กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 826.3 เจ้าสำนักไท่ซ่าง
เจียงซานหิ้วกาเหล้า ยกแขนขึ้นวาดเป็นวงกลมขนาดใหญ่ “ภูเขาตะวันเที่ยงในอดีตสามารถอาศัยการขยับขยายอย่างต่อเนื่องมามองเมินภัยแฝงมากมายที่ซ่อนอยู่ในจุดลึกได้ชั่วคราว ถึงขั้นที่ว่ามีโอกาสจะมองเมินพวกมันตลอดไป”
จากนั้นเจียงซานก็วาดวงกลมขนาดเท่าฝ่ามือ “แต่ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าจะหดมามีอาณาเขตเพียงเท่านี้แล้ว”
สุดท้ายเจียงซานใช้กาเหล้าในมือวาดวงกลมอีกวงหนึ่งระหว่างวงกลมเล็กและวงกลมใหญ่ “แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วจะใหญ่เท่านี้ ทว่าใจคนกลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีขนาดนี้ เดินไปยังทางสุดโต่ง เปลี่ยนจากการมองโลกในแง่ดีอย่างตามืดบอด ดวงตามองสูงไม่เห็นหัวใคร รู้สึกว่าภูเขาสายน้ำของทวีปล้วนเป็นสำนักของผู้ฝึกตนภูเขาตะวันเที่ยงบ้านตน กลายมาเป็นมองโลกในโง่ร้ายอย่างไม่ลืมหูไม่ลืมตาเช่นทุกวันนี้ ไม่เหลือกำลังใจอีกแม้แต่นิด ดังนั้นจึงได้แต่จ้องมองพื้นที่คับแคบห่างจากปลายเท้าไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น”
เจียงเซิงขมวดคิ้วมุ่น “ลำพังแค่ฟังท่านพูดก็ซับซ้อนขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นหากภูเขาลั่วพั่วลงมือทำขึ้นมาจะไม่ยิ่งซับซ้อนไปมากกว่านี้หรอกหรือ?”
เจียงซานยิ้มกล่าว “ลงมือทำแล้วจะซับซ้อนหรือไม่ ข้าเป็นแค่คนนอกคนหนึ่งไม่สะดวกจะวิจารณ์อะไร เพียงแต่ว่าปากพูดออกมาแล้วจะไม่ซับซ้อนจริงๆ หรือ?”
พูดง่ายๆ ก็คือการถามกระบี่ของเฉินผิงอันในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ กลับกันยังเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
การถามกระบี่ครั้งแรกต่อจากนี้ เจียงซานเดาว่าจุดที่เซียนกระบี่ชุดเขียวของภูเขาลั่วพั่วคนนั้นจะปล่อยกระบี่ก็คือตัวเลือกของเจ้าสำนักเบื้องล่างของภูเขาตะวันเที่ยง
เจียงเซิงบ่นไม่หยุด “แค่ฟังก็รำคาญจะแย่แล้ว”
“หลุบตามองจากที่สูง แก่นสำคัญโดยคร่าวและปัญหาต่างๆ แก้ตกไปตามกัน น้ำมาคูคลองก่อเกิด”
เจียงซานชี้ไปยังพื้นดินนอกหน้าผา มีสายน้ำไหลคดเคี้ยวเส้นหนึ่งที่ชื่อว่าลำธารแยนจือ ยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อภูเขาลั่วพั่วช่วยภูเขาตะวันเที่ยงขุดท้องน้ำสายหนึ่งขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นจากนี้ไปใจคนก็เหมือนน้ำไหล แน่นอนว่าจะไหลมารวมกัน คนที่เดินเดินเข้าไปด้านในโดยที่ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย”
เจียงซานพลันลุกขึ้นยืน ประสานมือคำนับไปทางศาลา ยิ้มถามว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ไม่ทราบว่าความเห็นตื้นเขินนี้ของข้ามีที่ใดที่กล่าวผิดไปหรือไม่?”
