กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 833.1 ราชครูเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันลงมาจากขั้นบันได หาหนังสือจากชั้นหนังสือมาง่ายๆ เล่มหนึ่ง เป็นรวมเล่มชิงเหยียนที่อธิบายถึงวิธีการวางตัวอยู่ในสังคมโดยเฉพาะ
เปิดตำราเร็วมาก หลักการเหตุผลหลายข้อของอริยะปราชญ์ในตำรา เฉินผิงอันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง อะไรที่บอกว่ายามพืชพรรณงอกงามคร้านจะหันกลับไปมอง อะไรที่บอกว่ายามลมกระโชกฝนพัดแรงก็คือยามที่เท้าของวีรบุรุษหยัดยืนได้อย่างมั่นคง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าล้วนพูดถึงตัวเองทั้งสิ้น ทันใดนั้นความห้าวหาญก็พลันบังเกิด ได้ประโยชน์กว่าดื่มเหล้ามากนัก
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตัวเฉินผิงอันเองก็ได้ขบคิดใคร่ครวญจนได้หลักการเหตุผลข้อหนึ่งมานานแล้ว กับคนใกล้ชิดอย่าได้พูดจาโดยใช้อารมณ์ อย่ากลับคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าเงียบงันไม่พูดจา
วางหนังสือที่อยู่ในมือกลับลงไปบนชั้นวางหนังสือ อยู่ดีๆ ก็นึกถึงนักพรตหลงโจวของอารามหวงฮวาใบถงทวีปขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เฉินผิงอันหัวเราะ ใช้ฝ่ามือผลักหนังสือที่อยู่โดยรอบให้กลับเข้าไปอยู่ในตำแหน่งเดิมเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างเข้าท่าเข้าที ไม่มีความคลาดเคลื่อนแม้ต่อน้อย เฉินผิงอันก้าวยาวๆ ออกมาจากหอหนังสือ เปิดประตูเรือน คิดแล้วเฉินผิงอันก็ไม่ได้ลงกลอน หากยังต้องกลับมาก็จะเพิ่มภาระโดยไม่จำเป็น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นบ้านของศิษย์พี่ บินไปบินมา ไม่เหมาะสม
ส่วนฮ่องเต้และไทเฮาสกุลซ่งต้าหลี จะมาหรือไม่มาล้วนไม่สำคัญ หากมาแล้ว สำหรับสองฝ่ายล้วนถือเป็นเรื่องดี หากไม่มา เฉินผิงอันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะตัดสินใจไว้แล้วว่าจะอยู่อ่านหนังสือที่เมืองหลวงสักหลายวันหน่อย
ในเมื่อเดาความตั้งใจของศิษย์พี่ชุยฉานออก ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายมากแล้ว หาได้ยากที่จะมีเรื่องดีที่ไม่ต้องแบ่งแยกส่วนรวมส่วนตัวอะไรเช่นนี้ จ้วงมีดแทงอย่างไร้ปราณี จะลงมืออำมหิตอย่างไรก็ได้ นอกจากนี้อยู่ๆ เฉินผิงอันก็นึกเรื่องหนึ่งได้ขึ้นมา หากอิงตามลำดับอาวุโสของสายบุ๋น ในเมื่อซ่งเหอคือลูกศิษย์ของศิษย์พี่ชุย ตนก็ต้องเป็นอาจารย์อาน้อยของฮ่องเต้ต้าหลีแล้ว ถ้าอย่างนั้นช่วยปกป้องมรรคาให้กับศิษย์หลานบ้าง จะไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินหรอกหรือ
หากจิตแห่งมรรคาของเจ้าซ่งเหอยังไม่เพียงพอ ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนคนที่จิตแห่งมรรคาเพียงพอให้มาเป็นฮ่องเต้ก็แล้วกัน ถึงอย่างไรหากแฉประวัติกันออกมา ถูกคนมีใจพลิกเปิดบัญชีเก่าในกองเชื้อพระวงศ์ของสกุลซ่ง เรื่องที่เดิมทีถูกกำหนดมาแน่นอนว่าฮ่องเต้คือผู้สืบทอดบัลลังก์ที่ถูกต้องชอบธรรมก็จะกลายมาเป็นง่อนแง่นไม่มั่นคง คนทั้งทวีปได้รู้ต้องฮือฮากันเป็นแน่
