กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 860.1 เหล่าคนรุ่นเยาว์
เจียงซ่างเจินที่เดินเล่นเตร็ดเตร่ไปทั่วใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ร่างจริงได้เจอกับผู้ฝึกตนที่ออกเดินทางไกลของใต้หล้าไพศาลกลุ่มหนึ่ง
ส่วนจิตหยินที่ออกจากช่องโพรงของเจียงซ่างเจินก็กำลังช่วยชี้แนะไขปริศนา ร่วมกันก้าวผ่านด่านยากไปพร้อมกับผู้อาวุโสชิงมี่
หากจะบอกว่าการเจอกับเฝิงเซวี่ยเทาคือเรื่องไม่คาดฝัน การที่มาเจอกับคนหนุ่มสาวที่แต่ละคนเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ยิ่งกว่ากันกลุ่มนี้กลับเป็นเรื่องไม่คาดคิดยิ่งกว่า
อันที่จริงตามความตั้งใจเดิมของเจียงซ่างเจินคือจะไปหาเจิ้งจวีจงที่ท่าเรือฉิงจีที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่คำว่าใกล้ที่สุดนี้ก็เท่ากับขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปที่กั้นขวางแล้ว
เฉาสือ ฟู่จิ้น หยวนพาง ฉุนชิง สวี่ป๋าย อวี้เจวี้ยนฟู กู้ช่าน จ้าวเหยากวง และยังมีภิกษุเด็กหนุ่มที่กำลังฝึกปิดวาจาอีกคนหนึ่ง
ส่วนผู้ปกป้องมรรคาในนามของคนกลุ่มนี้ก็คือหันเชี่ยวเซ่อแห่งนครจักรพรรดิขาวที่ตลอดทางมาไม่ต้องทำเรื่องอะไร หลังจากฟังสถานการณ์ที่เจียงซ่างเจินบอกให้รับรู้แล้วก็รีบมุ่งหน้าไปหาศิษย์พี่ที่ท่าเรือฉิงจีทันที วิชาการหลบหนีแห่งชะตาชีวิตบทหนึ่งของนางเร็วกว่ากระบี่บินส่งข่าวเสียอีก
และคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ ก่อนหน้านี้ก็ได้ไปถึงฉิงจีด้วยกัน หลิวโยวโจวกับไหวเฉียนอยู่ต่อที่ท่าเรือฉิงจี ส่วนคนอื่นๆ ออกเดินทางไกลกันต่ออีกครั้ง หลิวโยวโจวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกุมารแจกทรัพย์ ลำพังเพียงเรือหลิวเสียที่ได้รับการยอมรับจากไพศาลว่ามีความเร็วมากที่สุดในบรรดาเรือข้ามฟากก็เอาออกมาถึงสองลำโดยตรง หากใช้คำพูดของหลิวโยวโจวก็คือ หากระหว่างทางที่ไปหาประสบการณ์ทำเรือข้ามฟากลำหนึ่งพังจะทำอย่างไร? กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ ถึงอย่างไรข้าก็ยังมีเรือหลิวเสียอีกหนึ่งลำ
นอกจากนี้ยังมอบเสื้อเกราะจิงเหว่ยของสำนักการทหารมาให้อีกหลายชุด มอบยันต์สีทองมาให้อีกหลายปึก เหมือนกับบุตรชายคนโง่ของตระกูลเจ้าของที่ดินล่างภูเขาที่มีเงินแต่ไม่มีเรื่องให้ใช้จ่าย ก็เลยช่วยแจกจ่ายตั๋วเงินให้กับพวกลูกสมุนที่อยู่ข้างกายอย่างไรอย่างนั้น
เวลานี้ตรงตีนเขาที่อยู่เปลี่ยวร้างห่างไกล เจียงซ่างเจินกำลังดื่มเหล้า การที่เขาไม่รีบร้อนออกเดินทาง หนึ่งเพราะเจียงซ่างเจินกำลังสองจิตสองใจว่าควรจะมอบยันต์สามภูเขาออกไปดีหรือไม่ ก่อนหน้านี้ชุยตงซานช่วยปรับแก้ยันต์สามภูเขาให้ดีขึ้นแล้ว เพียงแต่ไม่ทันมีเวลาให้เขาให้ขอความดีความชอบจากอาจารย์ นอกจากนี้เจียงซ่างเจินเองก็จำเป็นต้องใช้วิธีการปล่อยจิตหยินไปทำความเข้าใจศัตรูให้มากๆ สุดท้ายก็คือจำเป็นต้องให้เหล่าคนรุ่นเยาว์กลุ่มนี้เข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง หากคิดจะไปช่วยเฝิงเซวี่ยเทาจริงๆ ความเสี่ยงมีสูงมาก ไม่ใช่สูงธรรมดาด้วย
