กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 842.4 ผู้ฝึกกระบี่คนใหม่
การปรากฏตัวของเฉินผิงอัน การประมือสามครั้งก่อนหลัง หากว่ากันในบางระดับแล้ว อันที่จริงก็เหมือนการ ‘เสริมในส่วนที่ขาด’ มากกว่า ช่วยให้ผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินได้ซ่อมแซมแก้ไขข้อบกพร่องเล็กน้อยส่วนสุดท้ายในจิตแห่งมรรคาของแต่ละคน
เฉินผิงอันชี้ปไปยังถุงหอมที่ห้อยอยู่ตรงเอวของโจวไห่จิ้ง อธิบายว่า “ถุงหอมใบนี้ เกินครึ่งคงเป็นของของนางเอง ไม่เกี่ยวกับการค้า เพราะหากอิงตามขนบธรรมเนียมชาวประมงริมทะเลในแคว้นใต้อาณัติของนาง เมื่อสตรีสวมถุงหอมแพรต่วนที่ปักลายนกนางแอ่นของ ‘ช่วงเวลาดอกไม้บาน’ ก็คือถุงหอมที่สตรีแต่งงานออกเรือนแล้วจะแขวนไว้บนร่าง เพื่อแสดงให้เห็นว่าทั้งกายและใจของนางมีเจ้าของแล้ว”
หนิงเหยาพยักหน้า “ขนบธรรมเนียมนี้น่าสนใจมาก”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “อันที่จริงข้าก็คิดไว้เหมือนกันว่าวันใดที่ได้ไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและใต้หล้ามืดสลัวแล้ว ก็จะเขียนตำราที่คล้ายคลึงกับจารึกทะเลภูเขาบทเสริมขึ้นมาเล่มหนึ่ง แนะนำถึงขนบธรรมเนียมประเพณีและผู้คนของแต่ละสถานที่โดยเฉพาะ เขียนอธิบายอย่างละเอียด หลายล้านตัวอักษร เป็นผลงานชิ้นใหญ่ ไม่ขายให้บนภูเขา แต่ทำการค้าในตลาดล่างภูเขาโดยเฉพาะ สอดแทรกเรื่องเล่าแห่งขุนเขาสายน้ำที่ได้ยินได้ฟังมาเข้าไปด้วย คาดว่าน่าจะดีกว่านิทานเรื่องเล่าประหลาดเยอะเลย เอากำไรน้อย เน้นขายให้ได้ปริมาณมาก เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาว”
หนิงเหยาผงกปลายคางชี้ไปที่ผู้ฝึกยุทธหญิงที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเครื่องประทินโฉม “พวกเจ้าสามารถร่วมมือกันทำการค้าได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าดีกว่า แค่การถามหมัดครั้งนี้ข้ายังไม่สนใจจะดูเลย”
เฉินผิงอันขยับที่นั่ง รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย ทิ้งตัวนอนหงายหลัง วางศีรษะพาดไว้บนตักของหนิงเหยา เอ่ยว่า “ตีกันเสร็จแล้วบอกข้าหน่อย ข้าจะพาเจ้าไปหาอะไรกิน”
หลับตาลง เฉินผิงอันที่คิดจะงีบพักถึงกับหลับไปจริงๆ ทั้งอย่างนี้
ซ่งจี๋ซินออกจากจวนอ๋องของเมืองหลวงสำรอง ไปเยือนป๋ายอวี้จิงจำลองก่อนรอบหนึ่ง
หลังจากนั้นที่เมืองหลวงสำรองก็มีกระบี่บินแยกกันส่งข่าวไปยังวังหลวงและกรมพิธีการของต้าหลี จากนั้นซ่งจี๋ซินก็นั่งเรือทหารชายแดนลำหนึ่งมุ่งหน้ามายังเมืองหลวง
ตามกฎของต้าหลี อ๋องจากพื้นที่ศักดินาเข้าเมืองหลวง ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายตามแต่ใจ แล้วก็เพราะว่าซ่งจี๋ซินคืออ๋องเจ้าเมืองที่กุมอำนาจมากที่สุด พันธนาการของเขาจึงมากยิ่งกว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้เมืองหลวงแห่งที่สองและเมืองหลวงของต้าหลีก็คล้ายจะมีการคุมเชิงระหว่างเหนือและใต้อยู่กลายๆ แล้ว
ระหว่างที่เรือข้ามฟากเดินทางขึ้นเหนือได้รับจดหมายตอบกลับฉบับหนึ่งมาจากฮ่องเต้ต้าหลี บอกให้ซ่งมู่นำเรือขุนเขาข้ามฟากทั้งหลายมุ่งหน้าไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างก่อน เพื่อไปรวมตัวกับเสด็จอา
