กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 854.2 คำตอบของปริศนาที่ทายผิด
สองมือของชุยตงซานทำมุทราร่ายคาถา ท่องพึมพำอยู่ในใจ ตำราเต๋าที่อยู่บนโต๊ะพลันหายวับไป นาทีถัดมาอาณาเขตตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่วก็เต็มล้นไปด้วยปราณม่วง
เว่ยป้อย่อพื้นที่เดินทางจากภูเขาพีอวิ๋นมาที่โต๊ะตัวนี้ของภูเขาลั่วพั่วทันที จิตใจเว่ยป้อสั่นสะท้าน ร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต กวาดตามองไปรอบด้าน จุดที่สายตามองไปเห็นก็ราวกับว่าตัวเองอยู่ในทะเลเมฆไอม่วงแห่งหนึ่ง ขณะเดียวกันยังถึงกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของการสยบกำราบบนมหามรรคา ทำให้ซานจวินใหญ่ของขุนเขาเหนือปรับตัวไม่ทัน อีกทั้งยิ่งนานแรงกดดันนี้ก็ยิ่งหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เว่ยป้อยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “หรือว่าวันหน้าข้าจะได้แต่ปรากฎตัวอยู่ริมขอบของอาณาเขตภูเขาลั่วพั่ว ได้แต่เดินมาถึงตรงนี้เท่านั้น?”
ซานจวินแห่งขุนเขาใหญ่ เดินทางในถิ่นของบ้านตัวเองไม่สะดวก จำเป็นต้องเดินเท้าเอาเท่านั้น หากเล่าลือออกไปเกรงว่าเมื่อเทียบกับเรื่องตลกที่จัดงานเลี้ยงท่องราตรีแล้วคงจะทำให้คนหัวร่อจนฟันร่วงได้มากยิ่งกว่า
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร ข้าจะสร้างประตูภูเขาบานหนึ่งไว้ทั้งที่บนและล่างภูเขา รับรองว่าเว่ยซานจวินเดินทางไปมาได้สะดวกแน่นอน”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำต่างถิ่นกับผู้ฝึกตนที่ขอบเขตยิ่งสูงมากเท่าไรก็จะยิ่งปรับตัวไม่ได้มากเท่านั้น ผู้ฝึกลมปราณจำพวกเซียนดิน ต่อให้สัมผัสได้ก็ไม่ถึงขั้นแม้แต่จะก้าวเดินก็ยังยากลำบากเฉกเช่นเว่ยป้อ อีกทั้งตำราเต๋าฉบับนี้ไม่มีทางอยู่ในลักษณะที่คลี่กางออกตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นกลิ่นอายเต๋าที่สลายหายไปจะต้องมากกว่าปราณวิญญาณฟ้าดินและโชคชะตาแห่งขุนเขาสายน้ำที่มารวมตัวกันและเสริมชดเชยด้วยตัวเองอย่างแน่นอน จะกลายเป็นว่ารายรับไม่พอกับรายจ่าย
เว่ยป้อไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องนี้ หลังจากนั่งลงแล้วก็ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เมื่อครู่นี้เจ้าอารามผู้เฒ่าต่งไห่เพิ่งจะนั่งอยู่ตรงตำแหน่งของพี่เว่ยนี่เอง”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อสีขาวหิมะ ยิ้มเอ่ยว่า “ส่วนเรื่องวงในคงไม่พูดมากแล้ว ไม่รู้จะดีกว่า ลัทธิพุทธกล่าวไว้ว่าระหว่างการพิจารณาคือเมฆขาวหมื่นลี้”
