กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 855.2 นกในกรงตัวหนึ่ง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนตาม เดินออกจากเรือนด้านหลังมาพร้อมกับมรรคาจารย์เต๋า ซูเตี้ยนกับสือหลิงซานที่อยู่ในเรือนด้านหน้าของร้านยาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ก้าวข้ามธรณีประตูออกไป มรรคาจารย์เต๋าหันไปยิ้มเอ่ยกับบนถนน “ปีนั้นฉีจิ้งชุนเดินทางไกลมาเยือนถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวา ก่อนจะเด็ดเอาดอกบัวกิ่งนั้นไป ได้เอ่ยประโยคหนึ่งกับข้าว่า จุดประสงค์ของการฝึกตน อยู่ที่การรู้ ความบันเทิงของการแสวงหามรรคา อยู่ที่การไม่รู้ เจ้าตัวดี ถึงกับสอนให้ข้าฝึกตนเชียวหรือ”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ
มรรคาจารย์เต๋าพลันเอ่ยสัพยอก “เจ้าที่เป็นศิษย์น้องก็เป็นได้ไม่เลว ในอดีตยังไม่ทันฝึกหมัดเรียนกระบี่ก็กล้าบอกให้ข้าหลีกทางให้แล้ว”
“ไม่ใช่ความในใจหรอกหรือ?”
เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ตัวตรงไม่กลัวว่าเงาจะเอียง “เป็นความในใจ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ยามค่ำคืนถามมโนธรรม ยามกลางวันเอาความในใจมาตากแดด คนผู้หนึ่งเดินบนเส้นทางจะเอาแต่ตกใจกับเงาของตัวเองก็คงไม่ได้”
เดินไปบนถนนด้วยกัน มรรคาจารย์เต๋าถามชวนคุยว่า “ช่วงนี้กำลังศึกษาวิชาความรู้เรื่องอะไร?”
สำหรับมรรคาจารย์เต๋าแล้ว ดูเหมือนว่าไม่ว่าอะไรก็รู้ได้หมด อยากรู้อะไรก็รู้ ถ้าอย่างนั้นอะไรที่ไม่อยากรู้ก็ไม่ต้องรู้ คาดว่านี่ก็คงจะถือว่าเป็นอิสระอย่างหนึ่งได้เช่นกัน
เฉินผิงอันตอบ “อ่านพวกคำแจ้งเตือนและอักขระยันต์ของลัทธิเต๋าบางส่วน ก่อนจะมาที่นี่ เดิมทีคิดว่าจะไปเยือนกองโหราศาสตร์สักรอบหนึ่งเพื่อยืมหนังสือสองสามเล่ม”
หลี่เซิ่งเคยเตือนเรื่องนี้ตอนอยู่ที่เมืองหลวง บอกว่าโอกาสในการพิสูจน์มรรคานั้นอยู่ที่ตัวอักษร
“เริ่มวางแผนสำหรับเดินทางไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือ?”
“มนุษย์เราหากไม่มีความกังวลที่ห่างไกลก็ย่อมต้องมีความทุกข์ใจที่อยู่ใกล้”
เฉินผิงอันกังวลว่าหากไม่ทันระวังเพิ่งจะไปโผล่หน้าที่ใต้หล้ามืดสลัว ก็จะถูกเจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิงตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว
เพียงแต่ว่าอยู่ต่อหน้ามรรคาจารย์เต๋า จะให้พูดถึงความถูกความผิดของลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนั้นของเขาก็คงจะไม่ดี
“อ่านตำราได้ข้อคิดอะไรบ้างหรือไม่?”
“ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ กล่าวไว้ว่า บันทึกเกิดจากตัวอักษรที่จำแลงแปรเปลี่ยนมาจากกลิ่นอายแห่งมรรคา ดังนั้นจึงคิดจะเลือกพวกลายขุยหลง ลายเทาเที่ยและลายเมฆามาอ่านให้มาก”
มรรคาจารย์เต๋าอืมรับหนึ่งที “การอ่านตำราทำให้ทัศนคติมุมมองของคนโบยบินได้ไกล”
เฉินผิงอันคลางแคลงอยู่ในใจ ไม่ใช่ดูหรือ? แต่เป็นการอ่าน? ภาพวาดอักขระยันต์จะอ่านอย่างไร?
