กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 853.2 คร่าวๆ
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างใคร่รู้ “แล้วใครจะใส่ซองให้ข้าใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง? เฉินผิงอันหรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “อาจารย์ข้าไม่มีเงินอะไรหรอก ต้องเป็นโจวอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วเราต่างหาก!”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้าเอ่ยว่า “จำไว้ว่าต้องเตือนโจวอันดับหนึ่งสักคำ หากว่ามีธุระยุ่ง ต่อให้คนไม่มา ซองแดงก็ต้องมาถึงนะ เงินใส่ซองจะมากหรือน้อยก็ให้เขาพิจารณาเอาเอง ส่วนจะใช้ถ้อยคำอย่างไร น้องชุยเจ้าก็ช่วยข้าเกลาสำนวนสักหน่อย ถึงอย่างไรข้าก็หมายความเช่นนี้แหละ”
ชุยตงซานตบอกดังสนั่นฟ้า
เจ้าอารามผู้เฒ่าพลันหรี่ตาเอ่ยว่า “ชุยตงซาน เจ้าเอ่ยกับหลิวเสี้ยนหยางสักอีกสักประโยคว่า หากเอาหินผามาหลอมให้ดีก็จะกลายเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งได้”
ชุยตงซานถ่ายทอดประโยคนี้ไปอย่างไม่มีความลังเลใด
หลิวเสี้ยนหยางเต้นผาง “อาวุธเซียน?! น้องชุยเจ้ารีบเพิ่มราคาไปเลย ให้คนซื้ออัดเงินมากกว่านี้! เอาล่ะๆ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง อย่ามารบกวนข้าอีก ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไม่ได้เป็นพี่น้องกันแล้วนะ”
ชุยตงซานไม่พูดอะไรอีกจริงๆ ถอนสายตากลับมาจากลำคลองหลงซวี
คนอย่างหลิวเสี้ยนหยางนี้ อันที่จริงไม่ว่าใครก็อิจฉาเขาอยู่หลายส่วน
เจ้าอารามผู้เฒ่าฉวยโอกาสตอนที่ชุยตงซานพูดคุยกับหลิวเสี้ยนหยางทำการคำนวณ อนุมานไปถึงต้นกำเนิดอีกเล็กน้อย
สายของบรรพบุรุษหลิวเสี้ยนหยางเชี่ยวชาญศาสตร์การควบคุมมังกร เลี้ยงมังกรและพิฆาตมังกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเคยได้รับแซ่สองพยางค์อย่างอวี้หลง และแรกเริ่มสุดตัวอักษร ‘หลิว’(刘) นี้ เดิมทีก็มีรูปร่างคล้ายกับขวานที่ใช้เป็นอาวุธในการทำสงคราม เป็นตัวอักษรหนึ่งที่มีบารมีอำนาจน่าเกรงขามอย่างยิ่ง หลังจากศึกพิฆาตมังกรผ่านพ้นไป คาดว่าบรรพบุรุษของสกุลหลิวคงได้กลับมาใช้แซ่หลิวอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นคนรุ่นหลังรุ่นแล้วรุ่นเล่าในถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้ต่างก็ใช้แซ่อวี้หลง คงสะดุดตามากเกินไปจริงๆ แล้วก็จะถูกมหามรรคาที่มองไม่เห็นของถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งสยบกำราบ ทำร้ายชะตาชีวิตของลูกหลานรุ่นหลัง แน่นอนว่าตระกูลหนึ่งย่อมยากที่จะแตกกิ่งก้านสาขา ขยับขยายวงศ์ตระกูลให้รุ่งเรืองออกไปได้
เจ้าอารามผู้เฒ่าถาม “คนหนุ่มผู้นี้เคยรู้เรื่องในบ้านของตัวเองหรือไม่?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “รู้หรือไม่รู้ก็ยังเป็นหลิวเสี้ยนหยางคนเดิมอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
