กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 822.3 ภูเขาลั่วพั่วร่วมงานพิธีภูเขาตะวันเที่ยง
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 822.3 ภูเขาลั่วพั่วร่วมงานพิธีภูเขาตะวันเที่ยง
อันที่จริงเขาเสียใจภายหลังที่เป็นเค่อชิงไม่ได้รับการบันทึกชื่ออยู่นานแล้ว ถึงอย่างไรหยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนก็เป็นผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีป แต่เขาเว่ยจิ้นกลับไม่ใช่ ไม่ได้อยู่ใกล้ภูเขาลั่วพั่ว แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ได้อยู่ห่างไปไกล ดังนั้นเว่ยจิ้นจึงตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้ขอแค่ออกจากอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยงไปก็จะข้ามมหาสมุทรหวนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ทันที คราวก่อนไปอยู่ที่นั่นเป็นศึกพิทักษ์เมืองครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ได้หวนกลับคืนไปยังที่เดิมก็สามารถไปออกกระบี่ที่ทิศใต้ได้แล้ว
บนเรือยันต์ที่ห่างออกมาจากเรือข้ามฟาก เฉาผิงทูตผู้ตรวจการหยิบจดหมายลับฉบับนั้นออกมาอีกครั้ง
แม้จะเรียกว่าเรือยันต์ แต่อันที่จริงกลับเป็นเรือหอเรือนขนาดใหญ่โตมโหฬารลำหนึ่ง การป้องกันเข้มงวด นอกจากข้ารับใช้ส่วนตัวของสกุลเฉาแล้วยังมีผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี และยิ่งมีผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ต้าหลีที่ทางราชสำนักสกุลซ่งจัดหามาให้
เฉาผิงรินเหล้าหนึ่งชามให้ตัวเองดื่ม อ่านจดหมายลับที่ลงชื่อว่า ‘เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว’ อย่างละเอียดอีกครั้ง
ในจดหมายบอกว่าภายในสามร้อยปี ภูเขาลั่วพั่วรับประกันว่าควันธูปของสกุลเฉาเสาค้ำยันแคว้นจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันที่เลวร้ายที่สุดใดๆ เกิดขึ้น นอกจากนี้ภายในสามร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นไปในทางเปิดเผยหรือในทางส่วนตัว ขอแค่เป็นตัวเลือกที่ผ่านการตรวจสอบจากสกุลเฉามาแล้ว คนที่มีคุณสมบัติจะเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด และเซียนดินโอสถทอง ไม่ว่าจะเป็นหยกงามด้านการฝึกยุทธหรือตัวอ่อนเซียนกระบี่ก็ล้วนสามารถส่งมาฝึกตนที่ภูเขาลั่วพั่วได้
รูปแบบตัวอักษรคืออักษรแบบบรรจงขนาดเล็กที่เขียนเป็นระเบียบอย่างยิ่ง ทุกจุดล้วนเก็บงำประกาย หากจะบอกว่าตัวอักษรเกิดจากใจ ถ้าอย่างนั้นเจ้าขุนเขาหนุ่มที่เขียนจดหมายฉบับนี้ หากไม่ใช่พวกคนเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนที่มีกลอุบายลึกล้ำก็ต้องเป็นคนที่เคารพกฎเกณฑ์อย่างมากคนหนึ่ง
