กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 859.2 ดึงแม่น้ำ
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่บนโลก อูถียังเป็นแค่ผู้ฝึกตนอายุน้อยที่เพิ่งก้าวเดินไปบนเส้นทางการฝึกตน วันที่อูถีจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ อาจารย์ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพียงแค่มองลูกศิษย์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา โยนอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งมาให้ กลับเป็นบรรพจารย์หญิงที่ตั้งใจมาหาเขาโดยเฉพาะ นางก้มหน้าค้อมเอวลง ยิ้มตาหยีตบศีรษะของเด็กหนุ่ม พูดแค่สามคำด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า เป็นคนแล้วนะ
มือกระบี่ชุดเขียวกับกายธรรมนักพรตรวมร่างเป็นหนึ่ง
เฉินผิงอันกลับมาสวมกวานดอกบัวบนศีรษะ สวมชุดนักพรตเต๋าผ้าโปร่งสีเขียวและสะพายกระบี่อีกครั้ง
ลู่เฉินจุ๊ปากพูด “ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนี้ ยามที่ตัดสินใจเด็ดขาดขึ้นมาก็อำมหิตกันจริงๆ ช่างน่าชื่นชม ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้”
ตระกูลเซียนบนภูเขา ในด้านการอัญเชิญเทพมา มีความลี้ลับมหัศจรรย์ต่างกันไป
ลูกหลานสกุลลู่จุดธูปกราบไหว้อยู่ในศาลบรรพชนของตระกูลปีแล้วปีเล่านานหลายพันปี แต่กลับไม่เคยเชิญตัวลู่เฉินมาได้เลยสักครั้ง
ดังนั้นสกุลลู่ของสำนักหยินหยางแผ่นดินกลางจึงมีความไม่พอใจในตัวบรรพบุรุษที่ไม่ปกป้องคุ้มครองตระกูลอย่างเขามาโดยตลอด
ควรจะลากลูกศิษย์และศิษย์หลานกลุ่มนั้นมาเบิกตามองให้ดีจริงๆ ว่า มาเจอกับบรรพจารย์เช่นตน ยังจะไม่พอใจอะไรอชีก ควรจุดธูปขอบคุณสิถึงจะถูก
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “หาตัวอิ๋นลู่สิ”
ลู่เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ในลานประกอบพิธีกรรมดอกบัว นับนิ้วคำนวณ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กำลังหาอยู่น่า รอสักเดี๋ยว อีกเดี๋ยวพวกเราสองคนก็สามารถข่มขู่ผู้อาวุโสอูถีได้แล้ว”
เฉินผิงอันถึงได้เอื้อมมือไปคว้าหางกวางที่หล่นอยู่บนพื้นชิ้นนั้นมาไว้ในมือ มีตัวอักษรเหนี่ยวจ้วนแกะสลักไว้สองคำว่า ‘ฝูเฉิน’ (แส้ปัดฝุ่น) ค่อนข้างคล้ายคลึงกับซานชิงชื่อของขุนเขาใหญ่ก่อนหน้านั้น
ตรงด้ามไม้เป็นสีม่วงเข้มมองดูโบราณเรียบง่าย ห้อยห่วงทองขนาดเล็กไว้ตรงด้ามแส้ปัดฝุ่น ส่วนเส้นใยของแส้ปัดฝุ่นนั้นเป็นสีขาวหิมะ เล็กเรียวบาง ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร เฉินผิงอันยื่นมือไปกำเส้นใยกำหนึ่งไว้ในมือ ประมาณการณ์ว่าน่าจะมีสามพันหกร้อยเส้น
ของชิ้นนี้ติดตามฉงโอวอยู่ในดินแดนโลกมืดมานานหลายปี แต่กลับไม่มีกลิ่นอายความชั่วร้ายมืดดำมาสัมผัสโดนแม้แต่น้อย หรือเป็นเพราะว่าหญิงชราคนนั้นไม่อาจหลอมใหญ่ให้กับวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนี้ได้?
