กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 831.1 ฝึกฝน
ในสายตาของสตรีที่มีบุคลิกเรียบร้อยอีกทั้งความเป็นมายังไม่แน่ชัดเผยแววชื่นชม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ความจำดีจริงๆ”
เพียงแค่ได้ยินเสียงในระเบียงปีนั้น เวลาห่างมานานหลายปี และแค่ได้ยินนางพูดอยู่ที่นี่ประโยคเดียวก็ยังสามารถแน่ใจได้ว่านางเป็นคนเดิมกับในปีนั้น และมาหานางทันที
ถ้าอย่างนั้นสรุปแล้วเป็นเพราะเด็กหนุ่มเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่หรือว่ายังคงอาฆาตแค้นกันแน่?
เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์ มองประเมินสตรีที่ก่อนหน้านี้ถูกเรียกว่า ‘เฟิงอี๋’ ตรงหน้านี้อย่างละเอียด
นางคือสตรีที่เรือนกายสูงเพรียว เท้าสวมรองเท้าสีเขียว ไม่ได้แขวนป้ายห้อยเอวที่สามารถแสดงฐานะในวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำใดๆ สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลม ทว่าบนชุดกลับปักเป็นรูปมังกรตัวเล็กรวมกลุ่มกันซึ่งออกจะละเมิดกฎอยู่บ้าง
ใบหน้าดอกท้อประทินโฉมบางเบา แต้มจุดสีไว้ข้างลักยิ้ม พอดื่มเหล้าเข้าไป ริมฝีปากสีชาดก็ชุ่มช่ำดวงหน้าแดงปลั่ง
เฉินผิงอันเคยอ่านเจอในบทความของนักประพันธ์คนหนึ่ง นี่คือการแต่งกายในวังหลวงของแคว้นสู่โบราณ มีชื่อว่าการแต่งหน้าแบบอี้ชุน
มือของนางเรียวบางนุ่มนวล ดูเหมือนว่าจะใช้ปีกจักจั่นและดอกเฟิ่งเซียนมาตำให้เละแล้วนำมาย้อมสีเล็บ เป็นสีแดงสดที่น่ามองอย่างยิ่ง สมัยโบราณเรียกว่าฝ่ามือซื่ออี๋
ใช้เชือกสีสดเส้นหนึ่งรวบมัดเส้นผมสีนิล ตวัดพวงผมสีนิลมาไว้ตรงหน้าอก ประหนึ่งน้ำตกสีดำที่ตกระลงมาท่ามกลางยอดเขา
เฉินผิงอันมองเชือกเส้นนั้นอย่างละเอียดก็สังเกตเห็นว่าเป็นเชือกที่มีขนาดเท่าแค่เหรียญทองแดง แต่ถึงกับเป็นการนำเส้นด้ายเล็กบางเกือบร้อยกว่าเส้นมาขมวดเข้าด้วยกัน อีกทั้งสีสันของด้ายแต่ละเส้นยังแตกต่างกันไป
ราวกับว่าสีสันของใต้หล้าแห่งนี้ล้วนได้มารวมกันอยู่ในเชือกสีเส้นนี้หมดแล้ว
จุดที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดก็คือบนร่างของเฟิงอี๋ผู้นี้ไม่มีริ้วปราณวิญญาณใดๆ ไม่ได้ร่ายวิธีการของตระกูลเซียนใดๆ ทว่าตลอดทั้งร่างของนางกลับยังคงสะอาดเอี่ยมไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลีสักเสี้ยว
นี่ก็เหมือนกับว่าแท้จริงแล้วตัวนางเองไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์ แต่เป็นนักเดินทางไกลที่เดินท่องสายน้ำแห่งกาลเวลา เพียงแค่จงใจให้คนมองเห็นเรือนกายของนางเท่านั้น
