กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 847.2 สองคนเคียงข้าง
เฝ่ยหรานถอนหายใจ
หลี่เซิ่งที่ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด อาจารย์ป๋ายเจ๋อที่หวนคืนกลับมายังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เต๋าเหล่าเอ้อแห่งใต้หล้ามืดสลัว เฒ่าตาบอดในภูเขาใหญ่แสนลี้
แน่นอนว่าไม่ได้พูดว่าพวกเขามีพลังพิฆาตอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่กลับเป็นผู้ไร้เทียมทานที่สามารถรักษาตัวรอดได้ จึงเหมือนอยู่ในสถานะของผู้มิพ่าย
เฝ่ยหรานทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นมือมานวดคลึงข้างแก้ม “ดูเหมือนว่าหลังจากที่บรรพบุรุษใหญ่สละมรรคาแล้ว ก็ยากที่พวกเราจะมีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนใหม่ปรากฏขึ้นมาอีก”
ผู้เฒ่าถอนหายใจยาวเหยียด “เพราะพวกเรามีป๋ายเจ๋อมาตั้งนานแล้ว เจ้าตงไห่จมูกโคหน้าเหม็นของอารามกวานเต๋า ต่อให้ไม่ได้ปรากฏตัวที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ยังสร้างผลกระทบอย่างมหาศาลต่อพวกเราอยู่ดี”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น เอ่ยย่างมีโทสะว่า “ยึดห้องส้วมไว้แต่ไม่ยอมถ่าย!”
ผู้เฒ่าใช้เสียงในใจพูด “รวมกับเจ้าโจวมี่ที่ดีแต่กินไม่รู้จักคายออกมาอีกคน ราชาบนบัลลังก์เก่าอย่างพวกลู่ฝ่าเหยียน เหย้าเจี่ย หวงหลวน อันที่จริงต่างก็เท่ากับว่ายังอยู่ แล้วยังมีเซียวสวิ้น หลิวสือลิ่วแห่งสายเหวินเซิ่ง มังกรที่แท้จริงของแจกันสมบัติทวีป แล้วศาลบุ๋นยังแต่งตั้งหญิงอ้วนแห่งหลุมน้ำลู่คนนั้นให้รับหน้าที่เป็นเจ้าแห่งโชคชะตาน้ำบนบก บวกกับขอบเขตบินทะยานอย่างเจ้าและโซ่วเฉิน และยังมีโจวชิงเกาที่เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว เฝ่ยหราน เจ้าลองคำนวณดูเองเถิด จะมีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่อีกคนสองคนเพิ่มขึ้นมาได้อย่างไร”
เฝ่ยหรานกล่าว “แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เทียบกับการประมาณการณ์ที่คิดไว้ล่วงหน้า บรรยากาศของเปลี่ยวร้างก็ยังด้อยกว่าหลายขุมอยู่ดี”
ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “สาเหตุเกินครึ่งคงเป็นเพราะเจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นั้น”
เพียงแค่กล่าวถึงเล็กน้อยเฝ่ยหรานก็เข้าใจได้ทันที เขากล่าวอย่างตกตะลึงว่า “หรือว่าเขาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว?”
ชูเซิงพยักหน้า “น่าจะไม่ผิดไปจากนี้แล้ว คนประเภทนี้รับมือได้ยากที่สุด เพียงแต่ไม่รู้ว่าจุดสำคัญในการผสานมรรคาของคนผู้นี้อยู่ที่ไหน”
เฝ่ยหรานยิ้มกล่าว “ก็จริงนะ จะยอมให้แค่หลิวชาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่อยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่ไม่ยอมให้คนอื่นทำเช่นนี้อยู่ในใต้หล้าของพวกเราบ้างหรือไร”
ผู้เฒ่ารู้สึกเสียดายยิ่งนัก “น่าเสียดายที่ผีขอบเขตบินทะยานตนนั้นถูกหนิงเหยาหาร่องรอยเจอล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นถ้าขาดเส้นทางเชื่อมโยงกุยซวีเส้นนั้นไป ก็คงสามารถทำให้การบุกรุดหน้าของใต้หล้าไพศาลไม่ถึงขั้นบ้าระห่ำกันขนาดนี้”
เฝ่ยหรานหันหน้ามาเอ่ยอย่างตกตะลึง “จั่วโย่วลงใต้มาเร็วขนาดนี้เลยหรือ?”
