กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 851.1 เฉินสืออี
ฟังคำพูดที่มาจากใจของเด็กชายชุดเขียว ภิกษุวัยกลางคนก็เอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รอดูอีกหน่อย”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ข้าว่าแบบนี้ประเสริฐมากเลย รอมาหมื่นกว่าปีแล้ว ไยต้องรีบร้อนเอาตอนนี้ด้วย”
มรรคาจารย์เต๋าพยักหน้า ยิ้มเอ่ยกับวัวดำตัวนั้น “ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไร เจ้าก็ไปเดินเล่นก่อน แต่จำไว้ว่าห้ามข้ามเขต แล้วก็ต้องใจกว้างหน่อย เรื่องในวันนี้ห้ามอาฆาตแค้น จิตใจคับแคบเกินไป สำหรับการฝึกตนเป็นเรื่องดี แต่การอยู่ร่วมกับผู้อื่นกลับมิได้เป็นเช่นนั้น”
เมื่อไม่มีการสยบกำราบของมหามรรคาส่วนนั้น วัวดำก็พลันกลายร่างเป็นคน คือนักพรตเฒ่าเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่ง ใบหน้าผอมตอบสะอาดสะอ้าน บุคลิกเคร่งขรึม มองดูน่าเกรงขามอย่างมาก
ก็คือตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า คือท่านเทพเทวดาของพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างสมชื่อ เนื่องจากพื้นที่มงคลดอกบัวและถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาเชื่อมโยงติดกัน เขาจึงมักงัดข้อ ประลองมรรคกถาสูงต่ำกับมรรคาจารย์เต๋าอยู่ตลอดเวลา
และเจ้าอารามผู้เฒ่าก็คือบุคคลเบื้องหลังที่สร้างคนสี่คนในภาพวาดอย่างพวกจูเหลี่ยน สุยโย่วเปียนขึ้นมา และยิ่งเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งได้การยอมรับจากคนบนโลก
บุคคลที่มีคุณวุฒิเก่าแก่ที่สุด อายุมากที่สุดของฟ้าดิน เป็นคนรุ่นเดียวกับบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ ป๋ายเจ๋อและชูเซิง
หากไม่พูดถึงอายุที่แท้จริง พูดถึงแค่ ‘อายุ’ ในวันเวลาของการฝึกตน หลิวสือลิ่วสายเหวินเซิ่ง จางลู่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อำพรางตัวตนล้วนถือเป็นคนรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น
ทุกครั้งที่เจ้าอารามผู้เฒ่าออกจากบ้านเดินทางไกล เดิมทีก็เหมือนกลอนเซียนท่องเที่ยวบทหนึ่ง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในยุคบรรพกาลนั้น ถ้ำปี้เซียวข้างหาดลั่วเป่า นับแต่ออกจากถ้ำมาก็ไร้ศัตรูทัดทาน จุดใดที่ละเว้นได้กลับไม่ละเว้น
กระทั่งมันได้มาเจอกับผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ที่มีลักษณะเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ถึงได้กลายมาเป็นพาหนะของอีกฝ่าย จากนั้นต่อมาบนโลกก็มีคำกล่าวที่ว่า ‘นักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็น’
เฉินหลิงจวินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบหางตามองไป เมื่อเทียบกับพี่ใหญ่เจี่ยที่ตรอกฉีหลงแล้ว มีมาดแห่งเซียนมากกว่าจริงๆ
หากนักพรตเฒ่าเผยกายด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม คาดว่ามรรคาจารย์เต๋าที่ขี่วัวคงมีแต่จะถูกเฉินหลิงจวินเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเด็กก่อไฟข้างกายเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้ เวลาปกติคอยทำงานจุกจิกเช่นเฝ้าเตาคอยพัดไฟให้กับเตาหลอมโอสถ
