กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 859.3 ดึงแม่น้ำ
ฉีถิงจี้เอ่ย “ลู่จือ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันลงมือ?”
ลู่จือกล่าว “เจ้าขอบเขตสูง เดินทางไกลหน่อย ไปที่นครเซียนจานครึ่งหนึ่งนั้นก็แล้วกัน”
แสงกระบี่ของฉีถิงจี้กลายร่างเป็นสายรุ้ง พริบตาเดียวก็ไปถึงที่แห่งนั้น
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ใช้ได้นี่นา คุ้นเคยขนาดนี้เชียว?”
ลู่จือแสยะยิ้ม “เรื่องอย่างการค้อมเอวเก็บเงินนี้ ใครไม่สนใจ คนนั้นก็คือคนโง่”
ยันต์สามภูเขาสามส่วน สามารถเดินทางไกลได้ครึ่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
นครป่ายฮวา ซากปรักสนามรบโบราณ ขุนเขาใหญ่ชิงซาน
นครอวี้ป่านของราชวงศ์อวิ๋นเหวิน ภูเขาชิงเจี้ยน นครเซียนจาน
สำนักจิ่วเฉวียน ลำคลองอู๋ติ้ง ภูเขาทัวเยว่
ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันกำลังทำให้เส้นเอ็นหัวใจผ่อนคลายอย่างมีระดับ ยันต์สามภูเขาทุกส่วนล้วนมีภาพมายาของภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ก็แค่ผ่อนคลายอารมณ์ มาชมทัศนียภาพเท่านั้น
ภาพมายาที่อยู่ใกล้เคียงกับสำนักจิ่วเฉวียน หลังจากหนิงเหยาจุดธูปคารวะแล้วก็ถือยันต์ออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล เจอเมืองใหญ่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้ประตูภูเขาของสำนักจิ่วเฉวียน แม้จะอยู่ห่างมาโดยมีระยะทางขุนเขาสายน้ำพันกว่าลี้กั้นขวาง แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้จะสามารถได้กลิ่นหอมของสุราจากทางฝั่งนั้นแล้ว
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยองด้วยความเคยชิน หยิบดินมาขยี้เบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “อาเหลียงเคยบอกว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีจอมยุทธผู้กล้าหาญ ในกลุ่มของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจก็มีวีรบุรุษที่เหมือนคนมากกว่าคนอยู่เช่นกัน เขายังตั้งใจพูดถึงสุราของที่นี่ให้ข้าฟัง บอกว่าในอนาคตหากมีโอกาสมาเที่ยวเยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้าง ก็ต้องมาดื่มเหล้าที่นี่สักมื้อให้จงได้”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “บนโลกไม่มีเรื่องเล็ก วิญญาณที่แท้จริงแห่งฟ้าดิน ใครเล่าจะกล้าดูแคลน คำว่าคนบนภูเขาก็เป็นแค่ไก่ดินหมากระเบื้อง คนมาไม่เห่า เอาไม้ฟาดก็ไม่ไป”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เก็บอำพรางลมปราณ ก้าวหนึ่งก้าวออกไปไกลพันลี้ก็มาถึงนครที่อยู่ใต้เปลือกตาของสำนักจิ่วเฉวียน เลือกร้านเหล้าหนึ่งร้านง่ายๆ ร้านนี้กิจการดีมาก แต่ผู้ฝึกตนของสำนักจิ่วเฉวียนขึ้นชื่อว่าไม่ชอบต่อยตี อีกอย่าง เรื่องของการต่อสู้ก็ไม่มีฝีมือมากไปกว่าผู้ฝึกตนของสำนักอื่น เจ้าสำนักมีขอบเขตเป็นเซียนเหรินอาวุโสที่เนิ่นนานก็ยังไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตได้สักที บางครั้งยามออกจากบ้านก็จะถือคติของสำนักไปด้วย นั่นคือพบหน้าใครก็ต้องมอบสุราให้
ในนครมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจค่อนข้างมาก เฉินผิงอันจึงไม่ดูแปลกแยก อีกทั้งยังร่ายเวทอำพรางตา จงใจปิดบังกระบี่ยาวเย่โหยวและกวานเต๋าชิ้นนั้น
