กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 850.2 หนึ่งนั้น
หลังจากนั้นมาบุรุษก็ไม่ค่อยกล้าหาเรื่องยุ่งยากให้เฉินผิงอันอีกจริงๆ อย่างมากก็แค่พูดจาเหน็บแนมที่ไม่เจ็บไม่คันลับหลังเขา เพราะไม่ว่าใครก็ล้วนรู้ว่า หลิวเสี้ยนหยางคือลูกศิษย์เข้าห้อง (เปรียบเปรยถึงลูกศิษย์ที่ถูกรับเข้าสำนักและได้รับการถ่ายทอดวิชาแล้ว) ที่เหยาเหล่าโถวชื่นชอบที่สุด เวลานั้นพวกลูกจ้างที่เตาเผาทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่าในอนาคตมีถึงแปดเก้าในสิบส่วนที่หลิวเสี้ยนหยางจะได้เป็นหัวหน้าช่างของเตาเผามังกรคนถัดไป ประเด็นสำคัญคือเจ้าหมอนี่อายุไม่มาก แต่ตัวกลับสูงใหญ่ แล้วยังนิสัยร้ายเจ้าอารมณ์ ลงมือทีไม่รู้จักหนักเบา เพียงแต่ว่าเวลาปกติยามอยู่ร่วมกับคนอื่นมักจะหัวเราะอารมณ์ดี คบค้าสมาคมได้ง่าย และเวลาปกติหลิวเสี้ยนหยางก็เป็นคนมือเติบใจกว้าง ไม่เคยรั้งเงินเอาไว้ได้ ต้นเดือนได้รับเงินมา กลางเดือนก็ใช้จ่ายหมดแล้ว ดังนั้นคนทั่วไปจึงไม่ค่อยยินดีจะไปมีเรื่องกับหลิวเสี้ยนหยางที่เข้ากับคนได้ง่าย ทว่าคุณสมบัติในการเผาเครื่องปั้นกลับดียิ่งกว่า
อันที่จริงคนของเมืองเล็กที่มีชีวิตยากลำบากไม่ได้มีแค่เฉินผิงอันเท่านั้น ใครบ้างที่ไม่ได้ใช้ชีวิตกันอย่างยากแค้น ใครเล่าจะมีคุณสมบัติพูดว่าตัวเองไม่อาจทนความรำคาญได้ อีกอย่าง คนผู้หนึ่งที่ต่อให้จะรำคาญใจกับเรื่องหยุมหยิมแค่ไหน แต่มันจะน่ารำคาญได้เท่าการที่ในกระเป๋าไม่มีเงิน ชีวิตในวันข้างหน้าไม่มีความหวังได้หรือ?
เอาเป็นว่าวันที่หนึ่งของทุกเดือน ช่างและลูกศิษย์ของเตาเผามังกรทุกคนต่างก็ได้รับเงินค่าแรงบ้างมากบ้างน้อยมาจากมือของผู้เฒ่าเหยา เวลานั้นไม่ว่าใครก็ไม่รำคาญ
นึกถึงพวกอวี่ซื่อ ในใจก็ให้กลัดกลุ้มเป็นกังวล นึกถึงชายใจหญิงที่สภาพการณ์น่าสมเพชเวทนา ก็ให้รู้สึกเสียใจ เพียงแต่ว่าพอคิดถึงหลิวเสี้ยนหยาง เฉินผิงอันกลับยิ้มได้
คงเป็นอย่างที่ลู่เฉินพูด เฉินผิงอันเชี่ยวชาญการรื้อกำแพงตะวันออกไปซ่อมกำแพงตะวันตก ขนย้ายข้าวของ สับเปลี่ยนตำแหน่งจริงๆ บางทีอาจเป็นเพราะยากจนจนกลัว ไม่ใช่ความยากจนที่ไม่เคยมีวันเวลาที่ดี แต่กลับเป็นความยากจนที่เกือบจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้ ดังนั้นนับแต่เล็กมาเฉินผิงอันจึงชอบเอาข้าวของทั้งหมดที่อยู่ในมือตัวเองมาแบ่งแยกประเภทอย่างละเอียด