เจ้าอารามผู้เฒ่ามองเด็กชายชุดเขียวที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น สัตว์เลื้อยคลานตัวน้อยที่ใจกล้าเทียมฟ้า
เฉินหลิงจวินรีบก้มหน้าลงทันที ขยับก้นหันหน้าไปมองจุดอื่น ข้ามองไม่เห็นเจ้า เจ้าก็จะมองไม่เห็นข้า
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สหายจิ่งชิง หน้าตาที่หล่นร่วงลงในพื้นที่มงคลดอกบัวของนายท่านบ้านเจ้า ล้วนถูกเจ้าเก็บกลับมาหมดแล้ว”
เฉินหลิงจวินไม่ได้เงยหน้า ไหล่ลู่คอตก พูดอย่างอัดอั้น “คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด หากเทพเซียนผู้เฒ่าถือสาข้าในเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่มีมาดของเซียนอีกแล้ว”
แม้จะพูดอย่างนี้ แต่หากไม่เป็นเพราะบรรพจารย์ของสามลัทธิก็อยู่ที่นี่ด้วย เวลานี้เฉินหลิงจวินคงง่วนอยู่กับการช่วยเช็ดพื้นรองเท้าทุบขาให้กับเทพเซียนผู้เฒ่าแล้ว ส่วนนวดไหล่ทุบหลังอะไรนั่นช่างเถิด แม้จะมีใจแต่เรี่ยวแรงไม่มากพอ ส่วนสูงของทั้งสองฝ่ายต่างกันมาก มิอาจทำได้จริงๆ หากจะต้องกระโดดตบไหล่คนเขาก็ดูจะไม่เข้าท่า และตนก็ไม่เคยทำเรื่องประเภทนี้มาก่อนด้วย
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ จากนั้นเรือนกายก็หายวับไป ไปเดินเล่นที่อื่นอย่างที่มรรคาจารย์เต๋าบอกจริงๆ แม้แต่ภูเขาพีอวิ๋นและเว่ยป้อก็ยังมิอาจสัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นกระเพื่อมแม้สักเสี้ยว
เส้นที่ฝังไว้และเส้นสายในเมืองเล็กมีมากเกินไป ขาดๆ หายๆ บ้างก็ถูกสะบั้นขาดไปอย่างสิ้นเชิง บ้างยังพอจะมีเหลือเส้นใยเชื่อมโยง ตัดสลับพัวพันกันซับซ้อนยิ่ง อันที่จริงเจ้าอารามผู้เฒ่าปลาบปลื้มกับเรื่องนี้อย่างมาก เดิมทีเรื่องของการจับจุดสำคัญและชี้สาระสำคัญออกมาก็เป็นจุดที่ตั้งแห่งมหามรรคาของเขาอยู่แล้ว หากสามารถใช้สิ่งนี้มาพิศมรรคาจะต้องได้รับผลประโยชน์อย่างมากแน่นอน
มรรคาจารย์เต๋ามาจากทางทิศตะวันออก ขี่วัวผ่านประตูเหมือนผ่านด่าน เป็นการเพิ่มบรรยากาศบนมหามรรคาที่กล่าวว่าปราณม่วงมาจากบูรพา (เปรียบเปรยถึงนิมิตหมายแห่งลางมงคล) ให้กับอดีตถ้ำสวรรค์หลีจู เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่เห็นเด่นชัด ภายหลังจึงจะค่อยๆ เป็นดั่งน้ำลดหินผุด
ไม่จำเป็นต้องจงใจทำ มรรคาจารย์เต๋าไปที่ใด ที่นั่นก็คือแหล่งกำเนิดแห่งมหามรรคา
นี่ยังเป็นเพราะอยู่ในใต้หล้าไพศาล หากอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว ภาพปรากฎการณ์ความมงคลหลากหลายรูปแบบมีแต่จะยิ่งเกินจริงมากกว่านี้
มรรคกถาเป็นธรรมชาติ เดิมทีมรรคาจารย์เต๋าก็ไม่ได้จงใจปิดบังภาพบรรยากาศประเภทนี้ เพียงแต่ว่ามาเป็นแขกที่ไพศาล ติดขัดที่กฎเกณฑ์ซึ่งหลี่เซิ่งกำหนดไว้ จึงยังเก็บงำเอาไว้บ้าง
มรรคาจารย์เต๋าเดินไปยังร้านยาตระกูลหยาง คิดว่าจะไปนั่งที่ม้านั่งยาวใต้ชายคาของเรือนหลังสักหน่อย
ภิกษุวัยกลางคนไปที่เตาเผามังกร เตาที่ผู้เฒ่าเหยารับหน้าที่เป็นช่างผู้อาวุโสคอยให้การดูแล
ทิ้งไว้เพียงปรมาจารย์มหาปราชญ์ให้อยู่ข้างกายเฉินหลิงจวิน อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยสัพยอก “เพราะว่านั่งพูดไม่ปวดเอวก็เลยไม่อยากจะลุกขึ้นยืนแล้วหรือ?”
