กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 850.5 หนึ่งนั้น
ก็แค่เงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญหรือสิบกว่าเหรียญเท่านั้น แต่ถ้าหักเป็นเงินขาวและทองก้อนขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเปลี่ยนมาเป็นเงินเหรียญทองแดงเป็นพวงๆ อย่าว่าแต่ซื้อเลย ให้เปลี่ยนชุดเดินทางยามค่ำคืนแล้วหาผ้าสักผืนมาปิดใบหน้าลวกๆ ขึ้นไปปล้นบนภูเขา นางก็เริ่มมีความคิดแล้ว
เฉินผิงอันบอกลาแล้วจากไป โจวไห่จิ้งเดินไปส่งที่หน้าประตูเรือน
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวเราะเสียงเบา “พี่หญิงโจว เจ้าหมอนี่หน้าตาดีมากเลยนะ แค่มองก็รู้ว่าเป็นสุภาพชนคนหนึ่ง ทำไม รังเกียจว่าในกระเป๋าเขาไม่มีเงินก็เลยไม่เห็นอยู่ในสายตาอย่างนั้นหรือ?”
โจวไห่จิ้งยิ้มตาหยี “เขาไม่มีเงิน? เกาโหยวเอ๋ยเกาโหยว เจ้าช่างสายตาดีจริงๆ มิน่าเล่าคิดจะขโมยเงินถึงขโมยมาถึงบนร่างข้าได้ เจ้าพลาดเศรษฐีที่แท้จริงไปคนหนึ่งแล้ว”
เกาโหยวหันหน้าไปมองแผ่นหลังของชายผู้นั้น มีเงิน? คงไม่หรอกกระมัง?
เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดพลันวิ่งเหยาะๆ ไล่ตามเฉินผิงอันไป เดินเบี่ยงตัวจนแทบจะแนบติดกำแพง เอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าสำนักเฉิน ข้าชื่อว่านเหยียน”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ว่านเหยียนที่มาจากประโยคพิงม้าเขียนหมื่นถ้อยคำน่ะหรือ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแรง ลังเลอยู่ชั่วขณะก็ถามด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ท่านเป็นวิชาหมัดเท้าหรือไม่?”
“เป็นบ้างเล็กน้อย”
“สอนให้คนนอกได้ไหม?”
“ไม่ได้”
“ข้าสามารถมอบเงินให้ได้ หากเงินไม่พอก็ติดไว้ก่อน ข้าต้องใช้คืนให้แน่นอน ข้าสาบาน”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า ไม่ได้ตอบตกลงเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มมีสีหน้าหม่นหมอง “กระบวนท่าของพวกอาจารย์ผู้เฒ่าในศูนย์ฝึกยุทธ พวกเราเรียนไปก็ไม่มีประโยชน์ ได้ยินมาว่ายังต้องใช้ตำราหมัดหรือคัมภีร์อะไรด้วย พวกเราต่างก็ไม่เคยอ่านตำรามาก่อน จึงไม่อาจเรียนเอาแก่นความรู้ที่แท้จริงมาได้”
อันที่จริงยังมีคำพูดบางอย่างที่ไม่ได้หลุดออกมาจากปาก ฝึกท่ายืนนิ่งเดินนิ่งผายลมสุนัขกับเกาโหยวอย่างส่งเดชมานานหลายปี สรุปแล้วช่วยเพิ่มพละกำลังหรือไม่กลับบอกได้ยาก แต่ที่แน่ๆ คือหิวง่าย พอหิวแล้วก็ต้องไปขโมยเงินบนถนน ศูนย์ฝึกยุทธน้อยใหญ่ในเมืองหลวงไม่มีที่ไหนยินดีรับคนยากจนสองคน พรรคในยุทธภพก็ยิ่งอยู่ได้ยาก
เฉินผิงอันถาม “ทำไมถึงอยากเรียนหมัด?”