บนจดหมายยังบอกอีกว่าหากสกุลเฉาไม่ต้องการจะมีความเกี่ยวข้องกับภูเขาลั่วพั่วใกล้ชิดเกินไป ภูเขาลั่วพั่วก็สามารถช่วยแนะนำให้อย่างลับๆ ส่งตัวลูกหลานสกุลเฉาไปยังสำนักกระบี่ไท่ฮุย ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงหรือไม่ก็สำนักพีหมาแห่งอุตรกุรุทวีป หรือจะให้ไปอยู่สำนักกระบี่หลงเซี่ยงแห่งทักษินาตยทวีปก็ยังได้
เฉาผิงวางจดหมายลับในมือลง ใช้นิ้วมือเคาะผิวโต๊ะ
เดิมทีสกุลเฉาก็เป็นสกุลนายพลเอกเสาค้ำยันแคว้น ประเด็นสำคัญคือยังมีทูตผู้ตรวจการที่ถือว่าเป็นตำแหน่งขุนนางบู๊ที่มีคุณูปการสูงส่งที่สุดอีกด้วย ตระกูลแห่งหนึ่งมีครบทั้งบุ๋นและบู๊ ถือว่าอยู่ตำแหน่งที่สูงที่สุดในวงการขุนนางแล้ว
นับแต่นี้ไปก็สามารถนอนหนุนหมอนสูงได้อย่างไร้กังวลแล้วหรือ? ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ ต่อจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นขั้นบันไดที่ทดสอบน้ำหนักแรงไฟในวงการขุนนางของสกุลเฉาอย่างแท้จริง หากไม่ระวังเพียงนิดก็ต้องแพ้ทั้งกระดาน สกุลเฉาคิดอยากจะอยู่อย่างสงบมั่นคง รักษาเกียรติและความมีหน้ามีตาที่ได้มาไม่ง่ายนี้เอาไว้ คำตอบไม่ได้อยู่ในราชสำนัก แต่อยู่บนภูเขา อีกทั้งมีเพียงบนภูเขาเท่านั้นด้วย
ดังนั้นกวนอี้หรานมอบจดหมายลับฉบับนี้มาให้จึงไม่ใช่การเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร แต่เป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะ คือโอกาสอันดีงามที่จะช่วยคลายวิกฤตเร่งด่วนให้กับพวกเขา
หากภายในเวลาสามร้อยปีในอนาคตมีลูกหลานสกุลเฉา รวมไปถึงตระกูลทั้งหลายที่พึ่งพาอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่อย่างสกุลเฉาที่อาศัยช่องทางต่างๆ ตามหาตัวอ่อนด้านการฝึกตนเจออย่างลับๆ แล้วทยอยกันไปเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดห้าหกคนในภูเขาลั่วพั่ว นี่จะหมายความว่าอะไร? นี่ก็หมายความว่าตระกูลหนึ่งได้แตกกิ่งก้านสาขาอยู่บนภูเขาแล้ว เมื่อเทียบกับการที่ลูกศิษย์ลูกหาในวงการขุนนางของราชสำนักผลิดอกออกผล หนึ่งโอรสสวรรค์หนึ่งขุนนางแล้ว (เปรียบเปรยว่าพอฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ขุนนางเก่าก็ต้องถูกผลัดเปลี่ยน) ความสัมพันธ์ควันธูปบนภูเขาที่สืบทอด แท้จริงแล้วดำรงอยู่แค่สามร้อยปีเสียที่ไหน? แน่นอนว่าเป็นการรับประกันที่ดีกว่ามาก ขอแค่จัดการกับกิจธุระบนภูเขาได้อย่างเหมาะสม สกุลเฉายังถึงขั้นสามารถเป็นฝ่ายถอยก้าวสองก้าวออกจากราชสำนักต้าหลีด้วยตัวเองได้ด้วยซ้ำ
เมื่อครั้งที่สกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้นให้บุตรอนุภรรยาในตระกูลแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับทายาทหญิงสายตรงของสกุลสวี่นครลมเย็น ก็คือเหตุผลเดียวกันนี้
