กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 860.2 เหล่าคนรุ่นเยาว์
เฉินหลิงจวินเดินก้าวยาวๆ เข้ามาในศาลา แล้วก็รีบเปลี่ยนเป็นเอาสองมือไพล่หลัง ฝีเท้าเนิบช้าลงทันใด “ฮ่า นี่มันน้องป๋ายไม่ใช่หรือ ยุ่งอยู่หรือไร?”
ป๋ายเสวียนนั่งนิ่งไม่ขยับ เพียงยกมือขึ้นแล้วชูสองมือ กุมหมัดทักทายเฉินหลิงจวิน ถือว่าเป็นมารยาทที่จริงใจแล้ว เพราะคนทั่วไปยามอยู่กับป๋ายเสวียนไม่มีทางได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
หลักๆ แล้วเป็นเพราะเฉินหลิงจวินเข้าใจอะไรมากมาย คุยเก่ง ชอบเล่าเรื่องขนบธรรมเนียมและผู้คนแปลกใหม่ในใต้หล้าไพศาลให้ป๋ายเสวียนฟังไม่น้อย คำสุภาษิตพังเพยก็มีมาเป็นชุดๆ ป๋ายเสวียนจึงคิดเสียว่าเป็นการฟังคนเล่านิทานโดยไม่ต้องจ่ายเงิน อะไรที่บอกว่าเทพเซียนลงมายังโลกมนุษย์ถามผืนดิน อย่าได้ไม่เห็นเทพแห่งผืนดินเป็นเทพเซียน อะไรคือเทพเจ้าแห่งเตาไฟ พ่อปู่ลำคลองแม่ย่าลำคลอง สารพัดสารพัน เอาเป็นว่าเฉินหลิงจวินล้วนเข้าใจทั้งหมดก็แล้วกัน
เฉินหลิงจวินยื่นมือมากดผิวโต๊ะ กลอกตาหนึ่งทีแล้วยิ้มเอ่ย “น้องป๋าย ทำไมเจ้าไม่หากาป้านสายมาสักใบเล่า กรอกใส่ปากดื่มโดยตรงจะได้ดูห้าวหาญยิ่งกว่าเดิม?”
ป๋ายเสวียนถาม “อะไรคือกาป้านสาย? มีข้อพิถีพิถันด้วยหรือ?”
เฉินหลิงจวินโบกมือ “ไม่จำเป็นต้องถามมาก เดี๋ยวคราวหน้าข้าจะเอามามอบให้เจ้าสักสองสามใบก็แล้วกัน”
ป๋ายเสวียนไม่ใช่คนที่ยินดีจะติดค้างน้ำใจของคนอื่น เพียงแต่ว่าทุกวันนี้กระเป๋าฟีบแบน ไม่มีเงินเหลือ ประหนึ่งมังกรเกยหาดน้ำตื้น จึงได้แต่เอ่ยว่า “เงินส่วนนี้เชื่อลงบัญชีไว้ก่อนแล้วกัน”
เฉินหลิงจวินงอนิ้วเคาะผิวโต๊ะอย่างแรง ถลึงตาใส่ป๋ายเสวียน “ล้อเล่นอะไรกัน? น้องป๋าย เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่น้องพูดคุยกันเรื่องเงินทองบนโต๊ะเหล้าก็เหมือนกลางดึกปีนกำแพงไปลูบก้นภรรยาของคนข้างบ้าน ไม่เหมาะสม!”
“มีเหตุผล มีเหตุผล!” ป๋ายเสวียนพยักหน้ารับอย่างแรง บนโต๊ะยังมีรากหญ้าหวาน (ชะเอมเทศ) ที่ล้างสะอาดแล้ววางเรียงกันเอาไว้ ถูกป๋ายเสวียนนำมาทำเป็นของขบเคี้ยว เขาจึงหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมา ยื่นส่งให้เฉินหลิงจวิน
เฉินหลิงจวินรับรากหญ้าหวานชิ้นนั้นมาเคี้ยว แล้วก็พลิกเปิดสมุดบัญชีบนโต๊ะดูไปด้วย ถามว่า “น้องป๋าย เจ้าจดเรื่องพวกนี้ไปทำไม? ล้วนเป็นคนนอกที่ชัดเจนแล้วว่าไม่อาจเป็นลูกศิษย์ของภูเขาลั่วพั่วได้”
ถึงอย่างไรทุกวันนี้เผยเฉียนก็ไม่ได้อยู่บนภูเขา ป๋ายเสวียนจึงหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “เรียกเพื่อนขานสหาย ผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรในยุทธภพนี่นะ ถึงเวลานั้นทุกคนพร้อมใจกันกรูไปโอบล้อมซ้อมเผยเฉียน แน่นอนว่าเจ้าประมุขแห่งพันธมิตรยุทธภพเช่นข้าเป็นคนทำอะไรรู้หนักเบา จะบอกไว้ก่อนว่าห้ามลงมือรุนแรงเกินไป ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำลายความปรองดองเอาได้”
เฉินหลิงจวินฟังด้วยอาการปากอ้าตาค้าง ป๋ายเสวียนผู้นี้ สมองถูกเผยเฉียนตีจนโง่แล้วไปแล้วหรือไร?