เว่ยป้อลุกขึ้นเปลี่ยนที่นั่งเงียบๆ
บนยอดเขาภูเขาพีอวิ๋น เจ้าอารามผู้เฒ่าหรี่ตาลง เห็นว่าซานจวินแซ่เว่ยผู้นั้นนับว่ายังรู้กาลเทศะจึงจากไปอย่างเงียบเชียบ
ชุยตงซานเอ่ยว่า “ในเมื่อฟ้าจะเปลี่ยนสีแล้ว พวกเราก็ควรเตรียมการล่วงหน้า วางแผนไว้แต่เนิ่นๆ กันเถอะ”
ถึงอย่างไรเว่ยป้อก็ไม่ใช่คนนอก ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับโชคชะตาบนมหามรรคาที่เป็นมายาล่องลอยเหล่านั้น ก็ไม่มีอะไรที่พูดคุยกันไม่ได้
จูเหลี่ยนพยักหน้าเอ่ย “จิตใจคิดร้ายต่อคนอื่นไม่ควรมี จิตใจป้องกันคนอื่นไม่ควรคาด”
ก่อนหน้านี้คนที่เฉินผิงอันปะทะด้วยคือเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ภายหลังศึกบนเรือราตรีก็รับมือกับขอบเขตสิบสี่อย่างอู๋ซวงเจี้ยง
ตอนนี้มาลองคิดดูแล้วก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรทำอย่างยิ่งแล้ว
ไกลหน่อยก็เป็นโจวจื่อ
เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉ
ใกล้หน่อยก็คือป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่แห่งอุตรกุรุทวีปที่ทุกสิ่งที่ทำมาล้วนเสียเปล่า
กองกำลังเบื้องหลังที่มีหันอวี้ซู่เป็นหนึ่งในนั้น
ยุทธภพอันตราย เมฆมรสุมประหลาดเกิดขึ้นได้เสมอ ใจคนยากจะคาดเดา ส่วนใหญ่คบหาสหายก็มักกลายเป็นการสร้างศัตรู
ชุยตงซานกล่าว “ทุกวันนี้สิ่งเดียวที่ขาด ก็มีแค่ขอบเขตของอาจารย์แล้ว”
วัตถุในการโจมตีที่มีพลังพิฆาตมากที่สุดของภูเขาลั่วพั่วอยู่บนยอดเขา
เทพภูเขาซ่งอวี้จางได้ถูกราชสำนักต้าหลีโยกย้ายให้ไปรับตำแหน่งเท่าเดิมที่ภูเขาฉีตุน เปิดภูเขาสร้างศาลขึ้นมาใหม่ ในซากปรักศาลเทพภูเขาที่ยังเหลืออยู่บนยอดเขาของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออก ยังคงสภาพเดิมเอาไว้ เพียงแค่ปลดแผ่นป้ายลงมา ก่อนหน้านี้ชุยตงซานได้จัดวางตราผนึกบ่อสายฟ้าสีทองวงหนึ่งไว้รอบราวรั้วหยกขาว ด้านในตั้งบูชาม้วนภาพเซียนกระบี่ที่นำมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งแรกเริ่มสุดนั้นอยู่ที่หอจิ้งเจี้ยนของภูเขาห้อยหัว ภายหลังเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสได้นำมามอบให้เฉินผิงอัน
ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เหล่าเซียนกระบี่ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของวิญญาณวีรบุรุษอยู่เคียงข้างอิ่นกวานมานานหลายปี ร่วมกันต่อต้านศัตรู ร่วมกันปกปักษ์รักษากำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่
