กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 845.1 หวนคืนสู่กำแพงเมืองปราณกระบี่
อาจารย์ที่กลับมาจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลางพาหลี่เซิ่งมาที่แจกันสมบัติทวีปด้วยกันจริงดังคาด
พวกเฉินผิงอันต่างก็ลุกขึ้นยืนในทันที เฉาฉิงหล่างประสานมือคารวะเหมือนกับอาจารย์ เผยเฉียนเห็นว่าอาจารย์แม่กุมหมัดแสดงความเคารพก็เอาอย่าง ไม่อย่างนั้นหากให้นางคารวะตามขนบลัทธิขงจื๊อก็คงขัดเขินอยู่มาก
มีเพียงเด็กสาวที่กระอักกระอ่วนเล็กน้อย ได้แต่ลุกขึ้นตาม เหลียวซ้ายแลขวา สุดท้ายก็เลือกกุมหมัดเหมือนกับอาจารย์หนิง ต่างก็เป็นชายหญิงในยุทธภพที่ไม่ยึดติดกับพิธีการเล็กๆ น้อยๆ นี่นะ
เมื่อครู่นางกำลังอัดอั้นอยู่ทีเดียว นี่มันพรรคแห่งใดในยุทธภพกันแน่ พูดจาถึงไม่มีเสียง หรือว่าจะเป็นวิชาลับในการถ่ายทอดเสียงที่หายสาบสูญไปนานแล้วในยุทธภพ?
เด็กสาวลองใคร่ครวญไปตามเส้นเบาะแสนี้ต่อ หรือว่าพรรคของอาจารย์หนิง แท้จริงคือพรรคของยอดฝีมือระดับสูง?
คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีบัณฑิตโผล่มาอีกคน นางจึงเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาอีกครั้ง สรุปแล้วอาจารย์หนิงใช่คนของพรรคในยุทธภพที่หลบซ่อนอยู่ในหลืบลึกหรือไม่ ยากจะตัดสินใจได้จริงๆ
หนิงเหยาลูบศีรษะของเด็กสาว ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้ากลับโรงเตี๊ยมไปก่อน รับรองว่าจะไม่ขโมยม้านั่งยาวของบ้านเจ้าอย่างแน่นอน”
เด็กสาวอืมรับหนึ่งที อยู่ต่อก็ไม่มีความหมายอะไร นางเดินข้ามธรณีประตูไปเพียงลำพัง เดินเข้าโรงเตี๊ยมไปแล้วก็ไปฟุบตัวอยู่ที่โต๊ะคิดเงิน พูดเสียงเบากับบิดา “ท่านพ่อ ด้านนอกมีบัณฑิตที่ไม่รู้จักมาเพิ่มอีกคน ตัวสูงนักล่ะ มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของตำรา ไม่แน่ว่าอาจเป็นนายท่านจิ้นซื่อที่เป็นขุนนางใหญ่ก็ได้นะ”
เถ้าแก่ผู้เฒ่ากำลังดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้มพร้อมอ่านตำราไปด้วย จึงคร้านจะหันไปมองนอกประตู เพียงยิ้มเอ่ยว่า “บัณฑิตของตรอกอี้ฉือมีน้อยนักหรือ?”