เฉินผิงอันที่จากไปแล้วย้อนกลับมายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ล้วนถูกหมด ไม่มีช่องโหว่ใหญ่อะไร แต่ไม่ได้ลี้ลับสูงส่งอย่างที่วิญญูชนเจียงกล่าวถึง ในสายตาของข้า รากฐานของความรู้ในใต้หล้านี้ก็มีแค่คำว่า ‘ทนความรำคาญได้’ เท่านั้น”
เจียงซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าพร้อมยิ้มบางๆ “ความเห็นของเจ้าขุนเขาเฉินไม่เหมือนใคร พูดได้กระชับเข้าใจง่ายกว่าข้ามากนัก ตรงเป้าในคำเดียว”
เฉินผิงอันรู้ว่าคนผู้นี้กำลังรอคอยตนอยู่
ถ้าอย่างนั้นก็มาพบเจ้าประมุขสกุลเจียงอวิ๋นหลินในอนาคตผู้นี้เสียหน่อย
ในใจเจียงเซิงตะลึงพรึงเพริด หันขวับกลับมาก็เห็นแขกไม่ได้รับเชิญที่จากไปแล้วหวนกลับมาอีกครั้ง
ภูเขาตะวันเที่ยงช่างซวยซ้ำซวยซ้อนเสียจริง ดันมาเจอกับผีตอแยยากที่วิญญาณไม่แตกสลายผู้นี้
เห็นเพียงว่าใบหน้าของคนผู้นั้นมีรอยยิ้ม เดินขึ้นบันไดมาช้าๆ เจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่ว อิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนี้เปลี่ยนชุดใหม่ บนศีรษะสวมกวานดอกบัวที่ล้ำขอบเขตของระบบลัทธิเต๋า ด้านนอกสวมชุดคลุมเต๋าผ้าโปร่งสีเขียว สวมรองเท้าผ้า ในมือถือประคองหลิงจือหยกขาว ปราณเต๋าล่องลอย โชคชะตาน้ำอยู่ติดร่าง คำว่ามาดแห่งเซียนที่เอ่ยถึงในนิยายล่างภูเขาก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง
แยกกันนั่งลงในศาลาเรียบร้อย เจียงซานก็ยิ้มถามว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน หากไม่ฆ่าหยวนเจินเย่จะดีกว่านี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าว “หากพูดถึงแค่ผลลัพธ์ย่อมดียิ่งกว่า แต่ท่ามกลางรายละเอียดมากมายจะทำอะไรก็มิอาจไม่เลือกขั้นตอนเพียงแค่เพราะผลลัพธ์สุดท้ายนั้นถูกต้องได้ ควบคุมใจคน เอาใจคนมาเล่นอยู่ในฝ่ามือ ต่อให้ผลลัพธ์เหมือนกัน แต่ขั้นตอนสองอย่างกลับมีความแตกต่าง เมื่อเทียบกับเจตจำนงเดิมแล้วยิ่งต่างกันราวฟ้ากับเหว วิญญูชนเจียงคิดเช่นไร?”