นอกจากนี้ภูเขาลั่วพั่วยังมีค่ายกลกระบี่อีกชุดหนึ่งที่ถอดเอามาจากภูเขาไท่ผิงของใบถงทวีป เพียงแต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จ ในอนาคตสามารถนำมาช่วยประคับประคองกันได้
จูเหลี่ยนกล่าว “ด้วยนิสัยของคุณชาย ม้วนภาพค่ายกลกระบี่ม้วนนั้นต้องเอาไปคืนให้กับนครบินทะยานแน่”
ชุยตงซานคลี่ยิ้ม “วางใจเถอะ ด้วยนิสัยของอาจารย์แม่ต้องไม่มีทางเก็บไปแน่ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากดูกันในระยะยาวแล้ว ม้วนภาพอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว สำหรับนครบินทะยานแล้วก็ถือเป็นการค้าคุ้มค่าที่ได้กำไรเหนาะๆ ไม่มีขาดทุน”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้าเอ่ย “วางใจแล้ววางใจอีก เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เจ้าขุนเขาคนดีของพวกเราก็ล้วนเชื่อฟังฮูหยินเจ้าขุนเขาทั้งสิ้น”
จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้มๆ “ผิดแล้ว ขอแค่เจอกับเรื่องใหญ่ที่แท้จริง แม่นางหนิงก็ยังต้องฟังคุณชาย”
หมี่ลี่น้อยครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าจะใช่นะ”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “ต่อให้ไม่มีภาพค่ายกลเซียนกระบี่ภาพนั้น แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องใคร คนอื่นก็ควรต้องจุดธูปขอบคุณพระเจ้าแล้ว”
หยิบพัดพับหยกเล่มหนึ่งออกมา ชุยตงซานโบกพัดลมเบาๆ ด้านหนึ่งของพัดเขียนว่าใช้คุณธรรมสยบใจคน อีกด้านหนึ่งเขียนว่าไม่ยอมสยบก็ตีให้ตาย
เว่ยป้อกล่าว “เรื่องที่ภูเขาลั่วพั่วไม่รับลูกศิษย์ ข้าช่วยป่าวประกาศออกไปให้แล้ว แต่ดูท่าแล้วจะไม่ได้ผลสักเท่าไร ผลลัพธ์ที่ได้ธรรมดาอย่างมาก วันหน้ามีแต่จะมีคนมากกว่าเดิมเดินทางมาที่นี่”
ชุยตงซานช่วยโบกลมให้กับหมี่ลี่น้อย ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นเรื่องปกติ ชมบุปผาในม่านหมอก ไม่ว่าใครก็ล้วนสงสัยใคร่รู้ สุดท้ายจะขึ้นเขาได้หรือไม่ ยังต้องดูที่โชควาสนาด้วย เมล็ดแตงของหมี่ลี่น้อยไม่ว่าใครก็แทะได้หรือ? ไม่ใช่สักหน่อย”
หมี่ลี่น้อยนั่งอยู่บนม้านั่งยาว แกว่งขาเล็กๆ สองครั้ง ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า นางขยับกระเป๋าสะพายที่ทำจากผ้าฝ้ายให้เข้าที่ หัวเราะฮ่าๆ อารมณ์ดี
เว่ยป้อยิ้มถาม “หมี่ลี่น้อย คิดได้แล้วหรือยัง สรุปว่าจะเอาอะไรเป็นของขวัญตอบแทนดี?”
