กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 862.3 เปิดภูเขา
เมืองหลวงของราชวงศ์อวิ๋นเหวิน
เย่พู่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานพาผู้ฝึกยุทธหญิงป๋ายเริ่นกลับมาที่นครอวี้ป่านด้วยกัน
ในคลังสมบัติของวังหลวง สภาพน่าเวทนาจนแทบมิอาจทนมองได้
และยังมีคลังสมบัติของขุนนางราชสำนักอวิ๋นเหวินอีกกลุ่มใหญ่ เมื่อมีฐานะสูงอยู่ในราชสำนักย่อมต้องมีสมบัติพัสถานที่ผู้ฝึกตนหลายรุ่นในตระกูลสะสมมาอย่างยากลำบาก บัดนี้กลับถูกยกเค้าเสียหมดเกลี้ยง เงินเก่าเก็บก้นกรุที่ไม่เคยขยับเคลื่อนย้ายไปไหน คาดว่าคงจะมีอายุพอๆ กับราชวงศ์อวิ๋นเหวินแล้ว คิดไม่ถึงว่าไม่ถูกฮ่องเต้ในแต่ละยุคแต่ละสมัยริบเอาไป แต่กลับต้องมาถูกเซียนกระบี่สองคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ดันไม่ตายจากการแลกชีวิตกับราชาบนบัลลังก์เก่าใหม่มากวาดเอาไปจนเกลี้ยง จะไม่ให้ก็ไม่ได้จริงๆ เพราะหากลังเลแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องเจอกับแสงกระบี่หนึ่งเส้น
เวลานี้ในท้องพระโรงของเมืองหลวง ผู้ฝึกตนเฒ่าจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทันได้สวมชุดขุนนางกำลังตีอกชกตัว ผู้ฝึกตนหญิงบางส่วนที่มีตำแหน่งขุนนางใหญ่โตก็ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็หวังว่าฮ่องเต้จะช่วยทวงความยุติธรรมให้พวกเขา
เย่พู่ที่ต้องเสียค่ายกลกระบี่แห่งหนึ่งไปยิ่งหงุดหงิดใจมากกว่าเดิม ในนครอวี้ป่านแห่งนี้ คนที่สูญเสียพลังต้นกำเนิดและบาดเจ็บสาหัสที่สุดควรจะเป็นเขาที่เป็นฮ่องเต้ถึงจะถูก
ป๋ายเริ่นหน้าขาวซีด ริมฝีปากสั่นระริก สองมือของนางกำเป็นหมัดแน่น ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในระเบียงหอสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายกลกระบี่ นางถูกเฉินผิงอันที่แต่งกายเป็นนักพรตใช้นิ้วจิ้มหน้าผากแค่ทีเดียวก็กระเด็นลอยออกไปนอกเมืองหลวง ขอบเขตผู้ฝึกยุทธลดจากปลายทางมาเป็นยอดเขา!