ดังนั้นการที่เถียนหว่านช่วยผูกด้ายแดงให้กับหลิวเสี้ยนหยางและจื้อกุยแห่งตรอกหนีผิงย่อมไม่ใช่การกระทำที่ทำไปอย่างเรื่อยเปื่อยของนาง
สวรรค์ประทานข้าวให้กินก็สามารถมีชีวิตได้อย่างสงบสุข ใช้ชีวิตอย่างมั่นคงผ่านไปได้ตลอดทั้งชาติ บรรพบุรุษมอบข้าวให้กินก็คือการมีทักษะอย่างหนึ่งติดตัว ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ล้วนมีข้าวกิน
แต่คนผู้หนึ่งหากไม่รู้จักใคร่ครวญ ไม่รู้จักการย้อนคิด อันที่จริงต่อให้เทพเทวดาและบรรพบุรุษมอบข้าวให้กินพร้อมกันก็ยังไม่มีประโยชน์อยู่ดี ก็เหมือนกับคนคนหนึ่งมีเพียงชามข้าวแต่ไม่มีข้าว ตัวอยู่ท่ามกลางความสุขแต่กลับไม่เคยรับรู้ถึงความสุขนั้น เพราะไม่เข้าใจการถอยไปหนึ่งก้าวเพื่อครุ่นคิด ตามคำกล่าวของบนภูเขาแล้ว นี่เรียกว่าฝีมือและหนทางเข้ากันไม่ได้
แน่นอนว่าหลิวเสี้ยนหยางต้องมีคุณสมบัติที่ดีมาก แต่แท้จริงแล้วใต้หล้านี้มีตัวอ่อนเทพเซียนที่มีคุณสมบัติในการฝึกตนกี่มากน้อยที่ถูกทำลายไปในวิถีทางโลกอย่างเงียบเชียบ ถึงขั้นที่ว่าใช้ชีวิตสู้มนุษย์ธรรมดาหลายคนไม่ได้ด้วยซ้ำ หากจิตใจของหลิวเสี้ยนหยางเกิดมีทางแยกแยกออกไป ยกตัวอย่างเช่นเป็นคนเกียจคร้าน เป็นคนตระหนี่ ไม่แน่ว่าในอำเภอไหวหวงของทุกวันนี้อาจจะมีชายโสดที่วันๆ เอาแต่เล่นสนุกเอ้อระเหยลอยชาย ทั้งปีดีแต่โทษคนบ่นฟ้าเพิ่มมาอีกคนก็เป็นได้
ชุยตงซานยิ้มถาม “ผู้อาวุโส ให้ราคาที่เหมาะสมกับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งดีไหม?”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายื่นมือออกไปปาดหนึ่งที บนโต๊ะก็มีกระดาษลายเมฆที่มีปราณสีม่วงลอยกรุ่นแผ่นหนึ่งโผล่มาจากความว่างเปล่า สองนิ้วของเขาประกบทำท่าวาดภาพ
ตำราลัทธิเต๋าที่สำคัญที่สุดในใต้หล้านี้ไม่มีอะไรเหนือเกินไปกว่าการเขียนอักษรสามภูเขาและการวาดภาพห้าขุนเขาที่แท้จริง ทวยเทพขุนนางเซียนในยุคบรรพกาล หากไม่มีทำเนียบเขียวชื่อเซียนจะไม่อาจได้รับการถ่ายทอดให้เรียนรู้ได้
ผู้ฝึกตนในยุคแรกเริ่มสุดค้นหาภูเขาที่มีชื่อเสียงและสายน้ำใหญ่ เปิดภูเขาก่อตั้งสำนัก สร้างสิ่งปลูกสร้างติดริมน้ำ ส่วนใหญ่มักจะมีภาพนี้อยู่ด้วย ภูตผีตามป่าเขา ตัวประหลาดผีพราย เสนียดชั่วร้ายทั้งร้ายมิกล้ากล้ำกรายเข้าใกล้ สุดท้ายมรรคกถาแผ่กระจายไปทั่วโลกมนุษย์ นอกจากมีการเผยแพร่ภาพค้นภูเขาเป็นวงกว้างแล้วก็ยังมีภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงนี้ เพียงแต่ว่าผู้ฝึกลมปราณในโลกยุคหลังที่วาดภาพของลัทธิเต๋าภาพนี้กลับไม่เคยรู้ถึงท่วงทำนองที่แท้จริงของมรรคกถา ถือว่าหาประตูไม่เจอและไม่อาจเดินเข้าไปได้ แม้แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็ยังไม่เหมือน จิตวิญญาณก็ยิ่งกระจัดกระจาย
ชุยตงซานรู้ว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าต้องรู้ว่าตัวเองรู้ว่าเขาจะมอบอะไรให้
ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความด้วยซ้ำ
ชุยตงซานฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ จุ๊ปากชื่นชม คล้ายแสดงความเคารพและการขอบคุณ
เจ้าอารามผู้เฒ่าใช้มรรคกถา เผาผลาญปราณเต๋า สิ่งที่กรอกเทเข้าไปคือปณิธานเต๋าที่สูงส่งมหัศจรรย์ พูดง่ายๆ ก็คือบนเส้นสายของมรรคกถาที่เจ้าอารามผู้เฒ่าใช้วาดภาพนี้ จะเป็นเหมือนการคัดลอกศิลาอย่างหนึ่ง ยิ่งฉบับสำเนามีมากเท่าไร ความหมายก็ยิ่งตื้นเขินมากเท่านั้น
จูเหลี่ยนมองการวาดภาพของนักพรตเฒ่าอย่างละเอียด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไร้เรี่ยวแรงจะซื้อภูเขาเรียนวิชาวาดภาพ ภาพบรรยากาศพันหมื่นล้วนอยู่ในภาพ”
วันหน้าหากตนคิดจะทำเลียนแบบ รูปลักษณ์เหมือนสักเก้าส่วนยังไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะเหมือนทางจิตวิญญาณได้สักกี่ส่วนก็ต้องรอให้จรดพู่กันก่อนถึงจะรู้คำตอบ
ชุยตงซานคีบปลายด้านหนึ่งของม้วนภาพขึ้นมาเขย่าเบาๆ ชั่งน้ำหนักของมัน
เดาว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าคนนี้น่าจะร่ายวิชาอภินิหารนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว หากเป็นครั้งแรกจะต้องมีระดับขั้นของอาวุธเซียนที่ได้ทั้งป้องกันและโจมตี ดังนั้นภาพที่แท้จริงในมือภาพนี้จึงด้อยกว่าระดับหนึ่ง
ภาพบรรพบุรุษของตำราเต๋าภาพนี้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นภาพผลงานแท้จริงลำดับรองได้แล้ว
น่าเสียดายที่มีระดับขั้นเป็นแค่อาวุธกึ่งเซียน หากสามารถนำมาทำเป็นสมบัติหนักที่ใช้ในการโจมตีได้จริง แต่ถ้าใช้เสร็จก็หมดค่า จะเป็นการล้างผลาญทรัพยากรสวรรค์เกินไปแล้ว แต่หากนำมาอัดกรอบเป็นภาพวาด แขวนไว้ในห้อง ถ้าอย่างนั้นกลับร้ายกาจยิ่ง พูดได้คำเดียวว่า ภายในหนึ่งพันปี ไม่มีหายนะก่อเกิด เมฆมงคลมารวมตัวกัน ไม่มีความยุ่งยากลำบากของ ‘ตระกูลอันเลิศล้ำย่อมมีผีร้ายจับจ้อง’ อีกต่อไป
ชุยตงซานถอนหายใจ “ผู้อาวุโส เอาไปอัดกรอบแขวนไว้บนผนัง ถึงอย่างไรก็ไม่สู้ใส่แกนภาพเพื่อสะดวกยามพกติดกาย”
เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่สนใจ
ชุยตงซานจึงได้แต่พูดว่า “ผู้อาวุโสท่านพูดเองว่าแค่เอาไปหลอมเล็กน้อยก็เป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งได้แล้ว ทว่าภาพของลัทธิเต๋านี้ ผู้เยาว์จะต้องหล่อหลอมอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะสามารถยกระดับขั้นให้มันเป็นอาวุธเซียนได้? อีกอย่าง วิธีการนี้ของผู้อาวุโสก็แทบจะใกล้เคียงกับขอบเขตที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ผู้เยาว์ทั้งไม่มีความสามารถ ยิ่งใจไม่แข็งมากพอ และยิ่งมิกล้าวาดงูเติมขา”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นผินเต้าก็จะเก็บประโยค ‘หลอมเป็นอาวุธเซียน’ กลับมาก็แล้วกัน พวกเจ้าอยากจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หรือจะให้ผินเต้าลำบากเล็กน้อย เก็บประโยคนั้นกลับมา ทำให้พวกเจ้าไม่ได้ยินกันจริงๆ ดีล่ะ?”
