กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 842.1 ผู้ฝึกกระบี่คนใหม่
เฉินผิงอันคิดว่าจะไปขอรายงานขุนเขาสายน้ำมาจากผู้ฝึกตนเฒ่าหลิวเจีย ทั้งของในทวีปและของทวีปอื่น ยิ่งมากยิ่งมีประโยชน์
คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางที่ไปตรอกเล็กจะมีขุนนางอายุน้อยจากศาลหงหลูคนหนึ่งเป็นฝ่ายมาหาเฉินผิงอันด้วยตัวเอง ระดับขุนนางไม่สูง ขั้นเก้าชั้นโท เพิ่งจะเลื่อนเป็นขุนนางน้ำใส ทว่าตอนนี้รับหน้าที่อยู่ในกองงานวัดหลวงและทำงานในหน่วยถีเตี่ยน แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ตบะขอบเขตชมมหาสมุทร เขาส่งมอบป้ายขุนนางทำจากไม้แผ่นหนึ่งให้เฉินผิงอันอย่างนอบน้อม ภาษาทางการต้าหลีที่พูดออกจากปากของเขาติดสำเนียงของเขตสวินโจวมาเล็กน้อย บอกว่าซื่อชิง (ชื่อตำแหน่งขุนนางอย่างหนึ่ง) ออกคำสั่งด้วยตัวเอง ให้ตนรับผิดชอบมารับรองอาจารย์เฉิน หากมีธุระอะไรก็ให้เรียกหาเขา เรียกแล้วจะมาทันที นอกจากแผ่นไม้ป้ายขุนนางแล้วยังมีกล่องกระบี่ไม้โบราณเรียบง่ายเล็กกะทัดรัดอีกใบหนึ่งที่แกะสลักอักษรเดียวเป็นคำว่า ‘ฟ้า’ ขนาดแค่ฝ่ามือเท่านั้น ส่วนตัวของขุนนางหนุ่มเองก็มีกล่องไม้ที่แกะสลักอักษรคำว่า ‘ดิน’ เพื่อสะดวกให้ทั้งสองฝ่ายส่งกระบี่บินแจ้งข่าวกัน
คนหนุ่มมีชื่อว่าสวินชวี่ มีสง่าราศี คือจิ้นซื่ออันดับรองของการสอบครั้งล่าสุด
ถนนหนันซวินที่ตั้งอยู่ฝั่งขวามือของระเบียงพันก้าวมีที่ว่าการตั้งเรียงราย ศาลหงหลูก็เป็นสถานที่หนึ่งในนั้น เป็นเพื่อนบ้านกับที่ว่าการกรมโยธาของกวนอี้หราน
เฉินผิงอันมองแผ่นไม้ป้ายขุนนางแผ่นนั้น หน้าตรงของแผ่นป้ายเป็นคำว่าศาลหงหลู ซวี่ปัน (ชื่อตำแหน่งขุนนาง) ด้านหลังคือให้ความเคารพแก่ขุนนางที่พกป้ายนี้ หากเป็นผู้ไร้ป้ายต้องลงโทษตามกฎ คนที่ขอยืมกับคนที่ให้ยืมมีบทลงโทษเดียวกัน ไม่ต้องใช้ตอนออกจากเมือง
แค่มองตัวอักษรก็รู้ว่าเป็นลายมือของเจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ย ในความเป็นจริงแล้วจารึกหินต้องห้ามของที่ว่าการน้อยใหญ่ในหนึ่งแคว้นก็มาจากลายมือของเจ้าประมุขสกุลจ้าวทั้งสิ้น
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังประหลาดใจว่าไฉนราชสำนักต้าหลีถึงส่งขุนนางตัวเล็กๆ ของศาลหงหลูที่รับหน้าที่ด้านการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาในเมืองหลวงชั่วคราวมาคอยติดตามตน ไม่ว่าจะเป็นที่ว่าการที่คนหนุ่มอยู่ หรือระดับขั้นตำแหน่งขุนนาง ขอบเขตของผู้ฝึกตน อันที่จริงล้วนไม่เหมาะสม กระทั่งได้ยินชื่อของคนหนุ่มถึงได้เข้าใจความคิดที่ซุกซ่อนอยู่ของราชสำนักต้าหลี สวินชวี่มีชาติกำเนิดจากตระกูลยากจนในพื้นที่ของแคว้นใต้อาณัติต้าหลี