กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 851.3 เฉินสืออี
ในสายตาของเด็กชายเวลานั้นค่อยๆ ส่องประกายสดใส สว่างเจิดจ้าจนราวกับว่าดวงตาคู่หนึ่งมีทั้งดวงตะวันและจันทราอยู่ในนั้น
เด็กจากตรอกยากจนที่เป็นกำพร้าไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง ในช่วงเวลานั้นได้ปล่อยประกายความเป็นมนุษย์ที่เจิดจ้าหาใดเปรียบออกมา
นั่นก็คือความหวัง
และความเป็นมนุษย์กับความหวังเช่นนี้นี่เองที่คอยประคับประคองให้เด็กชายได้เติบใหญ่
อาจารย์ผู้เฒ่าหันหน้าไปมอง มีกำแพงแถบหนึ่งกั้นขวาง มองไกลๆ ไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนในอนาคตแห่งนั้น มองเห็นนักบัญชีที่ใบหน้าซูบซีด จิตใจแห้งเหี่ยวเศร้าซึมคนนั้น
อาจารย์ผู้เฒ่าดึงสายตากลับมา ถอนหายใจ ชุยฉานที่เดินไปบนคมกระบี่ (เปรียบเปรยว่าเสี่ยงอันตราย) ผู้นี้ ปีนั้นไม่กลัวว่าเฉินผิงอันจะต่อยให้กู้ช่านตายด้วยหมัดเดียว หรือไม่ก็จากไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันจริงๆ หรือ?
หากเส้นสายของนิสัยใจคอความเป็นคนของเฉินผิงอันขาดสะบั้นไปนับแต่นี้ ภัยแฝงที่ทิ้งไว้เบื้องหลังจะใหญ่มากจนมิอาจจินตนาการได้ วันหน้าการเดินทางไกลหาประสบการณ์ในแต่ละครั้งของเฉินผิงอัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขัดเกลาด้านจิตใจเมื่อรับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน จะทำให้ความสามารถในการอำพรางความผิดของเฉินผิงอันขยับเข้าใกล้การหลอกคนอื่นและหลอกตัวเองของชุยฉานอย่างไร้ที่สิ้นสุด กลายมาเป็นว่าแม้แต่เทพก็ไม่รู้ผีก็ไม่เห็น
มารดามันเถอะ หากเจ้าซิ่วหู่ไม่ทันระวัง ไม่แน่ว่าเฉินผิงอันในวันนี้อาจจะกลายเป็นหนึ่งนั้นที่ ‘ซ่อมเก่าให้กลายเป็นเก่า ไม่ได้ให้กลายเป็นใหม่เอี่ยม’ ไปแล้ว
อาจารย์ผู้เฒ่าพึมพำ สบถด่าไปหนึ่งประโยค
เฉินหลิงจวินยืนอยู่หน้าประตูบ้านของนายท่านตัวเองตลอดเวลา อยู่ตรงนี้ จิตใจสงบมากหน่อย
อาจารย์ผู้เฒ่าหันหน้ามายิ้มเอ่ย “จิ่งชิง เจ้ารออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปสถานที่แห่งหนึ่ง แปบเดียวก็กลับมาแล้ว”
เฉินหลิงจวินรีบยืดเอวตั้งตรงทันที ตอบรับด้วยเสียงดังกังวาน “รับบัญชา! ข้าจะยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปไหนแล้ว!”