นอกประตูโรงเตี๊ยม หลี่เซิ่งยิ้มพูดกับเฉาฉิงหล่าง “หาได้ยาก”
เฉาฉิงหล่างคารวะอีกครั้ง
ซิ่วไฉเฒ่ากับลูกศิษย์คนสุดท้ายได้แต่แสร้งทำเป็นฟังความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดประโยคนี้ของหลี่เซิ่งไม่ออก
นอกจากเฉาฉิงหล่างจะเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่หาได้ยากแล้ว
สายเหวินเซิ่งยังมีบัณฑิตที่นิสัยไม่เหมือนคนของสายเหวินเซิ่งซึ่งนับว่าหาได้ยากยิ่ง
หลี่เซิ่งหันหน้ามามองเผยเฉียนแล้วเอ่ยว่า “ลองมองดูได้ ไม่เป็นไร”
เผยเฉียนส่ายหน้า
นางหรือจะกล้าลอบมองสภาพจิตใจของหลี่เซิ่งตามแต่ใจ
สุดท้ายหลี่เซิ่งเอ่ยกับหนิงเหยาว่า “ขอแค่เจ้ายังเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสี ถ้าอย่างนั้นกฎเกณฑ์บางอย่างที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร อย่างน้อยอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลนี้ เจ้าก็ยังต้องเคารพกฎ รอให้เจ้ากลับไปใต้หล้าห้าสีแล้ว ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ข้าก็ไม่สน เพราะข้ากับศาลบุ๋นก็ต้องเคารพกฎบางอย่างเช่นกัน หนิงเหยา จงจำไว้ว่าทุกการกระทำที่ทำตามใจครั้งใดก็ตามของผู้แข็งแกร่งบนยอดเขาคนใดก็ตาม ไม่ว่าจุดประสงค์จะดีหรือร้าย สำหรับวิถีทางโลกที่พวกเราอยู่ใบนี้ก็ล้วนมีความขัดแย้งยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งซ่อนอยู่ จะมีผลกระทบที่มองไม่เห็นมากมาย ซึ่งบางทีอาจสืบทอดต่อเนื่องไปอีกร้อยปีพันปี”
ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี ไม่มีสีหน้าดุดันกราดเกรี้ยว ถึงขั้นที่ว่าไม่มีความหมายจะกระทบกระเทียบ หลี่เซิ่งเพียงแค่เอ่ยหลักการทั่วไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยปกติ
หนิงเหยาเงียบงันไม่เอ่ยคำใด
ซิ่วไฉเฒ่ากระแอมเบาๆ หนึ่งที เฉินผิงอันก็รีบเปิดปากถามทันที “อาจารย์หลี่เซิ่ง ไม่สู้ไปนั่งพักที่เรือนของศิษย์พี่ข้าสักครู่ดีไหม?”
หลี่เซิ่งพยักหน้า “ตกลง”
คนทั้งกลุ่มเดินไปที่ตรอกเล็ก หลี่เซิ่งมองประเมินถนนหนทางในเมืองหลวงของต้าหลีไปตลอดทาง เขาไม่ได้มาเยือนแจกันสมบัติทวีปนานหลายปีแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันถาม “อาจารย์หลี่เซิ่ง ช่วยส่งข้ากับหนิงเหยาไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้หรือไม่ แค่ช่วยให้ข้ากับหนิงเหยากลับจากสถานที่ใดสถานที่หนึ่งมายังใต้หล้าไพศาลก็พอ”
ให้หลี่เซิ่งลงมือแค่ครั้งเดียวเช่นกัน
“สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง? ก็ไม่ใช่ภูเขาทัวเยว่หรอกหรือ?”
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “อาศัยยันต์สามภูเขาข้ามผ่านใต้หล้าสองแห่ง เจ้าก็ช่างคิดได้ เดิมทีอาการบาดเจ็บก็ยังไม่หายดี ทำอย่างนี้มีแต่จะยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ ต่อให้ไปนอนหลับอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่ก่อนสักสองสามวัน ให้หนิงเหยาปรึกษากับปีศาจใหญ่ที่เฝ้าประตูภูเขาทัวเยว่ดีๆ รอให้เจ้าพักผ่อนให้หายดีเสียก่อน แล้วค่อยให้เจ้ากับหนิงเหยาช่วยกันรื้อศาลบรรพจารย์บ้านคนเขา? หากมีเรื่องดีแบบนี้อยู่จริง ข้าไปภูเขาทัวเยว่เองก็ได้แล้ว ไม่ต้องให้พวกเขารอสองสามวันด้วยซ้ำ ให้เวลาข้าแค่ครึ่งก้านธูปก็ได้แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ล้มเลิกความคิดนี้อย่างไม่ลังเล “เข้าใจแล้ว”