มรรคาจารย์เต๋าหันหน้ามายิ้มเอ่ย “เมื่อครู่ตอนอยู่ในร้านยา เจ้ารู้ว่าตัวเองคือหนึ่งนั้น ตอนนี้ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเป็นกังวล ยังสามารถอธิบายได้ว่าจิตแห่งมรรคาของเจ้ามั่นคงอย่างมาก บวกกับการมอบมรรคกถาให้จากลู่เฉิน เพียงแต่ว่าเหตุใดถึงไม่มีอาการหวาดกลัวภายหลังเลยแม้แต่น้อย เจ้าไม่กังวลว่านี่เกิดจากความเป็นเทพที่บริสุทธิ์หรือ อีกอย่างเจ้าอย่าลืมล่ะว่า บนเส้นทางการเรียนวรยุทธทุกวันนี้ เดิมทีก็เป็นเส้นทางเดิมของวิถีแห่งเทพอยู่แล้ว”
สายตาของเฉินผิงอันเจิดจ้า มองไปยังทิศไกลบนถนน ความคิดในใจของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง ได้จำแลงออกมาเป็นมหามรรคา บนถนนจึงถึงกับมีฝนปรอยๆ ตกลงมา และเขาก็เดินอยู่บนถนนเส้นนั้น “ถ้าอย่างนั้นก็เหยียบย่างลงพื้นให้มั่นคง ลองเดินไปดูก่อน”
มรรคาจารย์เต๋าหัวเราะ
เหมือนเจ้าคนดื้อด้านหัวแข็งอย่างเฉินชิงตูผู้นั้นจริงๆ มิน่าเล่าต่อให้ลำดับอาวุโสจะต่างกันมาก แต่กลับถูกชะตากันดี
สมกับเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างมาก
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองร้านยาแวบหนึ่ง
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็เดินไปที่ตรอกหนีผิงด้วยกัน มรรคาจารย์เต๋าเล่าเรื่องในปฏิทินเหลืองบางอย่างที่แม้กระทั่งป๋ายอวี้จิงก็ไม่มีบันทึกไว้ให้ฟัง
“มีคนที่เพื่อตามหาโฉมหน้าดั้งเดิมของตัวเอง ได้เดินทวนแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้น ย้อนทวนไปยังต้นกำเนิด กลับกลายเป็นว่าไร้ผลใดๆ”
“มีคนพยายามตามหาบุปผาสองดอกที่เหมือนกันทุกประการในฟ้าดินโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ครึ่งวัน แม่น้ำแห่งกาลเวลาของใต้หล้าแห่งหนึ่งหยุดค้างไปนานถึงครึ่งวัน ในที่สุดมรรคกถาของบนร่างก็มิอาจประคับประคองได้ไหว จึงสลายหายไปท่ามกลางฟ้าดินนับแต่นั้น สุดท้ายคนผู้นี้ยิ้มเอ่ยว่า ยามเช้าได้รู้สัจธรรมที่แท้จริง ยามค่ำตายไปก็ใช่จะเป็นไปมิได้”
“แล้วก็มีคนพกกระบี่ออกเดินทางไกล เปิดฟ้าผ่าดิน ตามหาคำตอบข้อหนึ่ง เหนือคนยังมีคนคือคนแบบใด เหนือฟ้ายังมีฟ้าคือฟ้าแบบใด เจ้าลองเดาดูสิว่าเป็นการเปิดฟ้าผ่าดินอย่างไร?”
เฉินผิงอันไพล่นึกไปถึงการพบเจอกันของตนกับศิษย์พี่ชุยฉานที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนั้นทันที ฝ่ามือหนึ่งตบลงมาที่แขนของเขา จึงตอบไปว่า “ใช้ศาสตร์การพลิกกลับเขาพระสุเมรเมล็ดงา เดินไปในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ เพื่อพิสูจน์ตนเองจากภายใน?”