ศาลเทพวารีแห่งหนึ่งของแคว้นชิงหลวน ศาลพ่อปู่ลำคลองที่กินอาณาบริเวณสิบกว่าไร่ โชคดีไม่ถูกไฟสงครามลามมาเดือดร้อน สามารถรักษาเอาไว้ได้ ทุกวันนี้ควันธูปยิ่งนานวันก็ยิ่งโชติช่วง
กลางระเบียงชั้นที่สี่ของเรือน อาจารย์ผู้เฒ่ายืนอยู่ด้านล่างกำแพงแห่งนั้น ตัวอักษรที่เขียนบนกำแผงมีทั้งประโยคว่า ‘ฟ้าดินผสานเป็นหนึ่ง’ ‘เผยเฉียนและอาจารย์พ่อมาเยือนที่แห่งนี้’ ของเผยเฉียน แล้วก็มีตัวอักษรฉ่าวซูของจูเหลี่ยนที่เขียนด้วยน้ำหมึกอ่อนจาง ร้อยกว่าตัวอักษร เขียนเสร็จในรวดเดียว แต่ความสนใจส่วนใหญ่ของอาจารย์ผู้เฒ่ากลับอยู่ที่ตัวอักษรสองประโยคซึ่งเขียนแบบบรรจงที่อยู่ด้านบนมากกว่า
อาจารย์ผู้เฒ่าเงยหน้ามองดูตัวอักษรแล้วลูบหนวดยิ้ม
จันทราบนนภา พระจันทร์ในโลกหล้า แบกหีบหนังสือทัศนาจร เหนือไหล่มีแสงจันทร์ ยืนสูงพิงรั้วมองจันทร์ ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำแตกแต่กลม
สายลมบนภูเขา สายลมริมสายน้ำ ขี่กระบี่เดินทางไกลใต้ฝ่าเท้าคือสายลม สายลมพลิกเปิดตำราอริยะปราชญ์ สายลมพัดผ่านจอกแหนล่องลอยพบพา
สายลมจันทราไร้ที่สิ้นสุด จันทร์เสี้ยวแปรเปลี่ยนเป็นจันทร์เต็มดวงแล้วได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ
ลู่เฉินที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่บอกว่าดวงจันทร์บนฟ้าคือหิมะที่มารวมตัวกัน หิมะบนโลกมนุษย์คือดวงจันทร์ที่ปริแตก สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังคงพูดถึงการไปกลับครั้งแล้วครั้งเล่า
ส่วนตัวอักษรฉ่าวซูที่เขียนไว้บนผนังของจูเหลี่ยน ร้อยกว่าตัวอักษร ล้วนถือเป็นถ้อยคำโดยมิได้ตั้งใจ ในความเป็นจริงแล้วนอกเหนือจากตัวอักษรแล้ว หากไม่พูดถึงเนื้อหา สิ่งที่ต้องการแสดงออกอย่างแท้จริงยังคงเป็นความหมายของ ‘รวมและสลาย’ ของประโยคที่ว่า ‘รวมกันเหมือนขุนเขา แยกสลายเหมือนลมฝน’ มากกว่า จูเหลี่ยนในอดีตและลู่เฉินในตอนนี้ ถือเป็นการขานรับกันอยู่ไลๆ ซึ่งเป็นความลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง
มรรคาจารย์เต๋ามาเจอกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ดีแต่ชอบชมเรื่องสนุก ไม่ชอบความสงบสุข ไยเวลาพูดจาถึงยังใช้น้ำเสียงแข็งกระด้างเช่นนั้นได้อีก
สุดท้ายก่อความเคลื่อนไหวครึกโครมขนาดนี้อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ลู่เฉินที่เคยมาตั้งแผงอยู่ที่นี่นานหลายปี คนที่คอยช่วยผลักดันคลื่นมรสุมอยู่อย่างลับๆ ต้องนับเขาไปด้วยคนหนึ่ง มิอาจปฏิเสธได้เลย
ครั้งนี้ยอมให้เฉินผิงอันยืมมรรคกถาขอบเขตสิบสี่ของบนร่างชั่วคราว เดินทางไปเยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้างร่วมกับผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลาย ถือเป็นการทำความดีชดใช้ความผิดแล้ว