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ร่างจริงของหญิงชราคือยุงตัวหนึ่ง จะหลอมแส้ปัดฝุ่นชิ้นนี้ได้อย่างไร? ก็แค่ถูกหญิงชราเอามาใช้เป็นของติดตัวไว้ตั้งหลักเท่านั้น ความคิดเลิศล้ำเสียจริง มิน่าเล่าถึงสามารถหลบเลี่ยงสายตาของกุ่ยชาเมืองผีมาได้ตั้งนานหลายพันปี”
ลู่เฉินทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “แสงแห่งเหยากวง (เหยากวงมีหลายความหมาย หนึ่งคือชื่อของดวงดาวลำดับที่เจ็ดของกลุ่มดาวเป่ยโต้ว ซึ่งสมัยโบราณหมายถึงสัญลักษณ์แห่งความเป็นมงคล สองหมายถึงประกายแสงของหยก สามคือแสงสีขาว) บรรพกาล ส่องสว่างชี้ทางให้แก่ธัญพืชและสรรพสิ่ง กุยหลิงเซียงมีใจแล้ว น่าเสียดายที่นางต้องมาเจอกับพวกล้างผลาญกลุ่มนี้”
กุยหลิงเซียงบรรพจารย์เปิดภูเขาของนครเซียนจานมีคุณสมบัติในการฝึกตนดีเยี่ยม แต่นางกลับไม่มีความทะเยอทะยาน ราวกับว่าการฝึกตนตลอดชีวิตก็เพื่อทำให้นครเซียนจานขยับเข้าใกล้สวรรค์มากขึ้น
พอมาถึงเจ้านครรุ่นที่สอง หรือก็คือหญิงชราฉงโอวที่พอเห็นท่าไม่ดีก็ถอยกลับไปยังดินแดนของโลกมืดผู้นั้น ถึงได้เริ่มมีความสัมพันธ์ไปมาหาสู่กับสำนักใหญ่ของเปลี่ยวร้างซึ่งมีภูเขาทัวเยว่เป็นหนึ่งในนั้น แต่ฉงโอวก็ยังทำตามคำสั่งของอาจารย์ ไม่ได้ไปแตะต้องพื้นที่มงคลที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งได้ครอบครองดาวตกหนึ่งดวง นครเซียนจานสืบทอดต่อมาถึงมือของอูถีถึงได้เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่าส่วนใหญ่มาจากความเห็นแก่ตัวของอูถีเอง เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่การฝึกตนของตัวเอง สามารถทำลายคอขวดขอบเขตเซียนเหรินได้เร็วกว่าเดิม จึงเริ่มหลอมอาวุธขายให้กับสำนักบนภูเขา มีเงินทองไหลมาเทมา กระทั่งเสวียนผู่รับช่วงต่อดูแล นครเซียนจานก็แตกต่างไปจากเดิมมาก พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่ถูกบรรพจารย์กุยหลิงเซียงตั้งชื่อว่าเหยากวงได้รับการขยับขยายและดำเนินการในระดับที่ใหญ่ที่สุด เริ่มทำการค้ากับราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ จุดที่ขาดคุณธรรมมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องที่เสวียนผู่ชอบขายอาวุธและสมบัติอาคมให้กับราชวงศ์สองแคว้นที่อยู่ห่างกันไม่มากมากที่สุด แต่การที่นครเซียนจานมีฐานะสูงส่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้สำเร็จก็ด้วยฝีมือของเสวียนผู่จริงๆ
ในที่สุดอูถีก็ถามคำถามที่เขาสงสัยใคร่รู้ที่สุด “เจ้าคือ?”
คราวก่อนที่ปรากฏตัว อูถียังร่วมมือกับฉงโอวผู้เป็นอาจารย์รับมือกับบรรพจารย์ย้ายภูเขาที่นิสัยดุร้ายผู้นั้น ทั้งต่อสู้ทั้งขอร้องแล้วยังมอบเงินให้ ถึงได้ทำให้นครเซียนจานผ่านหายนะครั้งนั้นไปได้
ดังนั้นอูถีจึงไม่รู้สถานการณ์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้เลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “อิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
“มิน่าเล่า”
อูถีพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต่อสู้ได้เก่งกว่าเซียวสวิ้นในปีนั้น”
ผีบินทะยานตนนี้รีบเอ่ยเสริมไปอีกประโยคทันที “แต่ตอนนั้นเซียวสวิ้นอายุไม่มาก”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม
อูถีอดไม่ไหวถามอีกว่า “เจ้าฝึกตนมานานแค่ไหนแล้ว? ข้าก็ว่าแล้วว่าทำไมถึงไม่เหมือนนักพรตจริงๆ ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องไม่มีกฎที่ว่าภิกษุไม่ถามนาม นักพรตไม่ถามอายุแน่ๆ”
เฉินผิงอันตอบ “ไม่ถึงหนึ่งพันปี”
