท้จริงแล้วพวกเจ้าก็ยังทำไม่สำเร็จ ถึงขั้นจะช่วยให้เสียเรื่องด้วยซ้ำ ในอดีตหลี่ถวนจิ่งเคยใช้กำลังของคนคนเดียวสยบภูเขาตะวันเที่ยงมาสามร้อยปี แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเพราะหลี่ถวนจิ่งที่กลายมาเป็นเหมือนหินลับกระบี่ที่ดีที่สุด สร้างรากฐานของสำนักให้กับภูเขาตะวันเที่ยงอย่างในทุกวันนี้ ทำให้เหล่าผู้ฝึกกระบี่ของกลุ่มยอดเขามีศัตรูร่วมกัน พวกเจ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงมองดูเหมือนว่าพวกเจ้าออกกระบี่ได้อย่างเฉียบคม มีมาดของเซียนกระบี่ แต่กลับไม่ใช่เซียนกระบี่เลยสักนิด”
ซือถูเหวินอิงยิ้มอย่างเศร้าสลด “เพราะการถามกระบี่ของพวกเจ้ามีแต่จะได้ผลลัพธ์เฉกเช่นหลี่ถวนจิ่ง เจ้าและเฉินผิงอันเคยคิดถึงปัญหาข้อนี้หรือไม่?”
——