นางเหลือบตามองสตรีคนหนึ่งที่เคยมีสัมพันธ์ชู้สาวกับเย่พู่ ก้าวออกไปหนึ่งก้าวแล้วปล่อยหมัดแสกหน้า จากนั้นรัวหมัดสังหารนังจิ้งจอกโอสถทองผู้นั้นจนตายดับ
ป๋ายเริ่นโบกชายแขนเสื้อ สลายกลิ่นคาวสาบสางขุมนั้นทิ้งไป หันหน้าไปมองเจ้าพวกคนที่อึ้งตะลึงทำอะไรไม่ถูก แล้วนางก็หาเหตุผลมาอ้างส่งๆ ว่า “บังอาจสมคบคิดกับผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่น พยายามจะช่วงชิงบัลลังก์อย่างลับๆ ไม่รู้จักกลัวตายเสียเลย”
เย่พู่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ยึดทรัพย์สินทั้งหมดมาเป็นของหลวง”
เอากลับมาได้เท่าไรก็เท่านั้น
สำนักจิ่วเฉวียน
เจ้าสำนักมีฉายาว่าหลิงโย่ว คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินที่มีประสบการณ์โชกโชนคนหนึ่ง เจ้าสำนักผู้เฒ่ากับหมี่จือบรรพจารย์ผู้คุมกฎขอบเขตหยกดิบพากันออกจากภูเขา ทะยานลมมายังร้านเหล้าแห่งนั้น
เถ้าแก่ร้านมอบเงินร้อนน้อยที่ลู่จือทิ้งไว้ให้ รวมถึงเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งของเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีถิงจี้
หลิงโย่วยิ้มรับเงินเทพเซียนทั้งสองเหรียญเอาไว้
หมี่จือเป็นกังวล ทำท่าจะพูดไม่พูด คล้ายว่าจะไม่เห็นด้วยที่เจ้าสำนักผู้เฒ่ารับเงินเทพเซียนเอาไว้
หลิงโย่วจึงหัวเราะร่วนเอ่ยว่า “ได้โจ๊กก็อย่ารังเกียจว่าข้าวน้อยเกินไป ขายุงก็ยังเป็นเนื้อ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งด้วย”
หมี่จือนั่งลงข้างโต๊ะตัวหนึ่ง แม้จะบอกว่านางไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า ทว่าสภาพเละเทะน่าสังเวชที่ร้านเหล้าแห่งนี้ นางกลับไม่สนใจสักนิดเลยจริงๆ ไม่รู้สึกตกอกตกใจแม้แต่น้อย อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เหตุการณ์เช่นนี้จะนับเป็นอะไรได้ นางหยิบเหล้ากาหนึ่งที่หมักเองออกมาจากชายแขนเสื้อ เจิบเหล้าเซียนหนึ่งอึก ใช้เสียงในใจถามว่า “สำนักจิ่วเฉวียนรับเงินเทพเซียนสองเหรียญที่ฉีถิงจี้และลู่จือจงใจทิ้งไว้ให้ หลังจบเรื่องทางฝั่งภูเขาทัวเยว่จะซักไซ้เรื่องนี้แล้วจงใจเอาเงินเทพเซียนสองเหรียญมาเป็นข้ออ้าง หาเรื่องสร้างความลำบากให้พวกเราหรือไม่? หากพูดให้เล็กหน่อยก็เป็นสำนักจิ่วเฉวียนที่ไม่ได้เรื่อง ขัดขวางพวกเขาไม่อยู่ แต่หากพูดให้ใหญ่ก็คือสมคบคิดในนอกตีขนาบประสานกับพวกกากเดนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต้องเจอกับการลงทัณฑ์หรือไม่?”
หลิงโย่วยังคงมีสีหน้าไม่ยี่หระอยู่เช่นเดิม เขาลูบหนวดยิ้มเอ่ย “นับแต่โบราณมาเงินทองไม่เคยทับมือ เงินเทพเซียนก็ไม่กัดคน พวกเราต้องเชื่อในความใจกว้างของเซียนกระบี่เฝ่ยหรานสิ”
หมี่จือขมวดคิ้วมุ่น “เดิมทีพวกเราก็เป็นแค่พรรคตระกูลเล็กๆ ข้าไม่เชื่อว่าเซียนกระบี่พวกนี้บุกเข้ามาถึงใจกลางของเปลี่ยวร้างก็แค่เพื่อดื่มเหล้าของสำนักจิ่วเฉวียนพวกเราไม่กี่กาเท่านั้น”
