กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 844.3 ร่วมกันโค่นเปลี่ยวร้าง
ผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดิน ผู้ฝึกลมปราณสิบเอ็ดคน แต่ละคนล้วนเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ของแจกันสมบัติทวีปที่ถือกำเนิดขึ้นมาตามโชคชะตา ลุกผงาดขึ้นมาจากสถานการณ์อันดีงาม ผู้ฝึกตนเกินครึ่งล้วนไม่ใช่คนของต้าหลี ราชสำนักต้าหลีฝากความหวังกับพวกเขาไว้มาก ทุ่มเททรัพย์สินและทรัพยากรนับไม่ถ้วนให้กับพวกเขา แล้วยังต้องสิ้นเปลืองความสัมพันธ์ควันธูปบนยอดเขาไปอีกไม่น้อย ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุด นอกจากขอบเขตผู้ฝึกตนและวิชาอภินิหารอันเป็นพรสวรรค์ของแต่ละคนแล้ว ยังมีโชคชะตาของหนึ่งแคว้นที่มองไม่เห็น ข้อบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวก็คือเรื่องของการเข่นฆ่าที่ต้องพึ่งพาความสมบูรณ์ของจำนวนคนมากเกินไป
ครั้งนี้มาเจอกับโจวไห่จิ้ง ไม่เพียงแต่เณรน้อยเท่านั้นที่กระวนกระวายไม่เป็นสุข ยังมีพวกผีสาวก่ายเยี่ยนและขู่โส่วด้วยที่ต่างก็มีความกังวลในแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน สุดท้ายยังเป็นอวี๋อวี๋ที่ช่วยพูดความในใจของทุกคนออกมา ‘คนสุดท้ายที่สามารถมาชดเชยช่องว่างให้สมบูรณ์ได้ ศักยภาพของพวกเราจะเพิ่มพูนขึ้นมากก็จริง แต่คำโบราณก็กล่าวได้ดี เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม พวกเราคงไม่คิดจะไปหาเรื่องใต้เท้าอิ่นกวานอีกกระมัง?’
ตอนนั้นซ่งซวี่เอ่ยหยอกเย้าว่า ‘ข้ากับหยวนฮว่าจิ้งไม่มีความคิดนี้แน่นอน แต่หากพวกเจ้ายังไม่หายโมโห ในใจรู้สึกไม่ยินยอม คิดว่าต้องต่อสู้กันอีกครั้ง ข้าก็สามารถบากหน้าไปบอกหยวนฮว่าจิ้งได้’
เวลานี้ซูหลางพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นหน่วยจงซวี หรือหน่วยแปลคัมภีร์อะไร จงหลบทางให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
อาศัยว่ามีตำแหน่งเล็กน้อยในที่ว่าการก็กล้ามาแสร้งเล่นหลอกผีหลอกเจ้าต่อหน้าตนแล้วรึ?
