กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 852.2 ตรอกหนีผิง
เฉินหลิงจวินถามหยั่งเชิงต่ออีกครั้ง “รำคาญประโยคไหนมากที่สุด?”
“บอกว่าการยุให้คนดื่มเหล้าทำให้เสียภาพลักษณ์ ข้าดื่มหมดแล้ว ส่วนเจ้าก็ตามแต่ใจ”
ว้าว ว้าว ความรู้ของปรมาจารย์มหาปราชญ์ร้ายกาจจริงเสียด้วย เฉินหลิงจวินนับถือจากใจจริง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าท่านผู้อาวุโสจะเป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน”
“จิ่งชิง ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้า เจ้าคิดว่าแบบไหนถึงจะถือว่ายากจน?”
“มีแต่เงิน ไม่มีความรู้?”
อาจารย์ผู้เฒ่ามองเด็กชายชุดเขียวตัวน้อยที่เริ่มโบกชายแขนเสื้อไปมาอยู่ข้างกาย
เฉินหลิงจวินรีบเก็บรวบสองมือมาไว้ในชายแขนเสื้ออีกครั้งทันที เปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า “พวกคนที่ทำตัวไร้เมตตาธรรมเพื่อแสวงหาความร่ำรวย ชั่วร้ายเลวทรามอย่างถึงที่สุด?”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “เอ่ยคำพูดที่อยู่ในใจเจ้าออกมาเถอะ”
เฉินหลิงจวินถอนหายใจโล่งอก การคิดเหลวไหลไปส่งเดชทำให้คนเหนื่อยแทบตายได้จริงๆ “ถ้าอย่างนั้นก็คือในกระเป๋าไม่มีเงิน ยากจนจนแต่งภรรยาไม่ได้ เป็นชายโสดขึ้นคาน หาคนมายืมเงินซื้อเหล้า แต่กลับไม่มีใครยินดีให้ยืมเงิน จนแทบตายอยู่แล้วแต่ก็ยังรักศักดิ์ศรีหน้าตา อีกทั้งหน้าตาน้อยนิดแค่นี้ยังต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ราวกับว่าไม่อาจมองเห็นแสงสว่างได้ จากนั้นถูกตบฉาดเดียว เหลือเพียงหน้าตาน้อยนิดส่วนสุดท้าย ทว่าวันใดวันหนึ่งกลับถูกคนเหยียบย่ำจนเละตามใจชอบ ได้แต่รอให้คนนอกชมเรื่องสนุกจบแล้วแยกย้ายกันไป ถึงได้กล้าหาโอกาสเก็บหน้าตาของตัวเองที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา”
“แค่นี้หรือ?”
“ได้แต่สงสัยวิถีทางโลก แต่ไม่กล้าสงสัยตัวเอง?”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ คำตอบก่อนหลังสองอย่าง โดยเฉพาะอย่างหลังนั้นอยู่เหนือการคาดคิดจริงๆ เขาจึงยิ้มถามว่า “เป็นคำกล่าวที่เจ้าใคร่ครวญออกมาได้ยามอยู่บนโต๊ะสุราหรือ?”
เฉินหลิงจวินรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ยกชายแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้าตัวเอง “ข้าหรือจะทำได้ อยู่บนโต๊ะเหล้า หากดื่มจนเมาจริงๆ ก็ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้ว หลังจากติดตามนายท่านขึ้นมาอยู่บนภูเขา ข้าก็ขี้เกียจอย่างมาก แล้วยังชอบหาข้ออ้างให้ตัวเอง ใช้สารพัดวิธีที่จะออกไปเดินเล่นเตร็ดเตร่ไร้จุดหมายอยู่ทุกวัน มักจะชอบลงจากภูเขามาผ่อนคลายอารมณ์ที่เมืองเล็ก ปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านอย่าได้กล่าวโทษข้าเลย ก่อนหน้านี้ข้าพูดว่าตัวเองมานะหมั่นเพียรในการฝึกตน ก็แค่คำพูดผายลมเท่านั้น ข้าก็แค่อยู่บนภูเขากินเปล่า ลงจากภูเขาไปดื่มเปล่า ยังดีที่นายท่านล้วนเห็นอยู่ในสายตา แต่กลับไม่เคยบังคับข้าในเรื่องพวกนี้ นายท่านไม่บังคับ คนอื่นๆ หรือจะกล้ามาเจ้ากี้เจ้าการใส่ข้า ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ไม่ใช่ว่าข้าคุยโวจริงๆ นะ ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ไม่ว่าใครก็ล้วนเคารพนับถือนายท่านจากใจจริง”
อาจารย์ผู้เฒ่าเงยหน้ามองภูเขาลั่วพั่วแวบหนึ่ง
นอกจากชื่อที่ไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยแล้ว หากพูดถึงเรื่องรูปลักษณ์ อันที่จริงไม่ได้มีอะไรประหลาดเลยสักนิด
แต่นี่ก็คือความประหลาดที่ใหญ่ที่สุด
อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “ปีนั้นที่ซื้อภูเขา ทำไมเฉินผิงอันถึงเลือกภูเขาลั่วพั่ว?”