ไม่ฆ่าหยวนเจินเย่ ทิ้งเรื่องไม่คาดฝันที่ใหญ่มากไว้ให้กับภูเขาตะวันเที่ยง อันที่จริงเฉินผิงอันสามารถทำเรื่องนี้ได้ ถึงขั้นที่ว่าทำได้อย่างผีไม่รู้เทพไม่เห็น ตอนนั้นที่อยู่บนยอดเขาสะพายกระบี่ แค่เรียกนกในกรงออกมาเล่มเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว
เจียงซานพยักหน้าเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ใช่แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นเหล้าภูเขาชิงเสินที่ร้านเหล้าบ้านตนหมักขึ้นเองไปให้ “ไม่ใช่เหล้าดีอะไร ราคาก็ไม่แพง เพียงแต่ว่าที่ข้ามีเหลืออีกไม่มากแล้ว ดื่มกาหนึ่งก็ลดน้อยลงไปกาหนึ่ง”
เจียงซานเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ รับกาเหล้ามาจิบหนึ่งอึก แล้วก็ดื่มอีกอึก สุดท้ายเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่ารสชาติจะธรรมดา”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นั่นต้องเป็นเพราะว่าวิญญูชนเจียงดื่มน้อยเกินไป”
เจียงซานเปลี่ยนเรื่องคุย “เจ้าขุนเขาเฉิน เหตุใดไม่ป่าวประกาศเรื่องในอดีตของหยวนเจินเย่ที่เขากระทำการป่าเถื่อนอำมหิตขนาดไหน สังหารผู้บริสุทธิ์พร่ำเพื่ออย่างไรให้คนทั้งทวีปรู้? เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะได้ลดคำด่าจากคนที่ไม่รู้ความจริงบนภูเขาไปได้ ต่อให้จะเลือกแค่เรื่องที่ตื้นเขินที่สุด ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นระหว่างที่หยวนเจินเย่เคลื่อนย้ายขุนเขาที่ปริแตกสามลูกถึงขั้นคร้านจะแจ้งชาวบ้านในราชสำนักของท้องถิ่น สุดท้ายก็ทำให้คนตัดฟืนบนภูเขาพวกนั้นต้องตายอยู่ในภูเขาอย่างอยุติธรรม”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ยิ้มกล่าว “ต่อให้รู้ความจริง อะไรที่ควรด่าก็ยังต้องด่าอยู่ดีไม่ใช่หรือ แล้วนับประสาอะไรกับพวกผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ไม่รู้ความจริง ขวางไม่อยู่หรอก ภูเขาลั่วพั่วพูดง่ายเกินไป ใช้เหตุผลกับทุกเรื่อง รักษากฎระเบียบ ด่าน้อยเกินไป คนบางคนก็ไม่กลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง ภูเขาลั่วพั่วพูดยาก ด่าลับหลังมากหน่อย กลับกลายเป็นว่าไม่กล้ามาหาเรื่องพวกเขา ในเมื่อไม่อาจสมบูรณ์พร้อมได้ทุกด้าน ก็เลือกเอาเรื่องที่ทำได้จริง คว้าเอาผลประโยชน์ที่จับต้องได้มาดีกว่า”
เจียงซานคิดแล้วก็เอ่ยว่า “มีเหตุผล”
วิญญูชนของลัทธิขงจื๊อท่านนี้วางเหล้าในมือลง นั่งตัวตรงอย่างสำรวม เผชิญหน้ากับเจ้าขุนเขาหนุ่มแล้วคลี่ยิ้มบางๆ “หากปล่อยให้ภูเขาตะวันเที่ยงลุกผงาดขึ้นมาทีละก้าว สุดท้ายกลายมาเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งวิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีปพวกเรา อย่างน้อยที่สุดในสายตาข้าก็คือเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้า”
เจียงเซิงสีหน้ากระอักกระอ่วน ถึงอย่างไรนางก็ยังหน้าบาง พี่ชายดื่มเหล้าเลยลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าเป็นสกุลเจียงอวิ๋นหลินของพวกเราที่ช่วยให้เรื่องก่อตั้งสำนักเบื้องล่างของภูเขาตะวันเที่ยงได้รับการอนุมัติจากศาลบุ๋น
เฉินผิงอันเหลือบตามองสะใภ้ตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าที่ ‘ร่างกายอ้วนฉุ’ ผู้นี้ด้วยความประหลาดใจ เจียงซาน เจียงอวิ้นล้วนฉลาดมาก แต่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงสตรีผู้นี้ที่ไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไร?