เฉินผิงอันสั่งเหล้าหมักขึ้นชื่อมาจากเถ้าแก่ร้านสามไห กับแกล้มอีกสองสามจานแล้วหาโต๊ะตัวหนึ่ง นั่งลงเพียงลำพัง เทเหล้าใส่ชาม ยกชามขาวขึ้น ก้มหน้าสูดกลิ่นแล้วหรี่ตา เป็นเหล้าดีจริงๆ เสียด้วย ประเด็นสำคัญคือราคาถูก ของดีราคาถูก แค่จ่ายหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะก็เอากลับไปได้สามไหแล้ว
ลู่เฉินถามหยั่งเชิง “ข้าสามารถเผยกายดื่มเหล้าได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า
ลู่เฉินจึงเผยกายในร้านเหล้าด้วยรูปลักษณ์ของดวงจิตเมล็ดงาดวงหนึ่ง ลักษณะไม่ได้ต่างจากนักพรตหนุ่มที่ตั้งแผงดูดวงอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูของปีนั้นสักเท่าไร ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นกายของความยากจน
อีกทั้งในร้านเหล้าแห่งนี้ก็มีฝึกตนอยู่หลายคน แต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงการปรากฎตัวอย่างกะทันหันของลู่เฉินเลยแม้แต่น้อย หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ราวกับว่านักพรคหนุ่มคนนี้อยู่ที่ร้านเหล้าร้านนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสองตนที่ยังจำแลงร่างมนุษย์ไม่ได้อย่างเต็มที่คิดจะเอาโต๊ะมาประกบต่อด้วย ลู่เฉินกลับยกฝ่ามือตบโต๊ะ “นายท่านเหมือนคนที่จะนั่งร่วมโต๊ะดื่มเหล้ากับคนอื่นอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันคร้านจะถือสาเรื่องพวกนี้ เพียงขอชามใบหนึ่งมาจากร้านเหล้า รินเหล้าให้ลู่เฉิน ยิ้มถามว่า “ขโมยอะไรทำให้เศร้าใจได้มากที่สุด?”
ลู่เฉินนั่งขัดสมาธิบนม้านั่งยาว สองมือชูชามเหล้าขึ้น ยกเหล้าจิบหนึ่งอึก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม โคลงศีรษะเอ่ย “แน่นอนว่าต้องขโมยเหล้าดื่ม”
เฉินผิงอันอดนึกถึงเรื่องราวในบ้านเกิดของปีนั้นขึ้นมาไม่ได้ เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนี้ ในช่วงเวลาเหล่านั้นได้อาศัยขออ้างว่าดูลายมือให้อื่นหลอกแตะอั๋งสตรีของเมืองเล็กไปไม่น้อย
ชาวบ้านไม่อาจล่วงรู้เรื่องราวในโลกมนุษย์ แต่ชื่นชอบชีวิตการทำไร่ทำนาที่สงบสุข
ถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ร้อยบุปผาล้ำค่าพืชพรรณเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
ทั้งสองคนต่างคิดไปคนละเรื่อง จึงเพียงแค่ดื่มเหล้ากันไปเงียบๆ
เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปหนึ่งชาม เหล้าของลู่เฉินก็ลดน้อยจนเริ่มมองเห็นก้นชามแล้ว จึงรินเหล้าให้เต็มอีกสองชาม
ลู่เฉินกล่าวขอบคุณหนึ่งคำ เหลือบตามองม่านฟ้า เอ่ยปากเนิบช้า “หาวซู่เองก็เป็นคนน่าสงสาร”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
ลู่เฉินกล่าว “แน่นอน คนน่าสงสารก็ย่อมต้องมีจุดที่น่าชิงชัง เพียงแต่ว่าจุดที่น่าชิงชังที่สุดยังคงเป็นว่าเอาความเกลียดแค้นของทุกคนใต้หล้ามารวมกันแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะยังสู้หาวซู่เกลียดแค้นตัวเองไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เงื่อนตายก็ยิ่งมิอาจคลี่คลายได้อย่างแท้จริงแล้ว”
ปีนั้นเป็นเด็กหนุ่ม เลือดร้อนโอหัง
หาวซู่เคยตั้งปณิธานว่าจะพกกระบี่เปิดเส้นทางแห่งมหามรรคาไปสู่ฟ้าที่แท้จริงเส้นหนึ่งให้กับปวงประชาในใต้หล้าของบ้านเกิด