ประเด็นสำคัญคือเป็นเพื่อนรักที่ถูกชะตากันมากกับเฉาฉิงหล่างลูกศิษย์ของตน ปีนั้นตอนที่เฉาฉิงหล่างมาเข้าร่วมการสอบที่เมืองหลวงก็เคยเข้าพักอยู่ในวัดของเมืองหลวงร่วมกับสวินชวี่ คนยากจนสองคนมีความสุขท่ามกลางความยากลำบาก เวลาว่างนอกเหนือจากการอ่านตำรา คนทั้งสองก็มักจะไปเดินเล่นตามตลาดที่มีร้านขายหนังสือ ร้านขายเครื่องเขียนของโบราณอยู่มากมายเป็นประจำ เพียงมองดูไม่ซื้อหา
ตอนที่เฉาฉิงหล่างอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ในบรรดาคนวัยเดียวกันที่เข้าร่วมการสอบเคอจวี่และสหายร่วมงานในวงการขุนนางก็เคยพูดถึงแค่สวินชวี่คนเดียวเท่านั้น ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจดจำชื่อของคนรุ่นเดียวกันในวงการขุนนางของลูกศิษย์คนนี้ได้
ใบหน้าของเฉินผิงอันมีรอยยิ้มเพิ่มมากขึ้น มอบป้ายขุนนางที่เป็นแผ่นไม้คืนให้กับสวินชวี่ พูดหยอกล้อว่า “รออีกสองสามวันเมื่อข้ามีเวลาว่าง พวกเราก็ไปเที่ยวที่โรงหลิวหลีทางตะวันตกด้วยกันสักรอบ เรื่องของการซื้อตำราและตราประทับต้องเป็นศาลหงหลูที่ควักเงินจ่าย ถึงเวลานั้นหากเจ้ามีตำราหายาก ตำราสมบูรณ์แบบและอักษรแกะสลักของนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงชิ้นใดที่หมายตาไว้แต่แรกแล้วก็ส่งสายตาบอกข้าเป็นนัย ซื้อมาให้หมด หลังกลับมาข้าค่อยมอบให้เจ้า ย่อมไม่ถือว่าเจ้าเอาผลประโยชน์ส่วนตัวมาเบียดบังส่วนรวม ฮุบเงินกองกลางเข้ากระเป๋าตัวเอง”
สวินชวี่พยักหน้า เข้าใจแล้ว มิน่าเล่าเฉาฉิงหล่างถึงไม่ได้คร่ำครึหัวโบราณเช่นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องอะไรเขาล้วนหัวไวปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ทุกเรื่องล้วนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ที่แท้ก็เรียนรู้มาจากอาจารย์ของเขานี่เอง
แต่อาจารย์เฉินท่านนี้เข้ากับคนอื่นได้ง่ายมากกว่าที่ตนจินตนาการไว้เยอะเลย
เฉินผิงอันเก็บกล่องกระบี่ใบเล็กใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “สวินซวี่ปัน มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องขอให้เจ้าช่วยจริงๆ ช่วยส่งรายงานบนภูเขาทั้งหลายมาที่เรือนแห่งนี้ที ยิ่งมากยิ่งดี”
สวินชวี่ขอตัวลากลับไปทันที บอกว่าตนจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้ อาจารย์เฉินอาจต้องรอประมาณหนึ่งชั่วยาม
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไปที่ตรอกเล็ก บอกกับหลิวเจียไว้ก่อนว่าหลังจากนี้ไม่ต้องขวางคนหนุ่มที่ชื่อว่าสวินชวี่จากศาลหงหลู ผู้ฝึกตนเฒ่าย่อมไม่มีความเห็นต่าง ก็แค่ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง ขวางไว้ก็ไม่มีความรู้สึกประสบความสำเร็จใดๆ