เฉินหลิงจวินหัวเราะหึหึ “ในเรื่องนี้มีความเป็นมาอยู่จริงๆ ข้าเคยได้ยินเผยเฉียนแอบเล่าให้ฟังว่า แรกเริ่มสุดปีนั้นนายท่านหมายตาภูเขาไว้สองลูก หนึ่งคือภูเขาเจินจู เพราะว่าใช้เงินน้อย แค่เหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นก็เป็นภูเขาลั่วพั่วที่ตั้งศาลบรรพจารย์ของพวกเราในทุกวันนี้แล้ว ตอนนั้นนายท่านกางแผนที่ภูมิศาสตร์ของภูเขาใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะเลือกภูเขาลูกใด ผลคือมีนกบินผ่านมาพอดีแล้วดันขี้ใส่บนภาพ ขี้ของมันหล่นลงบน ‘ภูเขาลั่วพั่ว’ อย่างพอดิบพอดี ฮ่าๆ น่าขำจะตายไป…”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มถาม “คำพูดเก่าแก่ของเมืองเล็กมีกล่าวไว้หรือไม่?”
เฉินหลิงจวินขยี้ซีกหน้าแรงๆ กว่าจะกลั้นขำไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย “ยามอยู่กับลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาอย่างเผยเฉียน ไม่ว่าเรื่องอะไรนายท่านก็ยินดีเล่าให้ฟังจริงๆ นายท่านบอกว่าผู้เฒ่าเหยาหัวหน้าช่างของเตาเผา ตอนที่พาเขาขึ้นเขาไปหาดิน ได้เคยบอกว่าระหว่างภูเขาและสายน้ำมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ เหนือศีรษะขึ้นไปสามฉื่อมีเทพมองดูอยู่ เอาเป็นว่านายท่านบ้านข้าเชื่อเรื่องนี้ที่สุดก็แล้วกัน แต่ปีนั้นนายท่านก็บอกแล้วว่า ภายหลังเขามีการคาดเดาบางอย่าง บางทีนั่นอาจเป็นการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจของท่านราชครู”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้า การคาดเดานี้ของเฉินผิงอันก็คือความจริง เป็นการกระทำโดยตั้งใจของชุยฉานจริงๆ
แน่นอนว่าคำว่าลั่วพั่วไม่ใช่คำกล่าวที่ดีนัก แต่หากได้คำว่าติ้งที่แปลว่ามั่นคงมา ความหมายก็จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้ว
การที่ชุยฉานลอกดึงดวงจิตออกมากลายเป็นชุยตงซานที่มีนิสัยสดใสร่าเริง นอกจากแผนการใหญ่เทียมฟ้าทั้งหลายที่กลายเป็นก้อนหินที่ผุดขึ้นมาหลังน้ำลดแล้ว อันที่จริงยังซุกซ่อนวิธีการที่ค่อนข้างน่าสนใจเอาไว้ด้วย นั่นก็คือใช้ตนอีกคนหนึ่ง บางทีอาจยังต้องใช้คำศัพท์ที่เป็นกุญแจสำคัญอีกหนึ่งหรือสองคำมาคลายตราผนึกบางอย่าง ก็เหมือน ‘จดหมายทางบ้าน’ ฉบับแล้วฉบับเล่าที่ได้ส่งทางไกลไปหาตัวเองของช่วงเวลาในอนาคต ช่วยเตือนตัวเองว่าช่วงใด เวลาใด ขั้นตอนใด ควรจะพูดอะไรหรือทำเรื่องอะไร ก็เหมือนครั้งนี้ที่มรรคาจารย์เต๋าเดินออกมาจากถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา ออกมาจากใต้หล้ามืดสลัว ก็ได้ ‘พูดเองเออเอง’ กับพวกคนที่มีวาสนาต้องกันซึ่งเขาสามารถมองเห็นอนาคตของอีกฝ่ายมาก่อนแล้ว แต่คนเหล่านั้นกลับยังไม่สามารถเดินมาถึงตรงหน้าตัวเองได้ มรรคาจารย์เต๋ามีคำตอบที่ไม่เหมือนกัน คำตอบเหล่านั้นต่างก็ได้จำแลงเป็นมหามรรคาในถ้ำสวรรค์ มีการอนุมานอย่างรอบคอบ ได้คิดคำนวณไว้ล่วงหน้านานแล้ว
ซิ่วหู่แห่งไพศาล มีครั้งหนึ่งได้เชื้อเชิญให้บรรพจารย์ของสามลัทธิให้นั่งลง คนหนึ่งถามมรรคา สามคนสลายมรรคา
แน่นอนว่าไม่ได้บอกว่าสติปัญญา มรรคกถาและความรู้ของซิ่วหู่สูงกว่าบรรพจารย์สามลัทธิ
นี่ก็เหมือนกับว่าบรรพจารย์สามลัทธิมีทางเลือกนับพันนับหมื่น แต่ชุยฉานบอกว่าเขาได้เลือกทางเส้นนี้ไว้ให้ เขาสามารถพิสูจน์ได้ว่านี่คือเส้นทางที่มีประโยชน์ที่สุดต่อโลกใบนี้ นี่ก็คือหนึ่งในหมื่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าอย่างนั้นพวกท่านทั้งสามจะเดินหรือว่าไม่เดิน?