อูถีจุ๊ปากเอ่ยชื่นชมไม่หยุด ยกนิ้วโป้งให้กับผู้เยาว์ในด้านการฝึกตน เอ่ยชมจากใจจริงว่า “ผู้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น”
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น ยอมรับแค่ขอบเขตอย่างเดียว
เฉินผิงอันเอ่ย “เพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ”
อูถีอึ้งตะลึง จากนั้นโบกมือ “จะพูดล้อเล่นก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ”
อยู่ในดินแดนของโลกมืดที่ฟ้าดินเงียบสงัดอย่างถึงที่สุด หาคนตัวเป็นๆ มาพูดคุยด้วยนั้นยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์ นอกจากนี้ไม่ว่าจะผีตนใดที่เร่ร่อนอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะขอบเขตสูงหรือต่ำก็ล้วนไม่คาดหวังที่จะได้พบเจอกับคนของโลกมนุษย์ ผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์ที่มาเยือนปรโลกดินแดนคนตายได้ ใครจะกล้าไปมีเรื่องด้วย แต่ละคนรับมือได้ยากยิ่งกว่าผีเสียอีก
อูถียังคงหาตัวอิ๋นลู่ไม่เจอจึงได้แต่ยอมรับชะตากรรม หวังว่าลูกศิษย์ของลูกศิษย์คนนั้นจะไม่รู้วิธีอัญเชิญตัวเขาในศาลบรรพจารย์ ไม่อย่างนั้นอย่าเห็นว่าเขาพูดกับอิ่นกวานตรงหน้าผู้นี้ได้อย่างปรองดอกง อูถีกล้ารับรองเลยว่าขอแค่อีกฝ่ายคว้าโอกาสเอาไว้ได้ ทั้งสองฝ่ายจะต้องได้เจอกันอีกครั้งทันทีแน่นอน ถึงเวลานั้นคงหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าเอาชีวิตไม่ได้ ผู้ฝึกตนเฒ่ามองไปทางทิศเหนือ “ใช่แล้ว ถามข้อสุดท้าย ต่งซานเกิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ตอนมาคือโอสถทอง ตอนไปคือบินทะยาน
ในประวัติศาสตร์หมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่คือวีรกรรมที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง เอาใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาเป็นสถานที่หลอมกระบี่ สุดท้ายไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ประเด็นสำคัญคือตอนที่ต่งซานเกิงกลับบ้านเกิดยังเอาหัวของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานไปด้วย!
เฉินผิงอันชี้ไปที่ม่านฟ้า “ไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไปบ้างหรือ?”
อูถีเหลือบตามองม่านฟ้า ถึงได้เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีดวงจันทร์เพียงแค่สองดวงเท่านั้น
มารดามันเถอะ เป็นเรื่องที่ต่งซานเกิงทำได้จริงๆ
ท่ามกลางซากปรักของศาลบรรพจารย์ด้านหลังอูถี คือร่างจริงของเสวียนผู่ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน ถึงกับเป็นงูใหญ่สีดำแดงตัวหนึ่ง
ขนาดที่คฤหาสน์หลบร้อนยังไม่มีบันทึกถึงเรื่องนี้ ยังคงเป็นเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงที่ความรู้กว้างขวาง ช่วยไขข้อข้องใจให้กับเฉินผิงอันด้วยการเปิดเผยความลับสวรรค์ในประโยคเดียว “งูดำบรรพกาล เรือนกายเหมือนเชือกยาวที่ห้อยแขวนอยู่บนฟ้า มหามรรคาลึกล้ำยาวไกล เชื่อมโยงฟ้าดิน”
“ดังนั้นผู้อาวุโสเสวียนผู่ผู้นี้กับการสืบทอดควันธูปของนครเซียนจาน แน่นอนว่าต้องมีความสอดคล้องกันบนมหามรรคา เป็นเจ้านครก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่มิอาจบอกปัดได้จริงๆ! เสวียนผู่เอ๋ยเสวียนผู่ สร้างนครเซียนจานให้เป็นสถานที่อันเลื่องชื่อที่ทิวทัศน์งดงามได้แล้ว ฉายานี้ก็ตั้งได้เหมาะสมจริงๆ ไพเราะกว่า ‘ตู๋ปู้’ ที่ฟังแล้วไม่สมจริงของเย่พู่มากนัก คิดไม่ถึงว่าเสวียนผู่จะเป็นคนจริงใจแบบนี้”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจสอบถาม “ร่างจริงของเสวียนผู่สั้นไปหน่อยหรือไม่?”
