กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 864.3 ปฏิทินเหลืองเล่มเก่า
เฟยเฟยเองก็ไม่เก็บงำความคิด ถามป๋ายเจ๋ออย่างตรงไปตรงมา “อาจารย์ป๋าย ท่านกังวลถึงความปลอดภัยของลูกศิษย์คนแรกของท่านบรรพบุรุษใหญ่หรือ?”
ป๋ายเจ๋อพยักหน้า
หวนกลับคืนสู่บ้านเกิดครานี้ ป๋ายเจ๋อจะต้องปลุกเผ่าปีศาจกลุ่มน้อยที่จำศีลหลับใหลมายาวนาน จากนั้นตั้งข้อกำหนดกับพวกมันว่าต้องมาคอยติดตามอยู่ข้างกายตน
ส่วนพวกที่พยศยากจะกำราบซึ่งต้องมีอยู่ในบรรดาคนกลุ่มนี้อย่างแน่นอน ก็ให้ทั้งร่างจริงและชื่อจริงของพวกมันนอนหลับต่อไปพร้อมกันอีกสักหลายพันปีก็แล้วกัน
ออกจากบ้านเกิดไปนับหมื่นปี คนของบ้านเกิดที่ป๋ายเจ๋อพะวงเป็นห่วง เดิมทีก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกวันนี้คนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกก็เหลือแค่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่แล้ว
แน่นอนว่าหยวนซงเป็นเพียงแค่นามแฝงของลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างเท่านั้น อันที่จริงนามจริงของมันมีความหมายดีมาก หยวนจี๋
หยวนจี๋ที่มาจากประโยคชุดเหลืองมงคล ทั้งยังมาจาก ‘หยวนจี๋’ จิตวิญญาณแห่งความโชคดี
เมื่อหมื่นปีก่อน ผ่านการประชุมริมลำคลองหลังจากความขัดแย้งภายในครั้งนั้นไป ศึกของบนฟ้าล่างฟ้าล้วนยุติลงแล้ว
ตามข้อตกลงเดิม ผู้ฝึกกระบี่และสำนักการทหารสามารถครอบครองใต้หล้าแห่งหนึ่ง ปฐมบรรพบุรุษของสำนักการทหารถึงกับสามารถตั้งลัทธิเรียกตนเป็นบรรพบุรุษได้ด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าปฐมบรรพบุรุษสำนักการทหารที่มีความทะเยอทะยานผู้นั้น กับผู้ฝึกกระบี่กลุ่มใหญ่เว้นจากพวกเฉินชิงตู หลงจวิน กวานจ้าว และปีศาจใหญ่ส่วนหนึ่งที่กระเหี้ยนกระหือรือกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายมากพอ สุดท้ายทั้งสามฝ่ายต่างก็พ่ายแพ้
ภายหลังก็เป็นเผ่าปีศาจที่ได้แบ่งเอาใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้ไปครอง
หลังจากที่บรรพบุรุษใหญ่ของเปลี่ยวร้างพาเด็กคนหนึ่งไปพักอาศัยอยู่ในใต้หล้าแห่งนั้นก็เริ่มเดินขึ้นเขา หรือก็คือภูเขาทัวเยว่ในยุคหลัง
ตอนนั้นคนที่ติดตามอาจารย์และศิษย์คู่นี้มาด้วยยังมีป๋ายเจ๋ออีกคน
ขยับเข้าใกล้ยอดเขา ผู้ฝึกตนเฒ่าหยุดเดิน ยิ้มเอ่ย ‘ป๋ายเจ๋อ เจ้ามีความรู้มาก ไม่สู้ช่วยตั้งชื่อให้เด็กคนนี้เถอะ จำไว้ว่าขอให้เป็นนิมิตหมายที่ดี’
ป๋ายเจ๋อก้มหน้ามองเด็กชายที่ดวงตาใสแจ๋ว คิดแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า ‘ให้ชื่อว่าหยวนจี๋ดีไหม?’
