กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 847.1 สองคนเคียงข้าง
เดิมทีฤดูกาลของใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ตรงกันข้ามกันพอดี ที่นี่กลางวันที่นั่นกลางคืน ที่นี่ฤดูร้อนที่นั่นฤดูหนาว เพียงแต่ว่าทุกวันนี้สองใต้หล้าเชื่อมโยงกันค่อนข้างมาก ภาพปรากฎการณ์ธรรมชาติจึงมีความคลาดเคลื่อนอย่างที่ยากจะสังเกตได้
เฉินผิงอันควักเหล้าหมักของร้านบ้านตัวเองออกมาหนึ่งกา สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวอันเล็กละเอียดของปรากฎการณ์ฟ้าดินได้อย่างเฉียบไว ดูเหมือนว่าหิมะกำลังจะตก หันหน้ามองไกลๆ ไปยังหัวกำแพงเมืองฝั่งขวามือ สถานที่ผสานมรรคา ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว
หากอยู่ที่นี่เพิ่มอีกสามสี่วันก็คือหนึ่งคนกับอีกครึ่งกำแพง ได้พบท่านอีกครั้งยามหิมะร่วงหล่น
ดื่มเหล้าไปพลาง อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประโยคหยอกล้อประโยคหนึ่งของชุยตงซาน ในสายตาของคนบางคน โลกมนุษย์คือนครที่ว่างเปล่า
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกลอีกครั้ง ต่อให้จะถูกกำหนดมาแล้วว่าเป็นการกระทำที่เปลืองแรงเปล่า แต่ก็ยังอดหันไปมองหลายทีไม่ได้
ไม่รู้ว่าอาเหลียงออกกระบี่เป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็ไม่รู้ว่าศิษย์พี่จั่วไปถึงสนามรบแล้วหรือยัง
ในพื้นที่ใจกลางแห่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
อันที่จริงขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ต่างก็กลายเป็นสมรภูมิรบหมดแล้ว
การล้อมฆ่าอันตรายครั้งหนึ่งที่ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ก็มีสองคนแล้ว แต่คนที่ถูกล้อมฆ่ากลับได้เปรียบในทุกด้าน
มังกรเพลิงตัวหนึ่งที่เกิดจากการจำแลงของปณิธานกระบี่ลอยตัวอยู่สูงกลางอากาศ บินวนเป็นวงๆ เหมือนงูขดตัว แสงไฟสาดสะท้อนไปทั่วรัศมีพันลี้ประหนึ่งตกลงสู่กระถางไฟ
ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ก็ได้สร้างภาพบรรยากาศที่เจียวและมังกรป่าเถื่อนอย่างสมชื่อ
บนพื้นดินกลับมีกระจกสีทองส่องแสงแวววาว ริ้วคลื่นแผ่กระเพื่อมเป็นระลอก ตัวอักษรนับล้านตัวล่องลอยอยู่ภายใน ตัวอักษรทุกตัวคล้ายกับเป็นท่าเรือแห่งหนึ่ง
การจำแลงบนวิถีกระบี่ของคนผู้หนึ่ง พลังชีวิตเปี่ยมล้น บนฟ้ามีเปลวเพลิง บนพื้นดินมีสายน้ำ
ซินจวงเคียดแค้นอาเหลียงที่ลงมืออำมหิตผู้นี้อย่างหนัก นางเรียกสมบัติหนักชิ้นหนึ่งของภูเขาทัวเยว่ออกมาโดยตรง คือคัมภีร์กระบี่ที่เขียนด้วยตัวอักษรงดงามซึ่งดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน มีชื่อว่า ‘งูเขียวในกล่อง’ น่าเสียดายที่ถือว่าเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งซึ่งหากใช้แล้วจะหมดค่าทันที
มือหนึ่งของนางทำมุทรา อีกมือหนึ่งถือแกนม้วนภาพ สะบัดกางม้วนภาพออกมา พริบตานั้นก็มีผู้ฝึกกระบี่ชุดเขียวสามพันคนขี่กระบี่พร้อมใจกันกระโจนออกมาจากม้วนภาพอย่างพร้อมเพรียง เป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่เอิกเกริก ค่ายกลกระบี่ประหนึ่งน้ำท่วมทำนบที่กรูกันมาสังหารอาเหลียง
ท่ามกลางฟ้าดินที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกรแห่งนี้ บุรุษคนหนึ่งที่เรือนกายไม่สูง ใช้สองมือถือกระบี่ เรือนร่างพุ่งทะยานรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด แต่ละครั้งล้วนเหยียบอยู่บนท่าเรือตัวอักษร กระโดดง่ายๆ หนึ่งทีก็เท่ากับเป็นการหดย่อพื้นที่ซึ่งเป็นความสามารถประจำตัวอย่างหนึ่งของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตบินทะยาน ในขณะที่พลิกตัวกลับไปกลับมา กระบี่คู่ที่อยู่กลางอากาศก็ลากเอาแสงกระบี่แวววาวสองสีจำนวนนับไม่ถ้วนออกมากลางอากาศ เป้าหมายที่พุ่งไปสังหารก็คือหุ่นเชิดผู้ฝึกกระบี่ที่ประหนึ่งหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิซึ่งแตกหน่อหลังฝนตก