ชูเซิงกล่าว “อยู่ในการคาดการณ์ เว้นจากว่า…”
ผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยต่อ แต่เฝ่ยหรานก็รู้ชัดเจนดีอยู่ในใจว่าเขาจะพูดว่า เว้นเสียจากว่าจั่วโย่วฝ่าทะลุขอบเขตกะทันหัน ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์เต็มตัวอย่างสมชื่อมาเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่!
หลิวป๋ายถาม “กระบี่บินเล่มนั้นของอาเหลียงมีวิชาอภินิหารเป็นอะไรกันแน่?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ไม่รู้”
เฝ่ยหรานยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ แล้ว โชคดีที่ยังอยู่ในการคาดการณ์”
ผู้เฒ่าเหลือบมองหลิวป๋าย “แม่นางน้อย เรื่องที่เจ้าสมควรถามจริงๆ คือชื่อแห่งชะตาชีวิตของอาเหลียงคืออะไรกันแน่มากกว่า”
หลิวป๋ายอึ้งตะลึง
ผู้เฒ่าเอ่ย “แม่นางน้อย เจ้าสามารถไปรวมตัวอยู่กับคนของแผนภูมิฟ้าเก้าคนได้แล้ว ขาดเจ้าไป ต่อให้รั้งขอบเขตบินทะยานผู้นั้นเอาไว้ได้ ก็สังหารไม่ได้อยู่ดี”
หลิวป๋ายหันไปมองเฝ่ยหราน ฝ่ายหลังพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม
แต่เฝ่ยหรานยังเอ่ยเตือนเพิ่มมาอีกหนึ่งประโยค “จำไว้ว่าให้ระวังเส้นทางกลับเหนือให้ดี อย่าให้กลายเป็นว่าไม่ทันระวังถูกจั่วโย่วสังหารเข้าล่ะ”
หลิวป๋ายพยักหน้า ทะยานลมออกจากสนามรบของยอดเขาที่ตัวนางไม่อาจยื่นมือเข้าแทรกแห่งนี้ไปเพียงลำพัง
เฝ่ยหรานเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ความเร็วในการลงใต้ของจั่วโย่วเพิ่มขึ้นอีกแล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นข้า เมื่อเดินทางมาถึงที่นี่ก็มีแต่จะ…สูญเสียพลังการต่อสู้ไปแล้ว”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็หลบประกายเฉียบคมของเขาก่อนเถอะ มอบสนามรบให้กับเฉินโซ่วกับซินจวงไปก่อน”
เซียวสวิ้นพลันหันขวับไปมองทางทิศเหนือ ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย เรือนกายก็เปล่งวูบหายไป
ริมขอบสนามรบทางทิศเหนือ บรรพบุรุษย้ายภูเขาผู้นั้นหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็ว
แสงกระบี่เส้นหนึ่งทะลุหัวไหล่ของร่างจริงจูเยี่ยนไปจนเกิดเป็นรูโหว่
คงเป็นเพราะคร้านจะพัวพันอยู่กับจูเยี่ยน แสงกระบี่เส้นนั้นถึงไม่ได้หยุดชะงัก แต่ตรงไปหาอาเหลียงทันที
บุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ข้างกายอาเหลียงในชั่วพริบตา
ทั้งสองยืนเคียงข้างกัน คนหนึ่งหันหน้าไปทางทิศเหนือ คนหนึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้
ไม่เหลือศัตรูคนใดอีก
จั่วโย่วเอ่ยอย่างเฉยเมย “เป็นอย่างไร?”