เวลานั้นเด็กชายเผ่าปีศาจที่เพิ่งจะหลอมร่างจำแลงกายได้สำเร็จ ในที่สุดก็มีคำถามมากมายอยากจะถามป๋ายเจ๋อที่มีความรู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
‘จอมปราชญ์น้อยผู้นั้น มีความสามารถในการต่อยตีมากขนาดนั้นเลยหรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ชื่อว่าจอมปราชญ์ใหญ่ล่ะ?’
‘ท่านชื่อป๋ายเจ๋อ เป็นเพราะว่าท่านแซ่ป๋ายนามว่าเจ๋อหรือ? ทำไมใครๆ ต่างก็ชอบเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ กันล่ะ อาจารย์บอกว่าคำนี้มีความหมายว่าเกิดก่อน อายุเยอะ แล้วอาจารย์พ่อล่ะ หมายความว่าอะไร เป็นเพราะว่าผู้ถ่ายทอดมรรคาเป็นทั้งบิดาเป็นทั้งอาจารย์หรือ?’
‘พวกเราแบ่งได้ใต้หล้าแห่งนี้มาครอง ได้ยินว่าอาณาเขตของที่นี่คล้ายจะใหญ่ที่สุดเลยนะ เป็นเพราะพวกเราสร้างคุณูปการไว้ใหญ่ที่สุดหรือ?’
ระหว่างเส้นทางเดินขึ้นเขา ป๋ายเจ๋อที่มีความอดทนดีเยี่ยมค่อยๆ ไขข้อข้องใจให้เด็กชายไปทีละข้อ
เดินไปถึงบนยอดเขา บรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายยิ้มเอ่ยว่า ‘ป๋ายเจ๋อ ภูเขาลูกนี้ยังไม่มีชื่อ คนที่มีความสามารถมากย่อมต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น เจ้าก็ตั้งชื่อให้มันไปพร้อมกันเลยดีไหม?’
กาลเวลาไหลหายไปเหมือนสายน้ำ แสงจันทร์แม้จะหล่นลงมาแต่ไม่เคยผละจากฟากฟ้า
ป๋ายเจ๋อจึงตั้งชื่อให้ภูเขาสูงใต้ฝ่าเท้าว่าภูเขาทัวเยว่ (ค้ำยัน/ประคองจันทร์)
สุดท้ายป๋ายเจ๋อลูบศีรษะเด็กชาย ยิ้มเอ่ยว่า ‘เริ่มต้นศักราชใหม่ สรรพสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนใหม่ วันหน้าต่างคนต่างฝึกตน หากมีโอกาสก็มารำลึกความหลังใหม่กันอีกครั้ง’
ป๋ายเจ๋อถอนสายตากลับมาจากภูเขาทัวเยว่
เฟยเฟยเปิดปากถาม “ครั้งนี้อาจารย์ป๋ายจะยืนอยู่ข้างพวกเรา ใช่หรือไม่?”
ป๋ายเจ๋อพยักหน้า
……
ห่านขาวใหญ่ตัวหนึ่งรีบเดินทางจากภูเขาห้อยหัวมายังร้านตีเหล็ก มือเท้าทำท่าว่ายน้ำอยู่กลางอากาศ พอหยุดยืนนิ่งก็สะบัดชายแขนเสื้อดังพึ่บพั่บ
เสียงดังจนหลิวเสี้ยนหยางที่นั่งงีบหลับบนเก้าอี้ไม้ไผ่ลืมตาขึ้นมาทันใด
ใต้ชายคาวางเก้าอี้ไว้สามตัว มีตัวหนึ่งที่ว่างอยู่จึงเอามาใช้รับรองแขกได้พอดี ชุยตงซานบิดหมุนตัว ดีดปลายเท้าหนึ่งที ทิ้งตัวดีดร่างปลิวกระเด็นออกไปด้านหลัง ก้นร่วงลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ตรงกลางพอดิบพอดี ก่อนจะขยับทั้งตัวคนทั้งเก้าอี้ไปอยู่ข้างกายหลิวเสี้ยนหยาง
จากนั้นคนสองคนที่รู้ใจกันดีก็ยกศอกถองกันไปมา สองฝ่ายที่เจ้าถองข้า ข้าถองเจ้าทำเอาคนมองตาลายยิ่งนัก
“พี่ใหญ่หลิว!”