ว่านเหยียนเอ่ย “จะได้ไม่ถูกรังแก พอมีวิชาความรู้ติดตัวแล้วก็จะได้หาเงินได้ง่ายหน่อย”
โจวไห่จิ้งที่เอนหลังพิงประตูตะโกนพูดกับเซียนกระบี่หนุ่มอยู่ไกลๆ “เรียนหมัดช้าไปสักหน่อย หากได้เจอกันเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน ไม่แน่ว่าข้าคงจะยินดีสอนวิชาแมวสามขาให้พวกเขาอยู่บ้าง แต่ทุกวันนี้สอนไปก็มีแต่จะทำร้ายพวกเขา ด้วยนิสัยของพวกเขา วันหน้าอยู่ในยุทธภพ ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกคนซ้อมตายอยู่ในสำนักแน่นอน ไม่สู้เป็นโจรไปอย่างสงบดีกว่า ความสามารถน้อยก็ก่อเรื่องได้น้อย”
เกาโหยวพูดอย่างขุ่นเคือง “พี่หญิงโจว อย่าได้ดูแคลนกันสิ สมองของว่านเหยียนดีมากนะ เขาก็แค่ไม่มีเงินเรียนหนังสือเท่านั้น ไม่อย่างนั้นคงสอบติดเป็นจิ้นซื่อไปแล้ว”
เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดยิ้มเขินอาย เกาหัว สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
คนทั้งสองกำลังจะเดินไปสุดปลายตรอก เฉินผิงอันก็ยิ้มถามว่า “ทำไมถึงอยากเรียนวิชาหมัดกับข้า พี่หญิงโจวของพวกเจ้าก็ไม่ใช่คนในยุทธภพหรอกหรือ ไยต้องละทิ้งสิ่งใกล้ตัวไปหาสิ่งที่อยู่ไกลตัวด้วยเล่า”
ว่านเหยียนเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าอาจารย์เฉินเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็”
ว่านเหยียนรีบแก้ไขคำพูดทันที “ก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง!”
เด็กหนุ่มหันหน้ามายิ้มขออภัยโจวไห่จิ้ง
โจวไห่จิ้งถูกหยอกจนขำ
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ข้าเป็นยอดฝีมือหรือ เจ้ามองออกได้อย่างไร?”
ว่านเหยียนเอ่ย “พลังอำนาจ เจ้าสำนักเฉินไม่ว่าจะเดินหรือพูดจาล้วนไม่เหมือนกับพวกเรา แต่กลับเหมือนท่านน้าโจว”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที พยักหน้าเอ่ยว่า “มองดูโลกอย่างระมัดระวังคือความเคยชินที่ดี จะทำให้เจ้าอ้อมผ่านอุปสรรคมากมายไปอย่างที่มองไม่เห็น เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ พวกเรามิอาจพิสูจน์กับตัวเองได้ เจ้าก็ถือเสียว่าเป็นประสบการณ์ซึ่งคนที่เคยผ่านมาก่อนเล่าให้ฟังก็แล้วกัน”
ลัทธิขงจื๊อกล่าวว่าพึงสำรวมระมัดระวังตัวแม้ยามอยู่เพียงลำพัง ลัทธิพุทธกล่าวถึงการบรรลุธรรมด้วยตัวเอง อันที่จริงความหมายไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไร เพียงแต่ว่าเวลานี้พูดเรื่องเหล่านี้กับเด็กหนุ่มไม่ได้มีความหมาย จำต้องยอมรับว่า หลักการเหตุผลหลายอย่าง แท้จริงแล้วมีธรณีประตู นอกจากนี้แล้วยังต้องพิถีพิถันในเรื่องที่ว่ายินดีจะเรียนรู้หรือไม่ เต็มใจจะรับฟังหรือไม่อีกด้วย
เฉินผิงอันหยุดเท้าอยู่หน้าตรอก ยิ้มเอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า “ท่านน้าโจวของพวกเจ้าเป็นคนที่พูดง่าย ขอร้องนางให้มากๆ เวลาปกติก็มีไหวพริบสักหน่อย หาเรื่องทำบ้าง ยกตัวอย่างเช่นเป็นฝ่ายไปซื้อเหล้าให้กับน้าโจว คิดจะเรียนรู้วิชาหมัดเท้าเสริมสร้างให้เรือนกายแข็งแกร่งต้องไม่ยากแน่นอน”
ว่านเหยียนพยักหน้า “เข้าใจแล้ว ยังต้องใช้เงิน!”