เจ้าสำนักผู้เฒ่ายกเท้าเตะเศษซากแขนขาที่เกลื่อนอยู่ข้างฝ่าเท้าออกไป นั่งลงบนม้านั่งยาว ลูบหนวดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ต้องดูว่านอกจากพวกเราแล้วยังมีสำนักใหญ่ที่เจอกับหายนะอีกหรือไม่ หากว่ามี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเกี่ยวผายลมอะไรกับสำนักจิ่วเฉวียนพวกเราแล้ว หากว่าไม่มี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องลุ้นแล้ว หวังเพียงว่าพวกผู้ฝึกตนใหญ่สำนักใหญ่ทั้งหลายจะช่วยแบ่งเบาภาระของสำนักจิ่วเฉวียนพวกเราได้บ้าง”
เจ้าสำนักผู้เฒ่ารินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชาม หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “จะวางตัวเป็นคนแบบนี้ได้อย่างไร? ไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว”
เพียงไม่นานก็มีกระบี่บินส่งข่าวมาจากทางสำนักบ้านตน เซียนกระบี่ผู้เฒ่าใช้นิ้วคีบกระบี่บินเอาไว้ ถอนหายใจเอ่ย “นครอวี้ป่านของเย่พู่ถูกฉีถิงจี้กับลู่จือยกเค้าไปรอบหนึ่ง ส่วนนครเซียนจาน…ก็ถูกอิ่นกวานที่แต่งกายเป็นนักพรตฟันจนขาดออกเป็นสองท่อน ส่วนเรื่องที่ว่าสรุปแล้วนั่นจะใช่เฉินผิงอันตัวจริงหรือไม่ กลับไม่มีคำบอกกล่าวที่แน่ชัด ผู้ฝึกตนที่เดินทางมาท่องเที่ยวพากันหนีตายออกจากนครเซียนจาน พวกเขาพูดอย่างมั่นใจว่าจะต้องเป็นอิ่นกวานหนุ่มคนนั้นแน่นอน ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์นครเซียนจาน…ช่างเถิด ไม่มีศาลบรรพจารย์อะไรอีกแล้ว ดูเหมือนจะถูกคนทุบเละไปแล้ว”
“ต้องเป็นเฉินผิงอันแน่นอน”
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ได้เดินทางผ่านที่นี่หรือไม่”
ฟังมาถึงตรงนี้ หมี่จือก็ถามอย่างกังขาว่า “ทำไมจะต้องเป็นเขาแน่นอน?”
เซียนเหรินผู้เฒ่าแกว่งสุราที่อยู่ในชาม “มีเพียงอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้นที่ถึงจะสามารถโยกย้ายฉีถิงจี้ หนิงเหยาและลู่จือให้ติดตามเขาออกเดินทางไกลมาปล่อยกระบี่ที่เปลี่ยวร้างได้”
หมี่จือกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “เป็นเหตุผลนี้จริงๆ เสียด้วย”
เซียนเหรินผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ตอนนี้มาลองมองดูแล้ว ยังคงเป็นสำนักจิ่วเฉวียนเราที่มีหน้ามีตานะ”
อาเหลียง ฉีถิงจี้ ลู่จือ หากยังบวกกับเฉินผิงอันอิ่นกวานคนสุดท้ายเข้าไปด้วยอีกคนเล่า?
หมี่จือดื่มเหล้า หันหน้าไปมองถนนด้านนอกที่เงียบสงัดวังเวง “ไม่รู้ว่าจะยังได้พบหน้าหมี่อวี้สักครั้งหรือไม่”
สำหรับผู้ฝึกกระบี่ที่มีแซ่เดียวกับตนคนนี้ หมี่จือได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่ายมานานมากแล้ว แต่ยังไม่เคยพบหน้าค่าตามาก่อน
หลิงโย่วเหลือบมองผู้ฝึกตนผู้คุมกฎที่มีรูปโฉมงามล้ำ เอ่ยสัพยอกว่า “อยากจะเจอหมี่ผ่าเอวไปทำไม เจ้าเอวบางร่างน้อยถึงเพียงนี้ ดูท่าแล้วคงรับกระบี่ของเขาได้แค่ไม่กี่ทีหรอก”
หมี่จือกรอกเหล้าเข้าปากแรงๆ พูดกลั้วหัวเราะดังลั่น “แค่เคยได้ยินว่ามีวัวที่เหนื่อย ไหนเลยจะมีนาที่ถูกไถจนพรุน”
ใบหน้าของเซียนเหรินเฒ่าเปลี่ยนมาเป็นกระจ่างแจ้งในบัดดล ลูบคลำปลายจมูกที่แดงก่ำของตน อยู่ดีๆ ก็เอ่ยทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “จู่ๆ ก็คิดถึงคำพูดสัปดนบนโต๊ะเหล้าของอาเหลียงขึ้นมาเสียแล้ว”
