กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 830.1 คนเก่าเรื่องเก่าที่ระเบียงบ้านเกิด
เถ้าแก่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้ว กิจการของโรงเตี๊ยมดี แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเหลือห้องแค่ห้องเดียว ผู้เฒ่าก็แค่ถูกชะตากับบุรุษสวมชุดเขียวที่สะพายกระบี่ออกท่องยุทธภพเท่านั้น เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน สีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร ไม่เหมือนพวกคนที่ชอบหาเรื่อง จึงอยากจะช่วยเขาสักหน่อย แต่ไม่อาจช่วยเปล่าๆ ได้ ตอนที่เรียกราคาจึงเพิ่มเงินไปอีกสองสามตำลึง ถึงอย่างไรเถ้าแก่ก็ยังกลัวว่าจะถูกด่า ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้ายจึงส่งสายตาไปให้ก่อน ดูว่าอีกฝ่ายจะรับน้ำใจหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นั้นจะส่งสายตากลับมาทันที ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย โอ้โห มองไม่ออกเลยว่าจะเป็นคนมีประสบการณ์ในยุทธภพเหมือนกัน
เถ้าแก่รับเศษเงินมา ล้วนเป็นเงินทางการต้าหลีที่ใช้ได้ทั้งทวีป หลังจากเอาวางลงบนตาชั่งก็ตัดมุมขอบออก ทอนกลับไปให้บุรุษคนนั้นเล็กน้อย จากนั้นผู้เฒ่าก็รับเอกสารผ่านด่านสองฉบับมา ยกพู่กันจดบันทึก หากทางที่ว่าการต้องการตรวจสอบบัญชีบันทึกแล้วไม่ตรงกัน ก็ต้องไปกินข้าวแดงในคุก ผู้เฒ่าเหลือบตามองบุรุษแล้วก็ทอดถอนใจอยู่ในใจ ทองหมื่นชั่งซื้อตำแหน่งขุนนางได้ แต่จะไปหาซื้อความเยาว์วัยจากที่ใด เป็นคนหนุ่มนี่ช่างดีจริงๆ เรื่องบางอย่างไม่มีทางมีใจแต่ไร้กำลัง
คำโบราณกล่าวไว้ว่าความงามกลืนกินความเยาว์ เพียงแต่ว่าบุรุษชุดเขียวตรงหน้า มองดูแล้วอายุก็ไม่น้อยแล้ว อยู่ในวัยประมาณสามสิบปีกระมัง? ทำไมถึงยังเหมือนลูกนกหัดบินอยู่เลย? คงไม่ใช่ว่ามาจากพรรคหนึ่งในยุทธภพ ชื่อเสียงไม่โด่งดังมากพอ เลยเอาแต่สนใจเรื่องฝึกปรือพละกำลัง เล่าเรียนวิชายุทธให้มีฝีมือติดตัวก็เลยไม่ทันได้หาภรรยา?
ชายหญิงแห่งยุทธภพที่มองดูเหมือนออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลคู่นี้ ในเอกสารผ่านด่าน ภูมิลำเนาของทั้งสองล้วนอยู่ที่อำเภอไหวหวงเขตชิงสือจังหวัดหลงโจวต้าหลี เฉินผิงอัน หนิงเหยา
ในเมื่อเป็นคนท้องถิ่นของต้าหลีกันเอง ผู้เฒ่าก็ยิ่งมีสีหน้าเมตตาปราณีมากกว่าเดิม ตอนที่ยื่นเอกสารผ่านด่านคืนไปให้ก็อดไม่ไหวยิ้มถามว่า “ในเมื่อมาจากจังหวัดหลงโจวก็ไม่ใช่ว่าแค่เงยหน้าก็สามารถมองเห็นภูเขาพีอวิ๋นของซานจวินใหญ่เว่ยแล้วหรอกหรือ? นั่นคือสถานที่ที่ดีเลยนะ ข้าได้ยินสหายเล่าให้ฟังว่า ดูเหมือนจะมีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าเมืองหงจู๋ แม่น้ำสามสายไหลมารวมกัน เป็นสถานที่ฮวงจุ้ยมงคล ขอให้การสอบเคอจวี่ราบรื่นจากนายท่านเทพวารีแม่น้ำชงตั้น หรือไม่ก็ขอวาสนาชีวิตคู่จากเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ล้วนศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้ ครั้งนี้พวกเรากลับไปถึงบ้านเกิดแล้วก็ต้องไปเที่ยวดูเสียหน่อย”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าเป็นคนคุยเก่ง พอได้ยินอย่างนี้ก็ถูกกระตุ้นนิสัยชอบคุยขึ้นมาทันที ถึงกับไม่รีบร้อนมอบกุญแจห้องให้ ยืนเอียงตัวพิงโต๊ะคิดเงิน ใช้นิ้วผลักถั่วลิสงจานหนึ่งไปให้บุรุษ ยิ้มเอ่ยว่า “ได้ยินว่าจังหวัดหลงโจวของพวกเจ้า นอกจากภูเขาพีอวิ๋นของนายท่านเว่ยแล้วยังมีศาลแห่งขุนเขาสายน้ำอยู่หลายแห่ง แล้วยังมีท่าเรือเทพเซียนแห่งหนึ่งด้วย ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าจะไม่ได้เห็นนายท่านเทพเซียนเดินทางกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเลยหรือ? แต่ที่เมืองหลวงนี่ไม่เป็นอย่างนั้น ทางการควบคุมเข้มงวด พวกเทพเซียนบนภูเขาล้วนไม่กล้าบินไปบินมาในสายลมในก้อนเมฆกันเลย”
ทั้งๆ ที่ชมจังหวัดหลงโจว แต่สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ผู้เฒ่าก็ยังคงชมเมืองหลวงต้าหลีที่ตัวเองเกิดและเติบโตมาอยู่ดี
เฉินผิงอันมองชั้นวางสมบัติด้านหลังโต๊ะคิดเงิน เห็นว่าด้านบนนั้นวางเครื่องกระเบื้องน้อยใหญ่เอาไว้ก็พยักหน้ายิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าจังหวัดหลงโจวไม่อาจเทียบกับเมืองหลวงได้ ที่นี่กฎเกณฑ์เข้มงวด เป็นสถานที่มังกรหมอบพยัคฆ์ซ่อน เพียงแต่ว่าไม่ค่อยสะดุดตานัก ใช่แล้ว เถ้าแก่ท่านชอบเครื่องกระเบื้องมากเลยหรือ?”
ดวงตาผู้เฒ่าสว่างวาบ เจอกับผู้เชี่ยวชาญเข้าแล้ว? ผู้เฒ่าจึงกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ข้ามีเครื่องกระเบื้องที่เป็นสมบัติพิทักษ์ร้านอยู่ชิ้นหนึ่ง คนที่เคยเห็นล้วนบอกว่าเป็นของเก่าแก่มีอายุนับร้อยปี มาจากเตาเผาทางการของจังหวัดหลงโจวพวกเจ้านั่นแหละ ถือว่าเก็บตกของดีมาได้ ปีนั้นจ่ายเงินไปแค่สิบกว่าตำลึงเงินเท่านั้น สหายบอกว่าเป็นของชั้นยอดที่แค่มองก็รู้ว่าเป็นของจริง ให้ราคาข้าตั้งสองร้อยตำลึงเงิน ข้าไม่ขาดเงินเลยไม่ขาย เจ้าเข้าใจหรือไม่? ช่วยดูให้หน่อยได้ไหม? ก็คือแจกันลายดอกไม้เคลือบสีพื้นชมพูขาวใบนั้นน่ะ เป็นแจกันวาดภาพคนแล้วเขียนอักษรมงคลแปดตัวที่ค่อนข้างหาได้ยาก”
เถ้าแก่ยกมือทำท่าวัดระดับความสูง บอกว่าแจกันดอกไม้สูงประมาณครึ่งตัวคน