มรรคาจารย์เต๋าไม่ได้ให้คำตอบ แต่เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยไปแล้ว “คำสอนอื่นนอกเหนือจากของตถาคต ไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ทว่าวาจาไม่ใช่ตัวอักษรหรอกหรือ เป็นเหตุให้มีคนต้องสลายมรรคานับแต่นี้ พยายามจะทำลายรั้วของตัวอักษรลง กำหนดระยะเวลาเอาไว้พันปี มหาสมุทรแห่งจิตสำนึกปะปนกันขุ่นมัว ห่างไกลมืดลึก”
“มีคนดึงดันจะสืบค้นเรื่องหนึ่ง ก่อนที่จะเป็นช่วงเวลาของเทพเจ้าบรรพกาล มีสิ่งมีชีวิตอะไรที่เป็นผู้สร้างเทพเจ้าทั้งหลาย”
“ดังนั้นจึงมีคนเกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีก สรุปแล้วว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้นเป็นเส้นตรงที่ไปมาอย่างไร้ร่องรอย หรือว่าเป็นวงกลมที่สืบเนื่องเป็นวงโคจรติดต่อกันไม่ขาดสายกันแน่ หรือจะเป็นกลุ่มก้อนที่เกิดจากการแบ่งแยกออกมานับไม่ถ้วน? จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่เคยสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเป็นผู้สร้างหรือไม่ สุดท้ายจึงมอบให้เผ่ามนุษย์เป็นผู้สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต?”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่พูดจา แต่ก็อดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ มรรคาจารย์เต๋าท่านนี้เคยไปเยือนชายแดนได้สำเร็จ แล้วได้มองเห็นอะไร คำว่าเต๋า สรุปแล้วคือสิ่งใดกันแน่?
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มเอ่ย “เจ้าเกือบจะถูกลู่เฉินรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ กลายเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า เห็นได้ชัดว่าลู่เฉินคิดการณ์ไกลยิ่งกว่าเจ้า ไปที่ป๋ายอวี้จิง ปิดประตูลง นกในกรงก็จะยิ่งเป็นได้อย่างสมชื่อแล้ว”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง
“แต่ทางฝั่งของป๋ายอวี้จิงนั้น ดูเหมือนว่ายังคงเป็นข้าที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ต่อให้อยู่ต่อหน้าปรมาจารย์มหาปราชญ์ ข้าก็ยังต้องเอ่ยประโยคหนึ่ง หากเจ้าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า ไหนเลยจะต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจเช่นนี้ แค่นั่งบำเพ็ญตบะฝึกตนอยู่ในเรือนที่ป๋ายอวี้จิงเพียงลำพังอย่างสงบ เป็นเจ้าลัทธิสี่ไป อย่างน้อยที่สุดก็ไร้ทุกข์ไร้กังวลนานหมื่นปี…ฟังเข้าสิ ปรมาจารย์มหาปราชญ์ของพวกเจ้าท่านนี้ไม่ทำให้คนประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย มีคัมภีร์สามอักษรโผล่มาอีกแล้ว”
เฉินผิงอันแสร้งไม่ได้ยินคัมภีร์สามอักษรที่ดังเข้าหูนั้น
คิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่ความรู้สูงส่งเทียมฟ้า จะเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมาคนหนึ่งด้วย…
ดูเหมือนมรรคาจารย์เต๋าจะกำลังพูดคุยกับปรมาจารย์มหาปราชญ์ เขาจึงยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าม้วนชายแขนเสื้อให้ใครดูกัน หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ กระบี่พกในอดีตเล่มนั้นได้ถูกลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของใครบางคนพาไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว”