เฉินผิงอันหัวเราะ เดินออกจากตรอกแล้วจากไปทันที
โจวไห่จิ้งเบ้ปาก
ว่านเหยียนหยุดยืนนิ่งอยู่เนิ่นนาน รอกระทั่งมองไม่เห็นชุดเขียวนั้นแล้ว ถึงได้วิ่งกลับไปหาสหายรักเกาโหยวและโจวไห่จิ้ง
โจวไห่จิ้งเอ่ยว่า “เรื่องของการเรียนหมัด แนะนำพวกเจ้าว่าถอดใจเสียเถอะ เหตุผลก็คือลูกกระต่ายน้อยอย่างพวกเจ้าสองคนไม่ดำมากพอ”
เกาโหยวถามอย่างคลางแคลง “ใจไม่ดำมากพอหรือ?”
โจวไห่จิ้งกลอกตามองบน หมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน ปิดประตูเรือนลง
มองถ้วยขาวที่วางอยู่บนโต๊ะ นางหวังเพียงว่าเซียนกระบี่ที่มีกลิ่นอายของตำรา อาจารย์ของเผยเฉียนผู้นี้จะพูดจริงทำจริง ไม่มาตอแยตนอีก
โจวไห่จิ้งนั่งอยู่บนธรณีประตูของห้องหลัก มองลานบ้านด้านนอก
ชาวประมงริมทะเลตากแดดจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ลมทะเลพัดมาพร้อมกลิ่นคาว เด็กหนุ่มเด็กสาวที่จับปลาเก็บไข่มุก ส่วนใหญ่ล้วนผิวดำเกรียมเหมือนถ่าน แต่ละคนจะงดงามหน้าตาดีไปได้อย่างไรกัน
เคยมีบุรุษต่างถิ่นคนหนึ่งมาหยุดพักเท้าอยู่ที่หมู่บ้านริมทะเล ช่วยพวกชาวประมงตากเกลือทะเล ทำเขื่อนกั้นน้ำ
และบ้านเกิดของนางก็อยู่ใกล้กับมหาสมุทรใหญ่ ฟังบรรพบุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่าบอกเล่าสืบต่อกันมา บอกว่าที่นั่นคือสถานที่ที่พระอาทิตย์หลับตาลงพักผ่อนและลืมตาตื่นขึ้นมา
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล หญิงสาวยากจนงดงามดุจบุปผา แต่ไร้คันฉ่องจึงไม่รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของตน
เฉินผิงอันที่เดินจากไปไกลช้าๆ พึมพำว่า “บุปผาเบ่งบานออกผลพร้อมกัน”
……
เรือนด้านหน้าของร้านยาตระกูลหยาง ซูเตี้ยนและศิษย์น้องสือหลิงซานยังคงดูแลร้านต่อไป ถึงอย่างไรก็ไม่มีกิจการอะไรให้พูดถึงอยู่แล้ว
ซูเตี้ยนจึงออกมาจากเรือนด้านหน้า ไปนั่งที่เรือนหลัง ต่อให้อาจารย์จะไม่อยู่แล้ว แต่นางก็ยังคงรักษากฎ ไม่กล้าไปนั่งที่ขั้นบันไดของห้องหลัก แล้วก็ไม่กล้านั่งที่ม้านั่งยาวตัวนั้น
สือหลิงซานเลิกผ้าม่านขึ้นมองศิษย์พี่หญิงแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย กลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว เจ้าตะพาบเจิ้งต้าเฟิงผู้นั้น! พูดจาเหลวไหลไม่ขาดปาก ทำร้ายคนไม่เบา เมื่อหลายปีก่อนยอมฟังความคิดแย่ๆ ของเจ้าเฒ่าขึ้นคานผู้นั้น ตอนที่อยู่ซากปรักสนามรบแห่งหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋งได้เจอกับอวี๋ลู่ จึงเอ่ยไปประโยคหนึ่งว่าตนไม่ใช่ศิษย์น้องของซูเตี้ยน แต่เป็นลูกชายของนาง…ผลคือหลังจากนั้นมาก็ไม่เพียงแต่โดนต่อยไปหนึ่งหมัด ศิษย์พี่หญิงยังไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เขาเห็นอีกเลย ถึงขั้นที่ว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ค่อยยินดีจะพูดคุยกับเขาสักเท่าไร
สือหลิงซานถามเสียงเบา “ศิษย์พี่หญิง มีเรื่องในใจหรือ?”