ส่วนผู้ฝึกตนอายุน้อยของต้าหลีคนอื่นๆ ที่อยู่บนหลังคา แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมใส่ใจ แต่กลับไม่ได้แบ่งความสนใจไปมองมากนัก ก็แค่ใช้หางตามองประเมินไม่กี่ทีก็สามารถเห็นทุกอย่างได้ครบถ้วนแล้ว
คนรุ่นเยาว์หกคนที่ต้าหลีตั้งใจอบรมปลูกฝังมา ไม่เสียแรงที่เป็นนักรบเดนตายที่ผ่านการเข่นฆ่ามานาน วินาทีที่เฉินผิงอันปรากฏตัว ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนทั้งหกคนที่ต่างก็มีป้ายห้อยเอวบอกสถานะ ไม่ว่าใครก็ไม่มีท่าทางจิตหลุด มากพอจะเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของจิตแห่งมรรคาพวกเขา
หญิงสาวที่ป้ายห้อยเอวแกะสลักอักษรคำว่า ‘อู่’ ไม่จำเป็นต้องก้าวเท้า ไม่จำเป็นต้องร่ายมนตราก็สามารถสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นมาปกป้องคนทั้งเจ็ดได้ด้วยตัวเอง บนหลังคาประหนึ่งมีหอมายาเล็กจิ๋วแห่งหนึ่งปรากฎขึ้น จำแลงออกมาเป็นตำหนักจวนเซียนแห่งหนึ่ง ดินภูเขาล้วนเป็นสีแดง ถ้ำภูเขาร้อยเรียงติดกัน รูปร่างคล้ายเมฆเรืองรอง ด้านในถ้ำมีปราณสีม่วงลอยอวล หออัญมณีห้องหยก ลานกว้างใสสะอาด ลดหลั่นสลับสล้าง ทุกหนทุกแห่งล้วนเปล่งประกายแวววาวเจิดจ้า ด้านในมีเสียงดนตรีบรรเลงดุจเสียงสวรรค์ล่องลอย ราวกับว่าเป็นจวนของซือมิ่งยุคบรรพกาล เป็นที่พักของเทพเซียนที่มีขุนเขามากมายร้อยเรียงต่อกัน
แม่นางน้อยที่แขวนป้ายห้อยเอวอักษรคำว่า ‘ซวี’ มือสองข้างใสแวววาวเต็มไปด้วยยันต์ลายเมฆ คล้ายคลึงกับวิธีการของคนเย็บผ้าอยู่บ้าง
บนไหล่บอบบางของนางมีสิ่งที่คล้ายกับกายธรรมปรากฏขึ้นมา เรือนกายเล็กจิ๋ว ความสูงแค่ชุ่นกว่า รูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่ม มีกลิ่นอายของเทพอันองอาจ พกกระบี่ สวมชุดสีขาว บนศีรษะสวมกวานดอกพุดตาน ใช้ไข่มุกมังกรสีขาวหิมะมาเย็บประดับเป็นชุดที่สวมใส่
ภิกษุน้อยที่สวมชุดเสื้อคลุมสีพื้นห้อยป้ายห้อยเอวคำว่า ‘เฉิน’ หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ตรงตาข้างที่หลับปรากฏเป็นน้ำวนที่มีฟ้าแลบฟ้าร้อง ใต้ฝ่าเท้าปรากฏเป็นผิวน้ำราบเรียบเหมือนกระจก แสงสว่างของประกายดวงดาวส่องสว่างอยู่ภายใน มีดอกบัวผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง พวกมันส่ายไหวอย่างมีชีวิตชีวา ดอกไม้บานแล้วก็ร่วงโรย แห้งเหี่ยวหล่นลงสู่น้ำ จากนั้นก็มีบุปผาชูช่อผลิบานขึ้นมาอีก เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