จัดระเบียบอย่างเหมาะสม ได้อะไรมา สูญเสียอะไรไป ล้วนแยกแยะชัดเจน แล้วก็คงเพราะเหตุนี้เขาถึงได้เข้าใจองค์ชายผู้มีโรคย้ำคิดย้ำทำของอารามหวงฮวาแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนที่จำเป็นต้องจัดวางหนังสือทุกเล่มอย่างเป็นระเบียบคนนั้น ชั่วชีวิตนี้เฉินผิงอันแทบไม่เคยทำของหาย ดังนั้นครั้งแรกที่พาพวกเป่าผิงน้อยออกจากบ้านเดินทางไกลแล้วทำปิ่นหาย เขาถึงไม่คิดจะไปตามหา เพียงแค่ก้มหน้าก้มตาทำหีบหนังสือไม้ไผ่ใบเล็กต่อไป แค่บอกกับหลินโส่วอีว่าหาไม่เจอ
เฉินผิงอันเก็บความคิดกลับมา รวบสองมือเข้าหากัน พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
รอให้ธุระที่ต้าหลีเสร็จเรียบร้อย คงต้องไปที่ร้านยาตระกูลหยางทันทีจริงๆ แล้ว
ลู่เฉินยืดแขนบิดขี้เกียจ อ้าปากหาว “ไปแล้วๆ หาวซู่ ตกลงกันไว้แล้วนะว่าอย่าตายอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ออกกระบี่ระวังหน่อย สะสมคุณความชอบทางการสู้รบให้ได้มากพอ พอไปถึงใต้หล้ามืดสลัว จำไว้ว่าต้องไปดื่มเหล้ากับผินเต้าด้วย ด้วยเวทกระบี่ของเจ้าและตำแหน่งขุนนางในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นเจ้านครอยู่ในป๋ายอวี้จิง…ก็ไม่ต้องลุ้น หัวไชเท้าหนึ่งหัวกับหลุมหนึ่งหลุมโดยแท้ ช่วงนี้เจ้าลูกกระต่ายน้อยเจียงอวิ๋นเซิงผู้นั้นไปรับตำแหน่งขุนนางที่ได้รับทรัพย์มากที่นครชิงชุ่ยแล้ว จัดการได้ค่อนข้างยากจริงๆ แต่ถ้าบอกว่าต้องรออีกร้อยปี เป็นหนึ่งในเจ้าหอของสิบสองหอเรือน ผินเต้าก็ยังพอจะออกแรงมากหน่อยได้”
เฉินผิงอันโคลงศีรษะ สะบัดหิมะที่หล่นทับอยู่บนร่างทิ้งไป ลุกขึ้นยืนช้าๆ ปัดชุดสีเขียว ยิ้มถามว่า “ลู่เฉิน พวกเรามาทำการค้ากันครั้งหนึ่ง เป็นอย่างไร?”
ลู่เฉินรีบหยุดเดินทันใด ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตอบตกลงทันที “ได้สิ”
เฉินผิงอันหันไปมองหนิงเหยา
นางพยักหน้า ทอดสายตามองไปไกล เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น ตั้งใจเช่นนี้อยู่พอดี
เฉินผิงอันมองไปยังหัวกำแพงเมืองอีกฝั่งหนึ่ง ใช้เสียงในใจยิ้มถาม “เจ้าสำนักฉี?”
ฉีถิงจี้พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็จะพยายามแกะสลักตัวอักษรให้ได้อีกตัว เรื่องที่ปีนั้นผู้อาวุโสจงหยวนพลาดโอกาสไปต่อหน้าต่อตา ก็ให้ข้าเป็นคนทำให้สำเร็จเถอะ”
เฉินผิงอันถามอีก “อาจารย์ลู่?”