เก๋อหลิ่งรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย อันที่จริงคนที่เหมาะจะมาเชิญตัวโจวไห่จิ้งมากที่สุดคือซ่งซวี่ เพราะถึงอย่างไรก็มีสถานะเป็นองค์ชายรอง ไม่อย่างนั้นก็ควรเป็นหยวนฮว่าจิ้งที่ขอบเขตสูงที่สุด น่าเสียดายที่ฝ่ายหลังเริ่มปิดด่านไปแล้ว
โจวไห่จิ้งได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอกก็โคจรลมปราณแท้จริงหนึ่งขุม เป็นเหตุให้สีหน้าของนางซีดขาวขึ้นหลายส่วน แล้วถึงได้เลิกมุมหนึ่งของผ้าม่านขึ้น คลี่ยิ้มหวาดหยดย้อย “พวกเจ้าเป็นสหายร่วมงานของเซียนกระบี่หยวนท่านนั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้น แต่ละคนล้วนชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ สถานะของพวกเจ้าไม่อาจเปิดเผยได้ขนาดนี้เชียวหรือ? ก็แค่เป็นผู้ถวายงานลับของกรมอาญา ต้องทำงานสกปรกใต้โต๊ะไม่ใช่หรือ ข้ารู้หรอกน่า ก็เหมือนนักฆ่าในยุทธภพที่รับเงินมาฆ่าคน ช่วยขจัดเคราะห์ภัยให้คนอื่นนั่นแหละ มีอะไรให้ไม่มีหน้าไปพบเจอผู้คนกัน ตอนที่ข้าเพิ่งเข้าไปอยู่ในยุทธภพก็ทำงานด้านนี้ แล้วยังทำได้ดีมีความก้าวหน้าด้วยนะ”
โจวไห่จิ้งพูดพึมพำกับตัวเอง “น่าเสียดายที่ขอบเขตวรยุทธน้อยนิดแค่นี้ของข้ายากจะเข้าตายอดฝีมือบนภูเขาได้ ไม่กล้าเพ้อฝันว่าจะได้เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลีอะไรนั่น แต่หากจะบอกว่าเป็นผู้ถวายงานอันดับสองก็น่าจะยังมีโอกาสอยู่บ้าง อีกอย่าง ข้าไม่เชื่อใจพวกเจ้า หากเป็นพวกก่อคดีโชกโชนในยุทธภพที่ชอบหลอกสตรีดีๆ ไปปู้ยี้ปู้ยำ สุดท้ายก็เป็นข้าที่เสียเปรียบใหญ่เทียมฟ้า พวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นงูเจ้าถิ่น ข้าเป็นเพียงสตรีต่างถิ่นไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง จะไปร้องทุกข์ให้ใครฟังได้?”
ซูหลางรอให้โจวไห่จิ้งพูดจบก็เตรียมจะขับรถเคลื่อนไปต่อ ในเมื่อไม่เปิดทางให้ มีปัญญาก็ขวางทางต่อไปเถอะ
ถึงอย่างไรคู่รักเทพเซียนที่ฝึกประสบการณ์ในยุทธภพก็ไม่ควรขาดเหตุการณ์ร่วมทุกข์ด้วยกัน โอกาสวันนี้จึงหาได้ยากนัก
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในสถานที่อย่างเมืองหลวงแห่งนี้ ซูหลางไม่กลัวว่าจะเกิดข้อพิพาทกับผู้ฝึกลมปราณที่เป็นคนของสามลัทธิจริงๆ ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของเขา ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่ป้ายสงบสุขปลอดภัยของกรมอาญา แต่เป็นสถานะผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของต้าหลี
เก๋อหลิ่งถอนหายใจ ดูท่าคงต้องเรียกอีกสองสามคนมา ถึงจะสามารถเชิญตัวแม่นางโจวผู้นี้ไปได้