และการประเมินที่ราชครูชุยฉานมีต่อซ่งจี๋ซิน หลักๆ แล้วก็มีแค่สงครามของแจกันสมบัติทวีปครั้งนั้น การแสดงออกของอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ นับตั้งแต่นครมังกรเฒ่าไปจนถึงลำน้ำใหญ่ก็ไม่ได้ทำให้คนผิดหวังจริงๆ ทั้งบนและล่างภูเขาต่างก็เห็นพ้องต้องกัน เหตุใดป๋ายอวี้จิงจำลองถึงถูกทิ้งเอาไว้ใกล้กับเมืองหลวงแห่งที่สองและศาลของลำน้ำใหญ่ คิดดูแล้วคงเป็นการเตือน ‘ด้วยความหวังดี’ ที่อาจารย์มีต่อนักเรียนอย่างหนึ่ง ต่อให้อาจารย์ไม่อยู่แล้ว ต้าหลีไม่มีราชครูชั่วคราว การฝึกอบรมตนเองและการปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขของจักรพรรดิก็ไม่อาจลืมเลือนไปได้
เฉินผิงอันถึงขั้นรู้สึกว่าราชสำนักต้าหลี ปีนั้นเป็นฝ่ายเสนอให้คืนขุนเขาสายน้ำโดยอิงจากผลงานทางการสู้รบหลังจบศึก ก็เป็นเพราะศิษย์พี่กำลังรอคอยวันนี้อยู่ หนึ่งเพราะหากไม่ทำเช่นนี้ ใจคนของแจกันสมบัติทวีปจะแตกฉานซ่านเซ็น แคว้นใต้อาณัติทั้งหมดของทางทิศใต้ยากที่จะรวบรวมกำลังสู้รบ นอกจากนี้ก็เพราะเมื่อสงครามใหญ่ปิดฉากลงแล้วยังเป็นสถานการณ์ที่หนึ่งทวีปคือหนึ่งแคว้น หากเมืองหลวงต้าหลีและแคว้นใต้อาณัติเกิดการแบ่งแยกดินแดนเป็นการคุมเชิงกันระหว่างเหนือและใต้ขึ้นมา เส้นแนวรบถูกลากยาวไปขนาดนี้ก็ง่ายที่การทำสงครามทีหนึ่งต้องยาวนานเป็นสิบปีหรืออาจถึงร้อยกว่าปี ถึงเวลานั้นแจกันสมบัติทวีปทั้งแห่งก็ถือว่าพังภินท์ไปแล้ว
ส่วนสรุปแล้วซ่งจี๋ซินมีความคิดที่จะกลับมาใช้ชื่อเดิมหรือไม่?
มี
ตอนนั้นที่อยู่ในศาลลำน้ำ เฉินผิงอันก็สัมผัสได้ถึงจิตใจทะเยอทะยานส่วนนั้นของซ่งจี๋ซินแล้ว เพียงแต่ซ่งจี๋ซินกริ่งเกรงราชครูชุยฉานมากเกินไป หลายปีมานี้จึงอดทนข่มกลั้นเอาไว้ ทำหน้าที่ที่ขุนนางพึงกระทำมาโดยตลอด
ไม่อย่างนั้นอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลีอย่างซ่งจี๋ซินผู้นี้ ด้วยความสัมพันธ์ของเขากับกองกำลังบนภูเขาแทบทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์กับกองทัพชายแดนต้าหลีแล้ว เรียกได้ว่าไม่ได้ดีแค่ระดับธรรมดาเท่านั้น
และหากพูดถึงคนที่ช่วยปกครองดูแลบ้านเมือง ที่ว่าการหกกรมของเมืองหลวงสำรองของต้าหลี เสาคานบุ๋นบู๊แต่ละคนที่อยู่ในที่ว่าการทั้งหลาย แต่ละคนล้วนเคยเผชิญหน้ากับสงครามโดยตรงมาก่อน มีใครบางที่ไม่เชี่ยวชาญทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศ มีทั้งวิชาความรู้ แล้วก็ทั้งลงมือปฏิบัติได้จริง? อีกทั้งเมื่อเทียบกับขุนนางของเมืองหลวงแล้ว วงการขุนนางของทางทิศใต้ส่วนใหญ่จะเป็นขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ที่อยู่ในวัยฉกรรจ์เสียมากกว่า นอกจากนี้ก็เหมือนอย่างหลิวเกาหัวของเขตแยนจือแคว้นไฉ่อี เหตุใดถึงยินดีสละตำแหน่งเจ้ากรมของแคว้นบ้านเกิดไม่ยอมเป็น แต่กลับมาเป็นขุนนางระดับกลางในราชสำนักของเมืองหลวงแห่งที่สอง และการยอมรับซึ่งถูกขัดเกลาไปอย่างเงียบเชียบนี้ เดิมทีก็คือการยอมรับที่แคว้นใต้อาณัติทั้งหลายของต้าหลีมีต่อซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองอยู่แล้ว
ดังนั้นทางฝั่งของเมืองหลวงต้าหลีนี้ ฮ่องเต้ไม่กล้าแตะต้องเมืองหลวงสำรองที่หยั่งรากลึกมั่นคง รากฐานลึกล้ำมานานแล้ว ส่วนพวกแคว้นใต้อาณัติทั้งหลายก็ไม่รู้แผนการรับมือเบื้องหลังที่ราชครูชุยฉานวางเอาไว้ จึงอยู่กันอย่างสงบไร้ปัญหามาโดยตลอด