มองคนหนุ่มสาวเก้าคนที่ยืนล้อมเป็นวง เจียงซ่างเจินก็ยิ้มเอ่ย “หากมีคำถามก็รีบถาม ใครไม่อยากไปต้องบอกมาตามตรง ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเกรงใจ บอกตามตรง ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียใจภายหลังแล้วที่เล่าเรื่องนี้ให้พวกเจ้าฟัง”
เฉาสือ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง คืนความจริงขั้นสูงสุด บุคคลที่ไม่ใช้เหตุผล
ฟู่จิ้น ลูกศิษย์คนแรกของเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรพบุรุษหนึ่งลูก มีชื่อว่า ‘ซาน’ (สาม) เมื่อเทียบกันแล้ว จักรพรรดิขาวน้อยผู้นี้ถือว่าเป็นคนที่ไม่อ่อนเยาว์ที่สุด
หยวนพาง ตรงเอวห้อยแผ่นหยกวิญญูชนหนึ่งชิ้น คือเจ้าขุนเขาคนใหม่ของสำนักศึกษาเหิงฉวี คือเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของไพศาล อายุน้อยๆ ก็เรียบเรียงตำรา ‘อี้เจี่ย’ ขึ้นมาสามเล่ม ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งไพศาล เป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า บ้านเกิดคือใต้หล้ามืดสลัว แต่กลับกลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหย่าเซิ่ง
ฉุนชิง ไม่มีอะไรที่ไม่เชี่ยวชาญ เป็นทั้งผู้ฝึกลมปราณ แล้วยังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว นอกจากนางไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แล้ว เรื่องอื่นๆ ที่เหลือล้วนพอๆ กับเฉินผิงอัน อายุสิบหกก็ติดอันดับแล้ว
สวี่ป๋าย เหมือนกับฉุนชิง ต่างก็เป็นตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า ภูมิลำเนาอยู่ที่เส้าหลิง อาจารย์ในโรงเรียนของเขาก็คืออาจารย์สวี่ที่ถูกขนานนามว่า ‘จื้อเซิ่ง’ (อริยะด้านตัวอักษร ความหมายจะแคบกว่าเหวินเซิ่ง จื้อจะหมายถึงแค่ตัวอักษรอย่างเดียว แต่เหวินจะหมายถึงภาษา อักษร วรรณกรรม) แต่กลับไม่ใช่อริยะปราชญ์ของศาลบุ๋น ทุกวันนี้สวี่ป๋ายกลายมาเป็นลูกศิษย์ของสำนักการทหารคนหนึ่ง เชี่ยวชาญหมากรุก ฉายาคือ ‘สวี่เซียน’
อวี้เจวี้ยนฟู ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด คอขวด
กู้ช่าน ลูกศิษย์ปิดสำนักของเจิ้งจวีจง
จ้าวเหยากวง รูปโฉมหล่อเหลา นักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลัง ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือ อายุหนึ่งร้อยกว่าปี
ภิกษุเด็กหนุ่มสะพายแท่นบูชาพระพุทธรูปที่ใช้ผ้าฝ้ายห่อปิดเอาไว้ นั่นคือพระพุทธรูปที่พกกาติดตัว ฝึกการปิดวาจาอยู่ตลอด ดังนั้นเวลาที่พูดคุยกับคนอื่น หากไม่พยักหน้าก็จะส่ายหน้า
เก้าคนนี้ ไม่ว่าจะดึงใครออกมาก็ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ในกลุ่มผู้มีพรสวรรค์ หากใช้คำกล่าวของพ่อครัวเฒ่าก็คือท่านเทพเทวดาน้อยในตำรานั่นเอง
เจียงซ่างเจินรู้สึกว่าตัวเองก็คือเฒ่าจันทราผู้ผูกด้ายแดงคนหนึ่ง จับคู่ให้กับคู่สร้างคู่สมซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ
มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ในอดีตไม่เคยมีมาก่อน แล้วก็จะไม่ปรากฏอีกในอนาคตด้วย
สองใต้หล้าในอนาคต หากรวมพวกคนประหลาดกลุ่มที่ล้อมสังหารเฝิงเซวี่ยเทา หากเรื่องไม่คาดฝันไม่ใหญ่เกินไป ผู้ฝึกตน ผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์กลุ่มนี้ ขอแค่มีชีวิตอยู่ได้ยาวนานมากพอก็จะกลายเป็นกลุ่มที่สามารถต่อสู้ได้เก่งที่สุดในใต้หล้าไพศาลและใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ก็เหมือนกับการต่อยตีในตรอกที่ศัตรูมาพบเจอกันบนทางแคบ ในกลุ่มคนหนุ่มมีเจิ้งจวีจง มีเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ เผยเปย ฮว่อหลงเจินเหริน ที่มาเจอเข้ากับปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ในอนาคตทั้งหลาย สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ม้วนชายแขนเสื้อแล้วยกพวกตีกัน
แน่นอนว่าก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจ เจียงซ่างเจินได้ย้ำถึงระดับความอันตรายในการเดินทางไปครั้งนี้ถึงสองรอบแล้ว
นอกจากสตรี ปกติแล้วเจียงซ่างเจินไม่ค่อยควักใจมาพูดคุยกับคนอื่นเท่าใดนัก แต่ครั้งนี้เจียงซ่างเจินกลับไม่มีท่าทีล้อเล่นแม้แต่น้อย ลากพวกเขาไปลงสนามรบด้วยกัน ต้องเสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าคนรุ่นเยาว์คนใดก็ตามที่อยู่ที่นั่นแล้วมิอาจหวนคืนกลับบ้านเกิดได้ สำหรับเจียงซ่างเจิน สำหรับพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา หรือแม้กระทั่งสำหรับสำนักกุยหยกและใบถงทวีปแล้ว ล้วนถือเป็นภัยที่อาจตามมาเบื้องหลังซึ่งสาหัสรุนแรงอย่างมาก หากต้องเจอจุดจบที่พินาศวอดวายตายทั้งกองทัพ คาดว่าเจียงซ่างเจินไม่ต้องกลับไปที่ใต้หล้าไพศาลแล้ว จงอยู่เป็นผู้ฝึกตนอิสระในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ไปแต่โดยดีเถอะ
เฉาสือไม่พูดอะไรมาก แค่เอ่ยประโยคเดียวว่า เมื่อไปถึงสนามรบ ข้าจะอยู่แนวหน้าเอง
ฟู่จิ้นไม่ได้พูดอะไร แน่นอนว่าไม่ใช่ไม่อยากไป แต่เป็นเพราะคร้านจะเปลืองน้ำลาย ฟู่จิ้นที่สวมชุดยาวสีขาวหิมะ ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของนครจักรพรรดิขาว เขาจึงต้องแบกรับชื่อเสียงเสียๆ หายๆ ไว้มากมาย
ไม่ค่อยเหมือนกับเฉาสือ บนเส้นทางการเรียนวรยุทธ นับแต่เด็กมาเฉาสือก็เผยให้เห็นลักษณะของบุคคลที่ไร้ศัตรูทัดทาน หากไม่เป็นเพราะมีอิ่นกวานหนุ่มเพิ่มมาอีกคน บนเส้นทางของวรยุทธ อย่าว่าแต่ข้างกายเฉาสือเลย ต่อให้เป็นด้านหลังเขาก็ยังไม่มีเงาคนให้เห็น
ทว่าบนเส้นทางของการฝึกตน ต่อให้คุณสมบัติของฟู่จิ้นจะดีแค่ไหน การสืบทอดจากอาจารย์จะสูงเท่าไร ก็เหมือนกับหลีเจินผู้ฝึกกระบี่แห่งภูเขาทัวเยว่ ซานชิงนักพรตของป๋ายอวี้จิง ใครเล่าจะกล้าพูดว่าบนเส้นทางของการเดินขึ้นเขา ตัวเองนำหน้าคนอื่นไปอย่างไม่เห็นฝุ่น? อย่างตัวของฟู่จิ้นเอง เขามีความมั่นใจว่าจะเหนือกว่าเจิ้งจวีจงผู้เป็นอาจารย์ได้หรือ? จนถึงทุกวันนี้ฟู่จิ้นก็ยังเป็นกังวลอยู่เลยว่า ตัวเองจะใช่ร่างแยกร่างใดของอาจารย์หรือไม่