การที่ก่อนหน้านี้มรรคาจารย์เต๋ายินดีที่จะรอดูอีกหน่อย ทางเลือกที่เฉินผิงอันซึ่งเป็นอิ่นกวานหนุ่มเลือกมา คือสิ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
ย้อนกลับมาที่ตรอกหนีผิง
อาจารย์ผู้เฒ่าเดินไปอยู่ข้างกายเฉินหลิงจวิน มองกำแพงดินเหนียวที่อยู่ในลานบ้าน สามารถจินตนาการได้ว่าตอนที่เจ้าของบ้านยังเป็นเด็กชาย แบกผักป่าหนึ่งตะกร้ากลับจากลำคลองมาที่บ้าน ในมือมักจะถือหญ้าหางสุนัขร้อยปลาเล็กปลาน้อยไว้เป็นพวง เอาไปตากแดดทำเป็นปลาตากแห้ง ไม่ยอมปล่อยให้เสียเปล่าแม้แต่น้อย กัดเคี้ยวดังกร้วมๆ ปลาแห้งทั้งตัว เด็กชายมีแต่จะกลืนลงท้องไปทั้งชิ้น บางทีอาจจะยังไม่อิ่ม แต่ก็ทำให้มีชีวิตรอดต่อไปได้
สำหรับชาวบ้านแล้วเรื่องกินเป็นเรื่องสำคัญใหญ่เทียมฟ้า
ห้าธัญพืชและแพรพรรณ คือรากฐานในการเลี้ยงดูผู้คน
ทุกบ้านทุกครอบครัว ต้องมีเสื้อผ้าสวมใส่มีอาหารให้กินอิ่ม
คนเดินถนน สวมรองเท้าเสื้อผ้าให้ความอบอุ่น
อาจารย์ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ยืนอยู่นอกประตูมองไปด้านในประตู เงียบงันไปนาน
เฉินหลิงจวินฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพงผนังดิน สองเท้าลอยห้อยอยู่กลางอากาศ พึมพำว่า “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ แม้ว่านายท่านของข้าจะเป็นเซียนกระบี่ เป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ เป็นเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว เป็นใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่ข้ารู้ว่าสถานะที่นายท่านบ้านข้าคิดถึงพะวงหามากที่สุดยังคงเป็นการที่ได้เป็นบัณฑิตอย่างสมศักดิ์ศรี ตลอดทางที่เดินมานี้ไม่ง่ายเลย หลักการเหตุผลพูดจนฟ้าทะลุ ข้าวที่ไม่อยากกินมากที่สุดในใต้หล้าก็ยังไม่ใช่ข้าวร้อยบ้านหรอกหรือ? (เปรียบเปรยถึงคนที่คนอื่นต้องคอยหยิบยื่นอาหารให้จึงเติบโตมาได้ มักใช้กับเด็กกำพร้า ขอทาน) เพราะตัวเองไม่มีบ้านแล้ว ถึงจำต้องกินข้าวร้อยบ้าน อีกทั้งนายท่านของข้ายังเป็นคนเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวานมากที่สุด ทั้งรู้บุญคุณคนมากที่สุด บุพเพกับพวกผู้อาวุโสได้มาอย่างไร ไม่ใช่ว่าหล่นลงมาจากฟ้าเสียหน่อย แต่เป็นเพราะนายท่านบ้านข้าคุยกับพวกคนเฒ่าคนแก่มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ดังนั้นอันที่จริงหลายปีมานี้จึงยากลำบากอย่างมาก ทุกครั้งที่กลับมาถึงบ้านเกิดก็มักจะมานั่งอยู่ที่นี่ เป็นเพราะนายท่านกำลังเตือนตัวเองว่าเป็นคนไม่ควรลืมกำพืดของตัวเอง ท่านผู้อาวุโสคือบรรพจารย์ของบัณฑิต ห้ามอนุญาตให้คนอื่นรังแกเขานะขอรับ”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “แล้วถ้าเป็นคนที่ลืมกำพืดตัวเอง นายท่านบ้านเจ้าก็จะมีชีวิตที่สบายกว่านี้หรือ?”