จิตของเฉินผิงอันขยับไหวเล็กน้อย
เจ็ดสิบสองปราชญ์ของศาลบุ๋นในช่วงแรกเริ่มสุด สองคนในนั้นทำให้เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยใคร่รู้ที่สุด เพราะความรู้ของอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปสูงมาก ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของปรมาจารย์มหาปราชญ์จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กลับเป็นคนที่สามารถหาเงินได้เก่งจนขึ้นชื่อ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนที่ต่อสู้ได้เก่งแบบไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าในประวัติศาสตร์ของศาลบุ๋นในช่วงหลัง ดูเหมือนว่าทั้งสองท่านนี้จะถอยไปอยู่เบื้องหลังกันนานแล้ว ไม่ทราบร่องรอย ทั้งไม่ได้ก่อตั้งสำนักสายบุ๋นในใต้หล้าไพศาล แล้วก็ไม่ได้ติดตามหลี่เซิ่งไปที่นอกฟ้า เพียงแต่ว่าต่อให้จะอยากรู้แค่ไหน ตอนที่อยู่กับอาจารย์ เฉินผิงอันก็ไม่เคยถามถึงเรื่องวงในพวกนี้
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มอธิบายกับเฉินผิงอัน “เหล่าความชั่วร้ายผุดพรายจากทุกหนแห่ง ย่อมต้องมีคนสยบกำราบ ศาลบุ๋นมีวิธีรับมืออยู่แล้ว”
มรรคาจารย์เต๋าพลันถาม “อยากเห็นสักหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันกำลังจะปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม เพียงแต่ว่าชั่วพริบตานั้นก็ราวกับได้เห็นม้วนภาพขุนเขาสายน้ำภาพหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกลสุดขอบฟ้า
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง สถานที่กันดารห่างไกลแห่งหนึ่งที่ปราณวิญญาณบางเบาจนแทบจะไม่มี มีกระท่อมสองหลังปลูกติดกัน มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่เรือนกายสูงใหญ่กำยำ เคราดก สวมเสื้อที่สาบเสื้อด้านขวาอยู่ข้างในทับด้วยสาบเสื้อฝั่งซ้าย (เป็นสัญลักษณ์การแต่งกายของชาวเผ่าฮั่น) บนร่างของชายฉกรรจ์เต็มไปด้วยกลิ่นอายของป่าเขาเข้มข้น กำลังใช้มีดผ่าฟืนผ่าฟืน
และยังมีชายหนุ่มเรือนกายผอมสูงอีกคนหนึ่ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำรา สองมือไพล่อยู่ด้านหลัง กำลังมองแมวบนหลังคาที่ถูกตั้งชื่อว่าหลีหนู มันเพิ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้ต้นหนึ่ง เดินคาบจักจั่นอยู่ในปาก เพียงแต่ว่าแมวตัวนี้เป็นสหายเก่าที่จากไปแล้วทิ้งเอาไว้ เขาแค่ช่วยดูแลให้เท่านั้น
ชายฉกรรจ์ผ่าฟืนถามว่า “ว่าอย่างไร?”
ชายฉกรรจ์พยักหน้า “เค้าโครงของกวีบทเก่าเอามาเรียบเรียงได้พอสมควรแล้ว นอกจากนี้ก็ได้เตรียมบทฝ่าขบวนรบไว้อีกสามพันบท เดี๋ยวก็ออกจากบ้านได้แล้ว”