แม้จะบอกว่าขดล้อมอยู่รอบซากปรักศาลบรรพจารย์อยู่หลายชั้น แต่อันที่จริงอย่างมากสุดก็คงยาวได้ไม่ถึงพันจั้ง
ตามข้อตกลง หากสังหารปีศาจตนใดในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ เฉินผิงอันจะต้องยกให้สิงกวานหาวซู่ทั้งหมด
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “พลังชีวิตสูญสิ้นไปหมดแล้ว ถูกอูถีกินจนอิ่ม เนื้อหนังมังสาของร่างจริงที่เหลืออยู่ มีแต่เปลือกเท่านั้น คล้ายคลึงกับคราบของงู แต่อูถียังถือว่ารู้กาลเทศะ ไม่ได้ผิดสัญญา ก่อนหน้านี้รับปากกับเจ้าว่าจะเก็บโอสถปีศาจขอบเขตบินทะยานเม็ดหนึ่งเอาไว้ให้”
เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยอยู่มาก เขาโบกชายแขนเสื้อเก็บร่างงูดำตัวนั้นมาเรียบร้อยแล้วก็อดไม่ไหวถามว่า “ผลเก็บเกี่ยวที่อูถีได้จากโลกคนเป็น ยังสามารถนำกลับไปหล่อเลี้ยงร่างจริงที่อยู่ในโลกคนตายได้ด้วยหรือ? ภาพมายานี้ของมันควรจะไม่มีทางเหลือให้เดินแล้วถึงจะถูก หรือว่าอูถีไม่ต้องถูกพันธนาการจากกฎเกณฑ์ของมหามรรคาที่มืดและสว่างอยู่กันคนและเส้นทางได้?”
ลู่เฉินหัวเราะร่าเอ่ยว่า “สวรรค์ไม่ไร้ทางให้คนเดิน ถึงอย่างไรก็ต้องมีเส้นทางทอดไปยังมุมมืดเสมอ”
เฉินผิงอันเห็นว่าเรือนกายอูถีล่องลอยไม่หยุดนิ่ง มีลางว่าจะสลายหายไป พลันถามว่า “ในฐานะเซียนผีบนเส้นทางสู่ปรโลก เจ้าเคยได้ยินชื่อของผู้ฝึกตนไพศาลที่ชื่อว่าจงขุยหรือไม่?”
เส้นเอ็นหัวใจของอูถีขมวดตึง ผีเฒ่าขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งถึงกับมีการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าที่มิอาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้
นี่แสดงให้เห็นว่าชื่อของจงขุยนี้ ไม่เพียงแต่เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งยังต้องทำให้อูถีจดจำได้อย่างลึกซึ้งด้วย
อูถีเองก็คล้ายจะไม่คิดแก้ไขหรือปิดบังอะไร เขาเบ้ปาก เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ชื่อนี้ อยู่ในดินแดนของพวกเราประหนึ่งฟ้าผ่าที่ดังอยู่ข้างหู”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ไม่เคยคบค้ากับจงขุยหรือ?”
อูถีหัวเราะหยัน “หากเคยคบค้าสมาคมกับเขา ผู้อาวุโสจะยังมาคุยเล่นกับใต้เท้าอิ่นกวานตรงนี้ได้หรือ?”
ตั้งแต่ต้นจนจบ ปากของอูถีไม่พูดคำว่า ‘จงขุย’ เลยสักครั้ง
ตามคำกล่าวของลู่เฉิน ผู้ที่เป็นเซียนดินคือผู้ครอบครองฟ้าดินครึ่งหนึ่ง หล่อหลอมเรือนกายอยู่บนโลก กระทั่งเป็นอมตะไม่ต้องตาย ผู้ฝึกตนผีพิสูจน์มรรคาเรียกว่าเซียนผี นับว่ายังเป็นรองอยู่ไม่น้อย คือผีวิญญาณสะอาดที่สละจิตหยางกายนอกกายทิ้ง เก็บไว้แต่จิตหยิน ยังคงถือว่าพิสูจน์มรรคาไม่สำเร็จ เป็นเหตุให้รูปลักษณ์ไม่ชัดเจน สามภูเขาไร้นาม แม้จะไม่ต้องเข้าสู่วัฏจักรสังสาร ก็ยากที่จะได้เข้าทำเนียบ เร่ร่อนไม่มีที่พักพิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนผีที่เลือกจะอยู่บนเส้นทางไปสู่ปรโลกก็ยิ่งถูกมองว่าเป็นพวกกบฏเนรคุณ คือเป้าหมายอันดับหนึ่งที่กุ่ยชาขุนนางผู้พิพากษาตรวจตราดินแดนของเมืองผีต้องจับตัวมาให้ได้ เรื่องพวกนี้เฉินผิงอันรู้มาก่อนแล้ว แต่ลู่เฉินเรียกอีกฝ่ายว่าเป็นพวกโง่เขลาดื้อดึง ฟังแล้วประหลาดมาก ลู่เฉินยังทำอมพะนำ ไม่ได้อธิบายความเป็นมาบนมหามรรคาของพวกเขาอย่างชัดเจน บอกแค่ว่าอาจารย์ซานซานจิ่วโหวที่พวกเราจุดธูปกราบไหว้ผู้นั้นปรากฏตัวน้อยครั้ง ไม่อย่างนั้นพวกเซียนผีที่ละเมิดกฎสวรรค์ มีหนึ่งคนก็ต้องสังหารหนึ่งคน เพราะเหตุใด?