ภูเขาลั่วพั่ว ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งเลื่อนเป็นตระกูลเซียนอักษรจง เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เฉาผิงย่อมต้องรู้อยู่แล้ว
ทว่าในจดหมายกลับยังพูดถึงสำนักอีกหลายแห่งนอกเหนือจากภูเขาลั่วพั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักกระบี่หลงเซี่ยงแห่งทักษินาตยทวีป
คนที่มอบจดหมายมาให้คือกวนอี้หราน นี่คือคนหนุ่มที่บนร่างแปะยันต์คุ้มกันกายในวงการขุนนางไว้เต็มตัว นับตั้งแต่อดีตฮ่องเต้จนถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ไปจนถึงกรมขุนนางต้าหลีที่ตลอดทั้งกรมเคยแซ่ ‘กวน’ มาก่อน หรือกระทั่งคนเฒ่าคนแก่เกินครึ่งในที่ว่าการของหกกรม ไม่ว่าจะบุ๋นหรือบู๊ก็ล้วนฝากความหวังไว้ที่กวนอี้หราน อีกทั้งยินดีจะมองอีกฝ่ายเป็นลูกหลานในตระกูลตนครึ่งตัว แน่นอนว่ารวมถึงตัวเฉาผิงเองด้วยที่เห็นดีเห็นงามในตัวกวนอี้หรานอย่างยิ่ง
รอกระทั่งเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งของศาลลมหิมะก็ยังบอกว่าคนผู้นี้เชื่อถือได้ ถ้าอย่างนั้นเฉาผิงก็มั่นใจได้แล้ว การค้าบนภูเขาครั้งนี้ สามารถทำได้อย่างเต็มที่
ผู้ถวายงานคนหนึ่งของต้าหลีมาเคาะประตูเบาๆ เฉาผิงขมวดคิ้วมุ่น เก็บจดหมายลับใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “เข้ามา”
ผู้ถวายงานสกุลซ่งที่มาจากเมืองหลวงเอ่ยเสียงเบาว่า “แม่ทัพเฉา ก่อนที่ข้าน้อยจะลงจากเรือ ฟังจากน้ำเสียงของรองเจ้ากรมดูเหมือนว่าการช่วยหนุนหลังให้ภูเขาตะวันเที่ยงจะเป็นความต้องการของไทเฮาต้าหลี พวกเราจากมาอย่างนี้จะดูไม่เหมาะสมหรือไม่”
ฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือน หรือไม่
เฉาผิงหัวเราะหยันในใจ คิดจะพูดจาภาษาขุนนางกับข้าผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ? พอราชครูจากไปก็กลับมาเล่นลูกไม้นี้อีกครั้ง?
เฉาผิงหยิบตำราพิชัยสงครามเล่มหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา ถามว่า “ใคร?”
ผู้ถวายงานคนนั้นแข็งใจตอบว่า “ไทเฮาเหนียงเนียง”
ผลคือเฉาผิงเพียงแค่หรี่ตาลงเล็กน้อย ยังคงทำสีหน้าไม่เข้าใจอยู่เหมือนเดิม
ทูตผู้ตรวจการคนหนึ่งที่เป็นดั่งเสาหินกลางกระแสน้ำท่ามกลางกองทัพม้าเหล็กต้าหลี เข้าใจหรือไม่เข้าใจ สามารถดูแค่ที่อารมณ์อย่างเดียวได้เลย แต่ผู้ถวายงานกลับไม่กล้าไม่เข้าใจ จึงไม่พูดอะไรให้มากความอีก เพียงแค่เอ่ยลาขอตัวจากไปอย่างระมัดระวัง
เฉาผิงเริ่มเปิดตำราพิชัยยุทธ สตรีผู้หนึ่งก็กล้ามาออกคำสั่งข้าอย่างนั้นหรือ?
นางคิดว่าตัวเองคือเทพสงครามซ่งจ่างจิ้งหรือว่าฮ่องเต้กันเล่า?