นครเซียนจาน
ตัวอิ๋นลู่รองเจ้านครไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดตนเองถึงไม่ตาย แต่หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณกลับถูกคนผู้นั้นใช้เวทลับกักขังพาไปแล้ว เป็นเหตุให้เซียนเหรินอิ๋นลู่ขอบเขตถดถอยกลายเป็นหยกดิบ
นครสูงสองท่อนที่เดิมทีได้รับการขนานนามว่าสูงเป็นอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ตอนนี้ถูกยันต์ภูเขาสายน้ำสองเส้นกั้นขวาง ต่างฝ่ายต่างอยู่ห่างกันหลายร้อยลี้ ไม่อาจกลับมาประกบเชื่อมติดกันได้ดังเดิมอีก
แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้อิ๋นลู่มีความสามารถนั้น ก็ไม่มีทางกล้าให้นครเซียนจานกลับคืนรูปลักษณ์เดิมอย่างแน่นอน เจ้านครคนใหม่ที่ตกใจจนขวัญแทบกระเจิงรู้สึกว่าต่อให้ตนเป็นขอบเขตสิบสี่เหมือนกัน เจอกับเจ้าคนผู้นั้นก็ยังเป็นกระดาษเปียกอยู่เหมือนเดิม
น่านน้ำของลำคลองเย่ลั่ว
เฟยเฟยไม่มีเวลามาสนใจความเสียหายบนมหามรรคา อาศัยลมปราณส่วนนั้น นางรีบหดย่อพื้นที่มายังใต้ต้นไม้แห่งหนึ่งทันที นางข่มกลั้นความอึดอัดในใจลงไป ก่อนจะรีบเอาอย่างสตรีล่างภูเขายอบกายคารวะอย่างขัดเขิน เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เฟยเฟยคารวะอาจารย์ป๋าย”
ต่อให้อยู่ในการประชุมที่ตำหนักอิงหลิงก่อนหน้านี้ เผชิญหน้ากับบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ หรือมหาสมุทรความรู้โจวมี่ที่เป็นราชาบนบัลลังก์ตำแหน่งสูงเหล่านี้ นางก็ยังไม่เคยมีท่าทีอ่อนโยนอ่อนหวานเช่นนี้มาก่อน
ป๋ายเจ๋อเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว เท้าสัมผัสพื้น ยืนอยู่ข้างกายของเฟยเฟย ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เรียกชื่อข้าตามตรงก็พอ”
ป๋ายเจ๋อหันมามองเฟยเฟยแวบหนึ่ง ในดวงตาที่เป็นสีแดงก่ำของนางคู่นั้นคล้ายจะเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
ป๋ายเจ๋อถาม “พวกเจ้าไม่ควรเคียดแค้นอยู่ในใจหรอกหรือ?”
เฟยเฟยในเวลานี้เรียกได้ว่าเป็นโฉมงามสภาพน่าเวทนา นางคลี่ยิ้มกว้าง ยกหลังมือเช็ดคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า ส่ายหน้ากล่าว “ไม่กล้ามี และไม่มีทางมี”
ป๋ายเจอเดินไปเบื้องหน้าอย่างเนิบช้า เฟยเฟยรีบตามติดไปทันที นางไม่กล้าเดินเคียงบ่ากับ ‘คนทรยศใหญ่สุด’ ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างท่านนี้ด้วยซ้ำ จึงเดินรั้งท้ายอยู่เบื้องหลังครึ่งร่าง
“โชควาสนาที่เดิมทีควรเป็นของหย่างจื่อ ก็มอบให้เจ้าทั้งหมดด้วยแล้วกัน”
ป๋ายเจ๋อใช้เสียงในใจเอ่ย “แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง ถ้าหาก ข้าบอกว่าถ้าหาก ในอนาคตเจ้ากับหย่างจื่อได้มีวันที่กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง อย่าคิดจะสังหารหย่างจื่อ เว้นทางรอดให้นางสักเส้นหนึ่ง ให้นางได้เดินไปบนมหามรรคา ตกลงหรือไม่? ทำได้หรือไม่?”