ในค่ายกลกระบี่ ตรงลำคอ ตรงเอวของหุ่นเชิดผู้ฝึกกระบี่ทุกตนล้วนถูกอาเหลียงที่ถือกระบี่ซึ่งคล้ายจะเอาแต่ฟาดฟันมั่วซั่วปล่อยแสงกระบี่สองเส้นหนึ่งเขียวหนึ่งม่วงปาดผ่านไป บ้างก็หัวกลิ้งหลุนๆ บ้างก็ถูกฟันเอวขาดครึ่งท่อน
เห็นเพียงว่าอาเหลียงผู้นั้นก้มหัววิ่งตะบึงด้วยท่าทางสนุกสนานสุดขีด บางครั้งยังบิดตัวปาดกระบี่ออกมาในแนวขวาง ใช้แสงกระบี่พร่างพราวซัดผู้ฝึกกระบี่หลายตนที่อยู่รอบด้านจนแหลกเละทั้งหมด
ออกกระบี่ตามใจปรารถนา ทั้งๆ ที่ไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ใดๆ ให้พูดถึง แต่กลับมีปณิธานดุจเมฆคล้อยน้ำไหลเช่นนั้น
ผลลัพธ์สุดท้ายบนสนามรบ แทบจะเป็นการบดขยี้สังหารที่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง
หุ่นเชิดยันต์สามพันตนที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลาง
ไม่มากพอจะฆ่าคนคนหนึ่ง
พวกแม่นางอายุน้อยของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนใหญ่ล้วนไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกผู้อาวุโสหญิงทั้งหลายถึงได้ชื่นชอบบุรุษเนื้อตัวมอมแมม ตัวไม่สูง เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก นิสัยก็แย่แสนแย่ ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหล่อเหลาสง่างามเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วยังจะชอบอาเหลียงไปทำไม?
สตรีหลายคนที่ออกเรือนเป็นภรรยาของผู้อื่นนานแล้ว ส่วนใหญ่มักจะทำเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร สตรีที่พอจะมีความอดทนมากหน่อยถึงจะเอ่ยประโยคที่ความหมายไม่ต่างกันสักเท่าไรเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเจ้าไปถึงสนามรบก็จะรู้คำตอบเอง
ขณะเดียวกันนั้น โหรวถีก็ได้ปลดกวานดอกบัวบนศีรษะลงมาเรียบร้อยแล้ว กวานเต๋าชิ้นนี้คือฝีมือชิ้นใหญ่ของอดีตปีศาจบนบัลลังก์หวงหลวน เลียนแบบกวานดอกบัวของลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง โหรวถีถือกวานเต๋าไว้ในมือแล้วโยนไปกลางอากาศเบาๆ
ดอกบัวแต่ละกลีบหลุดออกมาด้วยตัวเอง ตอนที่กลีบดอกไม้ร่วงลงพื้นก็ได้กลายเป็นเจินเหรินผู้บรรลุมรรคาของป๋ายอวี้จิงคนแล้วคนเล่า รวมแล้วแปดคน แต่ละคนได้ครอบครองพื้นที่แห่งหนึ่ง เหยียบอยู่บนผังทำนายแถบหนึ่งพอดี (ผังทำนายมาจากคำว่าปากว้า หนึ่งผังจะมีแปดช่อง)
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นของเลียนแบบ อย่างมากสุดเกาเจินลัทธิเต๋าพวกนี้ก็ประคับประคองตัวอยู่ได้แค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น
แต่หนึ่งก้านธูปนั้นมากพอจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การสู้รบแล้ว หุ่นเชิดผู้ฝึกกระบี่ที่ถูกสองกระบี่ของอาเหลียงสังหารอย่างกำเริบเสิบสานพากันบินเข้าไปในประตูแห่งความตายของปากว้า จากนั้นสร้างค่ายกลขึ้นมาใหม่แล้วขี่กระบี่ออกมาจากประตูเกิด
มหามรรคาลี้ลับ สู่ความตายแล้วถือกำเนิด
ฉวยโอกาสตอนที่เจ้าชาติสุนัขผู้นั้นยังปลีกตัวออกมาไม่ได้ จูเยี่ยนเผยร่างจริงขึ้นมาอีกครั้ง มือหนึ่งถือกระบองยาว ทุกครั้งที่ยกภูเขาขยับก้อนหินล้วนรวดเร็วว่องไวเหมือนกระบี่บินขนาดใหญ่ยักษ์ที่พากันบินเข้าหาเรือนกายนั้น
ขณะเดียวกันบรรพจารย์ย้ายขุนเขาท่านนี้ก็ยกมืออีกข้างขึ้นมา ร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต สองแขนเหมือนแส้ที่ฟาดโบยใส่กลุ่มภูเขา ห้านิ้วเป็นเชือกที่เคลื่อนย้ายก้อนหินนับหมื่น ประหนึ่งรถขว้างหินนับพันนับหมื่นคันที่ร่วมแรงกันโจมตีเมือง
จูเยี่ยนหัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยว่า “อาเหลียง ท่านปู่ช่วยเพิ่มความสนุกให้เจ้าเช่นนี้ ตายไปจะขอบคุณข้าอย่างไร?”