เรื่องที่สนับสนุนให้ภูเขาตะวันเที่ยงสร้างสำนักเบื้องล่าง แน่นอนว่าสกุลเจียงอวิ๋นหลินย่อมมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง แต่กลับไม่ถึงขั้นลำเอียงเกินไป เพราะตอนนี้ภูเขาตะวันเที่ยงยังไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวศาลบุ๋นจะยกทัพไปโจมตีใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จึงตั้งเงื่อนไขว่าทางฝั่งของภูเขาตะวันเที่ยงจำเป็นต้องนำตัวผู้ฝึกกระบี่ ‘จำนวนเพิ่มเติม’ ออกมาในปริมาณที่เหมาะสม ให้เร่งรุดเดินทางไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บวกกับที่จำนวนที่สกุลซ่งต้าหลีกำหนดไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ฝึกกระบี่ของยอดเขาต่างๆ ของภูเขาตะวันเที่ยงมีคนสองกลุ่มลงจากภูเขาไป อันที่จริงก็เหลือคนอีกแค่ไม่เท่าไรแล้ว อีกทั้งการเดินทางไกลเพื่อไปออกกระบี่ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เด็ดขาด ไปถึงท่าเรือทั้งหลายที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แม้แต่กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีก็ยังต้องฟังคำสั่ง ต่อให้ภูเขาตะวันเที่ยงจะคิดอยากจ่ายเงินฟาดเคราะห์แค่ไหนก็ยากแล้ว
ดังนั้นเจียงซานเอ่ยเช่นนี้ แสดงความไม่พอใจที่มีต่อภูเขาตะวันเที่ยงออกมาอย่างเปิดเผยย่อมไม่มีปัญหาอะไร เจียงเซิงผู้นี้ไม่จำเป็นต้องใจฝ่อ
แต่หากไม่มีการถามกระบี่ในวันนี้ ด้วยความสามารถในการรักษาชีวิตรอดของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงก็สามารถเอาละครเรื่องเก่ากลับมาแสดงใหม่ได้อีกครั้ง ใช้การออกกระบี่และใช้ชีวิตของผู้ฝึกกระบี่บนยอดเขาทั้งหลายอย่างยอดเขาโปอวิ๋น ยอดเขาเพียนเซียนช่วยช่วงชิงชื่อเสียงและผลประโยชน์มาให้กับยอดเขาอีเซี่ยน
เจียงซานรู้ความจริงเกี่ยวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มากกว่าเจียงเซิงที่ออกเรือนไปไกลถึงนครมังกรเฒ่า
ศึกล่างหัวกำแพงเมืองครั้งนั้น ออกกระบี่สังหารหลีเจินแทนหนิงเหยา
การล้อมสังหารที่กระโจมเจี่ยเซินวางแผนขึ้นอย่างตั้งใจ จู๋เชี่ย หลีเจิน อวี่ซื่อ จวินทาน หลิวป๋าย ผู้ฝึกกระบี่มากพรสวรรค์ทั้งห้าคนที่ทั้งการสืบทอด โชควาสนาและคุณสมบัติล้วนไม่ขาดแคลนเหล่านี้ ล้วนเป็นคนที่ติดอันดับร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ทั้งสิ้น ผลคือเฉินผิงอันไม่เพียงหลุดพ้นวงล้อมมาได้สำเร็จ ยังแว้งกลับไปสังหารหลิวป๋ายได้ด้วย
ใต้โซ่วเฉินเหนืออิ่นกวาน