อวี้เจวี้ยนฟูมองไกลไปยังทิศที่ตั้งของสนามรบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในสายตาของเจียงซ่างเจินก็คือแม่นางน้อยผู้นี้บุคคลิกดีเยี่ยม รูปโฉมก็งามล้ำ
ฉุนชิงกำลังสำรวจการแต่งกายของตัวเองอย่างละเอียด หลีกเลี่ยงไม่ให้พอไปถึงสนามรบที่เพียงเสี้ยววินาทีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงได้สารพัดรูปแบบแล้วมือเท้าจะยุ่งวุ่นวาย ปีนั้นอยู่ในแจกันสมบัติทวีปต้องเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่คาดฝัน ถูกบีบให้ต้องต่อสู้กับหม่าขู่เสวียน นางก็เสียเปรียบไปไม่น้อย วิธีการเกินครึ่งล้วนไม่ทันได้ร่ายใช้ นั่นก็เพราะยังขาดประสบการณ์
จ้าวเหยากวงเทียนซือน้อยพูดจาตรงใจเจียงซ่างเจินอย่างมาก เขาเอ่ยโดยตรงว่า “เสี่ยวเต้า (นักพรตน้อย คำเรียกอย่างถ่อมตัวอีกอย่างหนึ่งของนักพรตเต๋า นอกเหนือจากคำว่าผินเต้า) ก็แค่มาเยือนเปลี่ยวร้างช้าไปไม่กี่ปี ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีเรื่องราวทั้งหลายของอาเหลียงแล้ว ความครึกครื้นเช่นนี้ ไม่ร่วมวงด้วยก็เสียเปล่าน่ะสิ”
กลับเป็นกู้ช่านที่เป็นการเป็นงานมากที่สุด ขอความรู้จากเจียงซ่างเจินหลายเรื่อง สอบถามรายละเอียดมากมาย ทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ไม่สนใจเรื่องของศักดิ์ศรีหน้าตาเลยแม้แต่น้อย
ขุนเขาสายน้ำซึ่งเป็นชัยภูมิโดยรอบของสนามรบ การเดินทางครั้งนี้สรุปแล้วเป้าหมายมีเพียงช่วยคน ควบกับสังหารปีศาจ หรือว่ายังมีอะไรอีก มีความเป็นไปได้ที่จะรอจนการช่วยเหลือจากผู้ฝึกตนใหญ่ของอีกฝ่ายมาถึงหรือไม่ มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายให้ปีศาจใหญ่บนบัลลังห์หนึ่งตนหรือถึงขั้นสองตนคอยให้การคุ้มกันอย่างลับๆ คำถามเหล่านี้ กู้ช่านถามอย่างละเอียดยิ่ง
เจียงซ่างเจินไล่ตอบไปทีละข้อ
สวี่ป๋ายรู้สึกโล่งใจได้บ้างเล็กน้อย
หากว่ากันตามชื่อเสียงแล้ว เขาไม่ถือว่าอยู่ท้ายสุดของกลุ่มคน แต่หากจะพูดถึงเรื่องของการต่อสู้ โดยเฉพาะการเข่นฆ่าเอาชีวิตกัน สวี่ป๋ายก็รู้สึกกลุ้มใจอยู่เล็กน้อย หลักๆ แล้วยังเป็นเพราะนิสัยของตัวเองที่ค่อนข้างอ่อนโยน โชคดีที่กู้ช่านถามเรื่องมากมายที่ตัวเขาเองไม่สะดวกจะเปิดปาก หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่เขาคาดคิดไม่ถึงเลย
สุดท้ายกู้ช่านยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อดีตเจ้าสำนักเจียง พวกเราเดินทางไกลครั้งนี้ แม้แรกเริ่มจะไม่ได้คิดไปช่วยเหลือเฝิงเซวี่ยเทา ทว่าก่อนจะออกจากบ้าน พวกเราต่างก็ยินดีที่จะรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง ก็เหมือนการลงนามสัญญาเป็นตายก่อนที่จะขึ้นเวทีประลอง อาจารย์ สำนักและตระกูลของพวกเราล้วนเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนดี”
เจียงซ่างเจินยิ้มพลางผงกศีรษะตอบรับ
ประโยคนี้อันที่จริงกู้ช่านไม่ได้พูดให้ตนฟัง แต่พูดให้คนอื่นๆ ที่เหลือฟัง