หมี่ลี่น้อยที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขา อันที่จริงคอยจ้องโต๊ะเขม็งอยู่ตลอดเวลา หลักๆ แล้วนางกังวลว่าเมล็ดแตงจะถูกคนกินหมดหรือยัง หรือว่าน้ำชาจะไม่พอหรือไม่
นางพลันสังเกตเห็นว่าห่านขาวใหญ่เอามือข้างหนึ่งอ้อมมาด้านหลังแล้วกระดิกนิ้วให้ตน
หมี่ลี่น้อยขมวดคิ้วเล็กสองข้างแน่น ห่านขาวใหญ่คิดจะทำอะไร? กบาลเล็กๆ ที่เฉลียวฉลาดของตนแล่นไม่ค่อยดีเท่าไรนะ
นางตั้งใจครุ่นคิด แต่คิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจเสียที ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่มีใจแต่ไร้กำลัง ช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะนะ
หมี่ลี่น้อยไม่สนใจแล้ว สนแต่จะเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาล่วงหน้าก่อน นางจึงเขย่งปลายเท้า ตะโกนพูดกับนักพรตเฒ่าที่มีสีหน้าเมตตาปราณีคนนั้นเสียงดัง “นักพรตผู้เฒ่า ชอบน้ำชามากหรือ? ต้องการให้ข้ามอบใบชาให้ท่านสักเล็กน้อยหรือไม่?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
หมี่ลี่น้อยจึงรีบวิ่งตะบึงไปที่เรือนพักของเจิ้งต้าเฟิง ไปเอาใบชามาให้นักพรตผู้เฒ่า วิ่งไปพลางหันหน้ามาเอ่ยเตือนไปด้วยว่า “นักพรตผู้เฒ่า ไม่ใช่ว่าไล่แขกนะ ท่านดื่มชาแทะเมล็ดแตงต่อไปเถอะ รอเดี๋ยวเดียว ไม่ต้องรีบนะ ข้าจะช่วยเอามาให้ท่านมากๆ หน่อย”
เจ้าอารามผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน เพียงแต่ว่าบนโต๊ะกลับมีแกนภาพวาดหยกขาวเพิ่มขึ้นมาอีกสองอัน
จูเหลี่ยนกับชุยตงซานหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
ยังคงเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของพวกเราที่มาดใหญ่ มีหน้ามีตาที่สุดจริงเสียด้วย
เจ้าอารามผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก็บหินผาก้อนนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ หินเขียวริมลำคลองยังคงอยู่ ก็แค่คงรูปลักษณ์ไว้แต่จิตวิญญาณได้จากไปแล้วก็เท่านั้น
ชุยตงซานเก็บม้วนภาพและแกนหยกขาวมา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับจูเหลี่ยน มารยาทในการรับรองแขกน้อยนิดแค่นี้ยังต้องพิถีพิถันสักหน่อย
คาดไม่ถึงว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าจะนั่งกลับลงไปอีกครั้ง เอ่ยเสียงหยันว่า “อะไร ผินเต้าบอกแล้วหรือว่าจะกลับ? ภูเขาลั่วพั่วจะไล่แขกรึ?”
ชุยตงซานนั่งแปะลงไป จูเหลี่ยนยิ้มถาม “ไม่สู้ขึ้นเขาไปกินข้าวสักมื้อแล้วค่อยกลับดีไหม?”