เฟยเฟยคิดแล้วก็พยักหน้า “ในเมื่ออาจารย์ป๋ายเป็นคนเปิดปาก เฟยเฟยย่อมต้องทำให้ได้”
อันที่จริงเฟยเฟยกับหย่างจื่อมีการช่วงชิงบนมหามรรคากันอยู่สองอย่าง หนึ่งคือช่วงชิงโชคชะตาน้ำของเปลี่ยวร้าง และยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เร้นลับยิ่งกว่า เพราะรากฐานมหามรรคาของเฟยเฟยมีการช่วงชิงระหว่างน้ำและไฟซุกซ่อนอยู่ด้วย
ดังนั้นในความเห็นของป๋ายเจ๋อ ระดับความสูงบนมหามรรคาของเฟยเฟยจะต้องสูงกว่าหย่างจื่อหนึ่งระดับ
ป๋ายเจ๋อกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็จงจำไว้ให้ดี ข้าจะบอกคาถาแค่รอบเดียว คือคาถาในการฝึกตนที่ในอดีตอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงไตร่ตรองออกมา มีตัวอักษรประมาณสี่พันคำ”
มหามรรคากำเนิดจักรวาล ตะวันจันทราหยินหยาง หกลายลักษณ์แปดแผนภูมิ…พันถ้อยคำหมื่นวจี เรือนกายศักดิ์สิทธิ์ อยู่ที่ค่านหลี (สองแผนภูมิในแปดแผนภูมิ หรือปากว้า) ชดเชยก่อนกำเนิด น้ำโคลนโอสถทอง ปรับเปลี่ยนแรงไฟ ฟ้าดินไร้ที่สิ้นสุด…
ไฟหยางยันต์หยินสอดคล้องแนบแน่น ดึงเอาจากตะวันจันทราในหนึ่งปี ดวงดาวเคลื่อนคล้อยตามวิถี ใจวานรจิตอาชาฝึกตน น้ำเลี้ยงควันศักดิ์สิทธิ์ ไฟเลี้ยงน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ไข่มุกมาจากน้ำ ภูเขาเพลิงย่อมผลาญอากาศว่างเปล่า ไข่มุกดำสายฟ้าแสงไฟแลบปลาบ ม้วนหอบแม่น้ำเหลืองหมุนตลบ หิมะขาวต้นอ่อนเหลืองผสานค่านหลี ตะวันจันทราในกาหลอมจักรวาล...
ป๋ายเจ๋อบอกคาถาแค่รอบเดียว เฟยเฟยที่เป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าจำตัวอักษรย่อมไม่ยาก แต่หาได้ยากที่ระหว่างที่ท่องคาถา เฟยเฟยถึงกับเข้าใจกระจ่างแจ้ง เป็นเหตุให้นางได้เจอกับภาพเหตุการ์ที่ฟ้าดินขานรับซึ่งมาจากเศษซากโชคชะตาน้ำที่หลงเหลืออยู่ของลำคลองเย่ลั่ว
มหามรรคาลี้ลับ ศาสตร์แห่งการก่อกำเนิด หากไม่มีอาจารย์ชี้นำ ก็ยากที่จะเข้าใจได้
ผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาที่มีระดับสูงเท่าเฟยเฟยนี้ อันที่จริงยากที่จะมีใครสามารถมาชี้แนะให้คำแนะนำด้านการฝึกตนได้อีก
ทว่าป๋ายเจ๋อกลับเป็นข้อยกเว้น
เฟยเฟยยอบกายคารวะอย่างนอบน้อมด้วยความจริงใจอีกครั้ง เพื่อแสดงการขอบคุณป๋ายเจ๋อที่มีบุญคุณด้านการถ่ายทอดมรรคา
ป๋ายเจ๋อเพียงแค่รับการคารวะเงียบๆ ไม่เอ่ยคำใด
เฟยเฟยกล่าวอย่างเป็นกังวล “อาจารย์ป๋าย หรือว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเราเจอหายนะถึงขั้นนี้แล้วก็ยังได้แต่ยอมให้เซียนกระบี่พวกนั้นวิ่งพล่านไปทั่ว?”