เณรน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “อาจารย์เฉินเคยบอกว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ควรจะยอมถอยมีมารยาทต่อกัน ไม่ควรใช้อำนาจบีบคั้นคนอื่น”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนดังขึ้นด้านหลังเณรน้อย “ไม่ ข้าไม่เคยพูด”
เณรน้อยรีบเบี่ยงตัวหันข้าง ยกสองมือขึ้นพนม ก้มหน้ากล่าว “อาจารย์เฉินเชี่ยวชาญการมอบถ้อยคำมงคลให้คนอื่นเป็นที่สุด ตอนนี้ยังไม่ได้พูด วันหน้าต้องพูดแน่”
เก๋อหลิ่งหมุนตัวกลับมาก้มหัวคาระผู้มาเยือนตามขนบลัทธิเต๋า เอ่ยด้วยสีหน้านอบน้อมระมัดระวัง “คารวะอาจารย์เฉิน”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน “ข้ามาครานี้เพื่อมารำลึกความหลังกับสหาย พวกเจ้าทำธุระของตัวเองกันไปเถอะ”
จากนั้นก็เอ่ยเสริมไปอีกประโยค “วันหน้าข้าอาจไปเป็นแขกที่หน่วยแปลคัมภีร์และที่อาราม หวังว่าจะไม่รบกวนเวลาการฝึกตนของพวกเจ้า”
เณรน้อยพยักหน้าพลางใคร่ครวญไปด้วยว่าคงต้องหาวัดเพื่อบริจาคค่าน้ำมันและค่าธูปเทียนอีกครั้งแล้ว เป็นผู้ออกบวช จะต้องเสียดายเงินไปทำไมกัน
เก๋อหลิ่งยิ้มเอ่ยอย่างจริงใจ “ยินดีต้อนรับ”
ถึงเวลานั้นก็สามารถขอความรู้วิชายันต์จากเซียนกระบี่เฉินอย่างนอบน้อมได้แล้ว
ซูหลางรีบหยุดลงม้าทันที ไม่กล้าขับควบไปเบื้องหน้าอีกแล้ว
เพราะเขาจำอีกฝ่ายได้
โจวไห่จิ้งกำลังจะปล่อยม่านลงก็หยุดการกระทำนั้น ดวงตาดอกท้อฉ่ำน้ำคู่นั้นพลันหรี่ลงมองบุรุษชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้าโล้นน้อย คาดว่าคงเป็นเพราะภิกษุน้อยตัวเตี้ยเกินไป จึงทำให้เรือนกายของบุรุษดูสูงเพรียวผิดปกติ
สัญชาตญาณคู่จากทั้งของสตรีและของผู้ฝึกยุทธบนยอดเขา ทำให้นางตระหนักได้ว่าแขกไม่ได้รับเชิญที่พลิ้วกายลงมาจากจุดสูงของตรอกเล็กผู้นี้ต้องไม่ใช่คนที่ควรไปมีเรื่องด้วยง่ายๆ แน่นอน
ซ่งจ่างจิ้งเทพสงครามของต้าหลี เว่ยจิ้นเซียนกระบี่ใหญ่จากศาลลมหิมะ เหวยอิ๋งอดีตเจ้าสำนักของสำนักเจินจิ้ง…ล้วนไม่ถูกต้อง
ประหลาดนัก เป็นเทพเจ้าจากฝ่ายใด ถึงกับสามารถทำให้ตนรู้สึกว่ามิอาจต่อสู้ได้ไหว ไม่อาจต้านทานได้เลยเช่นนี้?
เฉินผิงอันแอบพยักหน้ากับตัวเอง ปรมาจารย์โจวท่านนี้เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ มัธยัสถ์อดออม ถึงกับตัดใจเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำไม่ลง
ซูหลางหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย อารมณ์ซับซ้อนถึงขีดสุด แต่ก็รีบเก็บอารมณ์อย่างรวดเร็ว รวมเสียงให้เป็นเส้น ออกเสียงเตือนโจวไห่จิ้ง “แม่นางโจว ระวังคนผู้นี้เอาไว้ เขาคือเฉินผิงอันคนที่ไปถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยง!”