อันที่จริงราชโองการลับฉบับนี้ ฮ่องเต้มีความหมายเพียงอย่างเดียว เจ้าซ่งมู่มิอาจเข้าเมืองหลวงมาโดยพลการได้
ซ่งจี๋ซินได้รับจดหมายลับแล้วก็ทำเป็นว่าไม่เคยได้อ่าน เดินทางไปยังเมืองหลวงที่อยู่ทางทิศเหนือต่ออีกครั้ง ซ่งมู่อ๋องเจ้าพื้นที่ศักดินาไม่สะดวกจะเข้าเมืองหลวง แต่คนที่เป็นบุตรชายจำต้องเดินทางมาเยือนในครั้งนี้ ต่อให้ต้องฉีกหน้าแตกหักกับเฉินผิงอันอย่างสิ้นเชิง ซ่งจี๋ซินก็ต้องขัดขวางไม่ให้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดนั้นเกิดขึ้น
ข้างกายเขามีสาวใช้จื้อกุยยืนอยู่ นางถามว่า “จะทำแบบนี้จริงๆ หรือ? ระวังว่ายังไม่ทันได้แตกหักกับเฉินผิงอันเจ้าก็ต้องผิดใจกับฮ่องเต้เสียก่อน”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้า พูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “มักจะมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้คนไร้ทางเลือกเสมอ”
ใต้หล้ามืดสลัว อารามเสวียนตูใหญ่
มีนักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะคนหนึ่งเอาสองมือยันอยู่บนหัวกำแพง โผล่มาแค่ศีรษะ สองเท้าลอยกลางอากาศ ยืดคอมองไปข้างใน
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งปรากฏตัวจากความว่างเปล่าอยู่ในกำแพง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เลิกมองได้แล้ว ไม่มีอาจมให้เก็บกินหรอก หากเจ้าอยากกินจริงๆ ก็ยังมีที่ร้อนๆ อยู่ ข้าจะพาเจ้าไปกินของสำเร็จรูปเลยดีไหม?”
เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีนักพรตน้อยบางส่วนที่เพิ่งจะฝึกตน ดังนั้นในอารามเต๋าบ้านตนจึงยังต้องมีห้องส้วม เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะพอให้แขกผู้นี้กินอิ่มหรือไม่
แขกสูงศักดิ์มาเยือนถึงบ้าน ต้องรับรองให้ดีด้วยมารยาทพร้อมสรรพ
นักพรตหนุ่มส่ายหน้า “ช่างเถิด ตอนนี้ข้ายังไม่หิว”
คนหนึ่งคือเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามเสวียนตูใหญ่
อีกคนหนึ่งคือเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิง
สองฝ่ายเจอหน้าพูดคุยกันก็มักจะมีกลิ่นอายเซียนล่องลอยแบบนี้เสมอ
นักพรตซุนถาม “ในเมื่อไม่มีธุระให้ต้องทำ แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
ลู่เฉินยิ้มหน้าเป็น “เจ้าเดาสิ?”
นักพรตซุนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่เดา”
ลู่เฉินกล่าว “ข้าก็แค่เห็นว่าความเคลื่อนไหวของที่นี่ค่อนข้างรุนแรงก็เลยรีบวิ่งมาแสดงความยินดีกับป๋ายเหย่และเจ้าอารามผู้เฒ่าไม่ใช่หรอกหรือ”
นักพรตซุนขมวดคิ้ว “เจ้าไม่เคยไปอยู่ฟ้านอกฟ้าเลยรึ? แม้แต่อวี๋โต้วตายไปแล้ว เจ้าก็ยังไม่สนใจ?”
ลู่เฉินหัวเราะคิกคักไม่เอ่ยคำใด
นักพรตซุนลูบหนวดยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าหายกันแล้ว อารามเสวียนตูกับป๋ายอวี้จิง ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องแสดงความยินดีกับใคร”
ชุนฮุยนักพรตหญิงที่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูของอาราม กระทั่งถึงบัดนี้นางถึงเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของเจ้าลัทธิสามท่านนี้ นางเดินออกไปนอกอาราม มาที่ถนน ตวาดเสียงหนัก “ไสหัวลงมา!”