หากจะบอกว่าก่อนที่จะมาเมืองหลวงต้าหลี เส้นขีดกำจัดต่ำสุดของเฉินผิงอันคือเอาเศษกระเบื้องชิ้นที่อยู่ในมือของไทเฮาต้าหลีกลับคืนมา ต่อให้ต้องฉีกหน้าแตกหักกับทั้งราชสำนักต้าหลีเพราะเหตุนี้ อย่างมากสุดก็ต่อยตีกันสักตั้งไปก่อน จากนั้นค่อยย้ายพื้นที่ในการปกครองมากมายรวมถึงตัวภูเขาลั่วพั่วเองด้วยไปอยู่ยังสถานที่แห่งหนึ่งทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป ลงหลักปักฐาน สุดท้ายขานรับอยู่กับสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วที่สร้างขึ้นในใบถงทวีปอยู่ไกลๆ ตรงกลางก็คือต้าหลี สรุปก็คือจะเป็นปรปักษ์กับสกุลซ่งต้าหลีอย่างถึงที่สุดแล้ว
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เฉินผิงอันกลับไม่ได้พูดง่ายเพียงแค่คิดจะเอาเศษกระเบื้องชิ้นนั้นกลับมาแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น สละราชบัลลังก์ให้ผู้อื่น
พื้นที่ศักดินาทางทิศใต้เดินทางขึ้นเหนือ เข้าเมืองมาขึ้นครองราชย์
จะว่าไปแล้วก็ยังต้องดูที่การเลือกของฮ่องเต้พระองค์นั้น
เดินออกมาจากในตรอกเล็กแค่สิบกว่าก้าว เฉินผิงอันก็เริ่มใคร่ครวญเส้นสายหลักๆ สามเส้นอย่างราชสำนัก กองทัพชายแดนและบนภูเขา จากนั้นก็เชื่อมโยงขั้นตอนอีกอย่างน้อยหลายสิบขั้นตอนในแผนการคร่าวๆ ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าในกองงานเชื้อพระวงศ์ แซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นทั้งหลาย ทูตผู้ตรวจการใหญ่แต่ละคน รวมไปถึงการแตกกิ่งก้านสาขาอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ขั้นตอน…สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็คือยังต้องแสวงหาในความสงบสุขปลอดภัยของวิถีทางโลกในหนึ่งแคว้น
เพียงแต่เฉินผิงอันไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่า เรื่องที่เขาคิดและจะทำในตอนนี้ แท้จริงแล้วสอดคล้องกับการเป็นราชครูของต้าหลีอย่างมาก
และเมื่อร้อยปีก่อน ซิ่วหู่ชุยฉาน ทุกครั้งที่ประชุมในท้องพระโรงหรือกลับจากการประชุมเล็กก็มักจะมาเดินช้าๆ อยู่ในตรอกเพียงลำพัง ครุ่นคิดเพียงลำพังเช่นนี้
ขยับเข้าใกล้ปากตรอก เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มฉวยโอกาสตอนที่อาจารย์ไม่อยู่แอบนั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงปากตรอกเล็ก สายตาคอยเหลือบมองไปทางถนนอยู่เป็นระยะ ดูว่ามีเงาร่างของอาจารย์ปรากฏหรือไม่
ได้ยินเสียงฝีเท้าจากในตรอก จ้าวตวนหมิงก็รีบลุกขึ้นยืน วางกาเหล้าใบนั้นไว้ด้านหลัง ถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “พี่ใหญ่เฉินจะไปหาพี่สะใภ้หรือ ต้องการให้ข้าช่วยนำทางหรือไม่? เมืองหลวงแห่งนี้ข้าคุ้นเคยดียิ่งนัก หลับตาเดินก็ยังได้”
แล้วก็เพราะว่าตอนนี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้สนิทกันมากนัก ไม่อย่างนั้นในบริเวณใกล้เคียงนี้ ต่อให้เป็นสถานที่ที่นกไม่มาขี้แค่ไหน ข้าก็เคยอึใส่มาก่อนแล้ว จ้าวตวนหมิงกล้าตบอกรับรองอย่างไม่ละอายใจได้เลยด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันหยุดเดิน ถามว่า “ตวนหมิง เจ้ามีแม่นางที่ชอบอยู่หรือไม่?”