รุมซ้อมเผยเฉียน? นี่เจ้าไม่ได้เรียกว่าก่อเวรกรรม อยากรนหาที่ตายหรอกหรือ? เพียงแต่ว่าพอคิดอีกที ไม่แน่ว่าน้องป๋ายอาจเป็นคนโง่ที่มีโชคของคนโง่ก็ได้?
ป๋ายเสวียนถามเสียงเบา “พี่ใหญ่จิ่งชิง กวอจู๋จิ่วผู้นั้น หรือก็คือลูกศิษย์คนเล็กของใต้เท้าอิ่นกวาน ท่านสนิทด้วยหรือไม่?”
ความคิดของป๋ายเสวียนเรียบง่ายมาก ในเมื่อห่านขาวใหญ่บอกว่าเผยเฉียนกลัวกวอจู๋จิ่ว ถ้าอย่างนั้นขอแค่กวอจู๋จิ่วกลัวตน ก็เท่ากับว่าป๋ายเสวียนเอาชนะเผยเฉียนได้แล้ว
ขอแค่ทุกคนเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็พอแล้ว นอกจากใต้เท้าอิ่นกวานแล้ว ป๋ายเสวียนเจอใครก็ไม่กลัว ยิ่งไม่ขี้ขลาด
เฉินหลิงจวินส่ายหน้า “ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แม่นางน้อยยังไม่เคยมากราบภูเขาที่ข้าเลยนะ”
ป๋ายเสวียนถามชวนคุย “จะไปหานักพรตเจี่ยที่ตรอกฉีหลงเพื่อดื่มเหล้าอีกแล้วหรือ?”
เฉินหลิงจวินเคี้ยวหญ้าหวานจนละเอียดแล้วจึงกลืนลงท้อง หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “สตรีมีโฉมหน้ามากมายไร้ที่สิ้นสุด แต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทว่าทุกคนกลับดีเหมือนๆ กัน”
เป็นคำพูดที่เรียนรู้มาจากพี่น้องต้าเฟิง
ป๋ายเสวียนฟังไม่เข้าใจสักนิด
เฉินหลิงจวินเอนหลังพิงโต๊ะ สองมือกอดอก เชิดหน้าขึ้นน้อยๆ เอ่ยเนิบช้าว่า “ช่วงนี้ข้ามานะฝึกตน พอจะมีความเข้าใจบ้างเล็กๆ น้อยๆ จะพูดให้เจ้าฟังก็แล้วกัน เงยหน้าขึ้นฟ้าห้าฉื่อ เซียนเหรินก้มหัวยื่นมือมารับ ช่วยให้ข้ามากสามารถโดดเด่น ข้ามผ่านสามทวีป ร่อนรำพลิ้วไหว เหยียบบนหัวเต่าอ๋าวอย่างมั่นคง เมื่อข้าทะยานลมฟ้า ก็คือการฝึกตนที่แท้จริง กระโดดผ่านประตูมังกรดึงน้ำ ภูเขาดีงามและลมฝนโบยบินเป็นเพื่อนข้า มังกรเทพแปรเปลี่ยนได้นับหมื่น ไม่มีที่ใดที่ไปเยือนไม่ได้ ดินแดนคนฟ้า เมฆาวารีเสรี นั่งอยู่กลางแสงเรืองรองห้าสี ยามว่างโยนปิ่นโยนแผ่นหยกดื่มด่ำกับความสงบสุข”
เฉินหลิงจวินรออยู่พักใหญ่ เห็นว่าน้องป๋ายที่อยู่ด้านหลังยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ก็ได้แต่หันหน้ามา พบว่าไอ้หมอนี่กำลังง่วนอยู่กับการแหงนหน้าดื่มชา พอสังเกตเห็นสายตาของเฉินหลิงจวิน ป๋ายเสวียนก็วางกาเหล้าลง ถามอย่างสงสัย “พูดจบแล้วหรือ?”