อันที่จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่ก่อนหน้านี้หนิงเหยาเสนอให้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันก็ได้ประมาณการณ์คร่าวๆ ในใจอย่างรวดเร็วไปแล้วรอบหนึ่ง ดูท่าแล้วจะต้องมีความคลาดเคลื่อนอย่างมาก ปัญหายังคงอยู่ที่ภัยแฝงที่จะทิ้งไว้เบื้องหลังภายหลังจากการที่ตนใช้ยันต์สามภูเขาในการข้ามใต้หล้าสองแห่ง รวมไปถึงการประเมินตราผนึกของภูเขาทัวเยว่ต่ำเกินไป ในเมื่อหลี่เซิ่งบอกผลลัพธ์สุดท้ายเช่นนี้ออกมาแล้ว เฉินผิงอันก็สามารถลองคำนวณย้อนหลัง ย้อนกลับมาพิสูจน์ประสิทธิผลของยันต์สามภูเขา ถึงขั้นสามารถคำนวณหยาบๆ ถึงระดับการเชื่อมโยงกันระหว่างสองใต้หล้าโดยอาศัยประตูใหญ่บานนั้น รวมไปถึงช่องทางที่เชื่อมกุยซวีทั้งสี่แห่งเข้าด้วยกัน
หลี่เซิ่งเดินเนิบช้าอยู่บนถนน พลางเอ่ยต่ออีกว่า “อย่าได้ป่วยหนักจึงหาหมอส่งเดช ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้ภูเขาทัวเยว่ถูกเจ้าทำลายจนเละจริงๆ สนามรบที่อาเหลียงอยู่ควรจะเป็นอย่างไรก็ยังต้องเป็นอย่างนั้น เจ้าอย่าได้ดูแคลนสติปัญญาและกลยุทธของปีศาจใหญ่บนยอดเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลุ่มนั้น”
“ไม่ใช่ว่าข้าปฏิเสธในคุณความชอบจากการเป็นอิ่นกวานของเจ้า ทว่าทุกเรื่องต้องว่ากันไปตามสถานการณ์ ปีนั้นเจ้าดูแลกิจธุระทุกอย่างในคฤหาสน์หลบร้อน การออกคำส่งของสายอิ่นกวานสามารถราบรื่นไร้อุปสรรคได้ขนาดนั้น ในระดับใหญ่แล้วก็เป็นเพราะเจ้าได้รับการปกป้องที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่เอาหลักการเหตุผลตลอดหมื่นปีของเขามามอบให้อิ่นกวานคนสุดท้ายเช่นเจ้า หากเปลี่ยนมาเป็นราชสำนักล่างภูเขา ต่อให้อยู่ที่ศาลบุ๋น ไม่ว่าใครก็ตามที่ช่วยหนุนหลังให้เจ้า เจ้าก็ไม่อาจทำเรื่องนี้ซ้ำได้อีกครั้งอย่างแน่นอน”
“นอกจากนี้แล้ว เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ไม่แน่ว่าคนที่ภูเขาทัวเยว่รอคอยอย่างแท้จริง นอกจากอาเหลียงแล้วก็เป็นเจ้า ถึงขั้นที่ว่าเป็นหนิงเหยาด้วย?”
เฉินผิงอันรับฟังทุกถ้อยคำไม่มีตกหล่น
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม
แม้จะบอกว่าหลี่เซิ่งไม่ใช่คนที่ขี้เหนียวคำพูด แต่ในความเป็นจริงแล้วขอแค่หลี่เซิ่งพูดอธิบายเหตุผลกับคนอื่น ย่อมพูดไม่น้อย ทว่าโดยทั่วไปแล้วหลี่เซิ่งของพวกเราไม่ได้เปิดปากพูดง่ายๆ หรอกนะ
ซิ่วไฉเฒ่าใช้เสียงในใจเอ่ยกับหนิงเหยา “แม่หนูหนิง อย่าโกรธเลย ไม่จำเป็นหรอก หลี่เซิ่งปฏิบัติกับผู้อื่นเช่นนี้เสมอ คร่ำครึนักล่ะ หากใช้คำพูดของคนบางคน คำว่าอิสระเสรีก็คือพวกเราออกจากบ้านในวันฝนตก ในมือมีร่มอยู่คันหนึ่ง สิ่งเดียวที่ไม่มีอิสระก็คือ เราต้องถือร่มและไม่อาจเดินออกไปนอกร่มได้”
หนิงเหยาอืมรับหนึ่งที
ส่วนคนบางคนที่ว่านั้นคือใคร ก็ไม่ต้องเดาเลย
หลี่เซิ่งกล่าว “เรื่องของคันฉ่องหยุดวารี พวกเราไปถึงเรือนแห่งนั้นแล้วค่อยว่ากัน”
ไปถึงปากตรอกเล็ก ผู้ฝึกตนเฒ่าหลิวเจียกับเด็กหนุ่มจ้าวตวนหมิง อาจารย์และศิษย์คู่นี้รีบเผยกายทันที
เฉินผิงอันชี้ไปที่เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่าง อธิบายว่า “ลูกศิษย์ของข้าเอง ล้วนไม่ใช่คนนอก”
หลิวเจียขยับเท้าไปสองก้าว ขวางอยู่กลางตรอกเล็ก ชี้ไปที่ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อ ถามเฉินผิงอันว่า “รอเดี๋ยว แล้วท่านผู้นี้ล่ะ?”