เฉินหลิงจวินกำลังจะลุกขึ้น มือเท้าก็อ่อนยวบ กลับลงไปนั่งแปะอยู่บนพื้นอีกครั้ง เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ตอบปรมาจารย์มหาปราชญ์ ข้ายืนไม่ไหวขอรับ”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “กลายเป็นขี้ขลาดขนาดนี้แล้วหรือ? ก่อนข้าจะปรากฏตัวก็ไม่ใช่ว่ากร่างนักหรือไร”
เฉินหลิงจวินเอ่ยอย่างพิพักพิพ่วน “ก็แค่เล่นสนุกส่งเดช ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจัง ดวงตาไร้แวว อย่าได้กล่าวโทษกันเลยขอรับ”
อาจารย์ผู้เฒ่ายังคงแย้มยิ้ม “ผู้ฝึกตน พลังชีวิตและจิตวิญญาณของทั้งร่างล้วนอยู่ที่ดวงตา ขึ้นเขาพิสูจน์มรรคา เป็นคนหรือไม่ใช่คน อยู่แค่ที่หัวใจเท่านั้น”
เฉินหลิงจวินสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก ความรู้ของปรมาจารย์มหาปราชญ์ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ คำพูดคำจาจึงลี้ลับเช่นนี้
อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “จิ่งชิง เจ้าสามารถพาข้าไปที่ตรอกหนีผิงได้ไหม?”
พอเฉินหลิงจวินได้ยินว่าเป็นตรอกหนีผิงก็กระโดดผลุงขึ้นมาทันใด “ไม่มีปัญหา!”
อาจารย์ผู้เฒ่าถามอย่างสงสัย “โอ้ คราวนี้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนเล่า?”
เฉินหลิงจวินเกาหัว เอ่ยอย่างเขินอายว่า “ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน พอพูดถึงนายท่านบ้านข้า ข้าก็ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงแล้ว”
อาจารย์ผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที เอ่ยว่า “คงเป็นเพราะทุกคนล้วนมีที่พึ่งทางใจเป็นของตัวเองกระมัง เมื่อต้องเดินอยู่บนวิถีทางโลกที่ซับซ้อน มันได้ช่วยให้พวกเรารับมือกับโลกใบนี้ หากพ่ายแพ้ก็คือความทุกข์ยาก หากชนะ ก็คือความสงบสุขมั่นคง”
ฉวยโอกาสที่คนทั้งสองต่างก็เดินจากไปไกลแล้ว เฉินหลิงจวินถามหยั่งเชิงว่า “ไม่อย่างนั้นให้ข้าโขกหัวให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์เพิ่มอีกหลายๆ ทีดีไหม?”
อาจารย์ผู้เฒ่าโบกมือยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องหรอก ได้ยินเสียงโขกหัวมากเข้าก็รำคาญเหมือนกัน”
เฉินหลิงจวินถามอย่างระมัดระวัง “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ เหตุใดเว่ยซานจวินถึงไม่รู้ว่าพวกท่านมาถึงเมืองเล็กล่ะ?”
เด็กชายชุดเขียวรีบพูดเสริมไปอีกประโยคว่า “เว่ยซานจวินมีมารยาทมากเลยนะ หากไม่เป็นเพราะมีธุระจริงๆ เว่ยป้อต้องเป็นฝ่ายมาพบพวกท่านแน่”
บุญคุณความแค้นส่วนตัวกับกฎเกณฑ์ในยุทธภพเป็นคนละเรื่องกัน
เว่ยป้อปฏิบัติต่อเขาอย่างไร กับเว่ยป้อปฏิบัติต่อภูเขาลั่วพั่วอย่างไร ต้องแยกออกจากกัน อีกอย่างอันที่จริงเว่ยป้อก็ดีกับเขามาก
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เพราะการมาเยือนเมืองเล็กครั้งนี้ อยู่ในเส้นสายที่มรรคาจารย์เต๋าไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ ในเมื่อมรรคาจารย์เต๋าตั้งใจเช่นนี้ แน่นอนว่าเว่ยป้อย่อมมองไม่เห็นพวกเราสามคน”