ช่างเถิด ถึงอย่างไรตัวเฉินหลิงจวินเองก็ไม่เข้าใจ ยืมมาจากห่านขาวใหญ่อีกที ฟังแล้วเสียวฟัน โง่เง่าอยู่จริงๆ นั่นแหละ
เฉินหลิงจวินไม่ได้นั่งลงบนม้านั่งยาวที่อยู่ข้างกาย แต่เดินอ้อมโต๊ะไปนั่งเคียงไหล่กับป๋ายเสวียน เฉินหลิงจวินมองเส้นทางที่อยู่ข้างนอก อยู่ดีๆ ก็เอ่ยปลงอนิจจังว่า “นายท่านบ้านข้าเคยบอกว่า ที่บ้านเกิดมีคำพูดเก่าแก่อยู่ประโยคหนึ่ง บอกว่าคนที่ชาตินี้เคยนั่งเกี้ยวข้ามสะพาน บางทีชาติก่อนอาจเป็นคนที่เคยซ่อมสะพานปูถนนมาก่อน”
ป๋ายเสวียนเคี้ยวหญ้าหวาน ไม่ได้สนใจประโยคนี้เลยแม้แต่น้อย
ที่บ้านเกิดของเขา ไม่ว่าจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ล้วนไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้
เฉินหลิงจวินเอ่ยต่ออีกว่า “นายท่านบ้านข้ายังบอกอีกว่า จะเชื่อหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ไม่เชื่อก็มีข้อดีของการไม่เชื่อ ชีวิตควรจะใช้อย่างไรก็ยังต้องใช้อย่างนั้น แต่หากว่าเชื่อ หากคนผู้นั้นมีชีวิตที่สุขสบาย อย่างมากก็แค่จ่ายเงินมากอีกหน่อยเพื่อให้ตัวเองสบายใจ ส่วนพวกคนที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ในใจก็จะได้รู้สึกดีมากขึ้นอีกนิด ต่อให้จะเป็นชีวิตที่ไม่มีความหวังมากแค่ไหน ก็ยังจะพอมีความหวังได้บ้างเล็กน้อยแล้ว”
คำพูดนี้พูดได้อย่างเรียบง่ายตื้นเขิน ป๋ายเสวียนจึงฟังเข้าใจในที่สุด
เฉินหลิงจวินจะยื่นมือไปลูบหัวของป๋ายเสวียน ป๋ายเสวียนกลับเบี่ยงศีรษะหนี “จะลูบอะไรกัน ก้นสตรีหัวบุรุษ สามารถลูบคลำได้ตามใจชอบหรือ?”
เฉินหลิงจวินตบไหล่ป๋ายเสวียน ยกฝ่ามือขึ้นโบก “น้องป๋ายเสวียน เจ้าไม่รู้อะไร มือข้างนี้ของข้าราวกับว่าเคยมีแสงสาดประกายมาก่อนแล้วนะ!”
ป๋ายเสวียนหลุดหัวเราะพรืด “แน่จริงเจ้าก็ไปลูบหัวของหน่วนซู่สิ”
เฉินหลิงจวินวางมาดผู้อาวุโส พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “น้องป๋ายเสวียน โชคดีนะที่ข้าคนนี้ไม่ใช่คนใจแคบ ไม่อย่างนั้นด้วยปากแบบนี้ของเจ้า คงไม่มีใครคบหาเป็นสหายแล้ว”
ป๋ายเสวียนยกนิ้วโป้งอ้อมผ่านไหล่ชี้ไปยังภูเขาพีอวิ๋นที่อยู่ห่างไปไกลทางด้านหลัง หัวเราะหึหึ “เจ้ากับเว่ยซานจวินถือว่าเป็นสหายรักกันได้หรือไม่ล่ะ?”