ซูเตี้ยนเหมือนไม่ได้ยิน
สือหลิงซานถามขึ้นมาอีก “ศิษย์พี่หญิงคิดถึงอาจารย์อีกแล้วหรือ?”
ซูเตี้ยนไม่ได้หันหน้ามา เพียงเอ่ยว่า “ไปเฝ้าหน้าร้าน”
สือหลิงซานถอนหายใจดังเฮ้อ แต่อารมณ์กลับเบิกบานขึ้นมาก วิ่งตุปัดตุเป๋ไปที่เรือนด้านหน้า วันนี้ศิษย์พี่หญิงพูดกับตนตั้งสี่คำเชียวนะ
ซูเตี้ยนกำลังคิดถึงคนอื่นจริงๆ ทว่าไม่ใช่อาจารย์ที่นางเคารพที่สุด แต่เป็นท่านอาของนาง
ในเตาเผามังกรแห่งหนึ่งเคยมีเด็กเล็กใบหน้าเหลืองตอบเนื้อตัวสกปรกมอมแมมคนหนึ่ง ทำให้คนแยกไม่ออกว่าเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจไยดี
เพราะท่านอาของนางไม่อาจทนสายตาและคำพูดทิ่มแทงจากพวกเพื่อนบ้านได้จึงขายที่นาในราคาถูกแล้วไปเป็นคนงานที่เตาเผา และเพื่อให้นางมีชีวิตที่ดีหน่อย ท่านอาของนางถึงกับไม่ได้บอกให้ใครรู้ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ท่านอาแค่ขอร้องช่างเหยาเป็นการส่วนตัวว่า ขอให้นางได้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ความสามารถพอจะอำนวยอยู่ที่นั่น นางถึงได้อยู่ที่นั่นด้วย
ภายหลังท่านอาตายไป
นางรู้สึกว่ายังไม่สู้อยู่ในเมืองเล็กให้คนด่าตาย ถึงอย่างไรก็ดีกว่าถูกคนซ้อมจนปางตายแล้วค่อยเอาเศษกระเบื้องแทงตัวเองตาย
พอคิดถึงเรื่องนี้ ซูเตี้ยนก็ยกหลังมือขึ้นมาขยี้ตา
ในช่วงเวลาหลายปีนั้น บางครั้งที่ท่านอาดื่มเหล้าก็มักจะพูดความในใจให้นางฟัง คงเป็นเพราะนางไม่เคยพูดอะไร ทุกครั้งมักจะฟังอย่างเงียบๆ เสมอ เขาจึงเขาใจผิดคิดว่านางอายุน้อยเกินไปก็เลยไม่เข้าใจ
ท่านอาบอกว่า สายตาที่มองข้า เหมือนสายตาที่มองขยะสกปรก ข้าล้วนรับรู้ แต่จะอย่างไรเล่า ก็ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น
หลบไม่ได้ หนีไม่พ้น แล้วก็โทษพวกเขาไม่ได้ เป็นข้าที่รนหาที่เอง
ท่านอาตั้งชื่อเล่นให้นาง หรือก็คือชื่อ ‘แยนจือ’ ในทุกวันนี้ อันที่จริงนางไม่ชอบเลย ถึงขั้นยังรังเกียจมาโดยตลอด
เวลาที่เขาอารมณ์ดีมักจะพร่ำพูดประโยคหนึ่งกับนางบ่อยๆ ว่า ‘แยนจือน้อย เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง ชอบผงชาดเครื่องประทินโฉมเป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะ’