ผู้นำสายอิ่นกวาน นั่งบัญชาการณ์คฤหาสน์หลบร้อน เท่ากับว่าช่วงชิงเวลาประมาณสามปีมาให้ใต้หล้าไพศาล ในระดับใหญ่แล้วถือว่ารักษาเมล็ดพันธ์ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานเอาไว้ได้ เป็นเหตุให้นครบินทะยานเป็นไม้เด่นเกินไพรอยู่ในใต้หล้าห้าสี บุกเบิกแผ่นดินได้มากกว่ากองกำลังของฝ่ายอื่น
ได้ยินมาว่าทุกวันนี้เจ้าของภูเขาทัวเยว่ เฝ่ยหรานที่เป็นผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างในนามยังเคยเล่นงานเฉินผิงอันบนสนามรบโดยเฉพาะด้วย
เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองอย่างเดียวดายนานหลายปี คุมเชิงอยู่กับปีศาจใหญ่บนบัลลังก์อย่างหลงจวิน
เป็นเหตุให้การประชุมในศาลบุ๋นคราวนั้น ได้ยินเจ้าประมุขที่กลับบ้านเกิดมายิ้มเล่าให้ฟังว่า สองใต้หล้าที่คุมเชิงกันในเวลานั้น ปีศาจใหญ่ที่เปิดปากเอ่ยหยอกล้อเฉินผิงอันมีเยอะมาก
เล่าลือกันว่าโจวชิงเกาที่อยู่ในตำแหน่งสูง เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของโจวมี่มหาสมุทรความรู้ แต่กลับหวังมาโดยตลอดว่าจะได้ทบทวนกระดานหมากร่วมกับเฉินผิงอัน น่าเสียดายที่ความปรารถนานี้มิอาจเป็นจริง
เจียงซานคิดว่าตัวเองอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบคนวัยเดียวกันตรงหน้านี้ได้ติด
นอกจากปีนั้นที่ขอบเขตของอิ่นกวานไม่พอ จึงไม่สามารถสังหารปีศาจขอบเขตบินทะยานกับมือตัวเองบนสนามรบแล้วแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงได้แล้ว
ดูเหมือนว่าคนวัยเดียวกันที่มีชาติกำเนิดจากแจกันสมบัติทวีปเหมือนกันผู้นี้จะทำเรื่องทุกอย่างที่นอกเหนือจากนั้นมาหมดแล้ว
แต่ในความเป็นจริงเจียงซานก็รู้ชัดเจนดีว่า บนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปในอนาคตก็จะยังมีคนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่ต่อให้รู้ข่าวและเรื่องวงในพวกนี้ ก็ยังจะรู้สึกว่าปีนั้นเฉินผิงอันไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบด้วยซ้ำ คู่ควรเป็นอิ่นกวานด้วยหรือ? คู่ควรให้ผู้ฝึกกระบี่ของไพศาลเคารพนับถือด้วยหรือ?
มีคนรู้สึกว่าผู้แข็งแกร่งทำอะไรก็ถูกทั้งหมด ต่อให้จะเป็นคนที่ถูกผู้แข็งแกร่งเหยียบย่ำก็ตาม
มีคนรู้สึกว่าผู้แข็งแกร่งทำอะไรก็ผิดไปหมด ต่อให้จะเป็นคนที่ถูกผู้แข็งแกร่งปกป้องก็ตาม
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ มองออกไปด้านนอก ราวกับว่าหลังจากมรสุมผ่านไป ภูเขาเขียวยังคงอยู่ ก้อนเมฆและสายน้ำก็ยิ่งปลอดภัย เงียบไปพักหนึ่งก็หันหน้ามายิ้มเอ่ย “เจียงซาน สกุลเจียงอวิ๋นหลินของพวกเจ้า หรือควรจะพูดว่าตัวเจ้าเอง เคยสนใจที่จะเป็นเจ้าสำนักไท่ซ่างเบื้องหลังภูเขาตะวันเที่ยงบ้างหรือไม่?”