ในอดีตอาจารย์ซานซานจิ่วโหวได้ตั้งป้ายป่าวประกาศแก่โลกมืดไว้ในสถานที่ฝึกตน ‘สะบั้นความโง่เขลาและความดึงดันออกจากจักรวาลที่สงบสุข’
ก่อนที่ร่างของอูถีจะหายไป เขาเอ่ยว่า “หวังว่าวันหน้าทั้งสองฝ่ายอย่าได้เจอกันอีกเลยจะดีกว่า”
เฉินผิงอันโบกแส้ปัดฝุ่นที่ถือไว้ในมือ ยิ้มเอ่ย “แล้วแต่วาสนา”
รอกระทั่งร่างของอูถีหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ลู่เฉินที่นอนคว่ำอยู่บนกลีบดอกบัวของกวานดอกบัวจ้องเป๋งมาที่แส้ปัดฝุ่นในมือของเฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ผินเต้าสามารถใช้เงินก้อนใหญ่ซื้อของชิ้นนี้มาได้”
เฉินผิงอันเก็บแส้ปัดฝุ่นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ “ได้สิ ขอแค่ราคาเหมาะสม ล้วนสามารถพูดคุยกันได้”
ลู่เฉินได้ยินประโยคนี้ก็พลิกตัวนอนหงายอยู่ในลานประกอบพิธีกรรม ยกขาไขว่ห้าง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรให้คุยกันแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “อย่าลืมใต้เท้าเจ้านครคนใหม่ล่ะ”
ลู่เฉินกล่าว “มาแล้วๆ”
เซียนเหรินอิ๋นลู่เหมือนถูกคนกระชากออกมาจากในดินแดนลับขุนเขาสายน้ำแห่งหนึ่ง แล้วเหวี่ยงลงบนซากปรักของศาลบรรพจารย์อย่างแรง
อิ๋นลู่เห็นเพียงว่านักพรตคนนั้นสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มา เปิดประตูต้อนรับแขกต่อสิ”
ภาพลวงตาภูเขาแห่งแรกของยันต์สามภูเขาส่วนนี้ ทางฝั่งของราชวงศ์อวิ๋นเหวิน ลู่จือได้ยินว่าสามารถอยู่ที่นี่ได้ถึงหนึ่งก้านธูป ดวงตาก็พลันเป็นประกาย จ้องเป๋งไปที่นครอวี้ป่านที่สูญเสียค่ายกลกระบี่ไป
ลู่จือถือกระบี่คู่ไว้ในมือ หนันหมิงกับโหยวเริ่น ปณิธานกระบี่ก็คือมรรคกถา จำแลงออกมาเป็นภาพปรากฎการณ์ประหลาดสองชนิด ลู่จือยืนอยู่กลางน้ำของสระสวรรค์ ปลาใหญ่สีเขียวตัวหนึ่งว่ายอยู่กลางอากาศ “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามกฎเดิม ข้ารับผิดชอบออกกระบี่ฟันคน เจ้าไปดักขวางทางพลางหาเงินไปด้วย พวกเราสองคนได้คนละสี่ส่วน เก็บไว้ให้เฉินผิงอันสองส่วน”
ฉีถิงจี้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
กลายเป็น ‘กฎเดิม’ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เพียงแต่ว่ารอจนคนทั้งสองขี่กระบี่เข้ามาในเมืองกลับผ่านมาได้อย่างราบรื่น แม้แต่ค่ายกลใหญ่พิทักษ์นครก็ยังไม่ได้เปิดใช้งาน ทำให้ฉีถิงจี้ประหลาดใจเป็นทบทวี
ที่นี่ไม่ใช่ว่ามีเย่พู่ที่เพิ่งเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานหรอกหรือ? ดูเหมือนว่าจะยังมีสตรีอีกคนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางด้วย
ลู่จือกล่าว “เฉินผิงอันคงไม่ได้เหลือแค่เศษซากน้ำแกงเย็นๆ ไว้ให้พวกเราหรอกนะ?”