ชายฉกรรจ์ยิ้มกล่าว “สามพันบท เยอะขนาดนี้เชียวหรือ? ถ้าอย่างนั้นมาตรฐานก็จะไม่ได้ระดับเท่าเทียมกันแล้วนะ โชคดีที่อยู่ในสถานที่ป่าเถื่อนเปลี่ยวร้าง มีแค่คนไม่กี่คนเท่านั้นที่ดูของออก ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่มีหน้าบอกกล่าวชื่อแซ่แล้ว เสียหน้าเสียมาถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก็ถือว่ามีเจ้าคนเดียวนี่แหละ”
ชายหนุ่มยิ้มกล่าว “ข้าคนเดียว? มีอาเหลียงอยู่อันดับล่างสุด ข้าจะต้องกลัวอะไร”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำพลันหลุดหัวเราะพรืด วางมีดผ่าฟืนลง ปัดมือ เดินไปยังสุสานเสื้อผ้า (สุสานสำหรับฝังข้าวของของคนตาย เนื่องจากไม่มีศพนำมาฝัง) แห่งหนึ่งที่อยู่ด้านหลังกระท่อม หากระบี่เหล็กที่ไม่สมบูรณ์เล่มหนึ่งออกมา กวานสูงหนึ่งชิ้น เชือกขาดหนึ่งท่อนและชุดลัทธิขงจื๊อหนึ่งชุด
ชายฉกรรจ์ยื่นมือปัดฝุ่นบนกวานโบราณทิ้งไป เอากวานมาสวมไว้บนศีรษะ ไม่ลืมที่จะผูกพู่ติดหมวกใหม่อีกครั้ง
สวมชุดลัทธิขงจื๊อ พกกระบี่ยาว ชายฉกรรจ์ยังคงปล่อยหนวดเคราไว้รกครึ้มอยู่เหมือนเดิม แต่กระนั้นบุคลิกกลับแตกต่างจากเดิมราวกับเป็นคนละคน
ใต้หล้าไพศาลเคยมีคำพูดโบราณอันห้าวเหิมประโยคหนึ่ง แม้ข้าจะตาย แต่ก็ต้องจัดหมวกให้ดี
คนหนุ่มเดินเข้าไปในกระท่อม ปลดกระบี่ยาวเล่มหนึ่งลงมาจากผนัง บนโต๊ะมีตะเกียงน้ำมันอยู่ดวงหนึ่ง ใต้หล้าไพศาลเคยมีคนที่มองกระบี่กลางแสงตะเกียงด้วยความเมามาย
เมื่อบัณฑิตหนุ่มคนนี้ถือกระบี่ยาวก็ราวกับว่าประกายเฉียบคมของใต้หล้ามารวมกันอยู่ที่ปลายกระบี่สามฉื่อ
ทางฝั่งของเมืองเล็ก ทั้งสองฝ่ายเดินผ่านที่ตั้งเก่าของต้นไหวโบราณ มรรคาจารย์เต๋าก็เอ่ยเนิบช้าว่า “ลองเดาดูสิว่า กล่องกระบี่ไม้ไหวใบนั้น เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสได้คืนให้เจ้าแล้วหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เดาไม่ออก”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มรับ “วันหน้าย่อมมีโอกาสได้รู้เอง”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าอารามผู้เฒ่าอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนี้ใช่หรือไม่?”
มรรคาจารย์เต๋าพยักหน้า “กำลังดื่มชาแทะเมล็ดแตงอยู่ที่หน้าประตูภูเขาบ้านเจ้า ก่อนจะไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ตอนอยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ได้ถูกสหายจิ่งชิงตบเขาวัวไป จิ่งชิงยังบอกด้วยว่าภูเขาบ้านเจ้ามีหญ้าเขียวอุดมสมบูรณ์ เขาสามารถกินได้อย่างเต็มที่”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมานวดคลึงหว่างคิ้ว สมกับเป็นนายท่านใหญ่จริงๆ
เดินขยับไปใกล้ปากตรอกเล็ก มรรคาจารย์เต๋าก็หยุดเท้า มองตรอกเล็กเส้นนี้แวบหนึ่งแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลูกศิษย์คนแรกคนนั้นของข้า ลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่ข้ารับมาด้วยตัวเอง เคยได้เอ่ยคำพูดที่แฝงไปด้วยความหมาย บอกว่าคนรัฐฉี่กลัวว่าฟ้าจะตกลงมา (เปรียบเปรยถึงความกังวลที่เกินกว่าเหตุ เป็นกระต่ายตื่นตูม) ลู่เฉินกลับเอ่ยว่าคนรัฐฉี่กลัวว่าฟ้าจะตกลงมาจึงจะเป็นความฉลาดหลักแหลม ดังนั้นลู่เฉินจึงกลัวคำกล่าวบางอย่างมาโดยตลอด