ผลคือเจ้าอารามผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ลุกขึ้นยืนขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะตื่นจากฝันหรือว่าจะอยู่ในฝัน วันหน้าไปถึงใต้หล้ามืดสลัวก็ถือว่าเจ้าติดค้างข้าวผินเต้าหนึ่งมื้อ หากเจ้าแก่ตายอยู่ในภูเขาลูกนี้ไปทั้งอย่างนี้ก็ถือเสียว่าผินเต้าไม่ได้พูดอะไร”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
สุดท้ายเจ้าอารามผู้เฒ่ารับใบชากระปุกหนึ่งมาจากมือของแม่นางน้อยชุดดำ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
หมี่ลี่น้อยเกาหัว “นักพรตผู้เฒ่าเกรงใจกันเกินไปแล้ว”
เจ้าอารามผู้เฒ่าทอดสายตามองไปไกล ขุนเขาสายน้ำทอดยาว น้ำต่ำภูเขาสูง
ทำไมต้องเดินขึ้นเขา ทำไมต้องฝึกตน?
หนึ่งคนพึมพำ กลุ่มภูเขาขานรับดังก้อง
……
ทางฝั่งของหัวกำแพงเมือง เว่ยจิ้นและเฉาจวิ้นอยู่ดีๆ ก็คล้ายกลายมาเป็นเจ้าบ้านของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างต้องมาทักทายพวกเขาที่นี่
เฉาจวิ้นอารมณ์ดีอย่างมาก ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่โชควาสนามาเยือน ไม่เพียงแต่ได้ฝึกกระบี่ข้างกายจั่วโย่ว ยังได้เจอกับบุคคลยิ่งใหญ่กลุ่มหนึ่งติดต่อกัน อันดับแรกก็เจอกับนักพรตไม่ทราบนามที่ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านลุงที่ได้มาเปล่าๆ ของเฉินผิงอัน หลังจากนั้นก็เป็นหนิงเหยาที่หวนกลับคืนสู่มาตุภูมิ ฉีถิงจี้ ลู่จือ และยังมีเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง ลู่เฉินยังถึงขั้นเชื้อเชิญกับปากให้ตนไปใต้หล้ามืดสลัว เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้แล้วอย่างไร ขอแค่นายท่านใหญ่เฉาพยักหน้าก็สามารถติดตามเจ้าลัทธิลู่ไปเป็นแขกที่ป๋ายอวี้จิงได้แล้ว!
เฉินซานชิวและเตี๋ยจ้างพลิ้วกายลงข้างกายเส้าอวิ๋นเหยียนโดยตรง
ทางฝั่งของเซียนกระบี่แห่งหอชุนฟานในอดีตผู้นี้ยังมีถัวเหยียนฮูหยิน และกระบี่หลายคนของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง
เส้าอวิ๋นเหยียนอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่สองคนนี้ฟัง เส้าอวิ๋นเหยียนเห็นดีในตัวของเฉินซานชิวอย่างมาก
เฉินซานชิวเอ่ยอย่างกังขา “เซียนกระบี่เส้า เฉินผิงอันฝ่าทะลุขอบเขตอีกแล้วหรือ?”
เส้าอวิ๋นเหยียนส่ายหน้า “ยังคงเป็นขอบเขตหยกดิบ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากที่เจ้าลัทธิลู่ให้อิ่นกวานยืมกวานดอกบัวชิ้นนั้นก็มองขอบเขตของเขาออกได้ไม่ชัดเจนแล้ว”
เฉินซานชิวสามารถเรียกชื่อของเฉินผิงอันโดยตรงได้ แต่เส้าอวิ๋นเหยียนกลับยังต้องเรียกด้วยความเคารพว่าอิ่นกวาน
เตี๋ยจ้างเอ่ย “ตัวคนเดินไปถึงไหนก็ทำการค้าไปถึงตรงนั้น เถ้าแก่รองไม่มีทางขาดทุนแน่”
เดิมทียามอยู่กับเฉินผิงอัน กว่าถัวเหยียนฮูหยินจะสะสมความมั่นใจน้อยนิดมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือวันนี้พอมาเจอเหตุการณ์นี้กลับเกิดหวาดกลัวใต้เท้าอิ่นกวานขึ้นมาอีก
ทำไม อยู่ใต้หล้าไพศาลเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้าย ยังไม่พอ ในอนาคตยังจะไปที่ใต้หล้ามืดสลัว หรือจะไปเป็นเจ้าลัทธิสี่ของป๋ายอวี้จิงอีก?