เจ้าหนูเจ้าคิดจะทำไขสือ หมายจะหลอกข้าหรือ? คิดว่าจะผ่านด่านไปได้หรือไร ไม่มีทางเสียล่ะ
เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ศิษย์พี่ก็จริงๆ เลย หาคนเฝ้าประตูที่ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมเช่นนี้มา ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ในวงการขุนนาง ไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลกสักนิดเลยจริงๆ หรือไร?
ตนเป็นคนนำขบวนกลุ่มคนอยู่ด้านหน้า อาจารย์ยืนเคียงกับหลี่เซิ่งอยู่ด้านหลัง ขยับถัดไปอีกถึงจะเป็นหนิงเหยา เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่าง
อุตส่าห์ตั้งขบวนขนาดนี้แล้ว เจ้าหลิวเจียยังมองตื้นลึกหนักเบาไม่ออกอีกหรือ?
หลี่เซิ่งกลับไม่ถือสาแม้แต่น้อย ยิ้มบางๆ แนะนำตัวเองว่า “ข้าชื่ออวี๋เค่อ มาจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง”
หลิวเจียคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็อย่าโทษว่าข้าเข้ากับคนอื่นได้ยาก หากรู้สึกว่าข้าตาสุนัขมองคนต่ำก็ตามใจเจ้า ถึงอย่างไรที่ข้าก็มีกฎวางอยู่ เว้นเสียจากคนสองประเภทอย่างบัณฑิตสายบุ๋นของอาจารย์ชุยหรือคนที่มีอำนาจตัดสินใจในราชสำนักของต้าหลีแล้ว ใครก็อย่าคิดจะเข้ามาในตรอกแห่งนี้”
ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางร้ายกาจนักหรือ ไม่เห็นจะมีคนดีสักกี่คน
ในอดีตราชครูชุยกลับบ้านเกิดมาอย่างหม่นหมอง หวนคืนกลับมายังแจกันสมบัติทวีป สุดท้ายมารับหน้าที่เป็นราชครูต้าหลี สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ไม่ใช่เพราะถูกศาลบุ๋นของพวกเจ้าบีบบังคับหรือไร?
เฉินผิงอันรู้สึกอ่อนใจเป็นทบทวี แท้จริงแล้วเขาจงใจมอบโอกาสให้หลิวเซียนซือท่านนี้ได้ตีสนิทกับหลี่เซิ่ง ได้เอ่ยปากสอบถามสองสามคำ ทักทายปราศรัยสองสามคำ แต่หลิวเจียกลับดีนัก ขัดขวางคนจนติดใจแล้วหรือไร?
เด็กหนุ่มจ้าวตวนหมิงยืนพิงกำแพง กินถั่วลิสงมองเรื่องสนุก
แต่กลับสังเกตเห็นว่าพี่ใหญ่เฉินของตนหันมาขยิบตาให้ตนยกใหญ่ แอบยื่นนิ้วชี้ไปยังบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อ แล้วค่อยชี้ไปที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง
จ้าวตวนหมิงไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของสกุลจ้าวเทียนสุ่ย เขาคืนสติได้ในทันที ฟันกระทบกันดังกึกๆ ใช้เสียงในใจเอ่ยกับอาจารย์ของตน “อาจารย์ ดูเหมือนเขาจะเป็น…หลี่เซิ่ง หลี่เซิ่งแห่งศาลบุ๋น!”
หากไม่มีอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอยู่ด้วย และไม่มีการบอกเป็นนัยๆ จากพี่ใหญ่เฉิน ให้ตายอย่างไรเด็กหนุ่มก็ไม่มีทางนึกออก ใครเล่าจะกล้าเชื่อว่าหลี่เซิ่งเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าตนจริงๆ? หากตนกลับไปบ้านแล้วพูดจาหนักแน่นว่าตนได้พบหลี่เซิ่ง ท่านปู่จะไม่หัวเราะเยาะบอกว่าเจ้าเด็กโง่ถูกฟ้าผ่ามาอีกแล้วหรือไร?