เฉินผิงอันไปถึงเรือนของศิษย์พี่ ไม่ได้ปิดประตู ไปเลือกหาตำราสี่ห้าเล่มมาจากหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น อดทนรอคอยให้คนหนุ่มเอารายงานมาส่งให้อย่างใจเย็น
ยังเหลืออีกหนึ่งก้านธูปก่อนจะครบหนึ่งชั่วยาม รถม้าคันหนึ่งก็มาจอดใกล้กับตรอกเล็ก สวินชวี่ลงจากรถม้า เดินเข้ามาในตรอกเล็ก เรียกอาจารย์เฉินที่หน้าประตูเบาๆ ในมือของคนหนุ่มถือถุงกระดาษไว้ใบหนึ่ง เฉินผิงอันเดินมาที่หน้าประตู ไม่ได้เชิญให้ขุนนางหนุ่มเข้าไปในบ้าน สวินชวี่มองประตูเรือนแวบหนึ่งแล้วคารวะอย่างนอบน้อมก่อนจากไป เฉินผิงอันกลับไปที่หอหนังสือ นั่งลงบนเก้าอี้กลมไม้หวงฮวาหลีที่ผลิตจากเขตตันโจว เปิดถุงออกก็สังเกตเห็นว่านอกจากรายงานขุนเขาสายน้ำสิบกว่าฉบับที่มาจากสำนักต่างๆ ของใต้หล้าไพศาลแล้วยังมีรายงานของราชสำนักที่มาจากที่ว่าการหกกรมของราชสำนักต้าหลีด้วย
ตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ห่างจากตรอกหนันซวินที่มีที่ว่าการมากมายและตรอกเคอเจี่ยไม่ไกลนัก สวินชวี่ไปกลับหนึ่งรอบใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม นี่หมายความว่ารายงานยี่สิบกว่าฉบับนี้เก็บรวบรวมมาได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นอกจากรายงานขุนเขาสายน้ำที่อยู่ในการปกครองของกรมพิธีการซึ่งเก็บรวบรวมมาได้ง่ายแล้ว ศาลหงหลูยังต้องแวะเวียนไปเยือนที่ว่าการใหญ่ที่ปิดประตูอย่างแน่นหนาอีกเจ็ดแปดแห่ง ส่วนการที่เป็นฝ่ายนำรายงานของราชสำนักมามอบให้ด้วยตัวเองนั้นจะเป็นคำเสนอแนะของตัวสวินชวี่เอง หรือเป็นความต้องการของซื่อชิงแห่งศาลหงหลู เฉินผิงอันเดาว่าความเป็นไปได้ของฝ่ายแรกมีมากกว่า เพราะถึงอย่างไรสามคำว่าไม่แบกรับหน้าที่ก็คือหนึ่งในความรู้อันดับต้นๆ ของการปฏิบัติงานอยู่ในที่ว่าการ
ตอนที่เฉินผิงอันเปิดอ่านรายงานของสำนักซานไห่ หัวคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น ไม่เข้าใจว่าตัวเองไปหาเรื่องสำนักใหญ่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หากจะบอกว่าครั้งก่อนถูกหลี่เซิ่งโยนไปไว้ที่นั่น ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอันธพาลที่บุกฝ่าตราผนึกของสำนักเข้าไปโดยพลการ ก็เลยถูกอาฆาตแค้น? แต่ก็ไม่เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น บรรพจารย์หญิงเปิดขุนเขาที่มีนามว่าน่าหลันเซียงซิ่วซึ่งชอบสูบยาคนนั้น มองดูแล้วเป็นคนที่พูดคุยด้วยได้ง่ายมาก แต่สุดท้ายแล้วรายงานแรกที่เป็นฝ่ายเปิดเผยนามของตนกลับมาจากสำนักซานไห่ เกินครึ่งคงเพราะถูกอาเหลียงทำให้เดือดร้อนตนจึงติดร่างแหไปด้วย? หรือเป็นเพราะในอดีตศิษย์พี่ชุยฉานเคยทำให้เทพธิดาคนหนึ่งของสำนักซานไห่เสียใจ? ตนที่เป็นศิษย์น้องก็เลยถูกเกลียดขี้หน้าไปด้วย?