ลู่เฉินหันหน้ามามองนาง “ไม่ซะอย่าง”
นักพรตซุนใช้เสียงในใจบอกเตือนนางว่าไม่ต้องสนใจขนมหนิวผีถัง (หรือขนมงาอ่อน เปรียบเปรยถึงคนที่ติดหนึบ ชอบเซ้าซี้คนอื่น) จุ่มขี้หมาก้อนนี้
ลู่เฉินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “แค่ฟูมฟักกระบี่บินเล่มแรกออกมาได้ก็มีภาพบรรยากาศระดับนี้แล้ว ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาเพิ่งจะเคยมี ไม่เสียแรงที่เป็นป๋ายเหย่”
นักพรตซุนยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ทำได้เหมือนกันนะ พวกเราสองพี่น้องสนิทกันขนาดนี้ ขอแค่เจ้ายินดีสละมรรคา ข้าจะยอมแหกกฎ ทำหน้าหนาไปช่วยปกป้องมรรคาให้เจ้าที่ป๋ายอวี้จิงครั้งหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติของเจ้าน้องลู่เฉิน ไปเกิดใหม่มาเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนแค่ยกมือกวักเรียกมาหรอกหรือ ถึงเวลานั้นฟ้าคำรามครืนครั่น ใต้หล้าทั้งหลายล้วนได้ยินกันหมด ไม่แน่ว่าอาจทำให้โจวมี่ตกใจตายเลยก็เป็นได้”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
“ลองดูสิ ลองดูสิ”
“ช่างเถิด ช่างเถิด”
“ไม่ห้าวหาญขนาดนี้เชียวหรือ? น้องลู่เฉินผู้กล้าหาญชาญชัยไร้ใครเทียบเคียงในใจของข้าคนนั้นไปตายที่ไหนแล้วเล่า?”
“ถุยๆๆ ไม่ตายๆ ไม่มีเรื่องแบบนั้น ไม่มีเรื่องแบบนั้น”
“ชุนฮุย มา มีตะพาบตัวหนึ่งถ่มน้ำลายใส่อารามของเรา รีบมาฟันเขาให้ตาย!”
“พี่หญิงชุนฮุย อย่านะๆ ข้าจะเก็บน้ำลายกลับมาเดี๋ยวนี้แหละ!”
แต่ก็ยังมีแสงกระบี่เส้นหนึ่งเปล่งวาบพุ่งเข้าใส่ ถูกลู่เฉินเก็บใส่ชายแขนเสื้อไว้ได้อย่างง่ายๆ เขาสะบัดชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า “ค่อนข้างคล้ายคลึงกับของแทนใจแล้ว…มาอีกแล้ว! ยังมาอีก...”
นักพรตเฒ่าบอกให้นักพรตหญิงกลับไป ลู่เฉินยังคงฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพงต่อ ยิ้มถามว่า “ชื่อกระบี่บินเล่มนั้นของป๋ายเหย่ คิดไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง? ให้ข้าช่วยตั้งไหม?”
นักพรตซุนส่ายหน้า “ไม่มีเรื่องคุยก็อย่าหาเรื่องชวนคุยเลย”
วันนี้หากไม่เป็นเพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ไม่มาด่าก็จะเสียเปล่า เขาก็คงไม่มาพบเจ้าหมอนี่
ลู่เฉินยิ้มถาม “พี่ใหญ่ซุน มีเรื่องหนึ่งที่น้องชายคิดแล้วก็ไม่เข้าใจมาโดยตลอด ปีนั้นเจ้าคิดอย่างไรกันแน่ กระบี่เซียนไท่ป๋ายเล่มหนึ่ง นึกจะมอบให้คนอื่นไปก็มอบให้ง่ายๆ เจ้าไม่เสียดายขอบเขตสิบสี่ขนาดนี้เลยหรือ?”