งานพิธีเฉลิมฉลองของภูเขาตะวันเที่ยงที่ยิ่งใหญ่เอิกเกริก แน่นอนว่าซูหลางยอมไม่พลาด อาศัยบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำมาชมงานพิธีและการถามกระบี่ครั้งนั้น แล้วเขาก็จำเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายปีคนนั้นได้ทันที
ดังนั้นซูหลางจึงกระอักกระอ่วนพอๆ กับภูเขาเหมิงหลง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับฝ่ายหลัง เซียนกระบี่ไผ่เขียวท่านนี้กลับดีกว่าหลายส่วน คลื่นมรสุมที่เกิดขึ้นใกล้กับหมู่บ้านวารีกระบี่ในปีนั้น ต่อให้ไม่ถือว่าทั้งสองฝ่ายพบเจอกันด้วยดีและแยกจากกันด้วยดีอะไร แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ผูกปมแค้นกันนับแต่นั้น
หลังจากโจวไห่จิ้งได้ยินชื่อ ‘เฉินผิงอัน’ สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นมีชีวิตชีวา อดไม่ไหวเหลือบมองเซียนกระบี่หนุ่มที่ทุกวันนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือมากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปอยู่หลายที มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาจะยังเป็นเจ้าสำนักที่อายุน้อยที่สุดของใต้หล้าไพศาลด้วย นางได้ยินชื่อเสียงของเขามาจนหูเกือบแฉะแล้ว อย่าไปมีเรื่องด้วย อย่าไปมีเรื่องด้วย ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่สามารถทำให้หยวนเจินเย่ออกหมัดต่อยร่างเขาเหมือนแค่เกาให้หายคัน จะไปมีเรื่องกับเขาทำไม มีแต่จะเสียเปรียบน่ะสิ
นางรีบปล่อยม่านลงทันที รวบข้าวของน้อยใหญ่ในห้องโดยสารมาใส่ห่อสัมภาระใบใหญ่แล้วสะพายไว้บนไหล่ ก้มหน้าค้อมเอวเดินออกมาจากห้องโดยสาร นางเตรียมจะกระโดดลงจากรถม้า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะตามเก๋อเจินเหรินไปสักรอบก็แล้วกัน อาจารย์ซู รบกวนท่านช่วยเฝ้ารถม้าให้ข้าด้วยนะ”
น้ำในยุทธภพนั้นลึก ท่วมทับคนใจกล้าให้ตายได้ ลมบนภูเขาก็พัดแรง พัดจนมาดเทพเซียนปลิวหาย
เก๋อหลิ่งยิ้มกล่าว “ข้าจะช่วยขับรถให้ก็แล้วกัน”
ซูหลางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะลงมาจากรถม้า
เฉินผิงอันเบี่ยงตัวยืนติดผนัง หลีกทางให้รถม้า
โจวไห่จิ้งกลับไปนั่งที่เดิม จากนั้นก็แง้มผ้าม่านด้านข้างของตัวรถขึ้น ยิ้มถาม “เซียนกระบี่เฉิน ขอให้ข้าปากมากถามสักคำ ยืนยันให้แน่ใจสักหน่อย พวกเราสองคนไม่มีความแค้นที่วกวนอ้อมค้อมต่อกันใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “ไม่เคยพบเจอหน้า ไร้ความแค้นความอาฆาต กลับเป็นก่อนหน้านี้ที่ชมศึกอยู่ไกลๆ ได้เรียนรู้กระบวนท่าหมัดสองสามท่ามาจากอาจารย์โจว ได้ผลประโยชน์ไม่น้อย”
โจวไห่จิ้งยิ้มตาหยี เป็นความงามเย้ายวนตามธรรมชาติ ยกแขนขึ้นปาดผงเครื่องประทินโฉมที่ติดอยู่บนแก้มออกเบาๆ “ก็แค่ว่าตอนนี้หน้าตาข้าอัปลักษณ์เล็กน้อย ทำให้เซียนกระบี่เฉินเห็นเรื่องตลกแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่หรอก”