เฉินหลิงจวินทอดถอนใจเอ่ยชื่นชม “มรรคกถาของมรรคาจารย์เต๋าช่างสูงส่งจริงๆ”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มพูด “แค่มรรคกถาสูงส่งเสียที่ไหน ก่อนหน้านี้หากต้องตีกันขึ้นมา ต่อให้เป็นข้าก็ยังต้องกลัดกลุ้ม”
เฉินหลิงจวินพลันเปิดเผยอารมณ์ที่แท้จริง ไม่ต้องกังวลหรือกริ่งเกรงอะไรแล้ว จึงหัวเราะดังลั่น “แพ้ที่ตัวคนไม่แพ้ที่มาด หลักการนี้ข้าเข้าใจ…”
เพียงแต่ว่ายิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบา นิสัยเสียๆ ที่ปากไม่มีหูรูดเริ่มกำเริบอีกแล้ว สุดท้ายเฉินหลิงจวินจึงได้แต่แก้คำพูดเสียใหม่อย่างขุ่นเคืองตัวเอง “ข้าจะเข้าใจกะผายลมอะไร ปรมาจารย์มหาปราชญ์เป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรเถอะนะ”
อาจารย์ผู้เฒ่ากลับไม่ได้ถือสา
ระหว่างนั้นเมื่อคนทั้งสองเดินผ่านตรอกฉีหลง เฉินหลิงจวินก็มองตรงไปข้างหน้าสายตาไม่ล่อกแล่ก ไหนเลยจะกล้าแนะนำปรมาจารย์มหาปราชญ์ให้พี่ใหญ่เจี่ยรู้จักง่ายๆ อาจารย์ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองร้านยาสุ้ยและร้านฉ่าวโถวแวบหนึ่ง “มองดูแล้วกิจการไม่เลวเลยนะ”
เฉินหลิงจวินพยักหน้า “การค้าเล็กๆ น้อยๆ ราคาเป็นธรรม ดุจน้ำเส้นเล็กไหลยาว อันที่จริงก็ไม่ได้กำไรอะไรมากมายหรอก แต่นายท่านบ้านข้ามีเงินเทพเซียนมากมายขนาดนั้นผ่านมือ แต่กลับใส่ใจในกำไรจากเหรียญเงินเหรียญทองแดงพวกนี้อย่างมาก มักจะลงจากภูเขามาตรวจบัญชีที่นี่ด้วยตัวเองเป็นประจำ ไม่ใช่ว่านายท่านไม่เชื่อในนิสัยใจคอของเถ้าแก่สือและพี่ใหญ่เจี่ย แต่ดูเหมือนว่าแค่ได้เห็นกำไรบนสมุดบัญชี เขาก็จะอารมณ์ดีอย่างมาก”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้าเอ่ย “นี่เป็นความเคยชินที่ดี หาเงินเล็กน้อย รักษาเงินก้อนใหญ่เอาไว้ มีกินมีใช้เหลือเฟือ ยิ่งสะสมก็ยิ่งมาก กำลังทรัพย์ของหนึ่งตระกูลก็จะยิ่งมั่งคั่งสมบูรณ์ สภาพการณ์ดีขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ ปี”
เฉินหลิงจวินให้รู้สึกปลงอนิจจังยิ่งนัก เงยหน้ามองอาจารย์ผู้เฒ่า เอ่ยอย่างจริงใจว่า “ปรมาจารย์มหาปราชญ์พูดฟังง่าย ขนาดข้ายังฟังเข้าใจ”
อาจารย์ผู้เฒ่าทำท่าครุ่นคิด ยิ้มเอ่ยว่า “นิกายฉานก่อตั้งขึ้นจากบรรพบุรุษห้ารุ่นหกรุ่น หนทางสู่ธรรมะเปิดกว้างไม่เลือกสันดาน อันที่จริงแรกเริ่มพระธรรมก็เริ่มอธิบายด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ อีกทั้งยังเน้นย้ำในคำว่าพุทธะอยู่ที่ใจ ไม่แสวงหาสิ่งนอกกาย น่าเสียดายที่หลังจากนั้นกลับเริ่มสูงส่งห่างไกลและเก็บงำอำพราง บทสวดมีมากมายนับไม่ถ้วน ปริศนาธรรมปรากฏได้จากทุกหนแห่ง ชาวบ้านจึงเริ่มฟังไม่เข้าใจแล้ว ระหว่างนี้ลัทธิพุทธก็มีการ ‘พูดเปิดโปง’ ที่พัฒนาไปยิ่งกว่าการไม่ใช้ภาษาบัญญัติ ภิกษุสมณศักดิ์สูงจำนวนไม่น้อยได้พูดออกมาตามตรงว่าตัวเองไม่ยินดีจะถกพระธรรมคำสอน หากไม่พูดถึงวิชาความรู้ พูดถึงแค่การค่อยๆ เพิ่มขึ้นของสายธรรมะ ก็คล้ายคลึงกับการ ‘ดับกิเลส’ ของลัทธิขงจื๊อพวกเราแล้ว”
เฉินหลิงจวินฟังด้วยความมึนงง แล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรมากแม้แต่ครึ่งคำ โชคดีที่ดูเหมือนอาจารย์ผู้เฒ่าจะไม่ได้อยากพูดคุยเรื่องนี้มากนัก
คนทั้งสองเดินขึ้นบันไดของตรอกฉีหลงไป อาจารย์ผู้เฒ่าถามว่า “ตรอกเส้นนี้มีชื่อหรือไม่?”