ตอนนี้จ้าวตวนหมิงพึงพอใจกับชื่อของตัวเองอย่างถึงที่สุดแล้ว เพียงแต่ว่าคำถามที่ไม่ถูกเวลาของเซียนกระบี่เฉินข้อนี้ทำเอาในใจเขารู้สึกแปลกพิกล ดึกๆ ดื่นๆ มาพูดถึงแม่นางอะไรกัน คิดว่าข้าชอบดื่มเหล้าเคล้านารีหรือ? เด็กหนุ่มถอนหายใจ “กลุ้มนัก ข้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว แม่นางที่ชอบย่อมต้องมี และแม่นางที่ชอบข้าก็ยิ่งมีไม่น้อย น่าเสียดายที่ทุกวันได้แต่ฝึกตนแล้วก็ฝึกตน ฝึกตนกับท่านปู่เจ้าสิ ทำเอาจนถึงทุกวันนี้ข้ายังไม่เคยสัมผัสริมฝีปากแม่นางคนไหนมาก่อนเลย เจ้าผีขี้เหล้าเฉาชอบเอาเรื่องนี้มาล้อข้าอยู่บ่อยๆ มารดามันเถอะ เขาเป็นคนที่อายุตั้งสี่สิบกว่าปีแล้ว เป็นชายโสดที่ตอนกลางคืนไม่มีแม่นางให้นอนกอดอุ่นๆ สักคน ยังกล้ามาว่าข้า ก็ไม่รู้ว่าใครมอบหนังหน้าให้เขา ดื่มเหล้าเมายังไม่สร่างสินะ ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่ถือสาเขาแล้วกัน”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ค้นพบว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวก็ถอนหายใจเหมือนกัน
ความกังวลกลัดกลุ้มมีร้อยแปดพันประการ ไม่เคยมีช่วงได้ว่างเว้น
จ้าวตวนหมิงรีบวิ่งเอาถั่วลิสงแห้งคั่วเกลือกำใหญ่ไปส่งให้ เฉินผิงอันก็มอบเหล้าให้เด็กหนุ่มหนึ่งกา เด็กหนุ่มจึงเก็บเหล้ากาของตัวเองไป ไม่เคยได้เหล้าดีๆ มาจากเจ้าผีขี้เหล้าเฉาเลยสักครั้ง นั่นเป็นแค่คนยากจนที่ดีแต่จะเชื่อเงินในร้านทุกแห่งที่ไปเยือน เปิดผนึกดินออกแล้วแหงนหน้าจิบหนึ่งอึก ถามว่า “พี่ใหญ่เฉิน นี่เป็นเหล้าของที่ไหน ดื่มแล้วฤทธิ์แรงไม่เบา”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าเปิดร้านเหล้าเล็กๆ ร้านหนึ่งกับคนอื่น ในร้านขายเหล้าภูเขาชิงเสินนี้”
เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “ข้าก็ว่าแล้วเชียว เหล้านี้แค่ดื่มข้าก็ลิ้มรสได้แล้ว นี่เพิ่งจะเข้าปากข้าก็ชิมจนได้รสชาติของเงินร้อนน้อยหลายเหรียญแล้ว สุราบนภูเขาทั่วไปจะมีรสชาติเช่นนี้ได้หรือ? พี่ใหญ่เฉิน พวกเราสองคนคือใครกับใคร ถ้าอย่างนั้นเอ่ยประโยคที่ไม่ห่างเหินสักคำ ท่านมอบเหล้าให้ข้าอีกสักสองกาเถอะ เดี๋ยวข้าจะได้เอาไปให้อาจารย์กับผีขี้เหล้าเฉา”