อู่ อาจารย์ค่ายกล หล่อหลอมถ้ำสวรรค์บรรพกาลที่มหามรรคาไม่สมบูรณ์ขึ้นมาแห่งหนึ่ง ซวี ผู้ฝึกตนสำนักการทหาร บางทีอาจเป็นเพราะอายุยังน้อย ยังขัดเกลาเรือนกายได้ไม่ถึงระดับ ตอนนี้จึงมีเพียงมือสองข้างที่ใช้วิธีเย็บผ้า แต่กลับสามารถอาศัยวิชาอภินิหารของสำนักการทหารที่เป็นพรสวรรค์บางอย่างมาละเมิดกฎ ออกคำสั่งวิญญาณหยินของเซียนกระบี่บรรพกาลท่านหนึ่ง เฉิน มีวิชาอภินิหารความคิดบริสุทธิ์ของลัทธิพุทธ
คนที่เหลืออีกสามคน ผู้ฝึกกระบี่ ‘เหม่า’ ผู้ฝึกลมปราณลัทธิขงจื๊อ ‘โหย่ว’ ผู้ฝึกตนลัทธิเต๋า ‘เว่ย’ ล้วนอำพรางตนได้ดีมาก ไม่มีใครรีบร้อนร่ายวิชาแสดงฝีมือ
เฟิงอี๋กวาดตามองไปรอบด้านแล้วยิ้มหวานเอ่ยว่า “ข้าก็แค่มารำลึกความหลังกับคนบ้านเดียวกันครึ่งตัว พวกเจ้าไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ เก็บวิธีการที่ใช้ข่มขู่คนลงไปเถอะ”
คนทั้งหกต่างไม่สะทกสะท้าน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ฟังคำสั่งจากนาง เฟิงอี๋เองก็ไม่โกรธ ช่วยไม่ได้ ตนเป็นแค่ผู้ถ่ายทอดมรรคาที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อคนหนึ่ง อีกทั้งตัวนางเองยังเกียจคร้าน ถ่ายทอดเวทคาถามาหลายปีขนาดนี้ เรียกได้ว่าเป็นคนที่ออกไปทำงานแต่ไม่ออกแรงตามความหมายที่แท้จริง หากไม่เป็นเพราะมีการจับจ้องจากใครบางคนในอดีต บวกกับที่ทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่งจะมีการตรวจสอบประเมินผล นางก็คงโยนตำราสองสามเล่มออกไปให้สิ้นเรื่องแล้ว จะเรียนรู้สำเร็จหรือไม่ล้วนอาศัยสติปัญญาและโชควาสนาของแต่ละคน เกี่ยวอะไรกับนางด้วย ก็เหมือนอย่างตอนนี้ เด็กหกคนไม่เชื่อฟัง เฟิงอี๋ก็ปล่อยให้พวกเขาโอ้อวดฝีมือของตัวเองไป ถึงอย่างไรคนที่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเผาผลาญปราณวิญญาณก็ไม่ใช่นาง นางจึงเพียงแค่มองเฉินผิงอันแล้วยิ้มถามว่า “คงไม่โทษที่ปีนั้นข้าโน้มน้าวให้เจ้าหยุดกระมัง?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อเพื่อแสดงความจริงใจต่อคนทั้งเจ็ดซึ่งรวมถึงเฟิงอี๋เป็นหนึ่งในนั้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไหนเลยจะกล้าโทษผู้อาวุโส”
เฟิงอี๋คลี่ยิ้ม โอ้โห คืนนี้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง มองดูเหมือนสีหน้าเป็นมิตร คำก็ผู้อาวุโส สองคำก็ผู้เยาว์ แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วคล้ายจะมีความนัยซ่อนอยู่ในคำพูด นิสัยเจ้าอารมณ์ของเซียนกระบี่มีไม่น้อยเลยจริงๆ
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจสอบถาม “ผู้อาวุโสสนิทกับอาจารย์ฉีมากหรือ?”