ลู่จือมีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก ตอบว่า “กำลังรอประโยคนี้ของเจ้าอยู่พอดี”
รอยยิ้มของเซียนกระบี่ใหญ่หญิงที่เรือนกายสูงเพรียว มองดูแล้วค่อนข้างผอมสูงยิ่งกดลึกกว่าเดิม “หากโชคดี พวกเราทั้งสองต่างก็รอดชีวิตกลับมา ไม่ว่าอะไรก็ไม่ต้องพูดมาก หากพวกเรามีแค่คนเดียวที่รอดกลับมา ก็ช่วยรินเหล้าหนึ่งกาให้กับอีกฝ่ายอยู่บนหัวกำแพงเมืองแห่งนี้”
เฉินผิงอันตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าลู่เฉินเอ้อระเหย
เฉินผิงอันถามฉีถิงจี้ก่อน หรือถามลู่จือก่อน ในนี้ได้ซุกซ่อนความรู้ที่เป็นเรื่องของผู้คนและเรื่องราวบนโลกมนุษย์เอาไว้
ลู่จือต้องตอบตกลงทำเรื่องนี้แน่นอน แต่ฉีถิงจี้กลับไม่แน่เสมอไป หากถามลู่จือก่อนก็ไม่สมควรแล้ว หากฉีถิงจี้ไม่ตอบตกลงก็จะเสียภาพลักษณ์ของเซียนกระบี่และเจ้าสำนักไป
เพียงแต่ลู่เฉินก็ประหลาดใจเล็กน้อย ฉีถิงจี้ไม่เพียงตอบตกลงว่าจะออกกระบี่ ดูเหมือนว่าจะมีความตั้งใจเช่นนี้มาตั้งแต่แรกแล้วด้วย? ตอนนั้นหลังจากที่ฉีถิงจี้ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ ไม่มีใครมาคอยถ่วงรั้ง กว่าจะฝืนนิสัยล้มเลิกแผนการที่จะกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสีได้ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายหยัดยืนอยู่ในใต้หล้าไพศาลได้อย่างมั่นคง หากวันนี้เลือกจะติดตามทุกคนออกจากเมืองไปออกกระบี่ เป็นตายก็ยังไม่รู้ ใครก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองจะต้องมีชีวิตรอดออกมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้อย่างแน่นอน ส่วนสำนักกระบี่หลงเซี่ยง หากต้องสูญเสียเจ้าสำนักและผู้ถวายงานอันดับหนึ่งไป อาศัยอะไรถึงจะวิ่งนำทุกคนในใต้หล้าไพศาลไปไม่เห็นฝุ่น? ไม่แน่ว่าพวกเขาที่อยู่ในทักษินาตยทวีปอาจไม่ใช่สำนักแห่งวิถีกระบี่ที่สมชื่ออีกแล้วก็เป็นได้
ลู่เฉินถามอย่างใครรู้ “เซียนกระบี่อาวุโสฉี เหตุใดถึงยินดีทำเช่นนี้ ดูเหมือนว่านี่จะไม่สอดคล้องนิสัยที่ต้องวางแผนก่อนแล้วค่อยลงมือทำของเจ้าเลยนะ”
ฉีถิงจี้คลี่ยิ้ม ไม่ได้ให้คำตอบ
ในสายตาของลู่เฉิน เห็นเพียงว่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่รูปโฉมอ่อนเยาว์คนนั้นยืนอยู่บนหัวกำแพงเมือง เรือนกายสูงเพรียว หน้าตาหล่อเหลา เสื้อผ้าเป็นสีเดียวกับหิมะ ตรงเอวพกกระบี่ฝักสีดำหนึ่งเล่ม กำแพงเมืองปราณกระบี่มีแต่บุรุษหล่อเหลาและสาวงามจริงๆ
นี่ก็คงเป็นผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่กระมัง
หากทำอะไรต้องใช้เหตุผล ยังจะต้องลำบากฝึกกระบี่ไปทำไม
ผู้ฝึกกระบี่สองคนที่อยู่ในสนามรบ อาเหลียงเป็นคนต่างถิ่น จั่วโย่วก็เป็นคนต่างถิ่น
อิ่นกวานที่กำลังจะก้าวลงสู่สนามรบ เฉินผิงอันเองก็เป็นคนต่างถิ่นเหมือนกัน
ข้าฉีถิงจี้ ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ซึ่งมีอายุมากที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ ก็จะถือว่าได้ดื่มสุราคารวะแก่ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นทุกคนที่มารบตายอยู่ ณ ที่แห่งนี้
สุดท้ายเฉินผิงอันถามว่า “สิงกวานว่าอย่างไร?”