ป๋ายเจ๋อส่ายหน้า “ภูเขาทัวเยว่ต้องการล้อมฆ่าอาเหลียงและจั่วโย่ว ตอนนี้จึงยังไม่มีเวลามาสนใจกลุ่มของเฉินผิงอัน และพวกเขาก็ได้อาศัยยันต์สามภูเขาเข้าออกในพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้างอย่างลึกลับ นี่น่าจะถือว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่เล็กอย่างหนึ่งได้”
พลังการสู้รบขั้นสูงสุดของสองใต้หล้า ภูเขาทัวเยว่และศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางต่างก็เตรียมการกันไว้ก่อนนานแล้ว แต่ละฝ่ายงานของทั้งสองต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง ระหว่างนี้นอกจากฮว่อหลงเจินเหรินที่ออกเดินทางไกลเพียงลำพัง ร่ายเวทวารีอัคคีคาถาคู่แล้ว ผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาคนอื่นๆ ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็ไม่ได้อาศัยเพียงความชื่นชอบของตัวเองลงมือโดยพลการ
ก็เหมือนกับทางฉิงจีที่มีเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว เทพีสงครามแห่งต้าตวนเผยเปย และยังมีไหวอินหนึ่งในสิบคนของแผ่นดินกลาง รวมไปถึงขอบเขตบินทะยานที่มีชาติกำเนิดจากเผ่าปีศาจอย่างกวอโอ่วทิงแห่งภูเขาต้นไม้เหล็ก นอกจากนี้ยังมีหลิวทุ่ยแห่งเทียนเหยาเซียงฝูเหยาทวีป ชงเชี่ยนเซียนเหรินหญิงจากหลิวเสียทวีป ไม่ว่าใครก็ไม่มีการกระทำที่เกินความจำเป็นเช่นกัน เพียงแค่ทำตามกฎระเบียบขั้นตอนที่การประชุมศาลบุ๋นกำหนดเอาไว้ ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินของใต้หล้าไพศาลนอกเหนือจากนี้ก็ไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ เพราะมีบทเรียนก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว เซียนเหรินยังระมัดระวังตัวขนาดนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบเลย
เฟยเฟยถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ป๋ายยังสามารถพัฒนาไปอีกขั้นได้หรือไม่?”
สามารถผสานมรรคากับเปลี่ยวร้างเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้าในตำนานได้หรือไม่
น่าเสียดายที่ป๋ายเจ๋อแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ได้ให้คำตอบที่เฟยเฟยต้องการ
เฟยเฟยจึงไม่ถามมากความอีก
ป๋ายเจ๋อเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยเยาะเย้ยตัวเองว่า “อย่าได้คิดว่ามีข้าเพิ่มมาคนหนึ่ง แล้วใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะทำอะไรได้จริงๆ”
เฟยเฟยกล่าว “ขอแค่อาจารย์ป๋ายอยู่ที่บ้านเกิดก็พอแล้ว”
ในสายตาของนาง ผู้ฝึกตนของใต้หล้าที่มีความหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้ามากที่สุดมีแค่สามคนเท่านั้น
หลี่เซิ่งที่กำหนดกฎเกณฑ์ให้กับใต้หล้าไพศาล
เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงที่ไม่รู้ว่าหายตัวไปไหน
นอกจากนี้ก็คือป๋ายเจ๋อที่ย้อนกลับมายังเปลี่ยวร้างซึ่งอยู่ข้างกายผู้นี้
ใบหน้าของป๋ายเจ๋อพลันมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏ ปีนั้นพาสาวใช้ชิงอิงเดินทางท่องเที่ยวในแจกันสมบัติทวีปด้วยกัน เคยมีคนเอ่ยสัพยอกเขา แน่นอนว่าเป็นคำพูดล้อเล่นที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร
‘จิ้งจอกร่วมเดินทางกับข้า ข้าย่อมชั่วร้าย’
ตอนนั้นป๋ายเจ๋อตอบกลับไปด้วยประโยคว่า ‘หิมะใหญ่ขาวโพลน กรงขังบินสูง’
เฟยเฟยพลันตกตะลึง นางรีบหันหน้าไปมองยังทิศทางของภูเขาทัวเยว่ทันที ต่อให้มองไปสุดสายตาก็ไม่เห็นเค้าโครงของภูเขาลูกนั้น เป็นเพียงแค่ภาพปรากฎการณ์หนึ่งที่ชักนำใต้หล้าเท่านั้น ทำให้เฟยเฟยรู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนคนที่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย “อาจารย์ป๋าย นี่คือ?”