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ต้องไม่ถึงร้อยปีแน่นอน อย่างมากสุดก็แค่สี่สิบปี ตอนปีหยวนโซ่วมีการเผาเครื่องกระเบื้องชิ้นใหญ่ที่เขียนอักษรมงคลจริง จำนวนไม่มาก ของชิ้นใหญ่เช่นนี้หากอิงตามกฎเก่าแก่ของเตาเผามังกรในปีนั้น หากทำออกมาได้ไม่ดีจะต้องถูกทุบทิ้งทั้งหมด นอกจากขุนนางของจวนผู้ตรวจการแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ได้เห็นชิ้นที่สมบูรณ์ครบถ้วน ส่วนชิ้นที่ดีหน่อย แน่นอนว่าได้แต่เอาไปวางไว้ในนั้นแล้ว…”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้ไปทางวังหลวงพร้อมรอยยิ้ม
ผู้เฒ่าทอดถอนใจ ดูท่าคงจะเสียเงินเปล่าซะแล้ว คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะคีบถั่วลิสงขึ้นมาจากจานใบเล็กเคี้ยวเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เครื่องกระเบื้องแบบยืน (หมายถึงของที่วางในแนวตั้งลักษณะเหมือนการยืน ไม่จำเป็นต้องใช้ของภายนอกมาประคองก็สามารถตั้งยืนได้อย่างมั่นคง ยังมีการแบ่งออกเป็นเครื่องกระเบื้องแบบนั่งและแบบนอนด้วย) ชิ้นใหญ่ขนาดนี้มีมูลค่ามากกว่าเครื่องกระเบื้องแบบนั่งและแบบนอนมากแล้ว แล้วยังเป็นแจกันที่วาดรูปคนซึ่งเป็นขั้นสูงด้วยแล้ว ภาพดอกไม้หรือสัตว์ไม่อาจเทียบได้ อีกทั้งยังเป็นแจกันของเตาทางการที่มีอักษรแปดตัวก็ยิ่งหาได้ยาก โดยทั่วไปแล้วจะมีตัวอักษรแค่สี่หรือหกตัวเท่านั้น หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ในเตาเผามังกรทุกแห่งเคยเผาแค่สามปีเท่านั้น ทุกวันนี้ก็มีของเลียนแบบทางการอย่างใหม่ผลิตออกมา แต่พวกช่างผู้เฒ่าทั้งหลายของเตามังกร หลายปีที่ผ่านมานี้คนที่ตายก็ตายไป หรือถ้ายังอยู่ก็ล้วนอายุมากแล้ว มีแต่พวกศิษย์ลูกศิษย์หลานเท่านั้นที่เป็นคนทำแทน บวกกับที่เปลี่ยนจากเมื่อก่อนที่เผาแค่เครื่องบรรณาการส่งไปไว้ในวังหลวงมาเป็นเตาเผาทางการที่ลดระดับลงมาเหลือระดับธรรมดาทั่วไป ดังนั้นฝีมือการเผาเครื่องปั้นจึงไม่เหมือนในอดีต ของเถ้าแก่ชิ้นนี้ ทั้งปีทั้งสีเคลือบและตัวอักษรล้วนถูกต้อง บวกกับที่ปีนั้นข้าได้ยินมาว่า แค่เคยได้ยินมานะ ของชิ้นใหญ่ธรรมดาทั่วไปที่เผาสำเร็จในจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาของปีนั้นก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่พลัดหลงไปอยู่ในตระกูลใหญ่ของหมู่ชาวบ้าน แน่นอนมีความเป็นไปได้มากกว่าที่เป็นช่างผู้เฒ่าบางคนที่พอออกจากเตาเผามังกรแล้วก็ได้หลอมของเลียนแบบทางการขึ้นเป็นการส่วนตัว ของที่เป็นเช่นนี้ก็มีมูลค่ามากเหมือนกัน หากไม่ผิดไปจากที่คาด สมบัติพิทักษ์ร้านของเถ้าแก่ชิ้นนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีมูลค่าเท่านี้”
ผู้เฒ่ามองฝ่ามือข้างนั้น เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “ขายได้ห้าร้อยตำลึงเงินเลยหรือ?!”