ยิ่งมีปีศาจใหญ่กวานเซี่ยงที่ขึ้นชื่อว่ามีเวทคาถามากมายหลากหลาย วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ นิ้วชี้ไปก็มีกองทัพหยินเดินทางข้ามผ่านดินแดน ภูเขาปริร้าว ขยับปากเป่าลม เมฆรวมตัวเมฆสลาย ควันดำกลิ้งหลุนๆ ปราณชั่วร้ายเข้มข้นถึงขีดสุด
กวานเซี่ยงกลับไม่ชอบโหวกเหวกโวยวายเหมือนบรรพบุรุษย้ายภูเขา อีกทั้งสีหน้ายังจริงจังมากกว่าหลายส่วน เขาเหลือบตามองน้ำวนประหลาดบนม่านฟ้าที่เหมือนกับกระบี่ยาวไร้รูปลักษณ์ซึ่งลอยค้างอยู่ไม่หล่นลงมา ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็น กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของอาเหลียงก็ยิ่งเหมือนทวยเทพที่…เดินทางไกลไปท่องเที่ยวนอกฟ้า
ถึงอย่างไรซินจวงก็ไม่จำเป็นต้องบังคับม้วนภาพในมือ ปล่อยให้มันลอยอยู่ตรงหน้าตัวเอง นางมองม่านฟ้าและพื้นดิน “อาเหลียงอาละวาดสร้างภาพปรากฎการณ์ฟ้าดินเช่นนี้ขึ้นมา มีความหมายตรงใด?”
โซ่วเฉินเป็นผู้ให้คำตอบ “การต่อสู้ยิ่งน่าดูกว่าเดิมไงล่ะ หากใช้คำพูดของเขาก็คือหากต่อสู้กันแล้วไม่มีคนโห่ร้องให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง ก็ช่างเงียบเหงาเกินไป”
ระหว่างที่อาเหลียงเงื้อกระบี่ฟาดฟันอุตลุดได้เหลือบมองกระบี่ยาวสองเล่มในมือไปด้วย ทนไม่ไหวอีกเล่มหนึ่งแล้ว กระบี่คู่กระทบกันเบาๆ หนึ่งทีเหมือนตอนใช้ถ้วยเหล้าชนกับถ้วยของคนอื่นนับไม่ถ้วนบนโต๊ะสุราของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต
กระบี่สองเล่มหักออกเป็นสี่ท่อน แบ่งกันพุ่งไปยังสี่ทิศของฟ้าดิน
ส่วนหุ่นเชิดกระบี่ชุดเขียวอะไร กลุ่มภูเขาหมื่นก้อนหินเหมือนกระบี่บินอะไร อยู่ต่อหน้าเขาหนึ่งคนสองกระบี่แล้วก็ล้วนเป็นเพียงภาพลวงตาที่เทียบไม่ได้แม้แต่กระดาษเปียก
ไม่ใช่ว่าปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพลังสู้รบอ่อนด้อย เวทคาถาวิชาอภินิหารเหมือนกระดาษเปียก สมบัติหนักอาวุธเซียนไม่ได้เรื่อง ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ หากจะพูดถึงพลังการต่อสู้ส่วนตัว ว่ากันโดยปกติทั่วไปแล้ว ขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าไพศาลพลังการสู้รบสู้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ได้ แต่เป็นเพราะวันนี้คนที่ถูกล้อมฆ่าเป็นข้อยกเว้นเกินไปจริงๆ
แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นใต้หล้าแห่งใดหากใครได้เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด โดยเฉพาะพวกคนที่มีหวังว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้ ก็ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งบนยอดเขาที่ตอแยได้อย่างยากถึงที่สุดเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ยกตัวอย่างเช่นอดีตราชาบนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เจ้าอารามดอกบัวที่ตายด้วยน้ำมือของต่งซานเกิง ไม่ว่าจะเป็นเรือนกายหรือมรรคกถาก็ล้วนแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นอดีตราชาบนบัลลังก์คนใดก็ตาม ล้วนไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน ผลคือคู่ต่อสู้ของพวกเขานอกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งหนึ่งแล้ว ยังมีป๋ายเหย่ ถึงขั้นที่ว่ายังมีโจวมี่มหาสมุทรความรู้ซึ่งถือว่าเป็นคนของฝ่ายตัวเองด้วย