ฉีถิงจี้ยิ้มเอ่ย “คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”
ในความเป็นจริงแล้วเย่พู่ได้พาป๋ายเริ่นออกไปไกลจากนครอวี้ป่านนานแล้ว บนร่างพกไปแค่วัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อเท่านั้น สรุปก็คือสมบัติหนักที่สะดวกในการพกพาล้วนหอบเอาไปจนเกลี้ยงแล้วหนีไปอย่างลนลานตื่นตระหนก
ภาพมายาภูเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างนครอวี้ป่านกับนครเซียนจานคือสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาชุนเจี้ยน ภูเขาลูกนี้เป็นสีเขียวขจีปลั่งราวกับจะคั้นน้ำได้ น้ำใสไหลยาว มีคำกล่าวของตระกูลเซียนบอกไว้ว่าท้อหลีแต่งให้ลมวสันต์
หนิงเหยาหยุดอยู่ที่นี่นานมาก เดินเล่นไปตลอดทาง ราวกับตัดสินใจแล้วว่าจะใช้เวลาหนึ่งก้านธูปให้หมด ไม่ต่างจากที่ขุนเขาใหญ่ชิงซานก่อนหน้านี้สักเท่าไร ขอแค่ไม่มาหาเรื่องนาง นางก็แค่มาชมทัศนียภาพของที่แห่งนี้เท่านั้น สุดท้ายหนิงเหยามาหยุดพักริมลำธารสายหนึ่ง ก็ได้เห็นภาษาธรรมประโยคหนึ่งบนป้ายศิลา แม้ใกล้จะถูกคมดาบตัดหัว ก็ยังมองเป็นเหมือนลมวสันต์พัดผ่าน
หนิงเหยามองอย่างเหม่อลอยอยู่ด้าน พอหันหน้าไปมองก็เห็นฉีถิงจี้กับลู่จือ สังเกตเห็นว่าลู่จือคล้ายจะอารมณ์ดีไม่น้อย ใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก
หนิงเหยาจึงรอให้คนทั้งสองจุดธูปคารวะเสร็จก่อนแล้วถึงได้ไปนครเซียนจานด้วยกัน
ปรากฏตัวในอาณาเขตของนครเซียนจาน ฉีถิงจี้ก็ยื่นนิ้วมานวดคลึงหว่างคิ้ว “รู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์น่าจะออกมาเป็นแบบนี้ รอจนได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็ยัง…”
ลู่จือพยักหน้าเอ่ย “เรื่องอย่างการเก็บเงินประเภทนี้ พวกเราสองคนรวมกันยังมีฝีมือไม่มากพอ ก็ได้แต่เก็บตกของที่เหลืออยู่แล้วจริงๆ”
รอกระทั่งพวกเขามาถึงซากปรักของศาลบรรพจารย์นครเซียนจาน เฉินผิงอันก็จัดการกับอิ๋นลู่เซียนเหรินที่เพิ่งเป็นเจ้านครได้ไม่นานไปเรียบร้อยแล้ว และได้พื้นที่มงคลเหยากวงแห่งนั้นมาแล้ว
มอบยันต์สามภูเขาส่วนสุดท้ายให้กับพวกหนิงเหยา เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่า “บางทีข้าอาจจะแอบอู้ ไปหาเหล้าดื่มที่สำนักจิ่วเฉวียนก่อน พวกเจ้าทำธุระที่นี่เสร็จแล้วก็สามารถไปรอข้าที่ลำคลองอู๋ติ้งก่อนได้”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ ถือยันต์เดินทางไกลนำไปก่อน
ในอดีตตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นางก็ติดนิสัยปล่อยให้เฉินผิงอันไปดื่มเหล้าเพียงลำพังอยู่แล้ว
ลู่จือถาม “ที่นี่ยังมีของเหลือให้เก็บอีกไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอน แม้ว่าจะไม่มีเวลาจำกัดแล้ว แต่พวกเจ้าก็พยายามออกเดินทางภายในหนึ่งก้านธูปแล้วกัน”