เฉินผิงอันยิ้มไม่พูดอะไร อันที่จริงอะไรที่ควรพูดเขาล้วนพูดไปหมดแล้ว ส่วนเรื่องจริงเรื่องโกหก ไม่สำคัญเลยสักนิด ถึงอย่างไรอะไรที่ควรฟัง เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่ฉลาดเฉลียวผู้นี้ก็ล้วนฟังเข้าหูหมดแล้ว
ผู้เฒ่าพลันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ในเมื่อมีมูลค่าห้าร้อยตำลึงเงิน ถ้าอย่างนั้นข้าจะขายให้เจ้าในราคาสามร้อยตำลึงเงินดีไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เถ้าแก่ ท่านว่าข้าเหมือนคนที่มีเงินมากขนาดนั้นเลยหรือ? อีกอย่างเถ้าแก่ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นคนที่ไหน?”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ ยกนิ้วโป้งให้บุรุษผู้นั้น
หนิงเหยามองเจ้าคนที่เพิ่งพบเจอกับคนอื่นเป็นครั้งแรกก็พูดคุยกับคนเขาได้อย่างถูกคอ
เข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม เจอคนพูดภาษาคนเจอผีพูดภาษาผี ไม่ว่ากับใครก็คุยกับเขาได้หมดจริงๆ
หากยังคุยกันแบบนี้ต่อไป คาดว่าคงทำให้เถ้าแก่ยกเหล้าออกมา สุดท้ายแม้แต่เงินค่าห้องก็ยังจะคืนกลับมาให้ด้วยกระมัง?
เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน ถามชวนคุยเถ้าแก่ผู้เฒ่าว่า “ช่วงนี้ที่เมืองหลวงมีเรื่องสนุกอะไรให้ดูหรือไม่?”
เมืองหลวงแห่งนี้ไม่เคยขาดความครึกครื้น การเลื่อนขั้นลดขั้นในวงการขุนนางที่ไม่เหมือนปกติ การมาเยือนของเซียนซือบนยอดเขา การป่าวประกาศชื่อเสียงของปรมาจารย์ในยุทธภพ งานพิธีรรมใหญ่ทั้งหลาย การชุมนุมของเหล่าปัญญาชน บทกวีของนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ล้วนเป็นหัวข้อพูดคุยในขณะดื่มชาหลังมื้ออาหารของพวกชาวบ้านทั้งสิ้น แล้วนับประสาอะไรกับที่แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งบนและล่างราชสำนักต้าหลีที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งชอบสืบข่าวเรื่องในบ้านของคนอื่นที่อยู่ในอีกแปดทวีปของใต้หล้าไพศาล
ผู้เฒ่าพยักหน้า “มีสิ ทำไมจะไม่มีล่ะ อีกสองวันเดี๋ยวก็มีการประลองที่ศาลเทพอัคคี คือคนสองคนที่ได้รับการประเมินว่าเป็นสี่ปรมาจารยใหญ่ด้านวิถีวรยุทธ พวกเจ้าสองคนไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้หรือ?”
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาสองคนที่ได้รับการประเมินให้เป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ได้ท้ารบกันในเมืองหลวงต้าหลี คนหนึ่งคือผู้เฒ่าจากอดีตราชวงศ์จูอิ๋ง มีชื่อเสียงมานานมากแล้ว อายุมากถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปีแล้ว ทว่าแม้จะอายุมากแต่กลับยังแข็งแรง เมื่อหลายปีก่อนหมัดของเขาบรรลุถึงขีดสูงสุดบนสนามรบ วิชายุทธของทั่วทั้งร่างเรียกได้ว่าเดินขึ้นสู่ยอดเขาสูง อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธหญิงที่มาจากแคว้นเล็กเลียบมหาสมุทรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป มีชื่อว่าโจวไห่จิ้ง ก่อนที่การประเมินผู้มีฝีมือด้านวรยุทธจะออกมา นางไม่มีชื่อเสียงเลยแม้แต่น้อย ว่ากันว่านางอาศัยเรือนกายและขอบเขตที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างหนัก อีกทั้งยังได้ยินมาว่าหน้าตางดงามมากด้วย เป็นสตรีอายุห้าสิบหกปี แต่กลับไม่แก่เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นทุกวันนี้จึงมีคนหนุ่มในพรรคยุทธภพจำนวนไม่น้อยและพวกอันธพาลของเมืองหลวงที่มั่วสุมกันอยู่ในตลาดพากันไชโยโห่ร้องอย่างฮึกเหิมยามพูดถึงนาง