เฉินหลิงจวินตอบอย่างไม่ลังเล “คนดีสงบสุขปลอดภัยไปชั่วชีวิต สงบสุขปลอดภัยทั้งชีวิตเพื่อเป็นคนดี!”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “นี่เป็นเรื่องที่งดงามเรื่องหนึ่งจริงๆ คู่ควรให้พวกเราฝากความหวังเอาไว้”
เฉินหลิงจวินยิ้มกว้าง ฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง ในที่สุดก็พอจะทำอะไรเพื่อนายท่านบ้านตนได้บ้างแล้ว
ดูเหมือนว่าเวลานี้อาจารย์ผู้เฒ่าจะอารมณ์ดีมาก เขาตบไหล่ของเด็กชายชุดเขียว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไป”
เฉินหลิงจวินปล่อยมือ พอทิ้งตัวลงพื้นแล้วก็เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ต่อจากนี้จะไปที่ไหนหรือ? ไปเดินเล่นที่ศาลบุ๋นบู๊ดีไหม?”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ขนาดไหล่ของมรรคาจารย์เต๋าก็ยังเคยตบมาแล้ว ขาดไปแค่ท่านเดียวเท่านั้น วันหน้ายามอยู่บนโต๊ะสุราพูดถึงวีรบุรุษผู้กล้า ใครเล่าจะมาเป็นคู่ต่อกรของเจ้าได้?”
เฉินหลิงจวินเหงื่อแตกเต็มศีรษะ โบกมือเป็นพัลวัน ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ท่านแกล้งข้าหรือไร?!
อาจารย์ผู้เฒ่ายื่นมือไปดึงแขนของเด็กชายชุดเขียว “กลัวอะไร ไม่ใจใหญ่แล้วหรือ?”
สองเท้าของเฉินหลิงจวินปักตรึงอยู่กับพื้น ร่างเอนไปด้านหลัง เกือบจะหลั่งน้ำตาออกมาอยู่รอมร่อ พูดโอดครวญว่า “ไม่ไปแล้ว ไม่ไปแล้วจริงๆ! นายท่านบ้านข้าเชื่อในพระพุทธเจ้า ข้าเองก็เชื่อเหมือนกัน เชื่อแบบศรัทธาจริงใจด้วยนะ ขนบธรรมเนียมบนภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา วัตถุประสงค์ใหญ่ข้อแรกก็คือต้องปฏิบัติกับคนอื่นอย่างจริงใจ…”
วันหน้าหากนายท่านรู้เข้าจะไม่ซ้อมเขาเฉินหลิงจวินตายเลยหรอกหรือ
ภูเขาลั่วพั่ว ตรงหน้าประตูภูเขาวางโต๊ะเอาไว้ตัวหนึ่ง อีกฝั่งหนึ่งมีแม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งแบกคานหาบสีทองไว้บนบ่า พาดไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวไว้ตรงหน้าตัก สะพายกระเป๋าผ้าฝ้ายเล็กๆ ไว้บนไหล่เฉียงๆ นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก
พอนางสังเกตเห็นว่าข้างโต๊ะมีนักพรตเฒ่าคนหนึ่งมายืนอยู่ก็ขยี้ตา ตนไม่ได้ตาลายจริงด้วย แม่นางน้อยจึงวางไม้เท้าเดินป่ากับคานหาบสีทองพิงไว้ที่เก้าอี้ไม้ไผ่ รีบลุกขึ้นยืนทันใด วิ่งเหยาะๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายนักพรตเฒ่าร่างสูงใหญ่ พอหยุดยืนนิ่งก็แหงนหน้าถาม “นักพรตผู้เฒ่า กระหายน้ำหรือไม่? ที่นี่ของพวกเรามีน้ำชาไว้รับรองแขกด้วยนะ”
แม่นางน้อยเอ่ยเสริมมาอีกหนึ่งประโยค “ไม่เก็บเงิน!”