อยู่ๆ ก็มีลมเย็นระลอกหนึ่งพัดเข้ามาในหอหนังสือ บนโต๊ะหนังสือมีเหล้าหมักร้อยบุปผาสิบสองกาหล่นลงมาทันที แล้วยังมีเสียงของเฟิงอี๋ที่สอดแทรกอยู่ในสายลมเย็นฉ่ำดังขึ้น “เดิมพันกับเหวินเซิ่ง ข้ากล้าเดิมพันก็กล้ายอมรับความพ่ายแพ่ จึงเอาเหล้าหมักร้อยบุปผาสิบสองกามามอบให้เจ้า”
เฉินผิงอันถาม “อาจารย์ของข้าออกไปจากศาลเทพอัคคีแล้วหรือ?”
เฟิงอี๋ตอบ “ไปแล้ว ข้าช่วยไปส่งเหวินเซิ่งระยะทางหนึ่ง พาเขาไปยังชายหาดทะเลตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป”
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “หากเฟิงอี๋เสียดายสุรา ก็เชิญเอาเหล้าหมักร้อยบุปผากลับไปได้เลย ถือเสียว่าเป็นของขวัญขอบคุณจากผู้เยาว์”
เฟิงอี๋ตอบ “ไม่ต้อง ข้ายังมีเหล้าหมักร้อยบุปผาอีกร้อยกว่าไห ขาดไปแค่สิบสองไหก็ไม่เห็นจะเป็นไร”
เฉินผิงอันจดจำเอาไว้ ร้อยกว่าไห
ความคิดส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันกลับอยู่บนรายงานจากทางการทั้งหลายมากกว่า เขาฟุบตัวลงบนโต๊ะ หยิบเอาเหล้าหมักร้อยบุปผาที่เปิดไว้แล้วตอนอยู่ในศาลเทพอัคคีออกมาพร้อมกับถั่วเหลืองโรยเกลือหนึ่งจาน อ่านรายงานไปอย่างเพลิดเพลิน
หยวนไหว้หลางแห่งกรมกลาโหมของเมืองหลวงแห่งที่สองนามว่าหลี่ฉุย เชี่ยวชาญกิจธุระด้านน้ำ ได้วาดภาพลักษณะชัยภูมิที่ดีของลำน้ำต่าวตู๋ เพียงแต่ว่างานก่อสร้างนี้ใหญ่มาก เกี่ยวพันไปถึงการเปลี่ยนเส้นทางของแม่น้ำลำคลองหลายเส้นที่อยู่ใกล้เคียงกับลำน้ำใหญ่ จึงยังต้องให้ทางราชสำนักส่งคนไปสำรวจสถานที่จริง มีขุนนางเสนอให้ใช้ไม้ใหญ่ของเขตอวี้จางจังหวัดหงโจว ทุกวันนี้พวกเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวงมีความต้องการมากเกินขอบเขต เป็นเหตุให้ไม่อาจสั่งห้ามคนที่ขโมยตัดไม้ต้นใหญ่ได้อย่างเด็ดขาด เป็นเหตุให้ระหว่างขุนนางกับโจรมักจะเกิดการตีรันฟันแทงกันเป็นประจำ อาณาเขตของจังหวัดอวิ้นโจวของแคว้นหวงถิงแคว้นใต้อาณัติพบเจอลำธารเส้นหนึ่งยาวห้าสิบลี้ ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้ ลักษณะของน้ำยอดเยี่ยมมีรสหวานเหมือนน้ำพุ เมื่อผ่านการตรวจสอบจากนักสำรวจชัยภูมิของกองโหราศาสตร์ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นซากปรักวังมังกรแห่งหนึ่งของแคว้นสู่โบราณ อู้โจวมีภูเขารังไหม เมื่อปลายปีก่อนเครื่องทอมีมากถึงหนึ่งพันสองร้อยเครื่อง ผลผลิตประจำปีคือสามหมื่นผืน ราชสำนักจะสามารถพิจารณาใหม่ได้หรือไม่ว่าควรจะจัดตั้งโรงทอผ้าไว้ที่นี่หรือไม่ กรมพิธีการมีขุนนางชื่อว่าหวังชินรั่วเสนอให้มีการรวบรวมทำเนียบตระกูล ทำเนียบสายรองของหนึ่งแคว้นขึ้นมา รวมไปถึงจ่งสือ จือสือและเฟินสือซึ่งเป็นศาลบรรพชนของอำเภอ เขตและจังหวัดทั้งหมดขึ้นมา กรมกลาโหมมีคนเสนอว่าให้ตัดจุดพักม้าส่วนหนึ่งออก ลดจำนวนเสมียนลง หลีกเลี่ยงไม่ให้ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำที่พร้อมปฏิบัติงานชั่วคราว และมีการอธิบายข้อดีข้อเสียของเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียด…