ยอดกระบี่ของยอดเขาอีเซี่ยน
ผู้ฝึกตนหญิงจากตรอกฮวามู่ทุกคนล้วนหน้าเผือดสี เพียงแต่ว่าพวกนางต่างก็ยังไม่กล้าออกไปจากลานกว้างของศาลบรรพจารย์โดยพลการ
เฉินผิงอันเดินไปที่หน้าประตูศาลบรรพจารย์ บอกกับจู๋หวงว่าจะไปต้อนรับบรรพจารย์ย้ายภูเขา หลังจากก้าวข้ามธรณีประตูไปแล้วก็ยืนอยู่ห่างจากเซียนเหรินที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณกระบี่ภูเขาตะวันเที่ยงที่ยืนอยู่หน้าประตูแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
จู๋หวงยังคงย่อยข้อมูลที่ไม่คาดฝันนั้นอยู่
ก่อนหน้านี้ระหว่างที่คนหนุ่มผู้นี้ดื่มชาได้พูดจาวางโตอย่างไม่ละอาย บอกว่าสามารถทำให้งานเฉลิมฉลองครั้งนี้กลายเป็นไม้ล้มลิงค่างแตกฝูงได้ หากเจ้าจู๋หวงไม่เชื่อล่ะก็ สามารถนั่งดื่มชาอยู่ที่นี่พลางรอดูไปด้วยได้
“ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้าไร้ศัตรูทัดทานอยู่ในทวีป กิจการยิ่งใหญ่ การสร้างสำนักเบื้องล่างก็มีแนวโน้มว่ากำลังจะเกิดขึ้น ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางและสกุลซ่งต้าหลีต่างก็ตอบตกลงกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครขวางได้ ข้าเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”
“แต่ข้ารับประกันได้ว่าข้าสามารถทำเรื่องหนึ่งได้ ทั้งหมดนี้จะเปลี่ยนมาเป็นไม่เกี่ยวข้องกับจู๋หวง วันหน้าทุกครั้งที่ลูกศิษย์ของภูเขาตะวันเที่ยงพูดถึงจู๋หวง อย่างมากสุดก็แค่เอ่ยชื่นชมคำหนึ่งว่าอดีตเจ้าสำนักเป็นบรรพจารย์ผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ มีคุณูปการใหญ่หลวง”
“เพราะในทำเนียบขุนเขาสายน้ำของภูเขาตะวันเที่ยง เจ้าสำนักและผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขา เจ้าสามารถเลือกได้แค่คนเดียว มีแค่คนเดียวที่จะรอดชีวิตได้”
เจ้าเด็กชั่วพูดจาสามหาว บังอาจกำแหงถึงเพียงนี้?!
ทว่าเมื่อได้เห็นเรือข้ามฟากจากไปลำแล้วลำเล่า จู๋หวงก็ยิ่งอกสั่นขวัญผวามากขึ้นทุกที
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อที่ม้วนไว้ให้คลายตัวลง เหลือบตามองไปทางยอดเขาสะพายกระบี่ เดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นถูกการออกกระบี่ของเฉาจวิ้นล่อให้ไปที่นั่นแล้ว
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยสั่งสอนเจ้าสำนักท่านหนึ่ง “เรื่องใหญ่ใจสงบ เรื่องเล็กใจมั่นคง มีเรื่องใจนิ่ง ไร้เรื่องใจผุดผ่อง จู๋หวง เจ้ายังฝึกอบรมจิตใจได้ไม่ดีพอนะ”
เงียบไปพักหนึ่ง เฉินผิงอันก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จู๋หวง ตัดสินใจได้แล้วหรือยัง? อีกเดี๋ยวหากหยวนเจินเย่ปรากฎตัวบนยอดกระบี่ก็จะถือว่าเจ้าปฏิเสธข้อเสนอของข้า เท่ากับว่าภูเขาตะวันเที่ยงตัดสินใจว่าจะร่วมเป็นร่วมตายไปพร้อมกับหยวนเจินเย่แล้ว”
จู๋หวงมีเพียงความเงียบงัน
คนชุดเขียวที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลในสายตาของจู๋หวงชี้ไปที่หัวของตัวเอง “รู้สึกว่าข้าดีแต่จะเล่นกับเจ้านี่ใช่หรือไม่?”