ป๋ายเจ๋อเพิ่มน้ำหนักฝีเท้ามากขึ้นหลายส่วน สีหน้ายังคงเรียบเฉย บอกความลับสวรรค์แก่เฟยเฟยด้วยประโยคเดียว “มีคนใช้กระบี่ฟันเปิดภูเขาทัวเยว่”
ครู่หนึ่งต่อมา
เพียงแค่เฉินผิงอันคนเดียวก็ปล่อยกระบี่ออกไปแล้วสามพันครั้ง นี่หมายความว่าหยวนซงตายไปแล้วสามพันครั้ง
แต่ดูเหมือนป๋ายเจ๋อจะไม่สนใจความปลอดภัยของภูเขาทัวเยว่แม้แต่น้อย เขาพลันเงยหน้าขึ้น มองไปยังดวงจันทร์ที่เคยลอยอยู่ตรงกลาง
ผู้ฝึกกระบี่ห้าคน บวกกับลู่เฉินอีกคนหนึ่ง นอกจากจะย้ายภูเขาแล้ว ยังจะลากเอาดวงจันทร์ไปด้วย
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก ก่อนหน้านี้ตอนที่หาวซู่สิงกวานบินทะยานไปยังดวงจันทร์ ป๋ายเจ๋อก็สัมผัสได้แล้ว ดูเหมือนว่าดวงจันทร์ดวงนั้นจะเป็นสถานที่ฝึกตนของแม่นางน้อยเซอเยว่
แต่เรื่องที่ทำให้ป๋ายเจ๋อประหลาดใจก็คือ ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะมั่นใจอย่างยิ่งว่าเขาคนเดียวก็สามารถใช้กระบี่ย้ายภูเขา ใช้กระบี่ฟันหยวนซงปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดให้ตายดับได้
นอกจากนี้ก็คือหนิงเหยา ฉีถิงจี้ ลู่จือ สิงกวานหาวซู่ที่กำลังจะร่วมกันออกกระบี่กระชากดึงดวงจันทร์ เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่ใช่แค่หาวซู่ที่เดินทางไปเยือนดวงจันทร์คนเดียว
ตอนที่หนิงเหยาจากไปนางได้เหลือบตามองมายังพื้นดิน
เฉินผิงอันเงยหน้าสบตากับนางอยู่ไกลๆ จากนั้นก็ปล่อยกระบี่หนึ่งใส่ภูเขาทัวเยว่ง่ายๆ
คล้ายกำลังพูดว่า ตอนนี้เรื่องที่ตนใช้ขอบเขตสิบสี่ถือกระบี่เปิดภูเขาย่อมไม่มีทางยากไปกว่าการฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้งตอนเป็นเด็กหนุ่มแน่นอน
ป๋ายเจ๋อหลุดหัวเราะพรืด
หากตนปรากฏกายขัดขวางก็จะถือว่ารับการถามกระบี่ครั้งนี้แล้วใช่หรือไม่?