ส่วนใต้หล้าไพศาล นอกจากพวกฝูลู่อวี๋เสวียน เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว อีกแปดทวีปที่เหลือ ผู้ฝึกตนใหญ่ที่คู่ควรกับคำว่า ‘ยอดเขา’ กลับมีน้อยจนนับนิ้วได้ ล้วนเป็นบุคคลที่เป็นผู้นำของหนึ่งทวีปอย่างสมชื่อ มีเฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีปที่บนบ่าแบกตะวันจันทรา ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีปที่เชี่ยวชาญทั้งเวทน้ำและคาถาไฟ แล้วนับประสาอะไรกับที่ฮว่อหลงเจินเหรินยังเป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์มานานหลายปี ฝีมือด้านวิชาอสนีของเขาเป็นอย่างไร แค่คิดก็พอจะรู้ได้ นอกจากนี้ก็เป็นหลิวจวี้เป่าแห่งธวัลทวีปที่เก็บงำอำพรางที่สุด เคยต่อสู้กับคนอื่นน้อยครั้ง อีกทั้งยังเอาแต่ขว้างสมบัติใส่คนอื่น
อาเหลียงใช้กระบี่หักชักนำลำธารวิถีกระบี่สี่เส้นให้ลอยพาดอยู่บนท้องฟ้า บ่อน้ำปรากฏบนผืนฟ้า สี่น้ำรวมอยู่ในที่เดียว
อาเหลียงชักกระบี่ยาวสองเล่มออกมาจากเอวอีกครั้ง
โชคดีที่ครานี้ข้าหวนคืนไพศาล แล้วได้ไปยืมกระบี่จากคนอื่นมาค่อนข้างมาก
เซียนเหรินลัทธิเต๋าแปดคนที่ก่อเกิดจากกวานดอกบัวพลันเงยหน้าขึ้น ในคลองจักษุเห็นเพียงว่ามีกำแพงน้ำสูงพันจั้งปรากฏขึ้นมา น้ำซัดเชี่ยวกรากทะลักทลายมาถึง ล้วนเกิดจากการจำแลงของปณิธานกระบี่ทั่วทั้งร่างของคนผู้นั้น
แสงกระบี่เฉียบคมเส้นหนึ่งพุ่งทะลุกำแพงสูงของปณิธานกระบี่แถบนี้ไป คือจางลู่เซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็นผู้บังคับกระบี่
ต่าวอิ่ง จือหลี กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม
วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตสองอย่างทับซ้อนกันจึงทำให้จิตหยินที่ออกจากร่างของจางลู่กลายเป็นอีกฝ่าย เจอกับผู้แข็งแกร่งก็จะแข็งแกร่ง มีพลังพิฆาตสูสีซึ่งไม่เป็นรองให้กับศัตรูผู้แข็งแกร่งได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ศึกสิบสามที่ปีนั้นกำแพงเมืองปราณกระบี่ส่งคนออกมาประลองกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างเป็นคู่ คู่ต่อสู้ของจางลู่ เดิมทีหากอิงตามการอนุมาน คือปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานฉงกวง ดังนั้นจางลู่จึงลงสนามเพื่อหวังแลกชีวิต จางลู่ไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย การประชุมบนหัวกำแพงเมืองในตอนนั้น เขาถามแค่เรื่องเดียว สามารถเปลี่ยนกฎได้หรือไม่ คนที่ตัดหัวปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานแล้วรบตาย จะขอให้สหายช่วยแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงได้หรือไม่
สหายคนนั้นก็คืออาเหลียง