คิดไม่ถึง่ว่าสุดท้ายบุรุษคนนี้กลับทำเพียงแค่รับตำแหน่งสิงกวานอยู่ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดื่มเหล้าเพียงลำพัง กาลเวลายาวนาน ก็แค่ได้เห็นพระจันทร์เต็มดวงอยู่หลายครั้งเท่านั้น
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งของสิงกวานหาวซู่ มีชื่อว่าฉานเจวียน (สาวงามหรืออีกความหมายคือดวงจันทร์) ห่างไกลกันพันลี้ยังได้ชมแสงจันทร์งดงาม ชมเกล็ดน้ำค้างแข็งบนพื้นดินของโลกมนุษย์ด้วยกัน
พื้นที่มงคลระดับกลางบ้านเกิดของเขาที่อยู่ในฝูเหยาทวีป ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง เดิมทีก็คือคอขวดบนมหามรรคาอย่างหนึ่ง แต่หาวซู่กลับเลื่อนเป็นก่อกำเนิดได้ในคราวเดียว
ดังนั้นหาวซู่ที่อยู่ในใต้หล้าบ้านเกิดของตัวเอง ขอเพียงเขายินดี ไม่รีบร้อนจากไป คนคนเดียวพกกระบี่บุกสังหารไปทั่วใต้หล้าก็ยังไม่ยาก ต่อให้ใต้หล้าของพื้นที่มงคลจะมีภาพเหตุการณ์ประหลาดหลากหลาย เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน หาวซู่ที่อายุน้อยเลือดลมพลุ่งพล่านก็ยังเปี่ยมไปด้วยความเห่อเหิมทะเยอทะยาน ข้าเชื่อมั่นในการกระทำของตัวเอง มั่นใจว่าเวทกระบี่ของตัวเองย่อมไม่แพ้ให้กับพวกคนนอกฟ้าเหล่านั้นแน่นอน
และการที่ความเคลื่อนไหวยามที่หาวซู่พกกระบี่บินทะยานออกจากพื้นที่มงคลรุนแรงขนาดนั้น ชักนำให้ตระกูลเซียนไพศาลมากมายจับจ้องมองมาด้วยความละโมบ ก็เป็นเพราะวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มนั้นของหาวซู่ ‘โอ้อวดตัวเอง’ มากเกินไป ชักนำให้แสงจันทร์ร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์
ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนต่างก็สัมผัสได้ถึงปรากฎการณ์ประหลาดส่วนนั้น เพราะตอนกลางวันถึงกับมีลำแสงของแสงจันทร์ที่สว่างจ้าพร่างพราวอย่างถึงที่สุดสาดส่องลงมา ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกตนของพื้นที่มงคลทั่วไปที่ ‘บินทะยาน’ ไปยังใต้หล้าไพศาล ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของพื้นที่มงคลระดับสูง ชักนำให้เกิดนิมิตหมายต่างๆ มากมาย บ้างก็เป็นภาพบรรยากาศมงคลที่คนและฟ้าเกิดการขานรับกัน แต่ก็ยังไม่สะดุดตาถึงขั้นนี้ ยิ่งไม่ถึงกับทำให้ผู้ฝึกตนใหญ่หาที่ตั้งของพื้นที่มงคลเจอได้อย่างแม่นยำทันทีทันใดเช่นนี้
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลังจากที่หาวซู่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่มงคลร้อยบุปผานานหลายปี พอออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเงียบเชียบ อันที่จริงสถานที่ที่หาวซู่ต้องการไปเยือนอย่างแท้จริงคือใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ยึดครองดวงจันทร์ดวงหนึ่ง ฉวยโอกาสหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มีความสอดคล้องกับมหามรรคาอย่างเป็นธรรมชาติเล่มนั้น สำหรับเรื่องของการสังหารปีศาจ สิงกวานที่รับหน้าที่ได้ไม่สมตำแหน่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ ไม่เคยมีความสนใจ
สิ่งที่คิดในใจ มีเพียงการแก้แค้นเท่านั้น
หลายๆ ครั้งขอแค่ไม่ทันระวังก็จะทำให้คนต้องดื่มเหล้าอย่างกลัดกลุ้มซึ่งต่อให้กลุ้มแค่ไหนก็ยังตายไม่ได้ เอาชนะคำว่าเสียใจภายหลังไม่ได้ไปชั่วชีวิต