พู่กันไผ่เขียวด้ามที่หมี่ลี่น้อยมอบให้ สำหรับเว่ยป้อแล้วมีความหมายไม่ธรรมดา ต่อให้เอาอาวุธเซียนมาให้ เขาก็ไม่ยอมแลก
ก่อนหน้านี้เฉินหลิงจวินคุ้มกันหมี่ลี่น้อยเดินทางไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นมารอบหนึ่ง ทุกวันนี้ก็ยังไปเตร็ดเตร่ที่ป่าไผ่อยู่เป็นระยะ ทั้งที่เป็นฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง แต่ดันพูดว่าจะไปดูว่ามีหน่อไม้ให้ขุดหรือไม่
หมี่ลี่น้อยส่ายหน้า “ไม่ต้องๆ เกรงใจกันไปไย เว่ยซานจวินทำตัวห่างเหินเกินไปแล้ว”
เว่ยป้อลุกขึ้นยืน ลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อยแล้วเอ่ยขอตัวลากลับไป
หมี่ลี่น้อยกลับไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กเพื่อเฝ้าประตูอีกครั้ง บอกให้พ่อครัวเฒ่าและห่านขาวใหญ่คุยธุระสำคัญกันต่อ
ชุยตงซานเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าจะมองเจ้าแตกต่างจากคนอื่นมากเป็นพิเศษ”
จูเหลี่ยนยิ้มรับ
เล่าลือกันว่าลู่เฉินมีห้าความฝัน แต่ละฝันล้วนมีการจำแลงบนมหามรรคาที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างหนึ่ง หนึ่งในนั้นก็มีเจินเหรินกระดูกขาวของลัทธิเต๋า เจิ้งฮ่วนบัณฑิตแห่งลัทธิขงจื๊อ
นอกจากนี้ยังมีวัตถุเจ็ดชิ้นที่เป็นตัวแทนของจิตธรรมซึ่งลี้ลับอย่างถึงที่สุด ไก่ไม้ ต้นชุนซู่ ตัวตุ่น คุนเผิง นกขมิ้น นกยวนฉู ผีเสื้อ
อวี๋เจินอี้ที่ฝึกเซียนประสบความสำเร็จเป็นคนแรกในพื้นที่มงคลดอกบัวก็คือไก่ไม้ที่อึ้งงันเหมือนไก่ไม้ตัวนั้น
คนสี่คนในภาพวาดของพื้นที่ดอกบัว แม้ว่าหากอิงตามคำจำกัดความของใต้หล้าไพศาลแล้วต่างก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์เต็มตัวอย่างแท้จริง ทว่าแต่ละคนกลับมีส่วนเน้นหนักต่างกันไป สุยโย่วเปียนทิฐิแรงกล้า สละทิ้งวิถีวรยุทธโดยตรง หันไปเดินขึ้นเขาฝึกตน กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แทน เว่ยเซี่ยน ปณิธานของเขาไม่เคยอยู่ที่การเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดบนวิถีวรยุทธ ชอบสนามรบและ…การเป็นขุนนาง ขุนนางที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุด
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าคนที่บอกว่าตัวเองคอแข็งดื่มสุราได้เท่าน้ำในมหาสมุทรผู้นี้ วันหน้าจะหาถิ่นฐานสักแห่งหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นใบถงทวีปที่ขุนเขาสายน้ำปริแตกแล้วตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นอีกครั้งหรือไม่
หลูป๋ายเซี่ยงเมื่อเทียบกับสุยโย่วเปียนและเว่ยเซี่ยนแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีความทะเยอทะยานมากที่สุด
ส่วนจูเหลี่ยน ในสายตาของคนนอกกลับเป็นคนที่ไม่แสวงหาความก้าวหน้ามากที่สุด
ชุยตงซานหุบพัดพับ เงยหน้ามองฟ้า “เหอะ ป๋ายอวี้จิง”
จูเหลี่ยนถาม “เรื่องคร่าวๆ ที่เจ้าอารามผู้เฒ่าพูดถึงก่อนหน้านี้? ประโยคแรกเดาได้ง่าย แต่ประโยคหลังล่ะ?”
บนโลกมนุษย์ไม่มีเฉินชิงตูอยู่แล้ว ใครเล่าจะสามารถใช้กระบี่เปิดภูเขาทัวเยว่ได้?
ชุยตงซานส่ายหน้า “สวรรค์เท่านั้นที่รู้”
จูเหลี่ยนมองสีท้องฟ้าแล้วยิ้มเอ่ย “ช่างเถิด ไม่คุยเรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดใจพวกนี้แล้ว วันนี้แค่ดื่มสุราพูดคุยเรื่องสายลมจันทราเท่านั้น”
แสงตะวันแทนกระดาษ แสงราตรีดุจน้ำหมึก วิถีทางโลกเจียระไน เรื่องในใจกลายเป็นตัวอักษร
ชุยตงซานหยิบเหล้าออกมาสองกา โยนให้จูเหลี่ยนหนึ่งกา ต่างคนต่างดื่มเหล้า
จูเหลี่ยนดื่มเหล้าที่รับมา
ต้องเป็นข้าที่เป็นลู่เฉินเท่านั้นหรือ?