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับอย่างแรง “มีสิ ชื่อว่าตรอกฉีหลง ขยับสูงขึ้นไปอีกหน่อย ตรงยอดบนสุดของตรอกนั่น คนในพื้นที่ของพวกเราต่างก็เคยชินที่จะเรียกว่ายอดเตาไฟ”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้า “ทุกหนทุกแห่งล้วนมีความลี้ลับซ่อนอยู่จริงเสียด้วย”
ก่อนที่ลู่เฉินจะออกไปจากบ้านเกิดเคยเดินทางไกลไปท่องเที่ยวในฟ้าดินของไพศาล แล้วก็เคยเรียกมังกรให้ไถหว่านเมฆปลูกหญ้าเหยาฉ่าว ลมฝนติดตามท่านที่อยู่ในก้อนเมฆไป
อาจารย์ผู้เฒ่าเดินไปถึงยอดบนสุดของขั้นบันได หันหน้าไปมองบันไดแต่ละขั้นที่เดินผ่านมา ถามว่า “จิ่งชิง สถานที่บรรลุมรรคาของเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ?”
สีหน้าเฉินหลิงจวินตื่นตะลึง ถามอย่างคลางแคลงไม่เข้าใจ “ปรมาจารย์มหาปราชญ์มีความรู้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ยังมีเรื่องที่ท่านไม่รู้ด้วยหรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะ “ใช่ว่าจะรู้ไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้ เพียงแต่พวกเราจำเป็นต้องยับยั้งตัวเอง ไม่อย่างนั้นคน เรื่องราวและสรรพสิ่งในใต้หล้าแต่ละแห่งจะต้องถูกพวกเราทำให้แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วมาก”
“ดังนั้นมรรคาจารย์เต๋าถึงมักจะอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวาเป็นประจำ ต่อให้อยู่ในป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นก็ไม่ยินดีจะเดินไปไหนมาไหน เพราะกังวลว่าหาก ‘หนึ่ง’ นั้นเกินครึ่งไปแล้ว หมื่นสรรพสิ่งก็จะเริ่มกลายมาเป็นหนึ่ง ไม่มีอิสระเสรี มิอาจหวนคืนไปแก้ไข อันดับแรกก็เป็นคนธรรมดาล่างภูเขาก่อน ตามมาด้วยผู้ฝึกตนบนยอดเขา สุดท้ายก็ถึงคราวของห้าขอบเขตบน บางทีพอถึงเวลาเข้าจริง ตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัวก็อาจเหลือแค่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ของโลกมนุษย์ล้วนกลายเป็นลานประกอบพิธีกรรม ไม่เหลือพื้นที่ให้มนุษย์ธรรมดาได้หยัดยืนอีก”
“นี่ก็คือสัญญาหมื่นปีที่เคยกำหนดไว้ตั้งแต่ในการประชุมริมลำคลองของปีนั้น จำเป็นต้องให้มรรคาจารย์เต๋าหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ตั้งแต่แรกเริ่มก็เป็นเขาที่กังวลกับเรื่องนี้มากที่สุด”
“แน่นอนว่ามรรคกถาของมรรคาจารย์เต๋าต้องสูงส่งมาก คนมีความสามารถก็ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น เป็นเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน”
เฉินหลิงจวินฟังด้วยความยากลำบาก ในใจตระหนกลน พึมพำว่า “ปรมาจารย์มหาปราชญ์พูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไมหรือ”
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะร่า “ก็แค่ฟังคนอื่นพูดเท่านั้น แค่ตัวเจ้าเองไม่พูดก็ได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้เจ้าอยากพูดเรื่องพวกนี้ก็ยังยาก จิ่งชิง ไม่สู้พวกเรามาเดิมพันกันดีไหม ดูว่าตอนนี้เจ้ายังสามารถพูดคำว่า ‘มรรคาจารย์เต๋า’ ออกมาได้หรือไม่? เรื่องที่ได้เจอพวกเราสามคนโดยบังเอิญในวันนี้ หากเจ้าสามารถพูดให้คนอื่นฟังได้ก็ถือว่าชนะ ใช่แล้ว ข้าจะเตือนเจ้าสักหน่อย วิธีคลี่คลายเพียงหนึ่งเดียวก็คือห้ามเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ได้แต่อาศัยการเข้าใจโดยนัยไม่ต้องเอ่ยเอื้อนเป็นคำพูดได้เท่านั้น”