อยู่ดีๆ กู้ช่านก็โพล่งมาประโยคหนึ่งว่า “ใครก็อย่าคิดเป็นตัวถ่วง ใครก็อย่าคิดจะช่วยให้เสียเรื่อง ในประวัติศาสตร์ของสนามรบกำแพงเมืองปราณกระบี่มีบทเรียนมากมายนับไม่ถ้วน ยามที่ควรใจแข็งกลับใจอ่อน ไม่เพียงแต่ช่วยคนอื่นไม่ได้ ยังมีแต่จะทำร้ายตัวเองด้วย”
สวี่ป๋ายที่เพิ่งมีความรู้สึกดีๆ ต่อกู้ช่านเพิ่มมาเล็กน้อย ความรู้สึกนั้นพลันสลายหายไปเป็นกลุ่มควันทันที เพราะคนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นตัวถ่วงก็คือตน
จ้าวเหยากวงหัวเราะฮ่าๆ กู้ช่านกำลังพูดถึงตนอยู่นะนี่ ช่วยไม่ได้ ผินเต้าขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มีจิตใจของจอมยุทธผู้มากคุณธรรมจริงๆ เพราะถึงอย่างไรตอนเด็กก็เคยช่วยส่งจดหมายรักให้อาเหลียงมาก่อน
หยวนพางมองกู้ช่านด้วยความรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
อันที่จริงหลักการเหตุผลเดียวกัน สามารถพูดให้ประนีประนอมน่าฟังได้มากกว่านี้ ไม่ฟังแล้วระคายหูถึงเพียงนั้น ดูเหมือนเขาจะจงใจจะรักษาระยะห่างในเรื่องความสัมพันธ์กับสวี่ป๋าย
เพียงไม่นานหยวนพางก็เข้าใจความเชื่อมโยงของเรื่องราว กู้ช่านกำลังแสวงหาการยอมรับการปฏิเสธแล้วค่อยยอมรับอีกที หากการช่วยเหลือเฝิงเซวี่ยเทาครั้งนี้กลับมาพร้อมกับความสำเร็จ ความประทับใจที่สวี่ป๋ายมีต่อผู้ฝึกตนสายมารของนครจักรพรรดิขาวอย่างกู้ช่านก็จะก่อรูปก่อร่างได้อย่างสมบูรณ์ ความขัดเคืองน้อยนิดที่อยู่ในใจไม่เพียงแต่สลายหายไป กลับกันยังจะรู้สึกซาบซึ้งใจในตัวกู้ช่าน ยอมรับคนผู้นี้จากใจจริง
อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ยเสียงหนักแน่น “คำพูดของกู้ช่านไม่น่าฟัง แต่เหตุผลก็คือเหตุผลนี้ ดังนั้นการเดินทางต่อจากนี้ พวกเราต้องคิดดูกันให้ดีๆ”
การจับคู่เข่นฆ่าบนภูเขา เซียนกระบี่ฟู่จิ้นถนัดที่สุด แต่หากจะพูดถึงการลงสนามรบที่มีแต่ความวุ่นวาย เฉาสือ อวี้เจวี้ยนฟู ทั้งเคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน แล้วก็เคยเปิดฉากเข่นฆ่าบนสนามรบของฝูเหยาทวีป เกราะทองทวีป จึงเป็นคนที่มีคุณสมบัติจะพูดมากที่สุด
ฉุนชิงพึมพำเสียงเบา “หากอิ่นกวานอยู่ด้วยก็ดีน่ะสิ”
นางจะได้สบายใจมากกว่านี้
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะยังไม่เคยพบหน้ากัน แต่ตอนที่นางอยู่บนภูเขาไฉ่จือ ภูเขาทายาทของมหาบรรพตทักษิณ เคยได้เจอกับลูกศิษย์คนหนึ่งของเฉินผิงอัน คนที่สามารถอบรมสั่งสอนลูกศิษย์อย่างชุยตงซานออกมาได้ สมองต้องดียิ่งกว่า ฝีมือก็ต้องเก่งกาจกว่าอย่างแน่นอน
กู้ช่านมองฉุนชิงแวบหนึ่ง ความประทับใจที่มีต่อนางดีเพิ่มขึ้นหลายส่วน
อวี้เจวี้ยนฟูลูบตราประทับชิ้นหนึ่งอยู่ในฝ่ามือ อักษรริมขอบเขียนว่า ‘ก้อนหินอยู่ในลำธาร (สือไจ้ซีเจี้ยน) จะไม่ใช่เสากลางกระแสน้ำได้อย่างไร เมฆงามลอยอยู่บนฟ้า หมัดยังคงอยู่บนฟ้าเหนือฟ้า’ อักษรตรงกลางตราประทับมีแปดคำ ‘เทพีแห่งการต่อสู้ ข้างกายเฉินเฉา’
เจียงซ่างเจินพลันเงยหน้าขึ้น ด่าขำๆ ว่า “ที่ฉิงจีมีเรื่องให้ต้องวุ่นวายแล้ว เกินครึ่งคงไม่มีเวลามาสนใจพวกเรา ทุกท่าน นี่ไม่ใช่ข่าวดีอะไร ไม่สู้พวกเจ้าลองคิดดูใหม่กันอีกที?”