เดินไปถึงบนสะพานหินโค้งที่ไม่มีกระบี่แขวนไว้อีกต่อไป อาจารย์ผู้เฒ่าก็ปักเท้าหยุดยืนนิ่ง เขาก้มหน้าลงมองน้ำในลำคลอง จากนั้นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ตรงชะง่อนหินใหญ่สีดำริมลำคลองก็คือสถานที่ที่เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานกับเด็กสาวมัดผมหางม้าพบเจอกันเป็นครั้งแรก คนหนึ่งลงน้ำไปจับปลา คนหนึ่งมองคนจับปลา
ปลาเล็กปลาน้อยมากมายเท่าไรที่ว่ายอยู่ในสายน้ำสีมรกตอย่างสบายอุรา การแย่งชิงกันข้ามฟากครั้งหนึ่งเพื่อแปรเปลี่ยนจากปลามาเป็นมังกร โลกมนุษย์ได้พบเห็นประตูมังกรโบราณหมื่นปีอีกครั้ง เกล็ดสีม่วงทองขาวส่องประกายแย่งชิงกันกระโดดข้ามผ่าน
เฉินหลิงจวินนั่งแปะลงบนริมขอบของสะพาน สองขาห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ สองแขนยกกอดอก เงยหน้าถาม “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านผู้อาวุโสอยู่ที่ตรอกหนีผิง ท่านมองอะไรในเรือนหรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มเอ่ย “เด็กชายคนหนึ่งที่ยากจนจนหวาดกลัว หิวโหยจนตระหนกลน เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปจึงเอาปลามาตากแห้ง แล้วก็กินทั้งหมด กินจนไม่เหลือแม้สักนิด กินจนเอี่ยมอ่องอย่างเงียบเชียบ”
เด็กคนหนึ่งของตรอกหนีผิงที่เป็นกำพร้าไร้ที่พึ่งพิง แรกเริ่มสุดได้เรียนรู้การต้มยามาจากลูกจ้างร้านยา จากนั้นจึงติดตามหลิวเสี้ยนหยางเรียนรู้การขึ้นเขาลงน้ำ ต่อมาจึงเรียนวิชาการเผาเครื่องปั้นจากเหยาเหล่าโถว ฝึกวิชาหมัดเรียนรู้ตัวอักษรมาจากตำราหมัด ครั้นจึงอาศัยเทียบยาของลู่เฉินมาเรียนรู้การเขียนตัวอักษร หลังจากเดินออกจากบ้านเกิดก็ยังคงปฏิบัติต่อโลกใบนี้อย่างระมัดระวัง เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่บนโลกร่วมสังคมกับคนอื่นมาจากคนรอบข้าง พยายามที่จะเรียนรู้ทักษะติดตัวให้ได้มากขึ้น การยอมรับทุกอย่างที่มาจากใจจริง การพิสูจน์ตัวเองและการฝึกฝนขัดเกลาจิตใจในทุกๆ ครั้ง ล้วนเป็นการเติบโตอย่างเงียบเชียบอย่างหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะตอบแทนกลับไปให้กับโลกใบนี้ เฉินผิงอันตอนที่อายุยังน้อยเคยพูดกับคนอื่นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี เขาล้วนจะเรียนรู้เอามา พอถึงท้ายที่สุด แม้แต่เวทการรื้อถอนหมื่นสรรพสิ่ง วิชาการไขใจคนจากอู๋ซวงเจี้ยงและเจิ้งจวีจง อิ่นกวานหนุ่มที่ทุกวันนี้อายุสี่สิบปีแล้วก็ยังคงเรียนรู้อยู่เหมือนเดิม คิดดูแล้วเฉินผิงอันในวันหน้าก็จะยังคงเป็นเช่นนี้
อาจารย์ผู้เฒ่ามองน้ำในลำคลองเส้นนั้น ถามว่า “คำเรียกขานว่าโลก (ซื่อเจี้ย) นี้ แรกเริ่มสุดเป็นภาษาของลัทธิพุทธ คำว่าเจี้ย หากอิงตามการจำแนกวิธีประกอบตัวอักษรของอาจารย์สวี่ คืออะไร?”