เฉินผิงอันที่ดื่มเหล้าอยู่ดีๆ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ผู้ที่มีคุณธรรมเก็บซ่อนอยู่ภายใน มักทำอะไรไม่โอ้อวด”
ลู่เฉินยิ้มอย่างเข้าใจ “เต๋าไม่ได้อยู่ที่ห้าธาตุหรือกายเนื้อ นี่ก็คือหนึ่งในความหมายหลักของบทคุณธรรมที่แท้จริงจากหนังสือความเรียงใน เฉินผิงอัน เจ้าใช้ได้เลยนี่นา ถึงกับแอบเลื่อมใสความรู้ของผินเต้า เรื่องแบบนี้มีอะไรให้ต้องปิดบังกันเล่า”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าไปทางลู่เฉิน ลู่เฉินก็รีบยกก้นขึ้น ใช้ชามเหล้าชนชามของอีกฝ่ายเบาๆ ทันที
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยเนิบช้าว่า “ปีนั้นระหว่างที่เดินทางไกลไปเยือนอุตรกุรุทวีปก็ได้เจอกับเรื่องบางอย่างที่ตอนนั้นยังไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นภิกษุส่วนหนึ่งในวัด มักรู้สึกว่าพวกเขากินเจสวดมนต์กันเป็นประจำ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งทำให้อยู่ห่างไกลจากพระธรรม ช่วงชิงชื่อเสียงเกียรติยศ จ่ายเงินติดสินบนกับทางการก็เพื่อให้ได้จำวัดอยู่ในวัดใหญ่ มียศตำแหน่งมากหน่อย ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องที่อยู่ในวัดเดียวกัน กลับกลายเป็นว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมพูดคุยกัน ข้าเคยเห็นกับตา ได้ยินกับหูตัวเองมาก่อน แม้แต่ชาวบ้านในพื้นที่ก็ยังไม่นับถือพวกเขา เพียงแต่ว่าเรื่องจุดธูปก็ยังต้องจุดกันไป”
“รอกระทั่งข้าได้เห็นประโยคนี้จากหนังสือในภายหลัง ถึงได้คิดแล้วเข้าใจเรื่องต่างๆ มากมายได้ในทันที บางทีผู้ฝึกตนที่แท้จริง ข้าไม่ได้พูดถึงเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลนะ พูดถึงแค่การฝึกตนที่อยู่ใกล้โลกมนุษย์อย่างแท้จริง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเวทคาถาตระกูลเซียน การฝึกตนก็เป็นแค่การฝึกฝนจิตใจเท่านั้น ไม่ฝึกฝนด้านพละกำลัง ข้าเลยคิดว่า สมมติว่าข้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป มักจะไปจุดธูปในวัดทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของทุกเดือนเป็นประจำ ทำอย่างนี้ปีแล้วปีเล่า จากนั้นวันใดวันหนึ่งเจอกับภิกษุรูปหนึ่งบนถนนโดยบังเอิญ ฝีเท้าของเขาเนิบช้า สีหน้าสงบนิ่ง เจ้ามองผลสำเร็จด้านพระธรรม ความรู้สูงต่ำของเขาไม่ออก เขาพนมมือก้มหัวให้เจ้า จากนั้นก็เดินสวนไหล่ผ่านกันไปทั้งอย่างนี้ ถึงขั้นที่ว่าคราวหน้าเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง พวกเราต่างก็ไม่รู้ว่าเคยได้พบเจอกันมาก่อน เขามรณภาพ บรรลุโสดาบัน จากไปแล้ว พวกเราจึงได้แต่จุดธูปต่อไปเท่านั้น”
“ข้าเคยพาหมี่ลี่น้อยไปจุดธูปในวัดแห่งหนึ่ง พอรู้สึกว่าหลงทางก็เลยถามเส้นทางจากภิกษุรูปหนึ่ง ภิกษุบอกว่าพวกเราเดินมาผิดทางแล้ว หลังจากช่วยบอกทางให้ เขาก็หมุนตัวเดินกลับไปตามทางของตัวเอง ตอนนั้นหมี่ลี่น้อยยังรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง บอกว่าไม่รู้จักช่วยนำทางให้บ้างเลย ตอนนั้นข้าเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าหากตนเป็นคนที่บอกทาง บางทีอาจจะถามว่าต้องการเพื่อนร่วมทางหรือไม่ ภายหลังพอมาคิดอีกที บางทีอาจเป็นเพราะตัวเองไม่มีปัญญาในการตรัสรู้อย่างที่พระพุทธศาสนากล่าวถึงก็เป็นได้”