“น้องชุย!”
แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวริมสุดกลอกตามองบน
ยามทั้งสองฝ่ายเอ่ยคำเรียกขาน น้ำเสียงถึงกับสั่นสะท้านเล็กน้อย
ชุยตงซานเช็ดปาก ยืดคอยาวไปทางลำคลองหลงซวี “พี่ใหญ่หลิว มีเป็ดผัดหน่อไม้แห้งหรือไม่?!”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะหึหึ ถูมือเอ่ยว่า “มีหรือไม่มี ข้าไม่ใช่คนตัดสินใจสักหน่อย”
อวี๋เชี่ยนเยว่หันหน้ามาถลึงตามองเด็กหนุ่มชุดขาวที่คิดเพ้อเจ้อด้วยสายตาเดือดดาล
หลิวเสี้ยนหยางรู้ใจโดยพลัน รีบหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “สตรีต่อให้มีฝีมือแค่ไหนแต่หากไม่มีวัตถุดิบก็ยากจะปรุงอาหารเลิศรสได้ น้องชุยโปรดอภัยด้วย”
จากนั้นหลิวเสี้ยนหยางก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “มีธุระจะปรึกษาหรือ?”
ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อ “เปล่าหรอก ก็แค่มาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่ เมล็ดแตงบนภูเขาเหลือไม่เยอะแล้ว นี่ข้าก็ได้รับโองการจากผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาให้ลงจากภูเขามาช่วยซื้อไม่ใช่หรือ หึ จากราคาที่หมี่ลี่น้อยบอกมา ไม่แน่ว่าข้าอาจได้กำไรมาเล็กน้อยด้วย”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “เงินของหมี่ลี่น้อย เจ้าก็กล้าหลอกเอามาด้วยหรือ?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจแล้ว เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาที่จงใจมอบเงินค่าเดินทางให้ข้าเป็นรางวัลต่างหาก”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า เอ่ยด้วยประโยคติดปากของหมี่ลี่น้อย “มีไหวพริบนัก ฉลาดเฉลียวมาก”
ชุยตงซานสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย อยู่ดีๆ ก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ถือเป็นช่วงเวลาดีงามหลังจากรอดพ้นหายนะมาได้แล้ว”
หากอาจารย์อยู่ที่บ้านเกิดด้วย ไม่ได้ออกเดินทางไกลอีกครั้ง ก็คงจะดียิ่งกว่านี้
หลิวเสี้ยนหยางอืมรับหนึ่งที เขารู้สาเหตุ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรมาก หลักๆ แล้วเป็นเพราะกังวลว่าจะทำให้แม่นางหน้ากลมที่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่กลับแอบเงี่ยหูตั้งใจฟังตกใจกลัวเอาได้
ชุยตงซานพูดถึงเจ้าตะพาบเฒ่ากับฉีจิ้งชุนที่ต่างก็เคยเดิมพันว่าความเป็นคนที่อยู่บนร่างของหร่วนซิ่วเทพอัคคี จะยังหลงเหลืออีกสักนิดหรือไม่ จะยังคิดถึงโลกมนุษย์บ้างหรือไม่