เห็นว่านักพรตผู้เฒ่าไม่พูดไม่จา หมี่ลี่น้อยก็เอ่ยอีกว่า “ฮ่า ก็แค่ว่าน้ำชาไม่มีชื่อเสียงอะไร ใบชาได้มาจากต้นชาเก่าแก่จากภูเขาบ้านของพวกเราเอง พ่อครัวเฒ่าผัดเองกับมือ เป็นชาใหม่ของปีนี้เชียวนะ”
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้ารับ ก่อนนั่งลงบนม้านั่งยาว
เมื่อเทียบกับตอนอยู่เมืองเล็กแล้วพอจะหายโมโหลงไปได้บ้าง
ไม่อย่างนั้นบัญชีก้อนนี้จะต้องเอาไปคิดกับเฉินผิงอัน ลงมือกับสัตว์เลื้อยคลานน้อยตัวนั้นเป็นการลดสถานะตัวเองไปหน่อย
พื้นดินไม่อุดมสมบูรณ์ มิอาจให้ผลผลิตที่ดีได้ น้ำตื้นเกินไปปลาตัวใหญ่ก็อยู่ไม่ได้
ก่อนที่หมี่ลี่น้อยจะไปต้มชา ได้เปิดกระเป๋าผ้าฝ้ายออก ควักเมล็ดแตงกำใหญ่ออกมาวางไว้บนโต๊ะ อันที่จริงในชายแขนเสื้อก็มีเมล็ดแตงอยู่แล้ว แม่นางน้อยก็แค่อยากอวดคนอื่นเท่านั้น
หมี่ลี่น้อยถาม “ท่านนักพรตผู้เฒ่า พอหรือไม่? หากไม่พอที่ข้ายังมีอีกนะ”
เจ้าอารามผู้เฒ่านึกถึง ‘สหายจิ่งชิง’ ผู้นั้นขึ้นมาอีกแล้ว คำพูดที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร แต่ให้ความต่างราวฟ้ากับเหว เจ้าอารามผู้เฒ่าจึงมีใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างหาได้ยาก ตอบว่า “พอแล้ว”
แม่นางน้อยบอกให้นักพรตผู้เฒ่ารอสักครู่ ส่วนนางก็ง่วนทำงานของตัวเองไป
เพียงไม่นานก็หิ้วกระปุกใบชาสีเงินหนึ่งใบกับน้ำเดือดมาหนึ่งกา รินน้ำชาให้นักพรตผู้เฒ่าหนึ่งถ้วย แล้วหมี่ลี่น้อยก็เอ่ยขอตัวลา
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มถาม “แม่นางน้อยไม่นั่งด้วยกันสักประเดี๋ยวหรือ?”
แม่นางน้อยส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ล่ะ พี่หญิงหน่วนซู่ไม่อนุญาต บอกว่าหลีกเลี่ยงไม่ให้แขกดื่มชาอย่างอึดอัดใจ”
สุดท้ายหมี่ลี่น้อยเอ่ยเตือนว่า “ใช่แล้ว น้ำชาเพิ่งจะเดือดใหม่ นักพรตผู้เฒ่าระวังร้อนลวกปากด้วยล่ะ”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะ ถ้อยคำที่มาจากใจจริง ทำให้ไพล่นึกไปถึงเจ้าเด็กขาเปื้อนโคลนที่ปีนั้นสะพาย ‘ปราณยาว’ บุกเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว
สรรพสิ่งในโลกมนุษย์มีมากมายดุจขนวัว ข้ามีเรื่องเล็กใหญ่เท่าโต่ว (เครื่องตวงข้าวของจีน ทรงเหลี่ยมปากกว้างก้นแคบ)
เจ้าอารามผู้เฒ่ายกถ้วยชาขึ้น ยิ้มถามว่า “เจ้าคงเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วกระมัง?”