เฉินหลิงจวินกลอกตามองบน
บนถนนมีนักพรตหนุ่มสะพายกล่องกระบี่คนหนึ่งเดินผ่านมา บุคลิกลักษณะล้วนธรรมดาอย่างมาก เอาเป็นว่าไม่เหมือนยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาที่จะทะยานเมฆขี่หมอกอะไรได้ก็แล้วกัน
นักพรตหนุ่มมาหยุดเดินตรงศาลา ไม่รอให้เขาเปิดปาก เฉินหลิงจวินก็กระโดดผลุง ใช้ความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูวิ่งตะบึงออกไป สองมือกุมเป็นหมัด ค้อมเอวต่ำสุดจนแทบจะติดพื้นอยู่แล้ว “ไม่ทราบว่าท่านนักพรตใช่เทพเซียนผู้อาวุโสขอบเขตสิบสี่สิบห้าหรือไม่ ขอถามอีกข้อด้วยว่าท่านนักพรตใช่เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่มีชื่อเสียงคุณธรรมสูงส่ง คนใต้หล้าต้องแหงนหน้ามอง ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งหรือไม่?”
ป๋ายเสวียนหยิบกาน้ำชามาดื่มชา ได้เปิดโลกกว้างแล้ว มารดามันเถอะ ที่แท้พี่ใหญ่จิ่งชิงก็คบหาเป็นสหายกับคนอื่นเช่นนี้เองหรือ?
เจ้าจะเข้าใจกะผายลมอะไร นี่คือประสบการณ์ในยุทธภพที่เป็นความลับไม่แพร่งพรายต่อคนนอกของข้านายท่านใหญ่เฉินเชียวนะ
จางซานเฟิงมึนงง ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มกล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง อีกทั้งเสี่ยวเต้า (คำเรียกแทนตัวของนักพรตเต๋า แปลว่านักพรตน้อย) เช่นข้าก็ขอบเขตไม่สูงด้วย”
เฉินหลิงจวินโล่งอก เพียงแต่ว่าเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน เขาจึงยังไม่ได้ยืดตัวขึ้น เพียงแค่เงยหน้าถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นขอถามว่าท่านนักพรตอายุน้อยที่พรสวรรค์เลิศล้ำท่านนี้ การสืบทอดของสำนักท่านใช่จวนเซียนภูเขาที่มีชื่อเสียงสูงส่งจนมิอาจปีนป่ายหรือไม่?”
หรือว่าตนไม่ได้ตาฝาด อีกฝ่ายเป็นแค่นักพรตน้อยที่มีขอบเขตถ้ำสถิตจริงๆ?
จางซานเฟิงยิ้มกล่าว “อาจารย์ของข้านักพรตน้อย อยู่ล่างภูเขาไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก อย่าพูดถึงดีกว่า”
เฉินหลิงจวินยืดเอวตรง รีบเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พูดกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “ท่านนักพรตน้อยมาจากที่ใดหรือ?”
แต่กระนั้นก็ยังยืนอยู่ที่เดิม มั่นคงดุจภูผา ไม่ขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว
หากอีกฝ่ายคือยอดฝีมือนอกโลกที่ชอบล้อเล่น จงใจหลอกคน จะไม่ซวยแย่หรือ?
จางซานเฟิงกล่าว “เสี่ยวเต้ามาจากอุตรกุรุทวีป ครั้งนี้จะไปเยี่ยมเยียนสหายที่ภูเขาลั่วพั่ว”
เฉินหลิงจวินยิ้มเอ่ย “บังเอิญยิ่งนัก ข้าก็คือผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว สหายในยุทธภพนับว่ายังไว้หน้ากันอยู่บ้าง จึงได้ฉายามาสองอย่าง ในอดีตคืองูขาวน้อยแห่งคลื่นแม่น้ำอวี้เจียง ทุกวันนี้คือราชามังกรน้อยแห่งภูเขาลั่วพั่ว คนที่อยู่ข้างหลังข้าผู้นี้แซ่ป๋าย คือพี่น้องที่รักของข้าเอง เพียงแต่ว่าไม่บังเอิญเลย ทุกวันนี้ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราไม่ต้อนรับคนนอก และยิ่งไม่รับลูกศิษย์”
จางซานเฟิงยิ้มอธิบาย “เสี่ยวเต้ามีสำนักแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นสหายกับเจ้าขุนเขาของพวกเจ้า ก่อนหน้านี้นัดหมายกับเขาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะออกเดินทางไกลไปด้วยกัน”
เฉินหลิงจวินอึ้งค้างอยู่กับที่ สหายบนภูเขาของนายท่านบ้านตน?