ไม่อย่างนั้นตอนเที่ยงของวันปิ่งอู่เดือนห้าที่กลางวันยาวนานที่สุดในใต้หล้า เพื่อบวงสรวงปวงเทพบนสวรรค์ โดยมีเทพแห่งตะวันเป็นหลัก ร่วมด้วยเทพแห่งจันทรา
เฉินผิงอัน หลิวเสี้ยนหยาง ซ่งปันไฉ เซอเยว่ที่ถูกโยนทิ้งมาไว้ที่นี่ บวกกับโชคชะตาน้ำของหลงโจวที่เปี่ยมล้นผิดปกติ เดิมทีก็ล้วนเป็นวัตถุที่ถูกหร่วนซิ่วนำมาหลอมเป็นคันฉ่องเปิดฟ้า
มนุษย์สามเผ่าปีศาจหนึ่ง บ้างก็เป็นจิตวิญญาณ โชคชะตา หรือไม่ก็เนื้อหนังมังสา สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ล้วนถูกนำมาหลอมเป็นหนึ่งคันฉ่อง เพื่อใช้เป็นขั้นบันไดยามที่เทพอัคคีเดินขึ้นสู่สวรรค์
หลิวเสี้ยนหยางเคยพูดกึ่งๆ หยอกล้อ บอกว่าหลี่หลิ่วช่วยต้านหายนะไว้ให้กับพวกเขา เพราะว่าความเป็นเทพบนมหามรรคาเทพวารีของหลี่หลิ่ว ล้วนถูกหร่วนซิ่ว ‘กินเกลี้ยง’ ไปแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นการเดิมพัน ดูเหมือนจะมั่นใจว่านางไม่มีทางทำเช่นนั้น”
ชุยตงซานพยักหน้า “ก็แค่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วฉีจิ้งชุนพูดอะไรกับนาง คิดไม่ออก เดาไม่ได้”
ไม่ใช่การเดิมพันอะไรจริงๆ แต่เป็นความเชื่อมั่นอย่างหนึ่งที่มีต่อความเป็นคน
หลิวเสี้ยนหยางมองไกลๆ ไปยังสะพานหมื่นปีที่ทอดผ่านลำคลองหลงซวีเส้นนั้น สีหน้าของเขาไม่ยี่หระ ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ชีวิตนี่นะ มันก็มีอยู่หลายเรื่องที่ได้แต่รอให้เรือมาถึงสะพานก็ย่อมลอดผ่านไปได้เองจริงๆ”
ชุยตงซานยื่นเมล็ดแตงหนึ่งกำมือไปให้ แบฝ่ามือออกเอียงๆ เทครึ่งหนึ่งให้หลิวเสี้ยนหยาง “ยังคงเป็นพี่ใหญ่หลิวที่สง่างามที่สุดจริงๆ เสียด้วย”
หลิวเสี้ยนหยางแทะเมล็ดแตง แต่กลับถูกชุยตงซานเหยียบหลังเท้า หลิวเสี้ยนหยางจึงรีบหันหน้าไป ยกฝ่ามือขึ้น “แม่นางอวี๋?”
เซอเยว่ตีหน้าเคร่งส่ายหน้า
แต่อารมณ์ของนางดีขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
ชุยตงซานพ่นเปลือกเมล็ดแตงทิ้งไป ทอดถอนใจเอ่ยว่า “สภาพจิตใจของศิษย์พี่หญิงใหญ่ข้า ช่างน่ากลุ้มนัก คาดว่าคงต้องให้อาจารย์เป็นผู้ลงมือถึงจะจัดการให้ดีขึ้นได้“
ปีนั้นครั้งแรกที่เผยเฉียนกลับมาจากการเดินทางไกล บนร่างพกขนมต่างถิ่นที่มีชื่อว่าขนมห้าพิษกลับมาด้วย ภายหลังนางกับสุยโย่วเปียนเกือบจะตีกัน
เพราะเผยเฉียนเคยไปเห็นศิลาสั่งห้ามแผ่นหนึ่งในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งของเกราะทองทวีป
บนป้ายศิลามีแค่ประโยคเดียว ‘ห้ามจับเด็กทารกหญิง และเด็กทารกชายที่เกิดวันที่ห้าเดือนห้าถ่วงน้ำ’