จะเป็นลู่เฉินที่เป็นข้าไม่ได้หรือ?
……
เฉินหลิงจวินกลับมาที่ตรอกฉีหลงแล้วก็ขอเหล้าจากพี่ใหญ่เจี่ยมากาหนึ่งโดยตรง พอได้เหล้ามาก็เทใส่ถ้วยใหญ่กระดกดื่มทีเดียวหมด
เฉินหลิงจวินนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งยาว กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “พี่ใหญ่เจี่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าได้เจอคนต่างถิ่นสามคนด้วยล่ะ!”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยถาม “ตีกันแล้วหรือ? ได้เปรียบหรือไม่? ต้องการให้พี่ใหญ่ช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีแทนเจ้าหรือไม่? หากพูดถึงฝีปาก พวกเราสองพี่น้องใช้เหตุผลสยบผู้คนก็ไม่มีใครที่เราสยบกำราบไม่ได้”
เฉินหลิงจวินลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะเปิดเผยความลับสวรรค์นั้นไป หนึ่งเพราะเรื่องนี้ไม่อาจเอามาโอ้อวดส่งเดชได้ สองเพราะปรมาจารย์มหาปราชญ์พูดถูกแล้ว ดูเหมือนว่าขอแค่เกี่ยวพันกับคำศัพท์ที่เป็นกุญแจสำคัญพวกนั้น เขาก็ยากที่จะเปิดปากพูดได้ ต่อให้พยายามจะพูดอ้อมๆ ก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน
เฉินหลิงจวินถอนหายใจ ถึงอย่างไรก็ยังเสียดายไม่หาย เขายกมือปาดหน้าผาก กลับพบว่าเหงื่อเปียกเต็มมือ เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยตกตะลึงยิ่งนัก เอ่ยประโยคที่เป็นสัญญาณลับของยุทธภพออกมาโดยตรงว่าจุดทิ่มมือหรือ? (มาจากประโยค 点子扎手 เป็นการแปลตรงตัว เพราะคำนี้เป็นรหัสของพวกกลุ่มอันธพาล จุดในที่นี้จะหมายถึงคู่ต่อสู้หรือศัตรู ทิ่มมือหมายถึงรับมือได้ยาก) เฉินหลิงจวินหน้าม่อย ได้แต่ยกถ้วยเหล้าขึ้น ก่อนหน้านี้เขานั่งแปะลงกับพื้น นั่งลงถกปัญหา? ดูเหมือนว่าตอนนั้นบรรพจารย์ของสามลัทธิต่างก็ยืนกันอยู่บนถนนนะ
พอคิดถึงเรื่องนี้เฉินหลิงจวินก็เหงื่อแตกราวตากฝน ได้แต่เปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “โจวอันดับหนึ่งไม่อยู่บนภูเขา ข้ารู้สึกเหงาเล็กน้อย”
เจ้าหมอนั่นมีเงิน น่าสนใจ มีเวลาว่าง เคยเล่าเรียนเขียนอ่านมาก่อน ดื่มเหล้าได้ แล้วยังคุยโม้ได้เก่ง
ด้วยประโยคที่ว่า ‘คนมีพรสวรรค์อันเลิศล้ำอย่างข้าและน้องหลิงจวินนี้ หากยังต้องมานะฝึกตนอย่างยากลำบากจะไม่ใช่เป็นการรังแกคนอื่นอีกหรือ’ เฉินหลิงจวินก็ยินดีที่จะมองผู้ถวายงานอันดับหนึ่งผู้นี้ต่างไปจากคนอื่น ถูกชะตายิ่งนัก!