คนผู้นั้นถามเองตอบเอง “เป็นแค่วิธีการเล็กๆ น้อยๆ ปลายแถว ไม่มีค่าพอให้พูดถึงจริงๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ต่อจากนี้ข้าจะคืนหลักการเหตุผลที่ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้าถนัดใช้ที่สุดนับแต่เปิดขุนเขามาสองพันหกร้อยปีไปให้พวกเจ้าทั้งหมดเอง”
คนผู้หนึ่งเดินขึ้นเขามาเพียงลำพัง อันที่จริงจะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก เพราะในมือหลิวเสี้ยนหยางยังลากเซี่ยหย่วนชุ่ยที่บาดเจ็บสาหัสจนหมดสติมาด้วย
บนยอดกระบี่ของยอดเขาอีเซี่ยนนี่ สถานที่สำคัญอย่างศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยง เฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางมารวมตัวกันที่นี่
หลิวเสี้ยนหยางโยนเซี่ยหย่วนชุ่ยลงบนลานกว้างอย่างง่ายๆ มองเจ้าคนที่ยิ้มตาหยียืนอยู่หน้าประตูแล้วก็พูดกลั้วหัวเราะอย่างฉุนๆ “ครั้งหน้าที่ข้าผู้อาวุโสมาถามกระบี่อีก หากยังยอมเดินขึ้นเขาตามเจ้าบอก ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่เจ้าเลย!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าหาที่นั่งดื่มเหล้ารอไปก่อน จากนี้ถึงคราวที่ข้าต้องถามกระบี่บ้างแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่ง นั่งลงแล้วเริ่มดื่มเหล้ากินผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้าง
วานรเฒ่าชุดขาวรีบเร่งเดินทางมาที่ยอดเขาสะพายกระบี่ เรือนกายกระแทกลงพื้นดังโครม “เฉินผิงอัน! หลิวเสี้ยนหยาง!”
หลิวเสี้ยนหยางคำรามเดือดดาล “เอาชื่อของข้าผู้อาวุโสวางไว้ด้านหน้า!”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองจู๋หวงที่เพิ่งลุกขึ้นยืนอยู่ในศาลบรรพจารย์
จู๋หวงก้าวก้าวหนึ่งออกมาจากในศาล พูดด้วยสีหน้าซับซ้อน “หยวนเจินเย่ นับแต่วันนี้ไปเจ้าไม่ใช่ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงอีกแล้ว”
วานรเฒ่าชุดขาวแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม “จู๋หวง เจ้าลองพูดอีกทีสิ?!”
จู๋หวงกำลังจะเปิดปากพูด เฉินผิงอันที่ถอนสายตากลับมากลับโบกมือ “ช้าไปแล้ว”
คนชุดเขียวสะพายกระบี่หดย่อพื้นที่ กระบี่ยาวด้านหลังถูกชักออกจากฝักดังเช้ง พุ่งนำไปที่หน้าประตูภูเขาของยอดเขาอีเซี่ยนก่อนใคร
เฉินผิงอันที่ยืนอยู่ริมหน้าผาของยอดกระบี่ยังคงเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อตลอดเวลา มองไปยังวานรเฒ่าชุดขาว “เป็นผู้ถวายงานของเจ้าต่อไปนั่นแหละดีแล้ว”
ดีดปลายเท้าบาๆ หนึ่งที เฉินผิงอันเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ร่างก็เหมือนรุ้งยาวที่พุ่งจากไป วาดวงเส้นโค้งอยู่กลางอากาศ สุดท้ายเฉินผิงอันพลิ้วกายลงบนกระบี่ยาว ขี่กระบี่ไปหยุดลอยตัวที่หน้าประตูภูเขายอดเขาอีเซี่ยน
กลางอากาศเหนือยอดเขาหม่านเยว่มีร่างของผู้เฒ่าเรือนกายงองุ้มคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา สองมือไพล่อยู่ด้านหลัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จูเหลี่ยน ผู้ฝึกยุทธแห่งภูเขาลั่วพั่ว”
เหนือยอดเขาชิงอู้คือหญิงสาวผู้หนึ่ง นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ลูกศิษย์คนแรก ผู้ฝึกยุทธเผยเฉียน”
ทางฝั่งของยอดเขาสุ่ยหลงก็มีเด็กหนุ่มชุดขาวที่ทะยานลมลอยตัวขึ้นมา เขาหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจ ชุยตงซาน”
ถึงอย่างไรวันนี้เฉาฉิงหล่างก็ไม่อยู่ เพราะตอนนี้เจ้าเด็กนั่นยังไม่เหมาะจะเผยโฉม
ข้างกายเด็กหนุ่มชุดขาวมีแม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่ ในมือนางถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว นางเชิดหน้าขึ้นสูง เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแห่งภูเขาลั่วพั่ว โจวหมี่ลี่!”