โจวไห่จิ้งกังขาอยู่ในใจ อาจารย์? ตนคือสตรีผู้หนึ่งนะ เรียกสตรีคนหนึ่งแบบนี้ ไม่ค่อยเหมาะกระมัง (คำว่าอาจารย์ที่เฉินผิงอันใช้เรียกคือเซียนเซิง ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กับผู้ชาย)
ผู้ฝึกตนบนภูเขาเหล่านี้ช่างพิลึกคนกันจริงๆ
เพียงแต่ว่าไม่อาจเผยความขาดกลัวออกมา เหล่าเหนียงมีชาติกำเนิดจากสถานที่เล็กๆ ไม่เคยเรียนหนังสืออะไรมาก่อน รูปโฉมงดงามก็คือตำราเล่มหนึ่ง บุรุษมีแต่จะยิ่งแย่งชิงกันเปิดตำรา
นางมั่นใจว่าเกินครึ่งเซียนกระบี่หนุ่มต้องมาจากตระกูลชั้นสูงของต้าหลี เฮอะ ลูกหลานตระกูลอันดับหนึ่ง แค่มองก็รำคาญตาแล้ว ช่างสิ้นเปลืองเนื้อหนังมังสาและบุคลิกอันดีนั้นจริงๆ
รถม้าขับเคลื่อนออกจากตรอกไปช้าๆ เสียงล้อรถบดถนนก็ค่อยๆ จากไปไกล
เฉินผิงอันหันตัวมายิ้มเอ่ย “ยินดีกับเซียนกระบี่ซูด้วยที่ได้เลื่อนขั้น”
ซูหลางรีบกุมหมัดตอบกลับทันใด “ผู้ถวายงานต้าหลีซูหลาง โชคดีได้กลับมาพบกับเจ้าสำนักเฉินอีกครั้ง”
ได้ยินซูหลางแนะนำตัวเอง เฉินผิงอันก็หลุดหัวเราะพรืด ตนไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย ป้ายของกรมอาญาใหญ่ขนาดนั้น ต้องเห็นอยู่แล้ว
แน่นอนว่าซูหลางต้องตื่นเต้นอย่างมาก เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้ตนไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับซ่งอวี่เซาแล้ว ตามหลักแล้วเฉินผิงอันก็ไม่ควรมาหาเรื่องตน
เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ที่บางครั้งก็ลงภูเขามาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ประเภทนี้ นิสัยยากจะคาดเดาจริงๆ ทั้งยังอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง ทุกครั้งขอแค่ลงมือก็ดูแค่อารมณ์เท่านั้น ไม่ถามถูกผิด ส่วนใหญ่เพียงปล่อยแสงกระบี่ให้ฟันฉับลงมา ศีรษะคนก็กลิ้งหลุนๆ แล้ว
ความโชคดีใหญ่หลวงในความโชคร้าย ก็คือแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้มีกฎเกณฑ์มากมายมาพันธนาการพวกผู้ฝึกตนที่ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา มองเหล่าเชื้อพระวงศ์ด้วยความเย่อหยิ่ง อีกทั้งหลังจากที่ซูหลางถูกกรมอาญาต้าหลีเรียกตัวมา ก็เคยทำเรื่องที่เป็นความลับอยู่หลายเรื่อง เป้าหมายที่เขาเล่นงานก็คือผู้ฝึกตนที่ละเมิดกฎซึ่งคิดว่าตัวเองอำพรางได้อย่างมิดชิดมากพอแล้ว
แต่เวลานี้สิ่งที่ทำให้เสียใจที่สุดก็คือโจวไห่จิ้งกลับทิ้งตนไว้เช่นนี้ สตรีนี่นะ
เฉินผิงอันหยิบป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “บังเอิญนัก ถือเป็นเพื่อนร่วมทางครึ่งตัวของเซียนกระบี่ซู”
ซูหลางเหลือบมองป้ายสงบสุขแผ่นนั้น ถึงกับเป็นป้ายสงบสุขของผู้ถวายงานอันดับสาม…สูงกว่าผู้ถวายงานตัวสำรองแค่ระดับเดียวเท่านั้น
ซูหลางรู้สึกอับอายอย่างห้ามไม่ได้
เฉินผิงอันกลับไม่คิดจะอาศัยโอกาสนี้พูดล้อเลียนซูหลาง ก็แค่ไม่ต้องการให้เขาคิดมาก อย่าได้เอาอย่างอวิ๋นเหมี่ยวเซียนเหรินของหอเซียนจิ่วเจินผู้นั้น
คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไปในตรอก เฉินผิงอันยิ้มถาม “หลายปีมานี้ข้าเดินทางท่องเที่ยวไปต่างบ้านต่างเมือง ไม่ได้อยู่แจกันสมบัติทวีปมานานหลายปี เพิ่งจะกลับมา ทุกวันนี้หมู่บ้านวารีกระบี่ของผู้อาวุโสซ่งเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ซูหลางเรียบเรียงถ้อยคำอย่างระมัดระวัง “ตั้งแต่จากลากันปีนั้น ข้าก็ไม่เคยไปที่หมู่บ้านของผู้อาวุโสซ่งอีกเลย เพียงแต่ได้ยินมาว่าเขายอมยกหมู่บ้านที่เป็นกิจการบรรพบุรุษให้ผู้อื่น แล้วย้ายไปอยู่ชายแดนแคว้นซูสุ่ยแทน เป็นเพื่อนบ้านกับข้า หากไม่เป็นเพราะข้าไปร่วมสงครามที่ลำน้ำใหญ่มาหลายครั้ง ภายหลังต้องปิดด่าน จากนั้นจึงมาที่เมืองหลวงแห่งนี้ อันที่จริงข้าก็ควรจะไปแสดงความยินดีกับหลิ่วฮูหยินที่ศาลเทพภูเขา ได้ยินสหายในยุทธภพบอกว่า หลายปีมานี้ผู้อาวุโสซ่งยังแข็งแรงดี เคยออกท่องยุทธภพอยู่หลายครั้ง มักจะออกไปผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอกบ่อยๆ นี่เป็นเรื่องดี รอให้มีเวลาว่าง กลับบ้านเกิดคราวหน้าก็ควรจะเอาของขวัญร่วมแสดงความยินดีส่วนนั้นไปชดเชยให้”
เฉินผิงอันมีสีหน้าเป็นมิตรอยู่ตลอดเวลา ราวกับสหายเก่าแก่ในยุทธภพสองคนที่จากกันไปนานแล้วได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ขาดก็แค่สุราดีคนละกาเท่านั้น เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มกล่าว “ควรจะเป็นเช่นนี้ เซียนกระบี่ซูมีใจแล้ว คนรู้จักเก่าในยุทธภพยังสุขสบายดี ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องดี”
เส้นเอ็นหัวใจที่เดิมทีขึงตึงของซูหลางคลายตัวได้หลายส่วน
“ใช่แล้ว แคว้นซงซีล้วนอยู่ใกล้กับแคว้นซูสุ่ยและแคว้นไฉ่อี เซียนกระบี่ซูเคยได้ยินตระกูลหลิวที่มีชาติกำเนิดมาจากเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีบ้างหรือไม่?”
“เจ้าสำนักเฉินพูดถึงเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิว หรือว่าสองพี่น้องหลิวเกาหัว หลิวเกาซิน?”
เดิมทีหลิวเกาซินเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักโองการเทพ เพียงแต่ว่าโชคร้าย ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสงครามใหญ่ครั้งนั้น ไม่มีความหวังบนมหามรรคาอีก หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับไปที่สำนัก เพียงแค่ฝึกตนอยู่ที่บ้าน หลิวเกาหัวเป็นมนุษย์ธรรมดา ทว่าในสายตาของซูหลางกลับยิ่งมิอาจดูแคลน เพราะมีสถานะของขุนนางเมืองหลวงสำรองต้าหลี
เฉินผิงอันกล่าว “ล้วนเป็นสหายเก่าที่ดีต่อกัน”
ซูหลางเข้าใจได้ทันที
ราวกับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เฉินผิงอันจึงหยิบเหล้าหมักร้อยบุปผากาหนึ่งออกมา ยื่นส่งให้ซูหลาง “รบกวนเซียนกระบี่ซูช่วยนำของสิ่งนี้ไปมอบให้หลิวเซียนซือแทนข้าที ข้าคงไม่เอ่ยถ้อยคำตามมารยาทว่าขอบคุณอะไรต่อเซียนกระบี่ซูแล้ว”
ซูหลางใช้สองมือรับเหล้าเซียนบนภูเขาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนกานั้นมา ยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องเล็กน้อย ทำได้ง่ายไม่ต่างอะไรจากการยกมือ เจ้าสำนักเฉินไม่ต้องเอ่ยขอบคุณ”
——