กล่าวมาถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่ใหญ่เฉินท่านวางใจได้ ข้าคนนี้นับแต่เด็กมาก็ขึ้นชื่อว่าวางแผนได้ลึกล้ำเก่งกาจ วันนี้เรื่องที่พวกเราสองคนเรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง นอกจากผีขี้เหล้าเฉาแล้ว ข้ารับรองว่าจะไม่บอกใครเลย ต่อให้กลับไปบ้านก็จะไม่พูดกับใคร พี่ใหญ่เฉินท่านเพิ่งมาถึงเมืองหลวงใช่ไหม ท่านไม่รู้อะไร ที่นี่ก็เป็นบ้านข้ากับถนนฉือเอ๋อร์ที่เมื่อหลายปีก่อน ทุกครั้งที่ตีกัน แค่มือเดียวของข้าก็ซัดถนนและตรอกสองสายให้ไร้ศัตรูทัดเทียมได้แล้ว ภายหลังไม่รู้ว่าเป็นตะพาบเฒ่าหน้าไม่อายคนไหนของถนนฉือเอ๋อร์เปิดเผยสถานะผู้ฝึกตนของข้า ข้าถึงต้องเป็นฝ่ายยอมถอยให้ มอบเก้าอี้อันดับหนึ่งให้คนอื่นแทน ไม่อย่างนั้นพวกหัวมังกุท้ายมังกรของถนนฉือเอ๋อร์เส้นนั้นคงต้องถูกตรอกอี้ฉือของพวกเรากดข่มไปอีกนานหลายปี ตามกฎเก่า ทุกวันคงได้แต่หนีบหางทำตัวสำรวม เจอใครก็ได้แต่เดินอ้อมไปทางอื่น”
เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบถั่วลิสงเมล็ดหนึ่งโยนใส่ปาก ยิ้มบางๆ ส่ายหน้า “รู้จักส่วนรู้จัก แต่เหล้าไม่อาจมอบให้เปล่าๆ สองกาได้”
จ้าวตวนหมิงถามหยั่งเชิง “พี่ใหญ่เฉิน ถือว่าข้าติดหนี้ท่านไว้ก่อนได้ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “การค้ากำไรน้อย ไม่เคยให้ใครเชื่อเงินไว้ก่อน”
ไม่รีบร้อนกลับไปที่โรงเตี๊ยม เพราะอยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น กลับไปเร็ว หนิงเหยายังไม่กลับมา ไปนั่งบื้ออยู่คนเดียวที่นั่น เห็นได้ชัดว่าเจตนาของตนไม่ดี ชัดเจนว่าใจร้อนคิดอยากกินเต้าหู้ร้อน กลับถึงสายไปก็ไม่เหมาะ เห็นได้ชัดว่าไม่ใส่ใจ
“ใช่แล้ว พี่ใหญ่เฉินตอนนี้ท่านอายุเท่าไรแล้ว? เซียนกระบี่ที่อายุน้อยทั้งยังรูปโฉมหล่อเหลาเช่นท่าน พี่สะใภ้ได้ท่านมาเป็นคู่บำเพ็ญเพียรก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย”
“อายุไม่มาก ตอนนี้เจ้าขอบเขตอะไรแล้ว?”
“ข้าหรือ ยังไม่ถึงขอบเขตหยกดิบเลย”
“ใช้ได้ๆ”
“พี่ใหญ่เฉิน พี่สะใภ้เป็นสตรีที่งดงามถึงเพียงนั้น ขอบเขตก็สูง ท่านต้องระวังหน่อยนะ บุรุษที่ชอบนางทั้งในที่ลับและที่แจ้งต้องมีมากมายแน่นอน คิดจะนับก็นับไม่หวาดไม่ไหวหรอก”
“ตวนหมิงอ่า เจ้าอายุยังน้อยเกินไป เรื่องบางอย่างจึงไม่เข้าใจแล้ว สตรีอย่างภรรยาของข้านี้ บุรุษทั่วไปล้วนไม่กล้าชอบ ต่อให้แอบหลงรักก็ยังได้แต่แอบเก็บไว้ในใจเท่านั้น อืม แต่กลับมีเจ้าคนไม่กลัวตายอยู่คนหนึ่ง สุดท้ายก็ถูกข้าตีหัวสลบเอาไปแขวนไว้บนต้นไม้แล้ว”
“ใครกัน ใจกล้าจนไร้ขอบเขตเช่นนี้ พี่ใหญ่เฉินท่านบอกชื่อมา เดี๋ยววันหน้าน้องชายจะช่วยจัดการให้ท่านเอง”
“บังเอิญจริง ทุกวันนี้เขาก็เป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงพอดี”
“ใครกัน ตำแหน่งขุนนางใหญ่หรือไม่? อยู่ที่ตรอกอี้ฉือหรือถนนฉือเอ๋อร์หรือไม่?”