จางซานเฟิงกล่าว “ข้าชื่อจางซานเฟิง มาจากยอดเขาพาตี้ เฉินผิงอันไม่เคยเล่าให้พวกเจ้าฟังหรือ?”
ป๋ายเสวียนหลุดปากโพล่งออกมา “ยอดเขาพาตี้? ภูเขาที่ฮว่อหลงเจินเหรินเป็นผู้นั่งบัญชาการณ์น่ะหรือ? ฮว่อหลงเจินเหรินที่เวทคาถาเลิศล้ำค้ำฟ้า คือลูกพี่ใหญ่ของสองวิถีขาวดำ บนภูเขาล่างภูเขาของอุตรกุรุทวีปพวกเจ้า?”
เฉินหลิงจวินรู้ทันทีว่าตัวเองจบเห่แล้ว
เพราะนี่คือคำกล่าวที่เผยเฉียนมักจะพูดติดปากเสมอตอนเป็นเด็ก เวลานั้นเผยเฉียนมีจิตใจใฝ่หายุทธภพนี่นะ บวกกับที่เฉินผิงอันนับถือฮว่อหลงเจินเหรินอย่างมาก ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องราวของเจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้ ทั้งเล่าเรื่องชวนตลกขบขัน แต่ก็ยังรักษาความเคารพเลื่อมใสเอาไว้ ได้ยินนานวันเข้า เผยเฉียนจึงนับถือนักพรตเฒ่าท่านนั้นตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รับตำแหน่งเจ้าประมุขแห่งพันธมิตรยุทธจักรมาจากหลี่เป่าผิง เผยเฉียนก็รู้สึกว่าวันหน้าหากตนคลุกคลีอยู่ในยุทธภพต้องเป็นเหมือนนักพรตผู้เฒ่าให้ได้
แน่นอนว่ารอกระทั่งเผยเฉียนกลายเป็นแม่นางใหญ่ ก็ไม่ชอบพูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว
จางซานเฟิงเองก็อึ้งตะลึง ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อาจารย์ของตนมีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในภูเขาลั่วพั่วเช่นนี้
ตรงหน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว หน่วนซู่ที่ปลีกตัวจากธุระวุ่นวายมาได้จึงลงภูเขามาหาหมี่ลี่น้อย พวกนางนั่งแทะเมล็ดแตงด้วยกัน คุยไปคุยมาก็เริ่มคิดถึงเผยเฉียนแล้ว
แม้ว่าทุกวันนี้เผยเฉียนจะตัวสูงมาก แต่นางก็ยังเป็นเผยเฉียนนี่นา
เมื่อก่อนเผยเฉียนมักจะพาหมี่ลี่น้อยออกลาดตระเวนภูเขาด้วยกัน ไปตามหารังต่อรังแตน ไม่รีบร้อนตีรังแตน แต่พูดให้ไพเราะว่าต้องสืบเสาะสถานการณ์ของฝ่ายศัตรูให้ชัดเจนเสียก่อน แล้วก็ถือโอกาสหาผลซานจา พุทรา ใบชาที่ขึ้นรายทางกินกันก่อน ทุกครั้งเวลากลับบ้านจะต้องเก็บเอาไปให้พี่หญิงหน่วนซู่หอบใหญ่
มีครั้งหนึ่งเผยเฉียนยุยงหมี่ลี่น้อย ให้นางไปงัดข้อกับชางเอ่อ (ชื่อสมุนไพรใช้รักษาโรคกามโรค โรคเรื้อนและโรคมาเลเรีย ผลทรงเรียวสีเขียว บนผลจะมีหนามเล็กๆ เต็มผล) ที่ภาษาบ้านๆ เรียกว่าหญิงปัญญาทึบ บอกให้หมี่ลี่น้อยเด็ดพวกมันลงมาแล้วโยนไปไว้บนศีรษะเล็กๆ หัวเราะร่าพูดว่าแม่ย่าลำคลองน้อย แม่นางจะออกเรือนแล้วนะ
ผลคือบนหัวของหมี่ลี่น้อยมีแต่ชางเอ่อ ของสิ่งนี้หากติดเสื้อผ้าก็ยากจะดึงออกอยู่แล้ว จุดจบจากการที่มันติดอยู่เต็มหัวจะเป็นเช่นไร แค่คิดก็พอจะรู้ได้แล้ว
สุดท้ายแน่นอนว่ายังคงเป็นเผยเฉียนที่พาแม่นางน้อยชุดดำซึ่งร้องไห้จ้าไปหาพี่หญิงหน่วนซู่เพื่อให้ช่วยเก็บกวาดเรื่องเละเทะนี้
พอไปถึงห้องของหน่วนซู่ หมี่ลี่น้อยที่ขมวดคิ้วอ่อนจางสองข้างหน้าตามู่ทู่นั่งลงบนม้านั่งตัวเล็ก เอียงศีรษะ มองไปยังเผยเฉียนที่ยกสองแขนกอดอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจด้วยสีหน้าน่าสงสาร แม่นางน้อยพูดจาน่าเชื่อถือว่า ‘เผยเฉียน เผยเฉียน รับรองว่าวันนี้เด็ดมาแล้ว วันมะรืนก็จะไปอีก’
‘วันมะรืน?! ทำไมไม่ไปตั้งแต่วันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ถูกเจ้ากินหมดไปแล้วหรือ?’