อ่านรายงานจบ เฉินผิงอันก็เก็บรายงานทั้งหมดใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งอยู่บนเก้าอี้กลมหลับตาทำสมาธิ เพ่งจิตรวมเป็นหนึ่ง ดวงจิตเมล็ดงาดวงหนึ่งก็เริ่มออกสำรวจช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตใหญ่ทั้งหลายในฟ้าดินเล็ก
พอไปถึงจวนวารี หน้าประตูแปะภาพเทพทวารบาลของ ‘เทพพิรุณ’ ลงสีใบหน้าพร่าเลือนไว้สองภาพ พอจะมองออกคร่าวๆ ว่าเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง พวกคนจิ๋วชุดสีเขียวมรกตที่อยู่ด้านในมองเห็นเฉินผิงอัน แต่ละคนก็ลิงโลดกันสุดขีด และยังมีบางส่วนที่ยังเมามายอยู่บ้าง เพราะเมื่อครู่นี้เฉินผิงอันเพิ่งดื่มเหล้าหมักร้อยบุปผาไปหนึ่งกา ในจวนวารีจึงมีฝนรสหวานที่เปี่ยมไปด้วยโชคชะตาน้ำตกลงมาอีกครั้ง เฉินผิงอันยิ้มพลางเอ่ยทักทายพวกมัน มองดูภาพลำน้ำใหญ่บนฝาผนังของจวนวารี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกแต้มนัยน์ตายิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ มีชีวิตชีวาสมจริง แต่ละรูปถูกวาดลงสีไว้บนผนังประหนึ่งร่างจริงของทวยเทพ เนื่องจากมหามรรคาใกล้ชิดกับสายน้ำ ปีนั้นตอนที่อยู่บนทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่าได้หลอมตราประทับอักษรน้ำ บังเอิญเจอกับ ‘ระบบการถ่ายทอด’ เวทน้ำที่หาได้ยากยิ่งชนิดหนึ่ง ซึ่งก็คือตัวอักษรที่เกิดจากการรวมตัวกันของคนจิ๋วชุดเขียวพวกนี้ แท้จริงแล้วก็คือคาถาที่สูงส่งมหัศจรรย์ยิ่งบทหนึ่ง สามารถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดโดยตรงได้เลย หรือจะให้เป็นการสืบทอดของศาลบรรพจารย์ในภูเขาจวนเซียนแห่งหนึ่งก็ได้ เป็นเหตุให้ตอนนั้นฟ่านจวิ้นเม่ายังเข้าใจผิดคิดว่าเฉินผิงอันคือเทพพิรุณองค์ใดกลับชาติมาจุติบนโลก
สองมือของเฉินผิงอันสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งยองอยู่ริมบ่อน้ำ ยิ้มพูดคุยกับพวกคนจิ๋วชุดเขียวที่ตัวโตกว่าคนอื่นเล็กน้อย “ตอนนั้นพวกเราตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันหน้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปยังตำหนักปี้โหยวของเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอ ผลคือถูกถ่วงเวลามานานขนาดนี้ พวกเจ้าอย่าได้กล่าวโทษกันเลย คราวหน้าที่ภูเขาลั่วพั่วเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างไว้ที่ใบถงทวีป ข้าก็จะส่งพวกเจ้ากลับบ้าน”