โจวหมี่ลี่เพิ่งจะหมุนตัวกลับมาก็พยักหน้ารับอย่างแรง
แม่นางน้อยเม้มปากยิ้ม ใบหน้าเล็กๆ กับดวงตาโตๆ คู่หนึ่ง คิ้วเล็กบางๆ สีเหลืองอ่อนจางสองเส้น ไม่ว่าใครเห็นก็ล้วนชื่นชอบ
หากนักพรตเฒ่าพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ตั้งแต่แรก นางก็คงนั่งลงอย่างไม่เกรงใจนานแล้ว
หมี่ลี่น้อยนั่งลงบนม้านั่งยาว แล้วแทะเมล็ดแตงอยู่กับตัวเอง ไม่รบกวนการดื่มชาของนักพรตผู้เฒ่า
อยู่ดีๆ ก็สังเกตเห็นว่าไม่รู้ว่าพ่อครัวเฒ่ามายืนอยู่หน้าประตูภูเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ หมี่ลี่น้อยปรบมือ ถามอย่างใคร่รู้ “พ่อครัวเฒ่า วันนี้ลงเขามาได้อย่างไร? อ่านหนังสือจบแล้วหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ยังหรอก ต้องค่อยๆ อ่าน”
แม่นางน้อยหันหน้าไปทางนักพรตผู้เฒ่า ยื่นมือมาป้องปาก “นักพรตผู้เฒ่า พ่อครัวเฒ่าคือผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา ฝีมือทำอาหารล้ำเลิศนัก! หากพวกท่านสองคนพูดคุยกันถูกคอ ท่านก็มีลาภปากแล้ว”
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ต่อให้เป็นแขกชั่วร้ายมาเยือน ได้รับการรับรองเช่นนี้จากแม่นางน้อยก็สามารถหาเงินได้ด้วยความปรองดองแล้วล่ะ เป็นคนรู้จักเก่าในยุทธภพ ย่อมต้องถูกชะตากันอยู่แล้ว”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “หมี่ลี่น้อย ขอให้ข้าได้พูดคุยกับนักพรตผู้เฒ่าท่านนี้เป็นการส่วนตัวสักสองสามประโยคได้หรือไม่”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เปิดกระเป๋าผ้าฝ้ายอีกครั้ง เทเมล็ดแตงเพิ่มลงบนโต๊ะให้กับพ่อครัวเฒ่าและนักพรตผู้เฒ่า นางที่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวขยับก้นหมุนตัวออกไปพลิ้วกายยืนนิ่ง จากนั้นจึงหันตัวกลับมาอีกครั้ง แล้วกุมหมัดขอตัวจากไป
จูเหลี่ยนกุมหมัดคารวะเจ้าอารามผู้เฒ่าก่อนแล้วค่อยนั่งลงฝั่งตรงข้าม รินน้ำชาให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “จะปิดบังไว้ทำไมกัน เสียดายเนื้อหนังมังสาที่ช่วยให้ฟ้าดินเจริญตาเจริญใจซะเปล่าๆ”
จูเหลี่ยนเพียงยิ้มรับ
แต่ละคนต่างฝึกตนมาพบเจอกันบนยอดเขา ยังคงได้พบเจอคนที่เฝ้ามองมาตั้งแต่ต้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าถาม “ตื่นจากฝันยามใด?”
ในบรรดาผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้าตามหลังบรรพจารย์สามลัทธิได้มากที่สุด ต้องนับรวมคนตรงหน้าผู้นี้เข้าไปด้วย
จูเหลี่ยนตอบไม่ตรงคำถาม “ชีวิตคนก็เหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง คนและเรื่องราวที่พวกเราได้พบเจอล้วนเป็นปมเงื่อนทั้งหลายที่ผูกเอาไว้ในตำรา”
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้าเอ่ยว่า “ดังนั้นถึงได้บอกว่าไร้ความบังเอิญก็ไม่เกิดตำรา ความบังเอิญบางอย่าง มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย ยกตัวอย่างเช่นอยู่ไกลสุดขอบฟ้าอยู่ใกล้เพียงตรงหน้า เฉินสืออี (เฉินสิบเอ็ด) เฉินคือหนึ่ง (เฉินซื่ออี ออกเสียงคล้ายกับคำว่าเฉินสืออี) หนึ่งคือเฉิน”