ในช่วงเวลาหลายปีนั้น คนเพียงผู้เดียวที่ท่านอาสามารถรังแกได้ แท้จริงแล้วก็คือเด็กหนุ่มรองเท้าสานที่ร่างผ่ายผอมตัวเตี้ยคนนั้น
เพราะเด็กหนุ่มคนนั้นยากจนเกินไป แล้วยังเป็นเด็กกำพร้าไร้ที่พึ่ง ดูเหมือนว่ามีเพียงอยู่กับคนแซ่เฉินเท่านั้น ท่านอาที่ไม่ได้ความมากที่สุดถึงจะกลายมาเป็นคนมีเงิน มีหน้ามีตา พูดจาก็มีความมั่นใจมากขึ้น
มีหลายครั้งที่นางมองเจ้าคนที่อายุมากกว่านางเล็กน้อยคนนั้นอยู่ไกลๆ ตอนที่ขึ้นรูปเครื่องปั้น เขาจะขมวดคิ้วน้อยๆ เม้มปากแน่น แต่ทุกครั้งเครื้องปั้นที่ทำออกมาล้วนไม่ได้เรื่อง
ท้ายที่สุดท่านอายังเคยบอกกับนางว่า แยนจือน้อย วันหน้าหากเจอเรื่องใด ให้ไปหาคนผู้นั้น ก็คือเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงคนนั้น เขาจะต้องช่วยเจ้า จะต้องช่วยแน่นอน
แต่อย่าไปรบกวนคนเขาบ่อยๆ หากจำนวนหลายครั้งเข้า จะทำให้คนรังเกียจและรำคาญได้เหมือนกัน
ตอนนั้นนางไม่รู้ว่านั่นน่าจะถือว่าเป็นคำสั่งเสียของท่านอาแล้ว
มีอยู่คืนหนึ่ง ในตรอกหนีผิง บุรุษร่างผอมสูงที่ตั้งใจเปลี่ยนไปสวมชุดสะอาดสะอ้านโดยเฉพาะคนหนึ่งฉวยโอกาสที่เจ้าของบ้านต้องคอยไปเฝ้าไฟในเตาเผาแอบกลับเข้ามาในเมืองเล็กตอนกลางคืน
เด็กหญิงตัวผอมแห้งผิวดำเกรียมคนหนึ่งรับผิดชอบคอยเฝ้าดูต้นทางให้ท่านอาที่หน้าปากตรอก
บุรุษปีนกำแพงเข้าไปในบ้าน เพียงแต่ว่าลังเลอยู่นาน เดินวนป้วนเปี้ยนกลับไปกลับมา ในมือกำตลับชาดประทินโฉมใบหนึ่งเอาไว้แน่น
ก่อนหน้านั้นบุรุษยังแอบไปที่ร้านยาตระกูลหยางมารอบหนึ่ง ไปหาผู้เฒ่านิสัยแปลกแยกเพื่อซื้อยาทามาหนึ่งตลับ
การที่กลัวตายกลับเพียงแค่เพราะกลัวเจ็บ ผูกคอตายสภาพศพย่อมไม่น่าดู กระโดดน้ำตายกว่าจะตายก็คงทรมานอย่างมาก คิดแล้วจึงกลัวจนไม่กล้าตาย นี่ทำให้บุรุษยิ่งคิดยิ่งเสียใจ นิสัยเหมือนสตรีจริงๆ
ตอนที่บุรุษอารมณ์ไม่ดีเขามักจะชอบไปนั่งอยู่ริมน้ำ บ้างก็ตัดกระดาษแดง บ้างก็ถักเปียให้กับแม่นางน้อยที่มีชีวิตอยู่เพื่อพึ่งพากันและกัน นอกจากงานในไร่นาที่นับแต่เล็กมาก็ไม่ชอบที่สุดแล้ว เวลาเขาทำอะไรมักจะมือเบาคล่องแคล่วอย่างมาก อยู่ริมลำคลองก็จะหันหน้าเข้าหาผิวน้ำ คอยเอียงศีรษะหมุนไปหมุนมาอยู่ตลอดคล้ายกำลังส่องกระจก แล้วก็มักจะยกฝ่ามือมาลูบไล้เส้นผมตรงจอนหูเบาๆ เป็นคนงานในเตาเผาคืองานที่ต้องเหนื่อยยาก ไม่มีห้องเดี่ยวให้พัก ต้องอยู่ร่วมกับบุรุษตัวโตๆ กลุ่มใหญ่ หากส่องกระจกแล้วถูกคนเห็นเข้าจะต้องถูกซุบซิบนินทา