ลู่เฉินไม่ได้เอ่ยแทรก เพียงแค่ฟังเฉินผิงอันพึมพำกับตัวเอง
อันที่จริงขอแค่เฉินผิงอันไม่ได้จงใจปิดบัง ต่อให้เป็นคำพูดจากเสียงในใจ ภาพเหตุการณ์ที่นึกคิดอยู่ในจิต ลู่เฉินก็ล้วนได้ยิน ได้เห็นชัดเจนยิ่งกว่าใคร
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ เฉินผิงอันเพียงแค่ดื่มเหล้า ไม่พูดอะไรอีก แต่ลู่เฉินกลับเหมือนได้เห็นม้วนภาพแห่งกาลเวลาท่ามกลางขุนเขาสายน้ำทั้งหลาย เห็นภาพวัดซินเซียงที่อยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวนของพื้นที่มงคลดอกบัว ด้านในมีเจ้าอาวาสอายุมากรูปหนึ่ง ภิกษุเฒ่าไม่ค่อยชอบพูดเรื่องพระธรรมอันสูงส่งลึกล้ำนัก เพียงแค่พูดคุยเรื่องปกติทั่วไปกับผู้อื่น มีลูกศิษย์คนหนึ่งที่จะมารับสืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อ และยังมีเณรร้อยที่ชอบแอบอู้ทว่ากลับมีจิตใจดีงาม…นครป๋ายอวิ๋นของแคว้นชิงหลวนแจกันสมบัติทวีปมีเจ้าอารามวัยกลางคนผู้หนึ่งชอบอ่านหนังสือจนสายตาเสีย นักพรตน้อยที่กวาดลานเรือน ทุกวันจะต้องกลัดกลุ้มกับเรื่องฟืนข้าวน้ำมันเกลือ เพราะด้านในอารามมีต้นไม้อยู่หลายต้น บนกิ่งสูงของต้นไม้จึงมักจะมีว่าวลอยมาติดอยู่เป็นประจำ พวกผู้ปกครองของเด็กๆ จึงชอบมาดักหน้าประตูอารามแล้วก่นด่า ด่าก็ส่วนด่า เพราะดูเหมือนว่าจะไม่เคยทำลายความปรองดองได้อย่างแท้จริง…
ลู่เฉินเอ่ยเสียงเบา “คนโบราณบอกไว้ว่าเรื่องอย่างการตรวจสอบตำราก็เหมือนการกวาดใบไม้ร่วง แค่กวาดก็เจอ”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าในชามหมดไปแล้วโดยไม่รู้ตัว เขามองลู่เฉินแวบหนึ่ง ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ข้ายังมี ไม่ต้องเติมแล้ว”
“พวกเราไม่เชื่อพุทธไม่เชื่อเต๋า ไม่จุดธูปไม่กราบไหว้พระโพธิสัตว์ได้ แต่พวกเราก็ควรจะเชื่อในทุกเรื่องที่สามารถทำให้ในใจของพวกเราสงบสุขได้”
“ทั้งๆ ที่ในคัมภีร์พุทธได้บอกกับคนบนโลกอย่างชัดเจนแล้วว่า ไหวพระก็คือไหว้ตัวเอง เพราะจิตหนึ่งก็คือพุทธะ สรรพชีวิตล้วนมีพุทธธาตุ พุทธตรัสรู้คน แต่คนกลับไม่ตรัสรู้พุทธ”
“หลักการเหตุผลข้าเข้าใจ แต่ข้ากลับทำไมได้ ข้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังขอบางอย่างจากพระโพธิสัตว์ กำลังขอพร”
เฉินผิงอันเอ่ยประโยคเหล่านี้จบก็ไม่พูดอะไรอีก ถึงขั้นที่ว่าไม่ใจลอยอีก เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ดื่มเหล้าชามที่สามให้หมดในรวดเดียว เก็บกาเหล้าสองกาที่เหลืออยู่บนโต๊ะใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ
ลู่เฉินถาม “จะออกเดินทางเลยหรือ?”
อันที่จริงเวลานี้เขารู้สึกใจคอไม่ดีสักเท่าไร มักรู้สึกว่าเฉินผิงอันเอ่ยความในใจพวกนี้จบแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะทำอะไรบางอย่างใกล้กับภาพมายาภูเขาของลำคลองอู๋ติ้งเส้นนั้นก็เป็นได้
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ลู่เฉินกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ถามว่า “เหตุใด้ถึงไม่ลองลากดวงจันทร์ดวงนั้นไปยังใต้หล้าไพศาล หรือไม่ก็ใต้หล้าห้าสีล่ะ? นี่เรียกว่าน้ำดีไม่ไหลเข้านาคนอื่น เหตุใดถึงต้องมอบเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้านี้ให้กับใต้หล้ามืดสลัวของพวกเราเปล่าๆ ด้วย?”