หาวซู่ยกสองแขนกอดอก เอ่ยว่า “บอกไว้ก่อนน่ะว่า หากมีผลงานทางการสู้รบ มีศีรษะที่เก็บได้ ต้องเอาให้ข้า จะได้นำไปมอบให้ศาลบุ๋น น้ำใจที่ติดค้างเจ้าครั้งนี้ วันหน้าพอไปถึงใต้หล้ามืดสลัวค่อยใช้คืน หากเจ้าตอบตกลง ข้าก็จะออกไปพร้อมกับพวกเจ้า ต่อให้จะเป็นสิงกวานไม่สมตำแหน่งหน้าที่แค่ไหน แต่ข้าก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ดังนั้นวางใจได้ ขอแค่ออกกระบี่ ไม่สนเป็นตาย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”
เพราะลู่จือไม่ได้ใช้เสียงในใจพูด ดังนั้นเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะที่พอจะเดาความจริงออกคร่าวๆ จึงเงยหน้ามองหิมะปลิวปรายเต็มท้องฟ้า ดูเหมือนเว่ยจิ้นจะนึกถึงฤดูหนาวในสำนักบ้านเกิดตอนที่ตนยังเป็นเด็ก เด็กหนุ่มขี่กระบี่ไปยังหอเทพเซียน เดินทางไปพร้อมกับลมและหิมะ
เว่ยจิ้นยื่นมือไปกุมกระบี่ยาวที่วางพาดหัวเข่าเอาไว้ เอ่ยว่า “บวกข้าไปอีกคน รับรองว่าไม่เป็นตัวถ่วง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ตอนนี้ขอบเขตของเจ้ายังไม่พอ”
แม้ว่าเว่ยจิ้นจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง แต่การเดินทางไปเยือนพื้นที่ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในครั้งนี้ ไม่เหมาะสม ไม่สมควร
ประโยคนี้ของเฉินผิงอันไม่ต่างจากประโยคที่เว่ยจิ้นบอกว่าเฉาจวิ้นไม่อาจเข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนได้
เฉาจวิ้นอดรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะไม่ได้ จึงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ขอบเขตของเฉินผิงอันต่ำกว่าเจ้าหนึ่งขั้น ยังมีหน้ามาพูดจาเช่นนี้อีกหรือ?”
ดูเหมือนว่าเว่ยจิ้นจะไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย เปลี่ยนจากท่าจับกระบี่มือเดียวมาเป็นท่ากดกระบี่ด้วยสองมือ เท่ากับล้มเลิกความคิดนั้นไปแล้ว
เฉาจวิ้นเอ่ยอย่างร้อนใจ “เว่ยจิ้น เจ้าเป็นอะไรไป อยู่กับเฉินผิงอัน พูดจาหรือทำอะไรไม่มีความแข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย”
เว่ยจิ้นตอบไม่ตรงคำถาม เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าพูดไม่ถูก อันที่จริงเจ้าสามารถไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนได้”
เฉาจวิ้นดวงตาเป็นประกาย
เว่ยจิ้นเอ่ยเสริมมาว่า “ถึงอย่างไรก็มีหมี่อวี้อยู่อันดับสุดท้าย เจ้าไปที่คฤหาสน์หลบร้อน เขาต้องตามเจ้าแน่นอน”
เฉาจวิ้นสงสัย “หมี่ผ่าเอวคนนั้นน่ะหรือ ตอนอยู่นครมังกรเฒ่าออกกระบี่เฉียบคมนัก เรื่องราวที่เล่าต่อกันมาก็ลี้ลับอัศจรรย์ยิ่ง ในอดีตตอนอยู่คฤหาสน์หลบร้อนเขามีชีวิตอนาถขนาดนี้เลยหรือ?”
เว่ยจิ้นพยักหน้า “อนาถยิ่งกว่าที่เจ้าคิดไว้เสียอีก สุดท้ายได้แต่หลบไปอยู่เรือนชุนฟาน โต๊ะอยู่ติดกับประตู ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลทุกวัน”
เฉาจวิ้นมองเว่ยจิ้นที่มีรอยยิ้มประดับใบหน้าแล้วถอนหายใจ เริ่มอิจฉาคนบ้านเดียวกันอย่างเว่ยจิ้นและเฉินผิงอันขึ้นมาบ้างแล้วที่ได้กลายเป็นคนบ้านเดียวกันกับผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เว่ยจิ้นยิ้มบางๆ “กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้คือยุทธภพที่ดีที่สุดที่ข้าเคยท่องผ่านมา”
เว่ยจิ้นเงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ยว่า “ข้อบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวในความสมบูรณ์แบบ ก็คือเหล้าของที่นี่หลอกลวงคนเกินไปหน่อย”
ลู่เฉินจับประคองกวานดอกบัว หุบยิ้ม เอ่ยเสียงเบา “ตัดสินใจในเวลาสั้นๆ เจ้าลงมือเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ออกจะวู่วามเกินไปหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คนอายุน้อยไม่ควรหงอยเหงาเซื่องซึมเกินไปนี่นะ”
ลู่เฉินตบกวานเต๋าหนักๆ หนึ่งที เอ่ยอย่างคนรู้สึกตัวช้า “ใช่แล้ว ลืมถามไปว่าการค้าครั้งนี้มีรายละเอียดอย่างไร?”