เฟิงอี๋รู้สึกว่าน่าสนใจ ไม่ได้ให้คำตอบ กลับยิ้มย้อนถาม “ในเมื่อเจ้าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉเฒ่าแล้ว ฉีจิ้งชุนก็คือศิษย์พี่ของเจ้า ทำไมทุกวันนี้ถึงยังเรียกอาจารย์ฉีอยู่เล่า?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ สิบนิ้วประสานกัน เรือนกายงองุ้มลงเล็กน้อย ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ก็ข้าเต็มใจนี่นา ข้าอยากเรียกอย่างไรก็จะเรียกอย่างนั้น ต่อให้ผู้อาวุโสจะควบคุมฟ้าควบคุมดินก็ยังควบคุมเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ”
เฟิงอี๋จุ๊ปากพูด “ถึงอย่างไรก็เติบใหญ่แล้ว ความเจ้าอารมณ์ก็มากขึ้นตามมาด้วย ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้ายังเด็กเป็นคนที่พูดง่ายอย่างมาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บอกผู้อาวุโสตามตรง อันที่จริงตอนนี้ข้าก็ยังพูดง่ายอยู่”
เฟิงอี๋ยกมือข้างหนึ่งขึ้น สองนิ้วบิดหมุนเชือกหลากสีเส้นนั้นเบาๆ ยิ้มหวานไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันก็เงียบตามไปด้วย
บรรยากาศพลันเปลี่ยนมาเป็นชวนอึดอัด
บนทางระเบียงของปีนั้นมีคนห้าคนที่ทยอยกันเปิดปาก หยางเหล่าโถวของร้านยาเป็นคนสุดท้าย แล้วก็เป็นบุคคลคนเดียวที่ตอนนั้นเฉินผิงอันสามารถมั่นใจในสถานะของเขาได้
ส่วนเฟิงอี๋ผู้นี้ก็คือคนที่เปิดปากขึ้นมาคนแรกก่อนที่เฉินผิงอันจะก้าวเดินไปข้างหน้า เพียงแค่นางพึมพำเบาๆ ก็กลายเป็นเสียงล่อลวงใจคนตามธรรมชาติ นางโน้มน้าวให้เด็กหนุ่มคุกเข่าลง เพียงเท่านั้นความโชคดีก็จะมาเยือน
ปีนั้นในถ้อยคำนี้ของนาง หากตัดหยางเหล่าโถวออกไม่พูดถึง เมื่อเทียบกับน้ำเสียงของคนที่เหลืออีกสี่คน นางคือคนที่ไร้ความเย่อหยิ่งที่สุด ราวกับ…เป็นคำบ่นของสตรีคนหนึ่งที่มาซุกซ่อนตัวอยู่ในภูเขา อยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็จะเลิกม่านดอกไม้ขึ้น พอเห็นบุปผาในลานบ้านต้องลมส่ายไหวพอช่วยขจัดความเกียจคร้านจึงกระตุ้นความสนใจของนางได้บ้าง จึงเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาง่ายๆ บอกว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนไปจากกิ่งไม้
คนที่สองที่เปิดปากกลับไม่ค่อยเกรงใจนัก บอกให้เฉินผิงอันที่เป็นมนุษย์ธรรมดารีบคุกเข่าลงโดยไว
คนที่สาม น้ำเสียงราบเรียบ ราวกับกำลังพูดหลักการอย่างหนึ่งที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน คนที่สี่น้ำเสียงแก่ชราเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์อันโชกโชน เตือนเฉินผิงอันเป็นครั้งสุดท้ายว่าหากสวรรค์มอบให้แต่ไม่ยอมรับไว้ย่อมต้องถูกลงทัณฑ์
แต่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเซียนยากที่จะคาดเดาจิตใจ ความคิดลึกล้ำยาวไกล เรื่องที่วางแผนไว้เกี่ยวพันสืบเนื่องนานร้อยปีพันปี เป็นเหตุให้คนที่พูดจาดุร้ายกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะมีเจตนาร้าย แต่คนที่พูดจาอ่อนหวานเหมือนสายลมบางเบาโชยมาพร้อมสายฝนกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะหวังดี
ความอำมหิตของคนดุร้าย ต่อให้จะพูดคุยด้วยเสียงหัวเราะ แต่กลับเต็มล้นไปด้วยปราณสังหาร คนดีที่เป็นมิตร ต่อให้เป็นจิตวิญญาณที่มาเยือนในความฝันก็ยังเป็นมิตร
สรุปก็คือ ตอนนั้นล้วนไม่มีใครสักคนที่หวังให้เขาเดินหน้าต่อ แม้แต่หยางเหล่าโถวเอง บางทีอาจไม่มีใครรู้สึกว่าเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงที่สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้นคนหนึ่งจะมีคุณสมบัติ มีความสามารถ มีโชควาสนาพอที่จะแบกรับผลกรรมบนมหามรรคาส่วนนั้นไว้ได้
เว้นเพียงอาจารย์ฉี
เฉินผิงอันพลันหันไปมองสตรีที่เป็นอาจารย์ค่ายกล
นางรีบเก็บวิชาอภินิหารบทหนึ่งลงไปทันใด ไม่กล้ามองสภาพจิตใจของคนผู้นี้มากอีก
เมื่อครู่นางแค่มองเห็นบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดินในจิตใจได้อย่างเลือนรางเท่านั้น
เมื่อคนชุดเขียวที่ยืนอยู่บนชายคามองมา ตรงปากบ่อน้ำที่อยู่ในใจก็คล้ายมีดวงตาสีทองที่เปี่ยมไปด้วยบารมีแห่งฟ้า ถึงขั้นที่ว่ายังบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเหรียญทองแดงแก่นทองมองมา กลับกลายเป็นว่าเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน เป็นฝ่ายหันมาลอบสืบเสาะจิตใจของนางแทน
นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่า นี่เป็นการที่เฉินผิงอันเตือนตนว่า อะไรที่ไม่ควรมองอย่าได้มอง
ยามนางมองคนจะสามารถมองเห็นสภาพจิตใจของคนผู้หนึ่งได้อย่างพร่าเลือน นี่เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด การฝึกตนในภายหลังก็เป็นแค่เรื่องที่น้ำมาคูคลองสำเร็จก็เท่านั้น
ก็เหมือนกับว่าคนคนหนึ่งจะเดินขึ้นเขาฝึกตนได้หรือไม่ก็ต้องดูที่ว่าเทพเทวดายินดีจะมอบข้าวตระกูลเซียนถ้วยนี้ให้กินหรือไม่
นอกจากผู้ฝึกกระบี่แล้ว สายยันต์และสายการมองลมปราณล้วนค่อนข้างเรียนรู้ได้ยาก ส่วนใหญ่จะอาศัยฐานกระดูกและคุณสมบัติก่อนกำเนิดของผู้ฝึกลมปราณ จะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูที่ว่าบรรพบุรุษจะมอบข้าวให้กินหรือไม่
คำว่าตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ฝึกลมปราณกองโหราศาสตร์ สิ่งที่ดูก็คือฐานกระดูกก่อนกำเนิดประเภทต่างๆ
หลังจากที่เด็กทุกคนถือกำเนิดขึ้นมาในถ้ำสวรรค์หลีจู เครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตก็ได้ถูกสร้างขึ้น หยดแก่นเลือดหยดหนึ่งลงไป ก็คือวิธีการตรวจสอบอย่างหนึ่ง วิเคราะห์ความสูงต่ำในผลสำเร็จบนมหามรรคาของคนคนหนึ่งในอนาคต ความผิดพลาดมีน้อยมาก
ถ้ำสวรรค์หลีจูดำรงอยู่บนโลกมาสามพันปีแล้ว ต้าหลีเพิ่งก่อตั้งแคว้นได้แค่ไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น แรกเริ่มสุดยังเป็นแคว้นใต้อาณัติที่พึ่งพาราชวงศ์สกุลหลู ถ้าอย่างนั้นสรุปแล้วเป็นใครกันที่มอบอำนาจการดูแลถ้ำสวรรค์หลีจูให้กับสกุลซ่งต้าหลี? แล้วเป็นใครกันที่ถ่ายทอดเวทคาถาอันเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ต้าหลีลุกผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วในอาณาเขตทิศเหนือของหนึ่งทวีป? ปริศนาน้อยใหญ่ในประวัติศาสตร์ล้วนไม่เคยทิ้งบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรอะไรเอาไว้ ศิษย์พี่ชุยฉาน ลูกศิษย์ชุยตงซาน ดูเหมือนว่าต่างก็เคารพในสัญญาบางอย่าง ขอแค่เป็นปฏิทินเหลืองทุกเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับถ้ำสวรรค์หลีจู พวกเขาล้วนไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว
เมืองเล็กของบ้านเกิด อาณาเขตไม่ใหญ่ ถ้ำสวรรค์เล็กแห่งหนึ่ง พื้นที่ที่มีรัศมีพันลี้ คนแค่ไม่กี่พันคน
ชุยตงซานเคยพูดหยอกเย้าว่าถ้ำสวรรค์หลีจูคือสถานที่แห่งเดียวในใต้หล้าที่น้ำตื้นตะพาบเยอะ ศาลเล็กเสนียดชั่วร้ายใหญ่ เพียงแต่ว่าพูดประโยคนี้จบ ชุยตงซานก็รีบพนมสองมือ ชูขึ้นสูงท่วมหัวแล้วเขย่าอย่างแรงพร้อมท่องพึมพำไปด้วย
อาจารย์ค่ายกลหญิงที่มีป้ายอักษรคำว่า ‘อู่’ ใช้เสียงในใจพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง “พอจะมั่นใจได้คร่าวๆ ว่าเฉินผิงอันไม่มีเจตนาร้ายและจิตสังหารต่อพวกเรา แต่ข้าไม่กล้ารับรองว่านี่จะต้องเป็นความจริงเสมอไป”
ผู้ฝึกกระบี่ ‘เหม่า’ สอบถามแม่นางน้อยที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนสำนักการหทาร “โอกาสชนะเป็นอย่างไร?”
แม่นางน้อยเอ่ย “ฟันแตงหั่นผัก”
จากนั้นก็เอ่ยเสริมไปว่า “เราเป็นฝ่ายที่โดนนะ”
อันที่จริงเด็กสาวที่มองดูเหมือนไร้เดียงสาผู้นี้ต่างหากถึงเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในบรรดาคนทั้งหก
อีกห้าคนที่เหลือไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง จึงถือว่าเป็นภูเขาลูกเล็กอีกลูกหนึ่งแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่ถามนักพรตหนุ่มอีกว่า “ผลทำนายเป็นอย่างไร?”
นักพรตเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “เหมือนชนกำแพง ยังดีที่เซียนกระบี่ท่านนี้ไม่ได้ถือสาอะไร ไม่อย่างนั้นเหล้าที่ข้าดื่มลงท้องไปล้วนต้องอาเจียนออกมา ใส่ในกาเหล้าได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งกาแน่ๆ”
ผู้ฝึกกระบี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถอนค่ายกลออก”
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี ขอบเขตตบะก็ไม่ได้สูงที่สุด แต่กลับเป็นที่พึ่งทางใจของทุกคนอย่างแท้จริง
เมื่อผู้ฝึกกระบี่ตัดสินใจเช่นนี้ อาจารย์ค่ายกลหญิง แม่นางน้อยสำนักการทหารและภิกษุน้อยต่างก็เก็บเวทคาถาของตัวเองลงไปอย่างไม่ลังเล
เฉินผิงอันจึงถือโอกาสมองผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้น คิ้วตาคล้ายคลึงกับคนบางคนหลายส่วน หากไม่ผิดไปจากที่คาดคงแซ่ซ่ง แซ่ของแคว้น
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นคือคนเดียวที่นั่งอยู่บนสันหลังคา พอสบตากับเฉินผิงอันก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย คล้ายไม่รู้จักเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วคนนี้แม้แต่น้อย
เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว เดินออกมาจากชายคาตวัดงอนจุดที่สูงที่สุด พลิ้วกายลงบนหลังคา มองสบตาในระดับเท่าเทียมกับเฟิงอี๋ผู้นั้นแล้วใช้เสียงในใจถามต่อว่า “ก่อนที่ผู้อาวุโสจะมาเมืองหลวงต้าหลีก็คอยทำความเข้าใจกับวิถีแห่งสวรรค์ของถ้ำสวรรค์หลีจูอยู่ตลอดเลยหรือ?”