หากเป็นตอนที่เถ้าแก่ผู้เฒ่ายังหนุ่ม การประลองวรยุทธของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองสองคนก็แค่หาสถานที่ง่ายๆ สักแห่งในเมืองหลวงก็ได้แล้ว ครึกครื้นจนคนนับหมื่นมารวมตัวกันทำให้ตรอกซอกซอยว่างเปล่า ลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพของถนนฉือเอ๋อร์พากันออกมาจากบ้านจนหมด แต่ทุกวันนี้ต่อให้เป็นการถามหมัดของปรมาจารย์ใหญ่สองคนที่ได้รับการประเมินเรียบร้อย ได้ยินมาว่าก่อนจะต่อยตีกันยังต้องยื่นเรื่องไปที่กรมพิธีการและกรมอาญาเสียก่อน ทั้งสองฝ่ายยังต้องลงนามสัญญาเป็นหลักฐานไว้ให้กับทางการอีกด้วย ยุ่งยากยิ่งนัก
แต่เรื่องที่ทุกวันนี้ราชสำนักและวงการขุนนางแห่งขุนเขาสายน้ำของเมืองหลวงพูดคุยกันมากที่สุด ต้องเป็นเรื่องงานพิธีเฉลิมฉลองของภูเขาตะวันเที่ยงที่ตื่นเต้นตระการตาอย่างมากแน่นอน หลิวเสี้ยนหยางลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียน การจับมือกันมาร่วมงานพิธีของภูเขาลั่วพั่ว โดยเฉพาะมาดอันองอาจของเจ้าขุนเขาสวมชุดเขียวอย่างเฉินผิงอัน
ไม่ใช่เซียนกระบี่ก็เป็นปรมาจารย์ใหญ่ด้านการเรียนวรยุทธ
แจกันสมบัติทวีปของข้า นอกจากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีแล้วก็ยังมีปราณกระบี่น่าครั่นคร้าม มีโชคชะตาบู๊โชติช่วงจริงๆ
บางทีเด็กหนุ่มที่ออกจากบ้านเกิดมาขึ้นเรือข้ามฟากต่าเจี้ยวในอดีตมองหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าอย่างไร
ถ้าเช่นนั้นทุกวันนี้ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปก็มีเด็กหนุ่มจำนวนนับไม่ถ้วนมองเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วเช่นเดียวกันนั้น
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้ามาจากพรรคเล็กๆ ครั้งนี้รีบร้อนเดินทางจึงไม่ได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
แม้ว่าผู้เฒ่ายังพูดคุยได้ไม่สาแก่ใจ อยากจะดึงตัวคนที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นี้ไว้ดื่มเหล้าด้วยกัน แต่กระนั้นก็ยังส่งมอบกุญแจห้องมาให้ ค่ำคืนวสันต์มีค่าเท่าทองพันชั่งนี่นะ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าถ่วงเวลาการหาเงินของคนอื่นเลย
ตั้งแต่ต้นจนจบหนิงเหยาไม่เอ่ยอะไรสักคำ ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันใช้ความเร็วราวฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูมาควักเงินชำระค่าใช้จ่าย นางไม่ได้ส่งเสียงห้ามปราม เวลานี้ก็เดินตามเฉินผิงอันไปบนระเบียง หนิงเหยาฝีเท้าหนักแน่น ลมหายใจมั่นคง รอกระทั่งเฉินผิงอันเปิดประตูยืนเบี่ยงตัว หนิงเหยาก็เพียงแค่เดินข้ามธรณีประตูเข้าไป เลือกเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วนั่งลง
ผิดปกติ
รู้สึกว่าจะต้องโดนซ้อม
เฉินผิงอันยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ถามหยั่งเชิงว่า “ข้าจะลองไปถามเถ้าแก่ดูอีกครั้ง ดูสิว่าจะให้เขาหาห้องอีกห้องมาให้ได้หรือไม่?”
หนิงเหยาปลดกล่องกระบี่วางลงข้างเท้าอย่างง่ายๆ หิ้วกาเครื่องกระเบื้องขึ้นมาเทน้ำใส่จอก “ตอนอยู่ริมลำคลองดื่มไปไม่น้อย ไม่ทำให้สร่างเมาก่อนสักหน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันปิดประตูลงเบาๆ ไม่ได้ลงกลอน เพราะไม่กล้า นั่งลงแล้วก็หยิบถ้วยชาขึ้นมา เพิ่งจะยกขึ้นก็ได้ยินหนิงเหยาถามว่า “ทุกครั้งที่ออกท่องยุทธภพเจ้าจะต้องพกเอกสารผ่านด่านติดตัวเยอะขนาดนี้เลยหรือ?”