“ข้าเสียเปรียบเล็กน้อย มอบวิชาหมัดและเวทกระบี่ของทั้งร่างให้ลู่เฉินยืมชั่วคราว ลู่เฉินแค่ให้ข้ายืมชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งก็พอ”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเอ่ยว่า “เจ้าลัทธิลู่ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้คงไม่ยากสำหรับเจ้ากระมัง?”
สีหน้าลู่เฉินตะลึงลาน “ใช้วิชาหมัดและเวทกระบี่มาแลกมรรคกถา สองแลกหนึ่ง เจ้าจะเสียเปรียบเกินไปหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อดทนต่อความรำคาญจึงทำให้เห็นถึงฝีมือ เสียเปรียบเพื่อสะสมความโชคดีเป็นค่าตอบแทน”
ลู่เฉินพยักหน้า เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองลู่เฉิน พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องหนึ่งก็ส่วนเรื่องหนึ่ง นักพรตลู่ เรื่องบางอย่าง ขอบคุณเจ้ามาก”
หลังจากฝึกหมัดเรียนกระบี่ ทุกครั้งที่พูดถึงลู่เฉินมักจะเรียกชื่อตรงๆ
รับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน หวนคืนสู่มาตุภูมิเดิม ส่วนใหญ่จะเรียกเจ้าลัทธิลู่
อันที่จริงในอดีตตอนเป็นเด็กหนุ่ม เฉินผิงอันก็เรียกลู่เฉินว่านักพรตลู่มาโดยตลอด
ลู่เฉินยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่ยกชายแขนเสื้อสองข้างของชุดคลุมเต๋าขึ้นมา ลมเย็นพัดโชยผ่าน หอบม้วนเกล็ดหิมะปลิวปราย
ดูเหมือนว่าชุยตงซานลูกศิษย์ของเฉินผิงอันจะชอบตั้งชื่อชายแขนเสื้อข้างหนึ่งว่า ‘ที่ตีคนโง่’
ผินเต้ากลับไม่เหมือนกัน ยินดีจะตั้งชื่อชายแขนเสื้อข้างหนึ่งว่า ‘ที่ตีคนฉลาดทั่วโลกมนุษย์’
ลู่เฉินเงยหน้ามองม่านฟ้า พึมพำว่า “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าลืมล่ะว่า ในนครหนันหัวแสงจันทร์เหมือนทิวา สิบหอหยกหาใช่บ้านเกิดข้าไม่ บ้านเกิดของข้าก็คือใต้หล้าไพศาลแห่งนี้”
หนิงเหยาทอดสายตามองไปยังทิศไกล
อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างข้าออกกระบี่อย่างไร เจ้าหลี่เซิ่งและศาลบุ๋นต่างก็ควบคุมไม่ได้แล้ว
ลู่เฉินเอ่ยเตือน “ทุกท่าน ก่อนจะออกเดินทาง ผินเต้าขอปากมากพูดสักประโยค เป็นการสาดน้ำเย็นใส่หน้าที่ไม่ถูกกาลเทศะ รากฐานกำลังทรัพย์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจจะได้เจอพวกคนมหัศจรรย์ที่ต่อสู้ได้เก่งอยู่หลายคน”
เฉินผิงอัน หนิงเหยา ฉีถิงจี้ ลู่จือ หาวซู่ ผู้ฝึกกระบี่ทั้งห้าต่างก็คลี่ยิ้มอย่างรู้ใจกัน ต่างก็ไม่มีใครเปิดปากพูด
ดูแคลนใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เท่ากับดูแคลนกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่
จะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร จะทำแบบนี้ได้อย่างไร
ลู่เฉินยื่นมือไปประคองกวานเต๋า ดีนักนะ ร่วมมือกันรังแกคนต่างถิ่นหรือ
เฮ้อโซ่วอาจารย์ผู้เฒ่า อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งในศาลบุ๋นซึ่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าแห่งนี้เห็นภาพบนหัวกำแพงที่อยู่ด้านล่างก็ให้ปลงอนิจจังยิ่ง
จนกระทั่งบัดนี้ อาจารย์ผู้เฒ่าถึงจะเพิ่งเข้าใจว่าอะไรคือ ‘อิ่นกวาน’ ที่แท้จริง