เฟิงอี๋ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่สะดวกแล้วก็ไม่กล้าอยู่นาน ตอนนั้นเจ้าอายุน้อย ยังไม่ได้เดินขึ้นเขา บางทีอาจไม่ค่อยเข้าใจ นิสัยของฉีจิ้งชุนนั้นแค่ดีกับพวกเจ้าเท่านั้น แต่กลับควบคุมชาวบ้านลี้ภัย นักโทษอาญา โจรผู้ร้ายที่ไม่ถูกเหตุผลชอบธรรมอย่างพวกเราเข้มงวดมาก ดังนั้นข้าจึงอยู่ที่ภูเขาเจินอู่นานยิ่งกว่า มีบางครั้งที่แวะเวียนไปเยี่ยมเยือน ก่อนที่ฉีจิ้งชุนจะรับถ้ำสวรรค์ไปดูแล อริยะแต่ละรุ่นค่อนข้างจะปล่อยสบายๆ หากข้าไม่พาคนออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู อย่างเช่นเฉาห้าง หยวนเซี่ย หรือไม่บางครั้งก็พาคนนอกเข้าไปในถ้ำสวรรค์ ยกตัวอย่างบิดาของกู้ช่าน แต่เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับหม่าขู่เสวียนของตรอกซิ่งฮวาผู้นั้น ไม่มีความรู้สึกอันดี ไม่มีความรู้สึกที่ไม่ดี ธรรมดา ไม่ดีและไม่เลว แน่นอน นี่เป็นแค่ความรู้สึกของข้าเท่านั้น คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนมีความคิดเห็นต่างกันไป”
เฉินผิงอันเชื่อในสิ่งที่นางพูด ไม่เพียงแค่เป็นลางสังหรณ์ ที่มากกว่านั้นเป็นเพราะยังมีเส้นสายและเบาะแสที่มากพอมาช่วยประคับประคองความรู้สึกนี้
ยกตัวอย่างเช่นหม่าขู่เสวียนลูกรักแห่งสวรรค์ก็เหมือนลูกหลานตระกูลชั้นสูงที่บรรพบุรุษใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ต่อให้จะเรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนอยู่ในวงการขุนนางท้องถิ่น มีท่าทีว่าจะแบ่งแยกดินแดนตั้งตนเป็นอิสระ แต่ต้องไม่มีทางคิดแตะต้องเจ้ากรมของกรมหนึ่งในเมืองหลวงได้แน่นอน
เฟิงอี๋ยิ้มถาม “เฉินผิงอัน เจ้ารู้ตัวตนของข้าแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง พยักหน้าเอ่ยว่า “หากลำพังแค่ได้ยินคำเรียกว่า ‘เฟิงอี๋’ ก็ยังไม่กล้ามั่นใจเช่นนี้ แต่รอกระทั่งผู้เยาว์ได้เห็นเชือกเส้นนั้นกับตาตัวเองก็ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยอีกแล้ว”
อายุมากขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องเรียกผู้อาวุโส
นางคลี่ยิ้มหวาน “ความจำดี สายตาก็ไม่เลว มิน่าเล่าถึงเกรงใจข้าขนาดนี้”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอผู้อาวุโสโปรดตอบคำถามก่อนหน้านี้ของข้าเสียก่อน”
นางถาม “สนิทหรือไม่สนิทกับฉีจิ้งชุน สำคัญมากหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “สำหรับข้า อันที่จริงยังไม่ค่อยเท่าไร แต่สำหรับผู้อาวุโสแล้ว บางทีอาจจะสำคัญอย่างมาก”
นางยื่นมือมาตบลงตรงหัวใจตัวเองเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยแววตำหนิ แสร้งทำท่าตกอกตกใจ “ข่มขู่ข้าหรือนี่? ผู้เยาว์อายุน้อยแค่สี่สิบปีคนหนึ่ง ข่มขู่ผู้อาวุโสที่อายุมากกว่าหลายปี ควรทำอย่างไรดีนะ”
——