เฉินผิงอันดื่มน้ำเสร็จก็เอ่ยว่า “เหมือนกับชุดคลุมอาคม มีติดตัวไว้มากหน่อยย่อมมีประโยชน์ เตรียมไว้เผื่อจำเป็นต้องใช้”
หนิงเหยาหรี่ตา “แล้วส่วนของข้าล่ะ? แม้จะบอกว่าแค่มองก็รู้ว่าเป็นของปลอม แต่ก่อนจะเข้ามาในเมืองหลวง ตลอดทางมานี้ก็ไม่เห็นเจ้าทำขึ้นมาไว้ชั่วคราวเลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าต้องอยู่ที่ไพศาลหลายปี ถึงอย่างไรก็ต้องได้ใช้ ยกตัวอย่างเช่นวันหน้ายังต้องพาเจ้าไปพบพี่ใหญ่สวีที่เซียนโหยวนะ ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเตรียมไว้ก่อนแล้ว พอดีเลย คราวนี้ก็ได้ใช้จริงๆ แล้วไม่ใช่หรือ”
“กว่าจะหาโรงเตี๊ยมแห่งนี้เจอได้ก็ไม่ง่ายเลยกระมัง?”
“ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนถนนเหลือบตามองมาเห็นชั้นวางสมบัติด้านหลังโต๊ะคิดเงิน เห็นแล้วถูกชะตา แล้วก็คุยกับเถ้าแก่ถูกคอจริงๆ เสียด้วย”
หนิงเหยาไม่ถามอะไรมากความอีก เพียงแค่พยักหน้าเอ่ยชื่นชม “เส้นสายชัดเจน มีเหตุมีผล ทั้งบังเอิญทั้งแน่นอน หาข้อบกพร่องไม่ได้เลยสักนิด”
เฉินผิงอันกล่าว “อีกเดี๋ยวข้ายังต้องไปที่ตรอกเล็กนั่นอีกรอบ จะไปตรวจสอบดูตำราในเรือนของศิษย์พี่สักหน่อย”
หนิงเหยาไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ ลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่าง กลับมาฟุบตัวลงบนโต๊ะ เอาหน้าแนบผิวโต๊ะ มองไปนอกหน้าต่าง เพราะโรงเตี๊ยมค่อนข้างอยู่ใกล้กับตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ ในสายตาจึงมองเห็นโคมไฟสว่างไสวทุกหนทุกแห่ง มีหอหนังสือที่ด้านในจุดตะเกียง มีเหลาสุราที่แสงเทียนวับแวมอยู่ในงานเลี้ยง และยังมีคนหนุ่มสาวบางส่วนที่เดินขึ้นที่สูงเพื่อชมจันทร์
น้อยครั้งนักที่เฉินผิงอันจะได้เห็นหนิงเหยามีท่าทางเกียจคร้านผ่อนคลายเช่นนี้
เขารินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย แอบยืดคอยาวออกไปมองแผ่นหลังของหนิงเหยา ดูเหมือนว่าเมื่อเทียบกับตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นางผอมลงกว่าเดิม
รูปแบบมวยผม การวาดขนคิ้วการประทินโฉม เสื้อผ้าเครื่องประดับของสตรี อันที่จริงเฉินผิงอันพอจะเข้าใจอยู่บ้าง อ่านตำราเบ็ดเตล็ดมากเข้าก็ล้วนจดจำได้หมดแล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มเรียนรู้วิชาสารพัดอย่าง แต่กลับไม่มีพื้นที่ให้เอาออกมาใช้ จึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย อีกทั้งหนิงเหยาเองก็ไม่ต้องการของพวกนี้จริงๆ
หนิงเหยานอนฟุบอยู่บนโต๊ะหันหลังให้เฉินผิงอันตลอดเวลา นางถามว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนยอดเขาอีเซี่ยน เวทกระบี่บทนั้นเจ้าคิดออกมาได้อย่างไร”
เฉินผิงอันรีบถอนสายตากลับมาทันที ยิ้มตอบว่า “ตอนอยู่บนหัวกำแพงเมืองอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ทุกวันจึงคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย”
ก่อนที่เครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตจะปริแตก เฉินผิงอันเป็นคนที่มีคุณสมบัติของเซียนดิน ไม่ได้บอกว่าจะต้องเป็นเซียนดินพสุธาที่จะกลายเป็นโอสถทองหรือฟูมฟักทารกก่อกำเนิดขึ้นมาได้แน่นอน ก็เหมือนผู้ฝึกกระบี่ที่สวมยศตัวอ่อนเซียนกระบี่เอาไว้ที่ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องได้เป็นเซียนกระบี่ อีกทั้งคนล่างภูเขาที่มีคุณสมบัติด้านการฝึกตน แต่กลับโชคไม่ดีก็มีจำนวนมากมาย บางทีเมื่อเทียบกับคลื่นมรสุมที่ต้องพบเจอของผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว ชั่วชีวิตอาจดูยุ่งวุ่นวายอยู่บ้าง แต่กลับสงบมั่นคงมากกว่า