ต่อให้อยู่ที่การประชุมของศาลบุ๋น อริยะผู้มีรูปปั้นแทบทุกคน ผู้อำนวยการสถานศึกษาและเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต่างก็พากันตรวจสอบเอกสารลับ ตรวจสอบดูประวัติความเป็นมา เฮ้อโซ่วรู้สึกว่าตนเข้าใจคนหนุ่มผู้นี้มากพอแล้ว แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ ยังอยู่ห่างไกลจากความจริงมามากนัก
ไม่พูดถึงหนิงเหยาคนรักของเฉินผิงอัน
พูดถึงแค่ฉีถิงจี้เซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมือง ลู่จือที่มีชาติกำเนิดจากไพศาล แต่กลับมองกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นแค่บ้านเกิดเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และยังมีหาวซู่สิงกวานที่น้อยครั้งจะเผยตัว แต่พอลงมือทีกลับสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง
ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะให้ความสำคัญกับสถานะอิ่นกวานของเฉินผิงอันมากกว่าผู้ฝึกตนของใต้หล้าศาล
ลู่เฉินพลันเอ่ยว่า “ใช่แล้ว พูดถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ จู่ๆ ข้าก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เฉินผิงอัน และยังมีหนิงเหยา แน่นอนว่ายังมีใต้เท้าสิงกวานด้วย พวกเจ้าสามคนรู้ตัวตนที่แท้จริง รู้รากฐานมหามรรคาของเซียนกระบี่ใหญ่จางลู่หรือไม่?”
หาวซู่ส่ายหน้า เขาเป็นสิงกวานอย่างไร ในใจตัวเองรู้ดีที่สุด คาดว่าพอไปถึงนครบินทะยาน หากบอกชื่อแซ่ของตัวเองออกไปคงถูกด่าสาดเสียเทเสียเป็นแน่
เฉินผิงอันมองสบตากับหนิงเหยา ต่างคนต่างส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าหนิงเหยาไม่เคยได้ยินเรื่องเพิ่มเติมเกี่ยวกับจางลู่มาจากพวกผู้อาวุโสทุกคน ส่วนเฉินผิงอันเองก็ไม่เคยเจอบันทึกเอกสารลับใดๆ ที่เกี่ยวกับจางลู่จากในคฤหาสน์หลบร้อนมาก่อน
หนิงเหยารู้แค่ว่าจางลู่อายุห้าร้อยกว่าปี คุณสมบัติในการฝึกกระบี่ดีเยี่ยม อีกทั้งยังเป็นสหายรักของบิดามารดา จางลู่กับอาเหลียงเองก็ถูกชะตากันมาก ต่อให้พ่ายแพ้ในศึกสิบสามของปีนั้น ชื่อเสียงของจางลู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังไม่ถือว่าแย่ ไม่ว่ากับใครก็สามารถดื่มเหล้าคุยเล่นด้วยได้ แต่ดูเหมือนจางลู่กลับไม่เคยมอบใจให้ใครเป็นพิเศษ
ลู่เฉินนวดคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยอย่างปวดหัวว่า “เฉินผิงอัน เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่าทำไมเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสถึงได้ให้จางลู่ไปเฝ้าประตูใหญ่อยู่ที่ภูเขาห้อยหัว? จางลู่กับเซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานคนก่อนเข้ากันได้ดีมาก หรือเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจะมองไม่ออกเลยว่าจางลู่มีความเป็นศัตรูต่อใต้หล้าไพศาล? อีกอย่างด้วยนิสัยของเซียนกระบี่ใหญ่จาง เขาเองก็ไม่เคยปิดบังเรื่องพวกนี้ ต่อให้สุดท้ายแล้วจางลู่จะทรยศออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่ทำไมจางลู่ถึงยังต้องเฝ้าอยู่ที่ซากปรักของภูเขาห้อยหัวอยู่เหมือนเดิม ไม่เคยขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว เอาแต่เฝ้าประตูใหญ่ตั้งแต่ต้นจนจบ? กระทั่งเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างถอยทัพออกจากไพศาลเหมือนกระแสน้ำที่ไหลลง จางลู่ถึงได้จากไป?”