เฉินซานชิวคุกเข่าข้างเดียว ทอดสายตามองไปไกลอย่างเหม่อลอย
คนเดินทางไกลที่กลัดกลุ้มชอบดื่มเหล้า กว่าจะได้กลับมาถึงบ้านเกิดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าคนที่คิดถึงกลับอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แม้แต่เหล้าก็ไม่กล้าดื่มแล้ว
เตี๋ยจ้างที่อยู่ข้างกาย สตรีแขนเดียว ชายแขนเสื้อข้างหนึ่งผูกไว้เป็นปม เรือนกายอ่อนแอบอบบาง ทว่ากลับสะพายกระบี่เล่มใหญ่
ทิวทัศน์ของใต้หล้าไพศาลเต็มไปด้วยความอัศจรรย์อย่างแท้จริง ขุนเขาสายน้ำยิ่งใหญ่งดงาม สี่ฤดูกาลก็มีความงามเป็นเอกลักษณ์ของสี่ฤดูกาล ผิวน้ำใสกระจ่างเป็นสีเขียวมรกต ดอกไม้ในภูเขาเบ่งบานประดุจดอกไม้ไฟ คนจับปลาบนแม่น้ำถ่อเรือ แสงอรุโณทัยส่องระเรื่อพร้อมสายสายน้ำฤดูใบไม้ผลิ พากันฉายประกายแห่งความงาม ล้วนเป็นทัศนียภาพที่งามเลิศล้ำ เพียงแค่ว่าเมื่อได้เห็นแล้ว อันที่จริงก็มีเพียงเท่านั้น เห็นมากเท่าไรก็ลืมไปมากปานกัน
กลับเป็นเฉินซานชิวที่เขียนบันทึกการเดินทางเพิ่มมาเล่มหนึ่ง จดบันทึกขนบธรรมเนียมประเพณี ผู้คนและสิ่งที่พบเจอมาตลอดทางอย่างละเอียด
เส้าอวิ๋นเหยียนรู้ประวัติความเป็นมาของกระบี่สองเล่มนั้นว่าเป็นอาเหลียงที่ปีนั้นไป ‘ยืม’ มาจากป๋ายอวี้จิงจำลองของต้าหลี จึงเอ่ยสัพยอกว่า “พวกเจ้าสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดนี้กับอิ่นกวาน ถึงกับยังพลาดงานฉลองการเลื่อนขั้นเป็นสำนักของภูเขาลั่วพั่วไป ไม่ควรเลยจริงๆ ทำไม กังวลว่าสกุลซ่งต้าหลีจะทวงกระบี่ยาวสองเล่มนี้คืนไปจากพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
แจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งโชคชะตากระบี่ของราชวงศ์ต้าหลี อันที่จริงอาศัยสิ่งนี้ทำให้ได้รับโชคชะตาเพิ่มมาส่วนหนึ่งอย่างที่มองไม่เห็น
บวกกับการดำรงอยู่ของเฉินผิงอันและเว่ยจิ้นก็คล้ายกับผืนนาไร้ปุ๋ยที่เดิมทีไม่เหมาะแก่การหว่านไถแห่งหนึ่งที่มีเมล็ดพันธ์วิถีกระบี่ก่อกำเนิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนโชคชะตาวิถีกระบี่อันน้อยนิดของราชวงศ์จูอิ๋งเก่านั้น เมื่อเทียบกับกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ไม่นับเป็นอะไรได้เลยจริงๆ
เตี๋ยจ้างกระตุกมุมปาก “คืนกระบี่? คืนกระบี่อะไร เป็นอาเหลียงที่มอบให้พวกเรา ราชสำนักต้าหลีมีปัญญาก็ไปงัดข้อกับอาเหลียงเองสิ”
เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร กับเฉินผิงอันไม่ต้องเกรงใจ อย่างมากวันหน้าหากภูเขาลั่วพั่วมีงานฉลองของสำนักเบื้องล่าง ข้ากับเตี๋ยจ้างจะต้องมอบของขวัญให้คนละสองชิ้นอย่างแน่นอน”
——