คนที่เขาเคยรังเกียจที่สุด บางทีไม่ว่าใครก็คงคาดไม่ถึง ไม่ใช่พวกคนที่รังแกเขาจนชินชา แต่กลับเป็นเด็กหนุ่มรองเท้าสานที่มาจากตรอกหนีผิง
เพราะยามที่เด็กหนุ่มมองเขา ในดวงตาไม่มีแววเย้ยหยัน ถึงขั้นไม่มีความสงสาร ราวกับกำลังมอง…คนคนหนึ่ง
แต่ยิ่งเฉินผิงอันเป็นเช่นนี้ ในใจของชายใจหญิงผู้นี้กลับยิ่งรู้สึกแย่มากเท่านั้น
เขาอยากให้ทุกคนเป็นพวกจิตใจสกปรกโสมม เขายินดีให้เด็กหนุ่มคนนั้นมีนิสัยเหมือนกับคนงานในเตาเผาทุกคนยังดีกว่า เขาถึงได้ชอบเป็นคนนำขบวนผู้คน พูดจายุแยงกระพือไฟ เอ่ยถ้อยคำเหน็บแนมใส่ลูกศิษย์ของเตาเผาที่มาจากตรอกหนีผิง
กระทั่งถึงวันนั้น เขาก่อเรื่องใหญ่ ทำให้ไฟในเตาเผามังกรมอดดับ จึงไปหลบอยู่ในป่า อันที่จริงเด็กหนุ่มเป็นคนแรกที่ค้นพบร่องรอยเขา แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเขา หลังจากนั้นยังช่วยอำพรางร่องรอยให้เขาด้วย
ภายหลังเขาถูกตัดขาทั้งสองข้าง นอนพักอยู่บนเตียงนานครึ่งปี ถึงท้ายที่สุดคนที่ดูแลเขามากที่สุดยังคงเป็นเด็กหนุ่มถ่านดำที่ไม่รู้จักปฏิเสธคำขอร้องของคนอื่น
และในช่วงเวลานี้ ชายใจหญิงเช่นเขาถึงได้พูดคุยกับเฉินผิงอันบ่อยๆ แต่ว่าเด็กหนุ่มพูดน้อย ส่วนใหญ่เป็นบุรุษที่พูด เด็กหนุ่มรับฟัง
‘เฉินผิงอัน’
‘เจ้าเป็นคนประหลาดนัก อันที่จริงประหลาดยิ่งกว่าข้าเสียอีก แต่เจ้าเป็นคนดีจริงๆ’
‘คำพูดโบราณยังบอกด้วยว่าคนดีอายุไม่ยืน แล้วยังพูดว่าคนทำดีต้องได้ดีตอบแทน เจ้าคิดว่าอย่างไร?’
‘เจ้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ใช่ไหม’
‘รอให้เจ้าโตกว่านี้อีกหน่อย ก็จะรู้เองว่าเป็นคนดีนั้นต้องลำบากมาก’
บางครั้งเฉินผิงอันถึงจะพูดความในใจไปหนึ่งหรือสองประโยค บอกว่าตนเองถือว่าเป็นคนดีอะไรกัน อยากตีเขาเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเจ้าถูกหลิวเสี้ยนหยางตีครั้งหนึ่งจนกลัวไปแล้ว ข้าจึงไม่ต้องลงมือแล้ว
บทสนทนาครั้งสุดท้ายของคนทั้งสองคือชายใจหญิงอยากจะมอบของสิ่งหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน
‘จะมอบของชิ้นหนึ่งให้เจ้า เป็นของชิ้นเดียวที่มีราคาของข้าแล้ว’
——