คำว่าหมื่นปียาวนาน คนที่ฝันเห็นตื่นขึ้นจากความฝัน หลังจากนั้นก็จะเป็นฟ้าดินที่รวมเป็นหนึ่ง ป๋ายอวี้จิงยังมีผู้ฝึกตนอีกคนหนึ่งที่ความคิดน่าสนใจอย่างมาก กลัวอาจารย์ปู่ของเขา เหมือนยุงที่บินหวึ่งๆ ตัวหนึ่ง ต่อให้หลุดพ้นไปจากพันธนาการของวิถีฟ้า แต่จากนั้นก็จะค้นพบว่าเป็นเรื่องของแค่ฝ่ามือเดียวเท่านั้น และป๋ายอวี้จิงก็มีคนอีกคนหนึ่งที่เป็นตรงกันข้ามพอดี รู้สึกว่าบุคคลแห่งมหามรรคาผู้หลุดพ้นแต่ละคนของ ‘ฟ้าดิน’ นับแห่งไม่ถ้วนก็เป็นแค่ไฝแดงเม็ดหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาบนแขนของพวกเราเท่านั้น แค่ดีดก็แหลกสลาย ในข้อนี้ศิษย์พี่ชุยฉานของเจ้าคิดได้นานแล้ว หากว่ากันโดยภาพรวม ยังคงเป็นความคิดของลู่เฉินที่ไร้เหตุผลให้อธิบายมากที่สุด วันหน้าหากเจ้าไปเป็นแขกที่ป๋ายอวี้จิงก็สามารถไปหาเขาแล้วพูดคุยกันอย่างละเอียดได้”
มรรคาจารย์เต๋ากล่าว “เดินมาถึงแค่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันประสานมือคารวะ
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มพลางคาระกลับคืนด้วยขนบของลัทธิเต๋า
นาทีถัดมา เฉินผิงอันก็กลับไปถึงเมืองหลวง คิดแล้วก็ยังคงไปเยือนกองโหราศาสตร์
ในเรือนหลังหนึ่งของกองโหราศาสตร์ของต้าหลีมีคนจุดธูป ไอเซียนลอยกรุ่น
เป็นคนนอกคนหนึ่งที่เพียงแค่มาพักอาศัยอยู่ที่กองโหราศาสตร์ชั่วคราว มีใบหน้าเป็นชายหนุ่ม แซ่หยวน หลายปีมานี้คอยช่วยเหลือฝ่ายไท่สื่ออยู่ไม่น้อย เพราะเชี่ยวชาญเรื่องเส้นรุ้งเส้นแวง ดวงจันทร์ข้างขึ้นข้างแรม เชี่ยวชาญศาสตร์การคำนวณ ช่วยให้กองโหราศาสตร์ได้ปรับความคลาดเคลื่อนของสภาพบรรยากาศและวิถีการโคจรการเสื่อมถอยของดวงดาวให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น
และก็เป็นด้านหน้าของคนผู้นี้ที่มีกระถางธูปขนาดเล็กใบหนึ่งวางอยู่ ในมือเขาถือกระบอกธูป ธูปที่จุดคือธูปไม้กฤษณา
เพียงแต่ว่าเวลานี้หัวหน้าและรองหัวหน้ากองโหราศาสตร์กำลังหันมามองกันเองตาปริบๆ เมื่อครู่นี้ผู้ฝึกตนเฒ่าทั้งสองยังผ่อนคลายสบายอารมณ์กันอยู่เลย ยังเอ่ยสัพยอกกันด้วยถ้อยคำทำนองว่าขุนนางมักจะติดค้างหนี้ในการอ่านตำรา ยามว่างจึงต้องจุดธูปอ่านวลีของซูจื่อ
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันลงมือที่โรงเตี๊ยม ตามมาด้วยการออกกระบี่ของหนิงเหยา ความเคลื่อนไหวรุนแรงอย่างมาก แต่ก็ไม่สู้ความน่าตะลึงพรึงเพริดที่มาจากภาพบรรยากาศประหลาดเมื่อครู่นี้
รองหัวหน้าถามเสียงเบา “ใต้เท้าเจียนเจิ้ง (ชื่อเรียกตำแหน่งหัวหน้ากองโหราศาสตร์ หมายถึงหัวหน้าผู้กำกับดูแล) หรืออิ่นกวานท่านนี้ จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง?”
หัวหน้ากองแบฝ่ามือออกมองกระดองเต่าโบราณที่มีรอยปริร้าวชิ้นนั้นแล้วถอนหายใจยาวเหยียด “การคาดเดานี้ของเจ้า ดูคล้ายว่าจะต่ำเกินไปแล้ว”
รองหัวหน้าผลันใช้ฝ่ามือตบเข่าฉาด “ให้ตายก็ไม่เชื่อ! นี่ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!”
ต่อให้เฉินผิงอันจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง รองหัวหน้ากองก็ไม่เชื่อ