ที่แท้ปรากฎการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินของที่นั่นก็เกินจริงอย่างถึงที่สุด เมื่อครู่นี้เป็นยามกลางวันที่แสงตะวันสาดส่องเจิดจ้า แต่อยู่ดีๆ กลับปรากฏม่านราตรีขึ้นมาแวบหนึ่ง ราวกับว่าเส้นแสงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งแห่งล้วนรวบเข้ามาอยู่เป็น ‘เส้นเดียว’ ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
ตรงดิ่งไปที่ฉิงจี!
เจียงซ่างเจินเงยหน้าขึ้น นวดคลึงหว่างคิ้ว ปวดหัวยิ่งนัก
ทางฝั่งของบ้านเกิดเจ้าขุนเขาเฉินของพวกเรา ต่างก็พูดกันว่าแม่นางชุดเขียวที่มัดผมหางม้าคนนั้นนิสัยอ่อนโยนดีงามมากไม่ใช่หรือ?
แต่ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ ต่อให้ต่างก็สัมผัสได้ถึงเหตุการณ์ประหลาดนั้นก็ยังไม่มีใครที่คิดจะเปลี่ยนใจ แม้แต่สวี่ป๋ายที่ใจฝ่อที่สุด สีหน้าก็ยังเปลี่ยนมาเป็นเด็ดเดี่ยว แม้จะบอกว่าฝึกตนมาไม่ใช่เพื่อการต่อสู้ แต่ฝึกตนแล้วจะไม่เคยต่อสู้เลยสักครั้งได้อย่างไร
สายตาของกู้ช่านก็ยิ่งสาดประกายร้อนแรง
เทียนซือน้อยจ้าวเหยากวงกำหมัดถูมือ
ฟู่จิ้นยังคงสีหน้าไร้อารมณ์อยู่เหมือนเดิม แต่ยื่นมือไปตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เบาๆ
เมื่อเทียบกันแล้ว มีเพียงเฉาสือที่สีหน้าเฉยชามากที่สุด
ไม่เสียแรงที่เป็นเฉาชุดขาวในศึกเขียวขาวครั้งนั้น
สุดท้ายเจียงซ่างเจินหัวเราะร่ากุมหมัด “ข้าผู้แซ่เจียงช่างโชคดีที่ได้พบกับทุกท่าน!”
คนทั้งเก้าต่างก็คารวะเจียงซ่างเจินกลับคืน
……
ในสถานที่ที่อยู่ห่างจากภูเขาลั่วพั่วอีกสิบกว่าลี้ ป๋ายเสวียนได้ตั้งโต๊ะขึ้นมาตัวหนึ่ง เพราะที่นี่ได้สร้างศาลาไว้ให้คนพักเท้าหนึ่งหลัง ไม่รู้ว่าป๋ายเสวียนไปหากาจูซาพกพาใบหนึ่งมาจากไหน ตัวกาเป็นรูปมังกรรัดต้นไผ่ เรียบง่ายแต่สง่างาม เด็กตัวใหญ่เท่าก้นกลับเหมือนนักบัญชีเฒ่าที่เชี่ยวชาญด้านการชงชา นั่งลงหลังโต๊ะแล้วยกขาไขว่ห้าง จดบัญชีพลางจิบชาอย่างสบายอารมณ์ไปด้วย
ป๋ายเสวียนเงยหน้ามองไปนอกศาลา ยังไม่เห็นตัวคนก็เห็นชายแขนเสื้อสีเขียวข้างหนึ่งก่อนแล้ว ชายแขนเสื้อถูกเจ้าของสะบัดจนเกิดเสียงดังพึ่บพั่บ เจ้าของชุดเดินยืดอกเชิดหน้าดุจมังกรเลื้อยพยัคฆ์ย่างก่อเกิดลมเย็น