สองมือของอาเหลียงถือกระบี่ บิดหมุนข้อมือวาดลวดลายกระบี่ พยักหน้าเอ่ย “สะใจดี”
จั่วโย่วเหลือบตามองภาพค่ายกลปลาหยินหยางที่อยู่ห่างไปไกล ขมวดคิ้วเล็กน้อย
อาเหลียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็นอย่างไร ช่วยให้เสียเรื่องแล้วล่ะสิ ค่ายกลใหญ่แห่งนี้ของภูเขาทัวเยว่ เห็นได้ชัดว่ามีไว้เพื่อรอให้เจ้าและข้าจับมือกันมาเยือน หนึ่งกินปณิธานกระบี่ หนึ่งกินปราณกระบี่ จากนั้นทั้งสองต่างก็ลดทอนกันและกันจนสลายหายไปในค่ายกล ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยป้อนให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่เพิ่มมาอีกคนหนึ่งก็เป็นได้”
ซินจวงพลันคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ยอบกายคารวะจั่วโย่ว
ค่ายกลใหญ่ใต้ฝ่าเท้าที่นางและโซ่วเฉินร่วมกันควบคุมได้ทำการโคจรอย่างแท้จริงแล้ว ปราณกระบี่ตลอดทางที่จั่วโย่วลงใต้มานี้ กับปณิธานกระบี่ในภูเขาสายน้ำหมื่นลี้ของอาเหลียงต่างก็ถูกหอบม้วนมาอย่างบ้าคลั่ง ประหนึ่งปลาวาฬสูบกลืนน้ำ
จั่วโย่วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “จัดการได้ง่าย”
ร่างของซินจวงพลันแข็งเกร็งขึ้นมาทันที
อาเหลียงหัวเราะอย่างฉุนๆ “มารดามันเถอะ รำคาญนิสัยข้อนี้ของเจ้าที่สุดแล้ว ข้าผู้อาวุโสพูดจริงจัง ไม่ว่าใครก็คิดว่าข้าโม้ แต่เจ้ากลับดีนัก พูดอะไรคนอื่นก็เชื่อไปหมด”
ยกตัวอย่างเช่นในอดีตยังเคยถูกเจ้าเด็กขาเปื้อนโคลนถามด้วยสายตาที่จริงใจอย่างถึงที่สุดว่า ตนสามารถเอาชนะจูเหอได้หรือไม่
จะให้ข้าตอบอย่างไรล่ะ? บอกว่าเอาชนะได้ ข้าผู้อาวุโสจะมีเกียรตินักหรือ?
แม้ปากจะพูดอย่างนี้ก็จริง แต่ก็ยังต้องลงมือทำอยู่ดี
ส่วนจะทำอย่างไร ง่ายมาก อาเหลียงกับจั่วโย่วที่ยืนเคียงบ่ากัน
ผู้ที่วิถีกระบี่สูงที่สุดในใต้หล้าไม่พันธนาการปณิธานกระบี่ของตัวเองอีกต่อไป
ผู้ที่เวทกระบี่สูงที่สุดในโลกมนุษย์ปลดปล่อยปราณกระบี่ของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่
ดังนั้นภาพหยินหยางจึงถูกดันจนแตก แหลกสลายคาที่ไปทันที
อาเหลียงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องที่ร้ายกาจอะไร เพียงแต่มองไปยังม่านฟ้า มองไปยังกระบี่บินที่เป็นของตนเล่มนั้น
กระบี่บินที่ท่องอยู่นอกฟ้ามานานหลายปีเล่มนั้น มีชื่อว่าอิ่นเจ่อ (นักดื่ม)
อริยะปราชญ์นับแต่โบราณมาล้วนตายกันไปหมดสิ้น จะไม่เงียบเหงาได้อย่างไร
ทิ้งคนในปัจจุบันให้ดื่มสุราเลิศรสจนหมดเกลี้ยง
ครั้งที่สองที่เขาหวนกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ เรื่องที่เขาปลาบปลื้มมากที่สุด นอกจากเจ้าเด็กเฉินผิงอันได้กลายเป็นอิ่นกวาน พอจะขยับเข้ามาใกล้แม่หนูหนิงได้บ้างแล้ว นอกจากนี้ก็คือเฉินผิงอันเหมือนบัณฑิตมากยิ่งกว่าตน เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะผีขี้เหล้า ชายโสด เด็กเล็กและสตรี ก็ล้วนเห็นเฉินผิงอันเป็นบัณฑิตจริงๆ อีกทั้งเจ้าเด็กนั่นยังไม่ได้ฟาดอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋นของสายหย่าเซิ่งให้ตายจนหมดสิ้นเพราะหายนะเป็นตายที่นครมังกรเฒ่าในปีนั้น
ผู้ฝึกกระบี่ของไพศาลควรกลับบ้านเกิดกันไปให้เร็วหน่อย
ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจหรือไม่ เป็นความแตกต่างราวฟ้ากับเหว ปากพูดออกมาหรือไม่ ก็ยิ่งต่างกันดุจดินโคลนกับก้อนเมฆ
ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลไม่มีทางรู้เลยว่า คำว่าป้ายสงบสุขในร้านเหล้านั้นมีน้ำหนักมากแค่ไหน
อาเหลียงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที
ถ้าอย่างนั้นก็เข่นฆ่าให้ดีๆ สักครั้ง ต่อสู้ให้สาแก่ใจ ไม่เหลือความเสียดายไว้แม้เพียงนิด!