อันที่จริงในอดีต ศิษย์พี่รองอวี๋โต้วได้เตรียมพร้อมสำหรับออกจากป๋ายอวี้จิงไปเข่นฆ่าแล้ว มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขากับเจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนี้จะต้องต่างคนต่างพกกระบี่ไปยังฟ้านอกฟ้า ตัดสินเป็นตายกัน
นักพรตซุนหลุดหัวเราะพรืด
ลู่เฉินกุมหมัดบอกลา
เจ้าอารามผู้เฒ่าซุนไหวจง ผู้นำของสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋า เป็นทั้งนักพรตเต๋าแล้วก็เป็นทั้งผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานบนยอดเขาสูงสุด
ป๋ายเหย่ ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของโลกมนุษย์แห่งใต้หล้าไพศาล ในอดีตเคยถือไท่ป๋าย ใช้กระบี่เปิดถ้ำสวรรค์หวงเหอ แต่แท้จริงแล้วเขากลับไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่
ป๋ายเหย่ในทุกวันนี้ ในที่สุดก็เป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างสมชื่อคนหนึ่งแล้ว
ซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ในช่วงเวลาที่ลุ่มหลงและสิ้นหวังในชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ ได้มาเยือนหัวกำแพงแห่งนี้โดยไร้ฝันให้พึ่งพิง
จั่วโย่วที่แต่ไหนแต่ไรมักจะอยู่เดียวดายเพียงลำพังเสมอ ทุกวันนี้ข้างกายคล้ายมีลูกสมุนเพิ่มมาสองคน เว่ยจิ้น ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน เฉาจวิ้น ผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตก่อกำเนิด
คนทั้งสามอยู่บนหัวกำแพงห่างกันช่วงระยะหนึ่ง ต่างคนต่างฝึกตน
กระท่อมเล็กใหญ่สองหลังบนหัวกำแพงเมืองไม่เหลืออยู่นานแล้ว เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะไม่มีใครคิดอยากเอาทัศนียภาพนี้กลับคืนมา
ผู้ฝึกตนของไพศาลที่เดินทางมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ที่นี่ ยิ่งนานก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนต่างก็ได้รับคำเตือนจากผู้อาวุโสในสำนัก ทั้งยังเป็นคำกำชับที่เอ่ยย้ำๆ ซ้ำไปซ้ำมาด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าขยับเข้าใกล้ผู้ฝึกกระบี่สามคนนั้น อันที่จริงก็คือไม่กล้าขยับเข้าใกล้จั่วโย่วผู้นั้น
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสได้ทิ้งตำรากระบี่เล่มหนึ่งไว้ให้เว่ยจิ้นนานแล้ว ดูเหมือนว่าเพียงรอให้เว่ยจิ้นหวนกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น
ในทะเลสาบหัวใจของเฉาจวิ้น ดอกบัวแห้งเหี่ยวเต็มทะเลสาบในอดีต ทุกวันนี้หน่ออ่อนบัวเขียวนับหมื่นดอกแผ่เต็มแน่น
ยามอยู่ว่างจากการฝึกกระบี่ เฉาจวิ้นมักจะขอยืมรายงานขุนเขาสายน้ำของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจากอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้มาอ่านฆ่าเวลาอยู่บ่อยๆ
วันนี้เฉาจวิ้นคุยเล่นกับเซียนกระบี่ใหญ่จากศาลลมหิมะท่านนั้น “หากมาฝึกกระบี่ที่นี่เร็วกว่านี้ ด้วยคุณสมบัติของข้า จะสามารถรับเอาโชควาสนาไปได้สักกี่ส่วน?”
เว่ยจิ้นดื่มเหล้า “คุณสมบัติเป็นเรื่องรอง ต้องดูที่ว่านิสัยใจคอสอดคล้องกันด้วยหรือไม่”
ในความเห็นของเฉาจวิ้น ได้รับตำรากระบี่เล่มหนึ่งไปจากที่นี่ ก่อนหน้านี้หลังกลับบ้านเกิดไปฝึกกระบี่ก็ได้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ คือบุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีป ผลกลับเกือบจะถูกการฝึกกระบี่ของตัวเองทำให้ขอบเขตถดถอย เว่ยจิ้นก็ถือว่าเป็นคนมีพรสวรรค์คนหนึ่งเหมือนกัน
ตามคำกล่าวของอาจารย์จั่ว เว่ยจิ้นศึกษาตำรากระบี่ แท้จริงแล้วก็เท่ากับเป็นการถามกระบี่ครั้งหนึ่ง หากเปลี่ยนมาเป็นเฉาจวิ้นที่ได้เปิดอ่านตำรากระบี่เล่มนั้น กลับกลายเป็นว่าไม่มีประโยชน์อะไร เพราะอ่านไม่เข้าใจ เรียนรู้ไม่เป็น เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะถามกระบี่ด้วยซ้ำ
ตอนนั้นเฉาจวิ้นรู้สึกคลางแคลงอยู่บ้าง อาจารย์จั่วไม่คิดอยากอาศัยโอกาสนี้เรียนเวทกระบี่เพิ่มอีกสักบทบ้างหรือ?