เฉินหลิงจวินหน้ามุ่ย “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ อย่าได้เหลือบมองข้าอีกเลย ข้าไม่มีทางรู้แน่นอน”
อาจารย์ผู้เฒ่าชี้ไปยังร่องคันนาที่อยู่ริมลำคลอง ยิ้มเอ่ยว่า “คำว่านา คือสถานที่สำหรับเพาะปลูกข้าว ใช้วิธีปลูกสลับตัดกันไปมา ซิ่วไฉเฒ่าเคยเอ่ยว่า มนุษย์เกิดมาก็มีความปรารถนา ปรารถนาทว่าไม่ได้มา ก็ไม่มีทางที่จะไม่แสวงหา คิดแสวงหาอย่างไม่มีขอบเขตและไม่มีขีดจำกัดก็จำต้องไปช่วงชิงเอามา เจ้าลองฟังดูสิ เส้นสายนี้เป็นเส้นสายที่ชัดเจนมากไม่ใช่หรือ? ดังนั้นข้อสรุปที่ได้มาในท้ายที่สุดก็คือมนุษย์นั้นสันดานเดิมชั่วร้าย จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการมีมารยาทและกฎเกณฑ์ ความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าเป็นรูปธรรมอย่างมาก อีกทั้งหากเปลี่ยนเจ้ามาเป็นหลี่เซิ่ง ได้ยินแล้วจะดีใจหรือไม่เล่า?”
เฉินหลิงจวินกล่าวอย่างละอายใจ “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ข้าอ่านหนังสือมาน้อย ถามอะไรข้าก็ไม่เข้าใจ ขอโทษนะขอรับ”
“ไม่เป็นไร ตำราไม่ได้มีขาเสียหน่อย วันหน้ามีโอกาสก็ไปเปิดอ่านดู อย่าเอาแต่อ่านไปอย่างเสียเปล่า”
อาจารย์ผู้เฒ่าตบศีรษะของเด็กชายชุดเขียว หลังจากเอ่ยปลอบใจแล้วก็ตามมาด้วยประโยคตักเตือน “วิถีทางอยู่ห่างจากคนไม่ไกล ความยากลำบากอย่ากล้ำกลืนไปอย่างเสียเปล่า”
เฉินหลิงจวินเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ไม่สนแล้ว ฟังแล้วจดจำไว้ก่อนค่อยว่ากันอีกที
อาจารย์ผู้เฒ่าพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “จิ่งชิง เจ้าไปทำธุระของตัวเองเถอะ ไม่ต้องมาคอยนำทางแล้ว”
เฉินหลิงจวินปลุกความกล้าถามว่า “ต้องการดื่มเหล้าที่ตรอกฉีหลงหรือไม่? นายท่านบ้านข้าไม่อยู่บ้าน ข้าสามารถช่วยดื่มแทนเขาหลายๆ ถ้วยได้นะ”
อาจารย์ผู้เฒ่าส่ายหน้า ยิ้มกล่าว “ดื่มเหล้าเวลานี้ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร ได้เปรียบแล้วก็อย่าทำเป็นว่ายังเสียเปรียบ นี่คือนิสัยที่ดี วางใจเถอะ ไม่ได้พูดถึงเจ้า พูดถึงลัทธิขงจื๊อของพวกเรา”
เฉินหลิงจวินถอยหลังไปสองสามก้าว ประสานมือคารวะบอกลาปรมาจารย์มหาปราชญ์อย่างนอบน้อม แล้วถึงได้หมุนตัววิ่งลงสะพานหินโค้งไป ไม่กล้าทะยานลมกลับไปยังภูเขาลั่วพั่วโดยตรง คิดว่าจะไปหาพี่ใหญ่เจี่ยที่ตรอกฉีหลงเพื่อดื่มเหล้าระงับความตกใจสักมื้อ
เด็กชายชุดเขียววิ่งจากไปไกลแล้ว อยู่ดีๆ ก็หยุดเท้า หันตัวกลับมาตะโกนเสียงดัง “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ข้ายังคงรู้สึกว่าท่านร้ายกาจที่สุด ร้ายกาจอย่างไร ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เอาเป็นว่าคือ…อย่างนี้!”