ในฐานะลูกหลานสกุลเสาค้ำยันแคว้นคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นบุรุษ ศาลบุ๋นน้อยใหญ่ พวกเขาต่างก็จุดธูปกราบไหว้กันมาไม่น้อย จำนายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติมาก เพราะว่าตัวจริงกับภาพเหมือนต่างกันค่อนข้างมาก นอกจากนี้เทวรูปและภาพเหมือนของเหวินเซิ่งยังถูกถอดถอนออกไปนานร้อยกว่าปี แต่หลี่เซิ่งกลับไม่เหมือนกัน ปีแล้วปีเล่า แขวนอยู่ในศาลบุ๋นทุกแห่ง อยู่เคียงข้างปรมาจารย์มหาปราชญ์เช่นนั้น
ผู้ฝึกตนเฒ่าตีหน้าเคร่ง โบกมือเป็นวงกว้าง ขยับไปด้านข้างหลายก้าว เปิดทางให้
รอกระทั่งคนทั้งกลุ่มเดินเข้าไปในตรอกเล็ก ใกล้จะไปถึงหน้าประตูเรือนแล้ว เด็กหนุ่มถึงได้ตัดใจถอนสายตากลับมาได้ พบว่าอาจารย์ของตนหันหน้าไปทางถนนอยู่ตลอดเวลา สีหน้าอึ้งค้าง ทว่าเหงื่อกลับท่วมตัวราวกับเปียกฝน
สุดท้ายอาจารย์และศิษย์สองคนก็นั่งยองกันอยู่ที่ปากตรอก ผู้ฝึกตนเฒ่าถึงกับเป็นฝ่ายโยนเหล้ากาหนึ่งให้กับเด็กหนุ่มอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน จากนั้นทั้งสองก็ดื่มเหล้ากันไปเงียบๆ
“อาจารย์”
“มีอะไร?”
“เอาจริงๆ เลยนะ ท่านผู้อาวุโสช่างสมกับเป็นลูกผู้ชายจริงๆ เมื่อก่อนมักจะคิดว่าท่านขี้โม้ ไม่ใช่ประโยคว่าตอนเป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลา จอมยุทธหญิงเทพธิดาที่เลื่อมใสท่านมีมากมายนับไม่ถ้วน ก็เป็นประโยคที่ว่าท่านเป็นคนแข็งแกร่งจนทำให้ราชครูมองท่านสูงกว่าคนอื่นได้ ตอนนี้ข้าว่าแปดส่วนน่าจะเป็นความจริงแล้ว วันหน้าหากท่านพร่ำพูดเรื่องเก่าแก่ในปฏิทินเหลืองพวกนั้นอีก ข้าจะไม่คิดว่าเป็นลมผ่านหูอีกแล้ว”
“หุบปาก ดื่มเหล้าของเจ้าไป”
“อาจารย์ ข้าคิดว่านะ หากดูจากแนวโน้มของสถานการณ์ในตอนนี้ คราวหน้าคนที่พวกเราจะขวางไว้คงต้องเป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์เลยกระมัง?”
“ไสหัวไปไกลๆ เลย!”
“อาจารย์ท่านจะโมโหใส่ข้าทำไม ข้าอุตส่าห์เตือนท่านว่าเขาเป็นหลี่เซิ่งนะ”
“เอาถั่วลิสงโรยเกลือมาหน่อย”
ทางฝั่งของลานบ้านด้านนอกหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น ในลานเล็กที่เงียบสงบปูด้วยแผ่นหินเขียวที่ทำจากวัสดุธรรมดา มุมสองด้านของลานแยกกันปลูกต้นกล้วยใบเขียวขจีราวกับจะคั้นน้ำได้ กับต้นเหมยเก่าแก่ผอมแห้งที่ตระหง่านอย่างเดียวดาย ลำต้นตั้งตรงไม่โค้งไม่งอ
คนทั้งสี่นั่งล้อมวงบนโต๊ะหิน เฉาฉิงหล่างกับเผยเฉียนที่อ่อนเยาว์ที่สุดต่างก็ยืนอยู่
เฉาฉิงหล่างยืนอยู่ด้านหลังอาจารย์ของตน ส่วนเผยเฉียนนั้นยืนอยู่ข้างกายอาจารย์แม่
เฉินผิงอันหยิบจอกเทพีบุผปาสี่ใบและเหล้าหมักร้อยบุปผาออกมาหนึ่งกา
หลี่เซิ่งยิ้มเอ่ย “ถึงกับเป็นเหล้าหมักร้อยบุปผา ไม่ได้ดื่มมานานหลายปีแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืน “ผิงอัน เจ้านั่งลง นั่งลงก็พอแล้ว เดี๋ยวข้าจะรินเหล้าให้หลี่เซิ่งเอง”
“อาจารย์ เรื่องแบบนี้ให้ข้าทำเองเถอะ”