เฉินผิงอันมองเขา “เจ้าลัทธิลู่ถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบดี แบบนี้ก็ไม่มีความหมายแล้ว เดี๋ยวคราวหน้าคิดเงินค่าเหล้ามาให้ข้าด้วย”
หากสามารถลากดวงจันทร์ดวงหนึ่งไปได้สำเร็จจริง ก็จะทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างสูญเสียโชคชะตาฟ้าส่วนหนึ่งไป
สามารถหาสถานที่ฝึกตนแห่งหนึ่งให้กับหาวซู่ได้ เดิมทีลู่เฉินก็เป็นคนนำทางที่จะพาหาวซู่ไปยังใต้หล้ามืดสลัวอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันก็ถือว่าเฉินผิงอันได้มอบของขวัญตอบแทนกลับคืนให้กับมรรคาจารย์เต๋า
ส่วนใต้หล้ามืดสลัวกับป๋ายอวี้จิง พอถึงเวลานั้นแล้วจะจัดการกับดวงจันทร์ที่อยู่ดีๆ ก็เพิ่มมาดวงหนึ่งนี้อย่างไร เฉินผิงอันก็ไม่สนใจแล้ว
ขณะเดียวกัน ในอนาคตเมื่อเดินทางไกลไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว อาศัยคุณความชอบส่วนนี้ ต่อให้จะแบกรับชื่อจริงของปีศาจใหญ่เอาไว้ เชื่อว่าก็สามารถช่วยลดทอนการสยบกำราบของมหามรรคาที่มองไม่เห็นไปได้ส่วนหนึ่งเช่นกัน
แล้วยังสามารถช่วยให้ใต้หล้ามืดสลัวสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับเงื่อนไขฟ้าของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ด้วย
การกระทำเดียวได้ผลประโยชน์ถึงห้าทาง
อย่าเห็นว่าตลอดทางที่ผ่านมาลู่เฉินมีสายตาไม่พอใจ โอดครวญไม่หยุด ราวกับว่าถูกเฉินผิงอันจูงจมูกเดินมาตลอดทาง แท้จริงแล้วเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงท่านนี้ต่างหากที่ถึงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำการค้าที่แท้จริง
ดวงจิตของลู่เฉินกลับเข้าไปในสถานที่ประกอบพิธีกรรมดอกบัวอีกครั้ง เฉินผิงอันจึงถือยันต์ออกเดินทางไกลอีกครา
บางทีอาจเป็นเพราะมหามรรคาใกล้ชิดกับสายน้ำ พอเฉินผิงอันมาถึงภาพมายาภูเขาแห่งนี้ก็สามารถสัมผัสได้ถึงโชคชะตาน้ำเข้มข้นขุมหนึ่งที่โชยมาปะทะใบหน้าได้ทันที
ลำคลองอู๋ติ้งเส้นนี้มีผิวน้ำกว้างขวางหลายสิบลี้ เป็นเพียงแค่หนึ่งในหลายร้อยสายน้ำที่ไหลแยกไปของลำคลองเย่ลั่วเท่านั้น
หลังจากเฉินผิงอันจุดธูปคารวะเรียบร้อยแล้ว
เขาก็เผยกายธรรมนักพรตเต๋าอีกครั้ง ไม่ได้สูงแปดพันจั้ง แต่สูงเก้าพันจั้ง เท้าข้างหนึ่งของกายธรรมก้าวออกมาเหยียบลงบนลำคลองอู๋ติ้ง กระตุ้นให้เกิดคลื่นยักษ์ถาโถม กายธรรมสูงขึ้นไปอีกหนึ่งพันจั้ง
กายธรรมหมื่นจั้งตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน ยกฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปคว้า ถึงกับกระชากเอาลำคลองอู๋ติ้งที่อยู่บนพื้นดินขึ้นมา และตามมาด้วยลำน้ำที่ไหลแยกออกไปอีกหลายสายของลำคลองเย่ลั่ว
เฉินผิงอันกระชากแม่น้ำลำคลองสามร้อยกว่าสายขึ้นมาทั้งอย่างนี้ ครั้นจึงบิดรวมกันจนกลายเป็นเชือกยาวชะตาน้ำ สุดท้ายกายธรรมทิ้งตัวไปด้านหลังพุ่งทะยานออกไป หดย่อภูเขาสายน้ำหมื่นลี้แล้วก็หมื่นลี้ เป็นเหตุให้ลำคลองเย่ลั่วทั้งสายถึงกับหลุดออกมาจากท้องน้ำ สายน้ำใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ ถูกคนกระชากดึงแม่น้ำพาเดินไป