อันที่จริงวิชาอภินิหารของกระบี่บินที่คล้ายคลึงกับของจางลู่นี้ ก็คือเหตุผลหลักที่ว่าทำไมลู่จือถึงสามารถไล่ฆ่าหลิวชาได้ นางไม่เสียดายชีวิตและมหามรรคาแม้แต่น้อย ยินดีใช้ชีวิตแลกอาการบาดเจ็บเพื่อถ่วงรั้งฝีเท้าของหลิวชาเอาไว้ ฝีเท้าที่ว่านี้ เป็นทั้งฝีเท้าที่เร่งรุดเดินทางไปยังฝูเหยาทวีปของหลิวชา และยิ่งเป็นฝีเท้าของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่เดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของวิถีกระบี่
และหลังจากที่หลิวชาออกกระบี่สังหารป๋ายเหย่แล้ว ยังคิดจะไปปล่อยแสงกระบี่ที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางด้วย
อาเหลียงถือกระบี่สองมือ ฟาดกระบี่ฟันใส่จางลู่สหายรักในวันวานที่เข้ามาประชิดตัวอุตลุด
กระบี่ยาวตวัดฉวัดเฉวียน แสงกระบี่สาดยิง ประกายไฟสาดกระจายนับไม่ถ้วน
จางลู่เอ่ย “แบ่งเป็นตาย?”
อาเหลียงพูดกลั้วหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้เจ้าตัดสินใจเองแล้ว!”
ร่างของจางลู่พลันถูกแม่นางน้อยมัดผมแกละสองข้างพุ่งชนจนกระเด็นออกไปนอกสนามรบโดยตรง
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ เซียวสวิ้น
เซียวสวิ้นโบกมือ “จางลู่เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนพาตัวมาตาย”
เซียวสวิ้นมองเจ้าคนที่หยุดออกกระบี่ตามไปด้วย นางเอ่ยว่า “อาเหลียง ทุกวันนี้ขอบเขตของข้าสูงกว่าเจ้าหนึ่งขั้น ทั้งยังอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ต้องต่อสู้กันอย่างไรถึงจะถือว่ายุติธรรม?”
อาเหลียงเงียบไม่ตอบ เพียงแค่มองอดีตอิ่นกวานที่ดูเหมือนว่าจะไม่เติบโตไปตลอดกาลผู้นี้
เซียวสวิ้นมองบุรุษที่ค่อนข้างไม่คุ้นเคยผู้นี้ นางพลันรู้สึกเสียใจเล็กน้อยอย่างที่หาได้ยาก
หากเป็นในอดีต อาเหลียงจะต้องยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ยืนนิ่งไม่ขยับให้ข้าฟันถึงจะถือว่ายุติธรรม
ตอนนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว
มีเพียงการพบเจอกันบนทางแคบที่ไม่มีสุราให้ดื่มอีกแล้ว
ชูเซิงบรรพบุรุษแห่งเปลี่ยวร้างใช้สองมือค้ำยันไม้เท้า ยังคงโคจรวิชาอภินิหารใหญ่เคลื่อนย้ายดวงดาวอย่างเงียบเชียบ
เป้าหมายที่เล่นงาน แน่นอนว่าคือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของอาเหลียง
เฝ่ยหรานเอ่ยสัพยอก “ดูเหมือนว่าตอนนี้จะยังทำอะไรอาเหลียงไม่ได้ ระดับความรู้ใจในการร่วมมือกันของพวกเรายังสู้กลุ่มของแผนภูมิฟ้าไม่ได้”
ชูเซิงหัวเราะร่าเอ่ยว่า “กระดาษขาวแผ่นหนึ่งเขียนลงไปได้ง่ายที่สุด ขนาดเด็กยังสามารถขีดเขียนได้ตามใจชอบ ม้วนภาพหนึ่งม้วนมีบทกลอนมีตราประทับนับไม่ถ้วน เหมือนเป็นโรคขี้เรื้อนกวางที่เกลื่อนเต็มไปหมด แล้วจะยังให้คนจรดพู่กันอีกได้อย่างไร ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย”
ผู้เฒ่าสีหน้าเป็นธรรมชาติ มองไกลๆ ไปยังสถานการณ์การสู้รบ แล้วพูดขึ้นคล้ายให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “อันที่จริงก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ในเมื่ออาเหลียงผู้นี้ขอบเขตถดถอย เขาก็แค่เกือบจะไร้เทียมทานเท่านั้น แต่แล้วจะอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง”
——