หนิงเหยาหันหน้ามาเอ่ยว่า “เรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตเกี่ยวพันกับชะตาแคว้นของราชสำนักต้าหลี คือรากฐานที่สกุลซ่งสามารถลุกผงาดขึ้นมาได้ ในนี้ก็มีแผนการที่ไม่อาจเปิดเผยซึ่งซุกซ่อนเจตนาร้ายอยู่มากมาย พูดถึงแค่เรื่องที่ซ่งอวี้จางเป็นผู้ดำเนินงานการสร้างสะพานแบบคานในเมืองเล็กปีนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกใครได้ หากเจ้าจะพลิกเปิดบัญชีเก่าต้องเป็นการกระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่างแน่นอน ฮ่องเต้หลายพระองค์ของสกุลซ่งต้าหลีในช่วงเวลาร้อยปีคล้ายว่าจะลงมือค่อนข้างเหี้ยมเกรียม ข้ารู้สึกว่าไม่น่าจะจบลงด้วยดีได้แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้ารู้”
หนิงเหยาพลันเอ่ยว่า “จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าชุยฉานหวังให้ในสภาพจิตใจของเจ้า เจ้ากลายเป็นผู้ฝึกตนที่โดดเดี่ยว อยู่ห่างไกลจากผู้คน?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เท้าสองข้างที่ยืดยาวอยู่ใต้โต๊ะขยับรองเท้าผ้ากระทบกันเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าทางที่ผ่อนคลายสบายอารมณ์ คิดแล้วก็พยักหน้า “เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น”
อันที่จริงในบรรดาศิษย์พี่ทั้งสี่คน คนที่เคยชี้แนะวิชาความรู้ให้เฉินผิงอันอย่างแท้จริง คือจั่วโย่ว
“แต่นี่จะไม่เป็นการผลักเจ้าให้ไปยังระบบของลัทธิเต๋าหรอกหรือ?”
“แค่มีความเป็นไปได้ แต่กลับไม่แน่นอน ก็เหมือนลู่จือกับเซียวสวิ้นแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ จิตแห่งกระบี่ของพวกนางล้วนบริสุทธิ์อย่างมาก แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะใกล้ชิดกับลัทธิเต๋า”
หนิงเหยาเงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยว่า “อย่างเจ้าถือว่าเชื่อในพุทธศาสนาหรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าเชื่อมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ”
หนิงเหยาอึ้งงัน ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนี้จริงเสียด้วย
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “นอกจากความรู้ที่สามารถเอามาปรับใช้ได้จริงซึ่งต้องเรียนรู้ให้มากแล้ว อันที่จริงความรู้มากมาย ต่อให้เป็นเพียงแค่ทฤษฎี อะไรที่ควรเรียนก็ต้องเรียนเอาไว้ ตามคำกล่าวของชุยตงซาน ขอแค่เป็นคน ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอแค่ชีวิตนี้ได้มาอยู่บนโลกใบนี้ ก็จะต้องมีการช่วงชิงบนมหามรรคาครั้งหนึ่ง การช่วงชิงทั้งจริงและลวง ทั้งในและนอก ตามหาหลักการเหตุผลจากตำราอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อ นอกจากจะช่วยให้ตัวเองอยู่ร่วมกับโลกใบนี้อย่างกลมกลืนแล้ว การเชื่อในพุทธศาสนา การเรียนรู้ลัทธิพุทธก็ดี การฝึกอบรมจิตใจอบรมตัวเองก็ช่าง ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางเข้าร่วมการโต้วาทีของสามลัทธิ เพียงแค่ยึดมั่นในหลักการเดียว ใช้วันเวลาที่มีจำกัดมาแสวงหาความรู้ที่ไร้ขีดจำกัด”
——