อีกทั้งคำพูดยามที่เจียงซ่างเจินเอ่ยบนโต๊ะสุรา แต่ละประโยคแต่ละคำล้วนมีนัยชวนให้ขบคิดลึกซึ้ง เอร็ดอร่อยยิ่งกว่ากับแกล้มใดๆ เสียอีก
บัณฑิตที่ไร้ประโยชน์ใดๆ ในยามที่ยากลำบากที่สุดคือบัณฑิตตกอับ คนเสเพลกลับใจทองไม่ยอมแลก น่าสงสารที่สุดคือคนเสเพลผมขาว
อะไรที่บอกว่าบุษบาพฤกษานานาพรรณประชันความงาม สกุณาขับขานวิหคเริงระบำถ้ำนารี…อันที่จริงล้วนเป็นคำพูดที่สุภาพไพเราะยิ่ง แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ประเด็นสำคัญคือเจียงซ่างเจินตบอกรับรองว่า วันหน้าเมื่อไปถึงพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เขาจะจัดการให้เอง พี่น้องสามคนร่วมกันบุกไปยังสุสานวีรบุรุษแห่งนั้น!
คิดไม่ถึงว่าตรอกฉีหลงเล็กๆ แห่งหนึ่งจะมีวีรบุรุษอย่างน้องจิ่งชิงและเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยอยู่ถึงสองคน
ดังนั้นเจียงซ่างเจินจึงเลียนแบบอย่างเข้าท่าเข้าที บอกว่าสถานที่อย่างตรอกฉีหลงนี้ต้องเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลอย่างแน่นอน จึงเอาอย่างผู้คุมกฎฉางมิ่ง ทุ่มทองก้อนใหญ่ซื้อเรือนไว้ในตรอกฉีหลงอีกสามหลัง
มีเงินจะนับเป็นความสามารถอะไรได้ ยินดีใช้เงินต่างหากจึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริง เจียงซ่างเจินมือเติบใจกว้างกว่าผู้คุมกฎฉางมิ่งคนนั้นมากนัก บอกว่าการช่วงชิงชื่อเสียงผลประโยชน์นอกเหนือจากการกินอิ่มการสวมเสื้อผ้าอบอุ่นนั้นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่มีความหมายอะไร ดังนั้นอยู่บนโต๊ะสุรา โจวอันดับหนึ่งผู้นี้จึงโยนกุญแจสามพวงให้กับนักพรตเฒ่าตาบอดอย่างง่ายๆ บอกว่าล้วนเป็นพี่น้องกัน วันหน้าอาจารย์และลูกศิษย์อย่างพวกพี่ใหญ่เจี่ยสามคนก็ช่วยเพิ่มกลิ่นอายความเป็นคนให้บ้านเรือนได้อบอุ่นที ข้าไม่พูดถึงเงินไม่เงินอะไรแล้ว จะทำร้ายความรู้สึกของพี่น้องเสียเปล่าๆ
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยดื่มเหล้าจนใบหน้าแดงปลั่ง รับกุญแจไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยเหตุผลชอบธรรม โบกมือเป็นวงกว้าง ระหว่างพี่น้องหากพูดเรื่องเงินทองจะหยาบคายเกินไป
วันนั้นนักพรตเฒ่าตาบอดก็วิ่งตุปัดตุเป๋พาลูกศิษย์สองคนย้ายไปอยู่บ้านใหม่ ในบ้านยังมีของประดับตกแต่งที่ราคาไม่ธรรมดาอยู่อีกบางส่วน คาดว่าหากเป็นพวกแม่ทัพอัครเสนาบดีของเมืองหลวงต้าหลีก็น่าจะต้องมีทรัพย์สมบัติเช่นนี้นี่แหละ
ผู้คุมกฎแห่งภูเขาลั่วพั่วที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะมายืนอยู่ตรงหน้าประตู
เฉินหลิงจวินรีบวางเท้าที่เหยียบอยู่บนเก้าอี้ลง ตะโกนเรียก “พี่หญิงฉางมิ่ง!”