เหตุใดถึงต้องตั้งป้ายสั่งห้ามเช่นนี้ แน่นอนว่าเพราะมีเรื่องละเมิดข้อห้ามแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ที่ว่าการท้องถิ่นถึงจำต้องตั้งป้ายศิลาสั่งห้ามไม่ให้เรื่องน่าเศร้าเช่นนี้เกิดขึ้น
ให้ความสำคัญชายด้อยค่าหญิง ทอดทิ้งเด็กทารกหญิง แอบจับกดน้ำฆ่าให้ตาย ส่วนเด็กทารกชายที่เกิดในวันที่ห้าเดือนห้าก็ถือว่ามีลางของความอัปมงคล จะนำเภทภัยมาให้
วันเกิดของเฉินผิงอันตรงกับวันที่ห้าเดือนห้าพอดี ไม่เพียงแต่ที่เมืองเล็กแห่งนี้เท่านั้น อันที่จริงตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล เด็กที่เกิดในวันนี้ โดยเฉพาะเด็กชาย มักจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีจากผู้อื่น
ชุยตงซานแทะเมล็ดแตงหมดก็ปัดมือ คลี่ยิ้มเจิดจ้าเอ่ยว่า “เพื่ออาจารย์ ข้าต้องขอบคุณเจ้าสักคำ ส่วนการแสดงน้ำใจนั้น ล้วนอยู่ในเมล็ดแตงหมดแล้ว!”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มเอ่ย “เมล็ดแตงมีเหลือกินเหลือใช้ทุกปี ยิ่งแทะยิ่งมี ไม่เลวๆ”
ชุยตงซานยืดขาสองข้างเหยียดยาว เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “ความร่ำรวยความมีเกียรติไม่ควรเอามาใช้หมดสิ้น เหลือไว้หน่อยก็คือการสะสมโชคดี ยากจนไม่ควรเหยียบย่ำตัวเอง เคารพตัวเองก็คือเคารพสวรรค์”
“ประสานมือคารวะครั้งแรก กุมหมัดคารวะครั้งแรก สวมรองเท้าหุ้มข้อ ปักปิ่นหยกครั้งแรก เรียกตัวเองว่าอาจารย์ครั้งแรก”
“พอนึกถึงเรื่องพวกนี้ของอาจารย์ ข้าที่เป็นลูกศิษย์ก็อดไม่ไหวอยากจะหัวเราะ”
หลิวเสี้ยนหยางแทะเมล็ดแตง ฟังคำพูดของห่านขาวใหญ่ พยักหน้าเอ่ยว่า “คนดีมีโชคดีที่มาช้า คนดีผีคุ้ม หากพูดตามคำโบราณของที่แห่งนี้ของพวกเรา ก็คือหน้าบ้านของทุกคนล้วนต้องมีลมแห่งความขมขื่นพัดผ่านระลอกสองระลอก ยิ่งมาเยือนเร็วก็ยิ่งดี จากนั้นเมื่ออดทนผ่านมันไปได้ก็จะสามารถเสวยสุขอย่างสบายใจแล้ว ไม่อย่างนั้นหากรอให้แก่จนกระโดดกำแพงก็ยังไม่สูงขึ้นแล้ว ค่อยมีลมแห่งความยากลำบากพัดผ่านมา หลบไม่พ้น ยิ่งทนให้ผ่านไปไม่ไหว อีกอย่าง ยิ่งเป็นคนที่กินข้าวร้อยบ้านก็ยิ่งรู้ว่าใต้หล้านี้ไม่ว่าข้าวอะไรก็ล้วนกินได้ มีเพียงข้าวลูกหลานที่ไม่อาจกินได้ ดังนั้นที่บ้านเกิดของพวกเราถึงได้มีคำกล่าวว่า ‘เหลือค้างไว้’ อย่างไรเล่า”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ย “ไปล่ะ ไม่ถ่วงเวลาการทำธุระสำคัญของพี่ใหญ่หลิวแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางโบกมือ
ก่อนที่ชุยตงซานจะจากไปได้ยิ้มทะเล้นทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “เรื่องบางอย่าง ทางที่ดีที่สุดควรแต่งงานกราบไหว้ฟ้าดินก่อนค่อยทำ จะได้ถูกต้องชอบธรรม เพียงแต่ว่าไม้ฟืนแห้งกับเปลวเพลิงร้อนแรง สายฟ้ากระตุ้นไฟดินก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