บุรุษวัยกลางคนสวมชุดกว้าสีเขียวตัวยาวคนหนึ่งยืนอยู่เหนือยอดเขาเพียนเซียน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแห่งภูเขาลั่วพั่ว โจวเฝย”
เซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่รูปโฉมงามล้ำ เอ่ยแนะนำตัวเองเหนือยอดเขาฉงจือด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอบอุ่น “ผู้ถวายงานอันดับรอง ผู้ฝึกกระบี่หมี่อวี้”
ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของยอดเขาโปอวิ๋นและยอดเขาเพียนเซียนล้วนอึ้งค้างไร้คำพูด ภูเขาพีอวิ๋น เซียนกระบี่ อวี๋หมี่! พลังสังหารของคนผู้นี้รุนแรงอย่างมาก ยามฆ่าปีศาจเอะอะก็ฟันผ่าเอว บ้างก็ใช้แสงกระบี่ฟันแสกหน้า ในอดีตตอนที่อยู่บนสนามรบของนครมังกรเฒ่า การปรากฎตัวของเซียนกระบี่ผู้นี้เป็นรองแค่เฉาหรงเซียนจวินลัทธิเต๋าเท่านั้น
สตรีผู้หนึ่งที่โฉมงามพิลาส แต่สีหน้ากลับเย็นชา ยืนอยู่บนยอดเขาอวี่เจี่ยว เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ผู้ฝึกกระบี่ สุยโย่วเปียน”
เซียนกระบี่แห่งสำนักเจินจิ้งที่ออกกระบี่ไม่กลัวตายที่สุดบนสนามรบคนนั้น?! เหตุใดถึงกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาลั่วพั่วได้?
อาจารย์ผู้เฒ่าท่วงท่าสุภาพอ่อนโยนคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่จุดอื่น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ฝึกยุทธ จ้งชิว”
ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะเคยปรากฏตัวที่สนามรบของขุนเขาตะวันตก?
จูเหลี่ยน เผยเฉียน จ้งชิว ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสามคนของภูเขาลั่วพั่วล้วนทะยานลมหยุดลอยตัวกลางอากาศ
นี่หมายความว่าอย่างน้อยที่สุดคนทั้งสามก็น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล
“เผยเฉียนผู้นี้เคยใช้นามแฝงว่าเจิ้งเฉียน”
“เจิ้งเฉียนคนไหน?”
“ยังจะมีคนไหนได้อีก? ก็ผู้ฝึกยุทธหญิงที่ถามหมัดต่อเฉาสือสี่ครั้งอย่างไรล่ะ”
ไม่มีใครรู้สึกว่าการถามหมัดกับเฉาสือแล้วพ่ายแพ้ทั้งสี่ครั้งเป็นเรื่องที่น่าอายอะไร ตรงกันข้ามกลับยังทำให้คนรู้สึกเคารพนับถือจากใจจริง
ข้อแรก ไม่ใช่ว่าใครก็กล้าถามหมัดกับเฉาสือ ข้อสอง ไม่ว่าการถามหมัดของผู้ฝึกยุทธคนใดก็ตาม เฉาสือก็จะต้องรับหมัดของทุกคนงั้นหรือ? ข้อสาม เจิ้งเฉียนถามหมัดสี่ครั้ง เฉาสือถึงกับรับไว้ทุกครั้ง!