พวกเด็กๆ ชุดเขียวทั้งดีใจทั้งเสียใจ
ในปีนั้นหลังจากที่เลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกร เฉินผิงอันก็ได้นำกระบี่โบราณบรรพกาลสองเล่มที่แลกเปลี่ยนมาจากเทวบุตรมารนอกโลกมาหลอมเป็นเจียวหลงสองตัวที่อยู่ในสระ ‘บ่อมังกร’ แห่งนี้ และเจียวหลงโชคชะตาน้ำตัวแรกสุดที่เกิดจากการจำแลงของโอสถวารีก็ได้ถูกเฉินผิงอันนำไปหลอมเป็นไข่มุกแห่งชะตาน้ำเม็ดหนึ่ง สุดท้ายในจวนวารีแห่งนี้นอกจากตราประทับอักษรน้ำและภาพลำน้ำใหญ่แล้ว จึงยังมีสระมังกรที่มังกรคู่หนึ่งไล่ตามไข่มุกอยู่ด้วย
เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักร้อยบุปผาสองกาออกมาจากในชายแขนเสื้อ เอาวางไว้ข้างสระน้ำที่ระดับขั้นยังเป็นเพียง ‘บ่อมังกร’ ชั่วคราว แกะกระดาษแดงเปิดผนึกดินออก เจียวหลงสองตัวหนึ่งดำหนึ่งขาวยื่นหัวโผล่ออกมาจากบ่อน้ำ ใช้ท่วงท่าของมังกรสูบน้ำมาดื่มสุรา เพียงแต่ว่าดูเหมือนพวกมันจะไม่ค่อยกล้าสบตากับเจ้านายอย่างเฉินผิงอันมากนัก
ออกมาจากจวนวารี เฉินผิงอันไปที่ศาลภูเขา โปรยดินหมื่นปีที่พื้นที่มงคลร้อยบุปผาใช้ผนึกสุราไว้ที่ตีนเขาแล้วใช้มือกดให้แน่นเบาๆ
ภูเขาและน้ำอิงแอบแนบชิด น้ำสะสมกลายเป็นหุบเหวเจียวหลงถือกำเนิด ดินสะสมกลายเป็นภูเขาลมฝนบังเกิด นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์และเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักอักษรจงถึงได้พยายามรวบรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุให้ครบถ้วน ผู้ฝึกลมปราณสิบเอ็ดคนของสายแผนภูมิดินก็ยิ่งเป็นเช่นนี้กันทุกคน ลูกรักแห่งสวรรค์ที่ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องเงินเทพเซียนและวัตถุดิบวิเศษบนเส้นทางของการฝึกตนกลุ่มนี้ วัตถุแห่งชะตาชีวิตบางชิ้นที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดยังเป็นสมบัติหนักบนภูเขาที่มีระดับเป็นอาวุธกึ่งเซียนด้วยซ้ำ ลองจินตนาการถึงตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าดู ในอดีตเรียกได้ว่าพวกเขาร่ำรวยเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของทวีป มีช่องทางในการหาเงินหาทอง สะสมทรัพย์สมบัติอย่างยากลำบากมาหลายพันปี กว่าจะมีอาวุธกึ่งเซียนสามชิ้นเป็นฐานกำลังทรัพย์ให้กับตระกูลได้กลับไม่ง่ายเลย
เฉินผิงอันคิดว่าจะบอกกล่าวหนิงเหยาที่อยู่โรงเตี๊ยมสักคำ บอกว่าวันนี้ตนจะฝึกตนอยู่ในเรือนแห่งนี้ เขาจึงเดินอ้อมโต๊ะมาที่หน้าประตูห้อง ลองเรียกนางดู “หนิงเหยา ได้ยินหรือไม่?”
——