เซอเยว่หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “วัตถุแบ่งเป็นประเภท คนแบ่งเป็นกลุ่ม”
หลังจากที่ห่านขาวใหญ่ไสหัวไปแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางก็ไม่ได้งีบหลับฝึกกระบี่ในความฝันต่อ เขาเล่าเรื่องในอดีตบางอย่างให้แม่นางอวี๋ที่อยู่ข้างกายฟัง
บอกว่าที่เมืองเล็กแห่งนี้มีธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ข้าวถามคืน ข้าวฝันคืน เพราะหากออกเสียงตามสำเนียงของเมืองเล็ก คำว่า ‘ถาม’ และคำว่า ‘ฝัน’ จะออกเสียงเหมือนกัน
ก็คือในคืนวันที่สามสิบก่อนสิ้นปี ทุกครอบครัวกินอาหารคืนข้ามปีกันไปแล้ว พวกคนเฒ่าคนแก่จะอยู่ในบ้านเปิดประตูรอต้อนรับแขก นั่งเฝ้าอยู่ข้างกระถางไฟ บนโต๊ะวางกับแกล้มไว้จนเต็ม พวกบุรุษวัยฉกรรจ์จะแวะไปเยี่ยมเยียนกันตามบ้าน บนโต๊ะมีสุราให้ดื่ม หากสนิทกันก็ดื่มหลายจอกหน่อย ไม่สนิทเท่าไรก็ดื่มแค่จอกเดียวแล้วเปลี่ยนสถานที่ พวกเด็กๆ ยิ่งครึกครื้นมากกว่า แต่ละคนพอเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่แล้วก็มักจะจับกลุ่มแวะไปบ้านโน้นทีบ้านนี้ที แต่ละคนจะสะพายถุงผ้าฝ้ายไว้เอียงๆ บนหลัง ใส่พวกขนมพวกเมล็ดแตงไว้ด้านใน มีทั้งเมล็ดแตง ถั่วลิสง อ้อย ฯลฯ พอใส่ได้เต็มถุงแล้วก็จะรีบวิ่งกลับไปที่บ้านรอบหนึ่ง
เซอเยว่ถาม “เป็นขนบธรรมเนียมของคนทั้งหลงโจวหรือ?”
ล่างภูเขาของเก้าทวีปในไพศาลล้วนมีความเคยชินที่จะต้องเฝ้าปี เรื่องนี้เซอเยว่ย่อมรู้ เพียงแต่ว่าเรื่องของข้าวถามคืนนี้ นางเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
ในช่วงเวลาหลายปีที่นางมาอยู่ที่นี่ อย่างมากสุดก็แค่ไปซื้อข้าวของที่ต้องใช้ในวันปีใหม่ที่ตลาดนัดในเมืองหงจู๋กับหลิวเสี้ยนหยางตอนเดือนสิบสอง (ล่าเยว่ คือเดือนสิบสองในปฏิทินจันทรคติ) แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า “มีเฉพาะที่เมืองเล็กของพวกเราเท่านั้น หลายปีมานี้คนที่ย้ายไปอยู่ในตัวเมืองมีมากขึ้นเรื่อยๆ ประเพณีนี้จึงยิ่งจืดจางลงไป คาดว่าผ่านไปอีกยี่สิบสามสิบปีก็คงไม่มีความพิถีพิถันเช่นนี้แล้วกระมัง”
ทางฝั่งของถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ ดูเหมือนว่าข้าวถามคืนจะจืดจางไร้รสชาติอย่างมากแล้ว กลับเป็นในตรอกยากจนที่ครึกครื้นมากกว่า ก็เหมือนกับความพิถีพิถันอันยากจนของคนไม่มีเงิน แต่กลับสนุกสนาน มีกลิ่นอายของมนุษย์ มีกลิ่นอายของปีใหม่และกลิ่นอายของผู้คนที่ยากจะบรรยายได้
——