สตรีเรือนกายสูงใหญ่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย เอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้คุมกฎแห่งภูเขาลั่วพั่ว ฉางมิ่ง”
เด็กชายผมขาวที่เป็นเทวบุตรมารนอกโลกขอยืมเนื้อหนังมังสาของสือโหรวมาใช้ มันกลอกดวงตาทั้งคู่ไปมา เดิมทีก็เป็นสตรีที่งดงามคนหนึ่ง พอทำท่าทางอย่างนี้จึงดูเจ้าเล่ห์แสนกล เห็นเพียงว่านางพูดด้วยท่าทางห้าวเหิม “เถ้าแก่สือแห่งภูเขาลั่วพั่ว!”
วันนี้ค่อนข้างสำรวมแล้ว จึงแค่เผยโฉมต่อหน้าคนอื่นด้วยขอบเขตหยกดิบเท่านั้น
เฉินหลิงจวินหลุบตาลงมองยอดเขาสุ่ยหลงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า หัวเราะหยันเอ่ยว่า “จำไว้ว่า นายท่านใหญ่เช่นข้ามาจากภูเขาลั่วพั่ว แซ่เฉิน นามจิ่งชิง!”
เจียวน้ำขอบเขตก่อกำเนิดตัวหนึ่งที่บนร่างมีโชคชะตาน้ำเข้มข้นยืนอยู่กลางอากาศเหนือยอดเขาฉงจือ เพียงแค่บอกชื่อของตัวเอง “หงเซี่ย”
ดูเหมือนว่าหากนางพูดมากเกินกว่านี้สักคำหนึ่งก็คงนึกอยากจะขุดรูมุดหนีลงไปแล้ว
เจ้าแห่งแคว้นหูที่เดิมทีควรเป็นของนครลมเย็นก็ถึงกับปรากฏตัว บอกกล่าวชื่อแซ่ตัวเองด้วยท่วงท่าเปี่ยมเสน่ห์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องคลี่ยิ้มก็สามารถล่อลวงใจคนได้แล้ว นางเอ่ยเนิบช้าว่า “เพ่ยเซียงแห่งภูเขาลั่วพั่ว”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งที่มาเลือกลูกศิษย์ที่แจกันสมบัติทวีป อวี๋เยว่รู้สึกเพียงว่าวันนี้จะต้องแสดงฝีมือสักหน่อย จึงไม่ปิดบังปราณกระบี่บนร่างของตัวเองแม้แต่น้อย ขี่กระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศแล้วแผดเสียงหัวเราะดังลั่น “ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ วันนี้ใช้นามแฝงชั่วคราวว่าอวี๋เต้าเสวียน”
เค่อชิง? ไม่พอหรอก อย่างน้อยที่สุดต้องเริ่มต้นที่ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อ!
เว่ยจิ้นสัมผัสได้ถึงสายตาสายหนึ่งที่มองมาก็ได้แต่ถอนหายใจ ยืนอยู่ตรงราวรั้ว เอ่ยอย่างง่ายๆ ว่า “เค่อชิง เว่ยจิ้น”
ทางฝั่งของท่าเรือป๋ายลู่ แม่นางหน้ากลมรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ตนจะทำอย่างไรดี ให้บอกว่าอวี๋เชี่ยนเยว่แห่งร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวีหรือ? พอคิดอีกทีนางจึงไม่ได้ปรากฏตัว หักต้นอ้อต้นหนึ่งมา นั่งยองอยู่ริมน้ำของท่าเรือป๋ายลู่ เอาต้นอ้อเขี่ยน้ำเล่นอย่างเบื่อหน่าย หลิวเสี้ยนหยางคนหลอกลวง ต้าเซิ่งย้ายภูเขานั่นใช่ขอบเขตบินทะยานเสียเมื่อไหร่
ที่ท่าเรือป๋ายลู่มีสตรีสะพายกระบี่คนหนึ่งดีดปลายเท้าทะยานร่างหยุดลอยอยู่กลางอากาศ พูดด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “หนิงเหยาแห่งนครบินทะยาน”
ส่วนคนชุดเขียวที่เป็นเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วคนนั้น เวลานี้ก็ขี่กระบี่ลอยตัวอยู่ที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ภูเขาลั่วพั่วมาร่วมงานพิธี เจ้าสำนักเฉินผิงอัน เริ่มถามกระบี่”
——