เฉินหลิงจวินชูแขนขึ้นสูงแล้วยกนิ้วโป้งตั้งขึ้น
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก็ช่างปลอบใจคนได้ดีจริงๆ
ฟ้าดิน ฟ้าดินคือโรงเตี๊ยมของสรรพสิ่ง กาลเวลา ร้อยสมัยคือคนที่ผ่านทางมาตลอดกาลเวลานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ข้าคือคนเดินเท้าบนถนน มีทุกข์มีเศร้า มีสุขมีโชคดี
ข้ามน้ำชมบุปผา โดยไม่ทันรู้ตัวก็มาถึงเรือนท่าน จากลากันตรงนี้ ขอบคุณกันตรงนี้
อาจารย์ผู้เฒ่าประสานมือคารวะขอบคุณต่อฟ้าดิน นี่ก็คือการบอกลา
ผู้ฝึกตนทะยานลมเดินทาง โผนบินหาตะวันจันทรา เบาพลิ้วล่องลอยทั้งงดงาม
คนบนโลกมนุษย์ เพราะไม่มีอิสระเสรี ดังนั้นจึงแสวงหาอิสระ หวังว่าครั้งหน้าที่มหาสมุทรแปรเปลี่ยนกลายเป็นผืนนา ห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์จะกลายเป็นผืนนาแห่งความสุข ทุกคนมีเสื้อผ้าสวมใส่อบอุ่นมีอาหารกินอิ่มท้อง ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยเสียงท่องตำราดังกังวาน
สุดท้ายปรมาจารย์มหาปราชญ์มองไปยังตรอกเก่าโทรมสายนั้นของเมืองเล็ก
ตรอกเล็กๆ แห่งนั้นมีชื่อว่าตรอกหนีผิง
วิถีแห่งฟ้านั้นแข็งแกร่ง เคลื่อนโคจรมิแปรเปลี่ยน วิญญูชนจึงต้องปฏิบัติตามวิถีแห่งฟ้า สร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง แสวงหาความก้าวหน้าอย่างห้าวหาญ
ดอกไม้ดอกหนึ่งผลิบานจากในโคลนตม ใช้ใจของตัวเองเป็นแจกัน บุปผาเบ่งบานออกนอกแจกัน ไม่ใช่ว่างดงามมากหรอกหรือ?
เชื่อว่าอีกสองท่านที่เหลือที่มาเยือนเมืองเล็กก็คงจะมองหนึ่งนั้นเช่นเดียวกันนี้
……
เจ้าอารามผู้เฒ่าเหลือบมองไปยังเส้นทางภูเขาแวบหนึ่ง ราวกับมีก้อนเมฆขาวก้อนหนึ่งหล่นร่วงลงมาในภูเขาเขียว
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธหญิงที่ฝึกท่าเดินนิ่งลงมาจากภูเขา เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นจึงล้อมวนอยู่รอบกายของหญิงสาว ร้องฮื่อๆ ฮ่าๆ กระโดดโลดเต้นพลางปล่อยกระบวนท่าหมัดเท้าเก้งก้างน่าเกลียด
สตรีคงจะเคยชินเสียแล้วถึงได้มองเมินการก่อกวนของเขา เพียงแค่เดินลงจากภูเขา ปล่อยหมัดฝึกท่าเดินนิ่งอยู่กับตัวเอง
เจ้าอารามผู้เฒ่าคร้านจะหันไปมองชุยตงซานผู้นั้นอีก เขายื่นมือออกไปคว้า ในมือก็มีของเพิ่มมาสองอย่าง ยันต์กระบี่หนึ่งเล่มที่เป็นของแทนตัวซึ่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นผู้สร้างขึ้นมา และยังมีป้ายสงบสุขปลอดภัยที่กรมอาญาต้าหลีเป็นผู้แจกจ่ายอีกหนึ่งแผ่น แกะรอยทิ้งไว้อย่างหยาบๆ ฝีมือในการทำและวัสดุต่างก็ธรรมดาสามัญ
ส่วนเรื่องที่ว่าของสองชิ้นนี้ได้มาจากที่ใดกันแน่ สวรรค์เท่านั้นที่รู้
——