“ไม่ต้องๆ กว่าเจ้าจะได้กลับมาบ้านเกิดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกวันยังต้องเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ ไม่เคยได้หยุดอยู่ว่างเลยสักนิด หากไม่เฝ้าประตูภูเขาให้กับภูเขาไท่ผิงจนเกิดความขัดแย้งกับคนอื่น แม้แต่เซียนเหรินก็ยังไปต้องมีเรื่องด้วย ต้องทำเรื่องที่ต้องเปลืองแรงเหนื่อยยากแต่ไม่ได้ดี แล้วยังต้องช่วยภูเขาตะวันเที่ยงเก็บกวาดเรือนให้สะอาด เปลี่ยนขนบธรรมเนียม เดินทางไปเยือนศาลบุ๋นรอบหนึ่ง อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง พูดถึงแค่เรื่องที่เพียงพบหน้าก็เข้าตาอาจารย์ผู้เฒ่าลี่ได้แล้ว ตาแก่นั่นเป็นคนสายตาสูงแค่ไหน ชอบพูดจาเหน็บแนมเสียดสีมากเท่าไร บอกตามตรงนะ แม้แต่ข้ายังกลัวเขาเลย ทุกวันนี้เจ้ายังมาที่เมืองหลวงต้าหลี มาช่วยเรียบเรียงเส้นสาย ตรวจสอบหาช่องโหว่แล้วแก้ไขข้อบกพร่องให้เท่าที่ความสามารถจะอำนวยได้ ผลกลับดีนัก ถูกคนมองบุญคุณเป็นความแค้นเสียได้ ไม่เคยมีช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนจิตใจเลยสักนิด อาจารย์เห็นแล้วสงสารนัก หากยังไม่ทำเรื่องเล็กๆ หยุมหยิมแทนเจ้าอีก ในใจของอาจารย์ต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ!”
หลี่เซิ่งมองคนสองคนที่เถียงกันไม่เลิกแล้วยิ้มบางๆ “ไม่สู้ให้ข้ารินเหล้าเองดีไหม?”
ส่วนคำพูดกระทบกระเทียบแอบใส่ความให้ร้ายของซิ่วไฉเฒ่า แค่ชินไปก็ดีเอง ในอดีตตอนประชุมในศาลบุ๋น ซิ่วไฉเฒ่าพูดไปไม่น้อย ถึงอย่างไรตลอดทั้งสายบุ๋นก็มีเขาอยู่แค่คนเดียว จะพ่นน้ำลายอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะทำร้ายคนอื่นโดยไม่เจตนา
ซิ่วไฉเฒ่านั่งกลับลงไปยังที่นั่งของตัวเองอย่างขุ่นเคือง ปล่อยให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายเป็นคนรินเหล้า เรียงลำดับจากหลี่เซิ่งที่เป็นแขกมายังอาจารย์ของตน หนิงเหยาและตัวเฉินผิงอันเอง
ก่อนจะดื่มเหล้า หลี่เซิ่งพูดว่า “รอเดี๋ยว จะกลับไปสองรอบก่อน”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบกล่าว “ไยหลี่เซิ่งต้องทำเช่นนี้ด้วย”
ทว่าเวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบ ซิ่วไฉเฒ่าก็ได้แต่ถอนหายใจหนึ่งที ไม่พูดอะไรอีก
จะขัดขวางกะผายลมอะไร เวลาเพียงแค่ชั่วกะพริบตานี้ อันที่จริงการ ‘กลับไป’ ของหลี่เซิ่งก็ทำสำเร็จแล้ว สุดท้ายก็กลับมายัง ‘ตอนนี้’
เดินย้อนแม่น้ำแห่งกาลเวลา ย้อนคืนสู่จุดเริ่มต้น ท่องทวนกระแสน้ำ เคว้งคว้างทางชัน คือคำว่า ‘กลับ’
เลียบตามแม่น้ำแห่งกาลเวลา ไปยังทิศทางเดียวกัน ตามน้ำท่องไปไกล เร็วกว่ากระแสน้ำไหล คือคำว่า ‘ไป’
หลี่เซิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่มีภัยแฝง เจ้าระวังดีมาก”
ทั้งพูดถึงเฉินผิงอันที่จิตแห่งเทพบริสุทธิ์คนนั้น แล้วก็พูดถึงเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ด้วย อันที่จริงไม่มีอะไรแตกต่าง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ “รบกวนอาจารย์หลี่เซิ่งแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าถามอย่างระมัดระวัง “หลี่เซิ่ง เมื่อครู่นี้ไปมาไกลแค่ไหน?”
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ!
——