กระบี่บิน อิ่นเจ่อ
วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต มีแค่สามคำ ล้วนตายสิ้น
ผู้ฝึกกระบี่กับกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่กับศัตรู
จั่วโย่วกวาดตามองรอบด้าน มือข้างหนึ่งใช้นิ้วโป้งดันด้ามกระบี่ ผลักกระบี่ออกจากฝักช้าๆ “ว่ามาเถอะ ฆ่าใครก่อน”
……
เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลกลุ่มก่อนหน้านั้นที่ต้องเจ็บตัวด้วยน้ำมือเฉินผิงอัน ก่อนจะออกไปจากซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงกับเลือกเดินไปบนหัวกำแพงเมืองก่อนรอบหนึ่ง อีกทั้งดูเหมือนว่าจะมาเพื่อตามหาใต้เท้าอิ่นกวานด้วย
เฉาจวิ้นจุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ “เฉินผิงอัน ตีคนแล้วยังสามารถทำให้คนที่ถูกตีเป็นฝ่ายมาขออภัยก่อนถึงจะกล้ากลับบ้านเกิด อิ่นกวานเช่นเจ้าช่างมีบารมีอำนาจนักนะ หากข้ามาถึงที่นี่เร็วหน่อยก็ต้องคว้าตำแหน่งขุนนางสักตำแหน่งมาเป็นให้ได้”
สำหรับคำพูดเสียดสีของเฉาจวิ้น เฉินผิงอันไม่ถือสา
เจี่ยเสวียนเค่อชิงอันดับรองของหอโหยวเซียน จู้ย่วนบรรพจารย์ผู้คุมกฎหญิงของภูเขาหงซิ่งซื่อสุ่ยต่างก็ฟื้นคืนสติกันแล้ว แต่ละคนจึงพาคนรุ่นเยาว์ในสำนักของตัวเองมาหาเฉินผิงอัน อีกทั้งดูจากท่าทางของพวกเขาแล้วก็ไม่เหมือนว่าจะมาเพื่อเอาผิด กลับเหมือนว่าจะมาขอขมายอมรับผิดเสียมากกว่า
เว่ยจิ้นเอ่ยขัดคอขึ้นมาว่า “เจ้าไม่ได้เรื่อง เข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้หรอก”
ผู้ฝึกกระบี่สายของคฤหาสน์หลบร้อน หลายคนที่เป็นคนต่างถิ่นล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่หัวสมองดีมากกันทั้งนั้น
หลินจวินปี้ได้กลายเป็นราชครูของราชวงศ์เส้าหยวนแล้ว เติ้งเหลียงไปอยู่ใต้หล้าห้าสี รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครบินทะยาน นอกจากนี้ซ่งเกาหยวนแห่งตำหนักเขากวาง เฉากุ่นแห่งหลิวเสียทวีป เสวียนเซินแห่งเกราะทองทวีป ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยที่เฉลียวฉลาดกันทั้งสิ้น
แล้วก็เป็นอย่างที่เฉาจวิ้นคาดการณ์ไว้จริงๆ เจี่ยเสวียนกับจู้ย่วนต่างก็มาเพื่อขอขมาต่อความผิดที่ได้กระทำก่อนหน้านี้ แต่ละคนก้มหน้าหลุบตาลงต่ำ โดยเฉพาะชายหนุ่มหญิงสาวที่ใบหน้าได้รับบาดเจ็บไม่เบาคู่นั้นที่ก่อนจะมาได้ฟังคำสั่งสอนของผู้อาวุโสมาแล้ว เวลานี้จึงก้มหน้า ไม่มีท่าทางดุร้ายแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองพวกเขา ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่เหลือบมองเด็กหนุ่มคนหนึ่งอยู่หลายที จากนั้นก็หันหน้ากลับมา จิบเหล้าหนึ่งอึก หันหน้าไปทางขุนเขาสายน้ำกว้างใหญ่ทางทิศใต้ที่ราวกับว่ามีกลิ่นอายแห่งความยิ่งใหญ่เก่าแก่ขุมหนึ่งพุ่งตรงมากระแทกสู่หัวใจ ทำให้คนดื่มเหล้าแล้วก็ไม่อาจกลืนลงคอไปได้
เด็กหนุ่มคนนั้นพลันเดินออกมาหนึ่งก้าว “ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับใต้เท้าอิ่นกวาน”
เจี่ยเสวียนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย กระตุกชายแขนเสื้อของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วกระชากกลับมาเบาๆ พูดด้วยสีหน้าดุดัน “จินซวน อย่าเสียมารยาท!”