เจียงซานส่ายหน้าด้วยความเสียดายเล็กน้อย “ถึงอย่างไรนั่นก็มิใช่การกระทำที่วิญญูชนสมควรทำ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางพยักหน้า “ยังดีที่ข้าไม่ได้เป็นแม้แต่นักปราชญ์ของสำนักศึกษา”
เจียงซานลุกขึ้นตาม ถามว่า “เจ้าขุนเขาเฉินจะลงมือทำเองหรือ? ทางฝั่งศาลบุ๋นจะมีความคิดเห็นหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเป็นบัณฑิตอย่างแท้จริง ทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก”
เจียงซานถามหยั่งเชิง “ตัวเลือกเจ้าสำนักเบื้องล่างของภูเขาตะวันเที่ยงคือหยวนป๋ายที่ยังไม่ถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบขุนเขาสายน้ำอย่างเป็นทางการ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เดิมทีข้าจะแนะนำคนผู้หนึ่งให้เจ้าสำนักจู๋หวง ให้หลิวจื้อเม่าผู้ถวายงานอันดับรองของสำนักเจินจิ้งเปลี่ยนสำนัก มาเป็นเจ้าสำนักเบื้องล่าง แน่นอนว่าต้องยากมาก ไม่แน่ว่าอาจต้องแตกหักกับจู๋หวง เทียบกับลงมือต่อยตีกันรุนแรงแล้วก็เห็นได้ชัดว่าความเห็นของวิญญูชนเจียงดีกว่า”
เจียงซานทำหน้าอึ้งตะลึง ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน แบบนี้ไม่มีคุณธรรมแล้วนะ”
เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าว “เจียงซาน สหายอย่างเจ้า ข้าจะคบหาด้วยแน่แล้ว! ต้องเป็นสหายที่ช่วยทักท้วงตักเตือนกันได้แน่นอน”
เจียงเซิงไม่มีจังหวะให้พูดแทรกจึงได้แต่นั่งฟังคนทั้งสองพูดคุยกัน นางในเวลานี้ ก่อนหน้านั้นตนแค่รู้สึกคันมือจึงรับกระบี่บินส่งข่าวเล่มนั้นมา ทว่าพี่ชายท่านกลับร้ายกาจยิ่งกว่า รู้แต่แรกแล้วว่าคนผู้นี้เป็นอย่างไรยังจะดื่มเหล้า ยังจะพูดคุยกับเขาอีก ทีนี้ดีแล้วล่ะสิ? จะยัง ‘ใช่แล้วก็ไม่ใช่’ อีกหรือไม่?
เจียงซานกวาดตามองไปรอบด้าน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะจู๋หวงกลับไม่ได้ปรากฎตัวในบริเวณใกล้เคียงกับศาลาอย่างในการคาดการณ์ของเขา ดูท่าแล้วอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้นับว่ายังมีคุณธรรมอยู่บ้าง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วิญญูชนเจียงคิดแบบนี้ไม่มีคุณธรรมแล้วนะ”
เจียงซานกุมหมัดเอ่ยขอตัวลา ไม่พูดอะไรมากอีกแม้แต่ประโยคเดียว เพียงแต่ยังไม่ลืมหิ้วเหล้ากานั้นไปด้วย เดินออกมาจากศาลากูอวิ๋นไกลมากแล้ว เจียงซานถึงได้หันหน้ากลับไปมองแวบหนึ่ง ในศาลาไร้เงาร่างของผู้ใด แบบนี้มีคุณธรรมอย่างมาก ราวกับว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่ายก็เพียงแค่เพื่อพูดคุยเรื่องนอกหัวข้อสนทนาสองสามประโยคเท่านั้น
นอกยอดเขาชิงอู้ ข้างท่าเรือป๋ายลู่ ในหอกั้วอวิ๋น หนีเยว่หรงที่เพิ่งจะกลับโรงเตี๊ยมมาด้วยอาการขวัญกระเจิงยังไม่ทันคืนสติก็ต้องอึ้งงันไร้คำพูดไปอีกรอบ นางเหม่อมอง ‘นักพรตหนุ่ม’ ที่สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะคนนั้น มาอีกแล้วหรือ?!
เฉินผิงอันเข้ามาอยู่ในห้องอักษรเจี่ยอีกครั้ง จากนั้นก็รอคอยให้จู๋หวงประชุมจบแล้วมาหาเขาหลังจากได้ข่าว
นอนหลับตาทำสมาธิ อาบแดดอยู่บนเก้าอี้หวาย ลืมตาหันหน้าไปมองก็เหมือนมองเห็นคนโง่คนหนึ่งที่ถึงกับปั้นตุ๊กตาหิมะขึ้นมาในหน้าร้อนจริงๆ เสียด้วย
——