คำตอบของจั่วโย่วเรียบง่ายมาก ระดับขั้นของตำรากระบี่สูงมาก แต่เขาไม่ต้องการ
วันนี้จั่วโย่วพลันลุกขึ้นยืน หรี่ตามองไปไกล
ทิศใต้ที่อยู่ห่างไปไกลแสนไกล
อาเหลียงลากเอาผู้ฝึกตนอิสระชิงมี่บุกลึกเข้าไปยังใจกลางสำคัญของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ทว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้กลับยังไม่ได้ต่อสู้กับใครเลย
วันนี้จู่ๆ อาเหลียงก็เอ่ยว่า “เฝิงเซวี่ยเทา เจ้าสามารถกลับไปได้แล้ว”
เฝิงเซวี่ยเทาเงียบงันไม่พูดจา ก่อนหน้านี้ถูกลากมาที่นี่อย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ อย่าว่าแต่จะเดินเลย ต่อให้ต้องวิ่ง ขอแค่วิ่งแล้วหนีพ้น ป่านนี้เขาคงวิ่งกลับไปหลบซ่อนตัวที่ใต้หล้าไพศาลนานแล้ว
ทุกวันนี้ก็ไม่ได้อยากติดตามอาเหลียงสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อย่างการบุกทะลวงเปลี่ยวร้างอะไรจริงๆ ก็แค่ว่าไม่ได้รู้สึกอยากกลับไปมากขนาดนั้น ขอแค่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ก็อยากจะพยายามเดินลงใต้ไปให้มากหน่อย
ต่อให้ขอบเขตถดถอยมาหนึ่งขั้น ขอแค่ยังสามารถเอาชีวิตรอดกลับไปยังไพศาลได้ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
อาเหลียงร้องเพ้ยหนึ่งที แล้วก็ไม่ปล่อยให้เสียเปล่า เอาน้ำลายมาถูบนฝ่ามือของตัวเองแล้วปาดลูบไปที่หน้าผากกับจอนหู “ไม่กลับ? เจ้าตัวดี กินเปล่าอยู่เปล่าจนติดใจแล้วรึ? ไสหัวไปเถอะ อย่าอยู่เป็นตัวถ่วงข้าที่นี่เลย”
เฝิงเซวี่ยเทากล่าว “จะดีจะชั่วข้าก็เป็นขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง รักษาตัวรอดคงไม่ยากกระมัง?”
อาเหลียงเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน ส่ายหน้า “เจ้าคิดผิดแล้ว ศัตรูของเจ้าไม่ใช่ปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่เป็นข้า ดังนั้นจึงยากมาก”
สีหน้าเฝิงเซวี่ยเทาตะลึงลาน
อาเหลียงกวาดตามองรอบด้าน “รออีกเดี๋ยวเมื่อข้าออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง ไม่รู้หนักเบา กังวลว่าจะทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ ไม่เรียกว่าเป็นตัวถ่วงของข้าแล้วจะเรียกว่าอะไร? รีบไสหัวไป”
หนึ่งเหนือหนึ่งใต้ ผู้ฝึกกระบี่สองคนของใต้หล้าไพศาล
ผู้ที่วิถีกระบี่สูงสุดแห่งใต้หล้า อาเหลียง
ผู้ที่เวทกระบี่สูงสุดแห่งใต้หล้า จั่วโย่ว
กำลังจะร่วมมือกันออกกระบี่
รอกระทั่งเจ้าคนที่เป็นตัวถ่วงยอมจากไปไกลแล้ว อาเหลียงที่มีนิสัยเกียจคร้านผ่อนคลายก็อ้าปากหาว ค่อยๆ เก็บสีหน้ากลับคืนมา หยิบกระบี่ยาวสี่เล่มที่ยืมมาออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ แบ่งมาห้อยเอวไว้สองข้าง จากนั้นอาเหลียงก็งอเข่าลงเล็กน้อย สายตามองตรงไปเบื้องหน้า ยื่นมือไปกุมด้ามกระบี่ของกระบี่ยาวเล่มหนึ่งในนั้น
พริบตานั้นในรัศมีพันลี้ ภูเขาสายน้ำผืนดินพลันปริแตกย่อยยับ กระบี่ยาวยังไม่ออกจากฝักก็มีปณิธานกระบี่ยิ่งใหญ่ไพศาลเป็นเอกในโลกหล้าแผ่อวลไปทั่วฟ้าดิน
——