จู้ย่วนก็ใช้เสียงในใจกล่าวเตือนว่า “จินซวน ห้ามก่อเรื่องที่นี่ ระวังจะนำภัยมาสู่หอโหยวเซียน”
หากเพียงแค่เพราะคำพูดเหลวไหลไม่รู้เด็กรู้ผู้ใหญ่สร้างความเดือดร้อน ทำให้สำนักถูกอิ่นกวานพาลโมโหใส่ ภูเขาหงซิ่งแห่งซื่อสุ่ยเล็กๆ แห่งหนึ่งจะต้านรับกระบี่ได้สักกี่ทีกัน?
คิดไม่ถึงว่าคนชุดเขียวที่หันหลังให้ทุกคนจะเปิดปากเอ่ยว่า “ลองมาว่าสิ พยายามใช้หนึ่งประโยคอธิบายเหตุผลที่เจ้าอยากพูดให้ชัดเจน”
ผู้ฝึกตนเด็กหนุ่มจากหอโหยวเซียนนามว่าจินซวนสะบัดมือของเจี่ยเสวียนจนหลุด เขาคารวะก่อนแล้วค่อยเงยหน้าขึ้น ยืดเอวตรง พูดเสียงดังกังวานไร้ซึ่งสีหน้าขลาดกลัว “อริยะกล่าวว่าลงโทษโดยไม่สั่งสอน ถ้าอย่างนั้นการลงโทษก็จะต้องมากขึ้น และความผิดก็มีแต่จะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น อิ่นกวานเห็นด้วยหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ พยักหน้า “ดีมาก เจ้าสามารถพูดเพิ่มได้อีกหลายประโยค”
คำพูดประโยคนี้ของเด็กหนุ่มมาจาก ‘บทแคว้นรุ่งเรือง’ ของอาจารย์ตน เด็กหนุ่มคนนี้ใช้หลักการเหตุผลแห่งอริยะปราชญ์ของเหวินเซิ่งมาอธิบายเหตุผลกับลูกศิษย์คนสุดท้ายสายเหวินเซิ่ง ย่อมเหมาะสมยิ่งกว่าสิ่งใด
นี่มีความคล้ายคลึงกับแผนการอันแยบยลที่เฉินผิงอันถ่ายทอดให้เทพีบุปผาเฟิ่งเซียนแห่งพื้นที่มงคลร้อยบุปผาตอนที่อยู่ริมเกาะยวนยางศาลบุ๋นก่อนหน้านี้ สอนให้นางไปอธิบายเหตุผลกับลูกศิษย์ของซูจื่อ
จินซวนเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว เอ่ยต่ออีกว่า “นี่จึงเป็นเหตุให้การลงโทษโดยไม่สั่งสอนมิใช่การกระทำที่พึงกระทำของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ!”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “มีเหตุผล เพียงแต่ว่าเจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเหตุผลข้อนี้เหมาะสมจะเอามาใช้กับเรื่องในวันนี้จริงๆ?”
จินซวนเอ่ยเสียงหนัก “ก่อนหน้านี้พวกเราต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าท่านคืออิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ท่านพูดโน้มน้าวสองครั้ง พูดกันด้วยจิตใจที่เป็นกลาง หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นย่อมไม่มีทางสนใจ หากนี่ยังไม่เรียกว่าลงโทษโดยไม่สั่งสอน แล้วแบบไหนถึงจะเรียกได้?”
รับฟังเด็กหนุ่มอธิบายจนจบด้วยความอดทน เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ต้องเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘ไม่ค่อย’ ‘ย่อมไม่ค่อยสนใจ’ ถึงจะฟังดูระมัดระวังมากกว่า ไม่อย่างนั้นพูดมาถึงตรงนี้ การอธิบายเหตุผลดีๆ ก็ง่ายที่จะเปลี่ยนมาเป็นการทะเลาะโต้เถียงกันแล้ว”
เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง คงเป็นเพราะเคยจินตนาการล่วงหน้าไว้หลายเหตุการณ์ ยกตัวอย่างเช่นถูกเจ้าหมอนี่ซ้อมอย่างโหดร้ายไปรอบหนึ่ง ถึงขั้นอาจตบให้ตนปลิวกระเด็นออกไปจากหัวกำแพงเมือง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่ถือสาตนที่ล่วงเกิน กลับกันยังสนใจแค่คำพูดของตน บอกว่าควรเปลี่ยนคำเสียใหม่
——