หมี่ลี่น้อยไหล่ลู่คอตกไม่เอ่ยอะไร แต่อันที่จริงกลับแอบยินดีอยู่กับตัวเอง ยังคงเป็นพี่หญิงหน่วนซู่ที่มือเบาคล่องแคล่ว หยิบชางเอ่อแต่ละเม็ดลงมาโดยไม่เจ็บแม้แต่น้อย
เผยเฉียนตีหน้าเคร่งสั่งสอน ‘หมี่ลีน้อย พวกเราเป็นนักฆ่าที่ไร้ความรู้สึก เป็นนักฆ่าจำนวนน้อยนิดที่ร้ายกาจที่สุดในยุทธภพเชียวนะ เหตุใดความเจ็บปวดเล็กน้อยแค่นี้ก็ทนไม่ได้ แล้ววันหน้าจะออกท่องยุทธภพกับข้าได้อย่างไร? หืม?!’
‘ยังมีพุทราเหลืออีกไหม?’
‘เหลวไหล ข้าเก็บไว้ให้เจ้าอยู่แล้ว อ้าปาก!’
‘แน่จริงก็แสดงฝีมือมาเลยสิ!’
‘ยังเจ็บอยู่อีกหรือไม่?’
‘หวานมากเลยล่ะ’
หน่วนซู่ที่อยู่ด้านข้างถลึงตาใส่เผยเฉียน ‘วันหน้าเจ้าห้ามหลอกหมี่ลี่เช่นนี้อีก’
เผยเฉียนถอนหายใจ ‘หมี่ลี่น้อยอ่า พี่หญิงหน่วนซู่รู้สึกว่าเจ้าไม่ค่อยเฉลียวฉลาดเท่าใด ยืนอยู่ข้างกายเฉินฮันฮัน พวกเจ้าสองคนก็เหมือนพี่น้องที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปีแล้ว’
หน่วนซู่หัวเราะอย่างขำๆ ปนฉุน ‘อย่าพูดเหลวไหล หมี่ลี่น้อยไม่โง่สักหน่อย’
เผยเฉียนหัวเราะหึหึ ‘หมี่ลี่น้อยฉลาด แล้วเฉินฮันฮันล่ะ?’
หน่วนซู่หลุบตาลงต่ำ เพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
หยิบชางเอ่อที่ติดเต็มหัวลงมาทีละเม็ด หมี่ลี่น้อยโคลงศีรษะยิ้มกว้าง ‘รู้สึกว่าหัวกบาลเบาขึ้นหลายจินเลยนะ’
เผยเฉียนกำลังจะพูดขู่หมี่ลี่น้อยว่าเดี๋ยวจะไปบอกให้พ่อครัวเฒ่าทำหัวปลาราดพริกจานใหญ่ๆ
ผลคือหน่วนซู่คล้ายจะล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจึงรีบหันมาถลึงตาใส่เผยเฉียน ห้ามไม่ให้นางพูดต่อ เผยเฉียนจึงได้แต่ล้มเลิกความคิด ตบหัวหมี่ลี่น้อยเบาๆ แสดงถึงการชมเชย