“เขาชื่อจ้าวเหยา ตำแหน่งขุนนางไม่ถือว่าใหญ่เท่าไร เพิ่งจะเป็นรองเจ้ากรมอาญาของเมืองหลวงพวกเจ้า ดูเหมือนว่าบ้านจะอยู่ที่ตรอกอี้ฉือของพวกเจ้านี่เอง”
“…”
“แค่นี้ก็กลัวแล้วหรือ? ไหนบอกว่าสกุลจ้าวหม่าเฟิ่น (หม่าเฟิ่นแปลว่าขี้ม้า) ไม่ยี่หระสิ่งใดมากที่สุด คือคำด่าคนในวงการขุนนางต้าหลีไม่ใช่หรือ เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ใช่ ต้องเป็นคำชมถึงจะถูก แต่ข้าว่าเจ้าน่ะ ไม่ใช่เลย”
“พี่ใหญ่เฉินท่านพูดตลกหรือไร ก็แค่รองเจ้ากรมอาญาคนหนึ่งเท่านั้น ข้าอยากขอให้เขามาด้วยซ้ำ ขอให้เขามาเลย!”
“อ้าว รองเจ้ากรมจ้าว บังเอิญขนาดนี้เชียว ผ่านทางมาพอดีหรือ”
เด็กหนุ่มหันขวับไปมอง มีรองเจ้ากรมจ้าวกับผายลมอะไรกัน ไม่มีผีสักตัว เด็กหนุ่มหัวเราะดังลั่น “เขามาสิถึงจะดี เป็นขุนนางใหญ่ ทว่าก็เป็นบัณฑิตที่สุภาพบอบบางเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่ ข้าไม่ต้องร่ายวิชาอภินิหารอะไรด้วยซ้ำ แค่ปล่อยหมัดหนึ่งออกไป ตามไปด้วยอีกเท้าหนึ่ง ก็ทำให้เขาเดินมาจากตรงไหนก็ต้องนอนกลับไปตรงนั้นได้แล้ว…”
เฉินผิงอันตบไหล่เด็กหนุ่ม กลั้นยิ้มเอ่ย “หยุดก่อน รองเจ้ากรมจ้าวมาจริงๆ หากเจ้ายังพูดต่อไปเดี๋ยวจะถูกเขาได้ยินเข้า ไอ้หมอนี่ใจแคบ ชอบจดจำความแค้น”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแรง “เป็นลูกผู้ชายตัวโตๆ อาฆาตแค้นคนอื่นไม่ดีเลยจริงๆ ไม่ใจกว้างมากพอ”
เฉินผิงอันพูดเออออตาม “เกินครึ่งคงเป็นเพราะยังฝึกฝนจิตใจได้ไม่เพียงพอ”
หนิงเหยากลับไปถึงโรงเตี๊ยมอย่างเงียบเชียบ จงใจอำพรางร่องรอย เวลานี้จึงยังนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะอย่างเกียจคร้านพลางแอบฟังบทสนทนาในตรอกเล็กไปด้วย ฟังแล้วนางก็คลี่ยิ้ม
น่าสงสารเด็กหนุ่มคนนั้นที่ไม่รู้ว่าถูกเจ้าหมอนั่นหลอกลงคูลงคลองเส้นไหนไปแล้ว
เฉินผิงอันเดินออกมาจากในตรอกเล็ก รวบชายแขนเสื้อหยุดยืนนิ่ง รอคอยให้ศิษย์หลานคนนั้นเดินเข้ามาใกล้
ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าศิษย์หลานของตนจะค่อนข้างมีเยอะ ฮ่องเต้ที่อยู่ในวัง รองเจ้ากรมอาญาที่อยู่ตรงหน้า แล้วยังมีอู๋ยวนอดีตนายอำเภอคนแรกของอำเภอไหวหวง
——