กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 864.4 ปฏิทินเหลืองเล่มเก่า
ก่อนที่เฉินผิงอันจะรู้จักหลิวเสี้ยนหยางและก่อนที่กู้ช่านจะเกิด ทุกๆ วันที่สามสิบของสิ้นปี เขาจะต้องเฝ้าคืนอยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงตั้งแต่ค่ำจนฟ้าสว่างเพียงลำพัง ไม่เคยมีเพื่อนบ้านใกล้เคียงมาหาที่บ้าน และตัวเขาเองก็ไม่มีทางแวะไปบ้านคนอื่น หนึ่งเพราะในบ้านมีเขาแค่คนเดียว ดูเหมือนว่าจะปลีกตัวไปไม่ได้ นอกจากนี้ก็เพราะเขาไม่เป็นที่ต้อนรับ ไม่มีใครยินดีจะพบเจอเขาในวันนี้ พวกคนเฒ่าคนแก่บางส่วนที่ยินดีจะใกล้ชิดกับเฉินผิงอัน ต่อให้เวลาปกติจะยินดีพูดคุยกับเฉินผิงอัน ก็มีเพียงวันนี้ที่ยังต้องมีความกริ่งเกรงอยู่บ้าง หลักๆ แล้วพวกคนเฒ่าคนแก่ยังกลัวว่าคนรุ่นเยาว์ในบ้านจะรู้สึกอัปมงคล ในคืนสิ้นปีวันที่สามสิบเช่นนี้ย่อมไม่อยากจะทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัวเพียงเพื่อคนนอกคนหนึ่ง
เซอเยว่ฟังหลิวเสี้ยนหยางเล่าเจื้อยแจ้วถึงอดีตที่ผ่านมา แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ตอนอิ่นกวานเป็นเด็กน่าสงสารขนาดนี้เชียวหรือ”
หลิวเสี้ยนหยางยกนิ้วโป้งชี้มาที่ตัวเอง “หลังจากรู้จักสหายอย่างข้า เฉินผิงอันก็ดีขึ้นเยอะเลยล่ะ ทุกครั้งที่ข้ากินข้าวข้ามปีเสร็จแล้วก็จะปิดประตูบ้านตัวเอง ไปที่ตรอกหนีผิง ไปอยู่เป็นเพื่อนเฉินผิงอัน เอากระถางไฟใบเล็กมา เอาที่คีบถ่านมาคอยขยับถ่านไม้ เฝ้าคืนอยู่ด้วยกัน”
อันที่จริงส่วนใหญ่แล้วหลิวเสี้ยนหยางจะหลับกรนครอกๆ ไปก่อน ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ข้างกระถางไฟเงียบๆ เพียงลำพัง นั่งจนฟ้าสว่าง
เซอเยว่พลันถามอย่างสงสัย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าปิดประตูบ้านของตัวเองแล้วก็ไม่ต้องคอยรับรองแขกแล้วล่ะสิ?”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะร่า “ยากจนจนพี่ใหญ่พี่รองในกระเป๋าไม่เจอหน้ากัน จะต้องรับรองแขกอะไรอีก”
เซอเยว่กลับเข้าใจประโยคนี้ นี่เป็นคำพูดเฉพาะตัวของหลิวเสี้ยนหยาง ทองก็คือนายท่านผู้เฒ่า เงินก็คือนายท่านใหญ่ เงินสองชนิดนี้จึงถูกเรียกว่าพี่ใหญ่กับพี่รอง
เมื่อก่อนอยู่ในเมืองเล็ก ชาวบ้านทั่วไปนอกเหนือจากคนของถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ ในครอบครัวธรรมดา การไปมาหาสู่กันระหว่างทรัพย์สิน ไม่ค่อยใช้เงินกับทองเท่าใดนัก เว้นเสียจากเป็นพวกช่างในเตาเผามังกรและพวกช่างผู้เฒ่าที่มีฝีมือยอดเยี่ยมบางส่วน เงินเดือนของพวกเขาถึงจะคิดเป็นเงินก้อน
เซอเยว่ถาม “เฝ้าคืนด้วยกัน พวกเจ้าสองคนคุยกันเรื่องอะไรหรือ? ไหนเจ้าบอกว่าอิ่นกวานเวลานั้นคือน้ำเต้าตันที่ขนาดผายลมก็ยังไม่ดังไม่ใช่หรือ? ไม่เบื่อหรือไร?”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะอย่างฉุนๆ “เวลาปกติเฉินผิงอันไม่พูดมาก แต่เขาไม่ใช่คนใบ้สักหน่อย”
หลิวเสี้ยนหยางเงียบไปพักหนึ่ง “แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนอยู่กับข้า เจ้าเด็กนี่กลับเต็มใจจะพูดมากหน่อย”
เซอเยว่หันหน้ามามองหลิวเสี้ยนหยาง
มีเพียงพูดถึงสหายคนนั้นของเขาเท่านั้น เจ้าหมอนี่ถึงจะมีท่าทางภาคภูมิใจ ลำพองใจมากเป็นพิเศษ
ข้าวของมีค่าน้อยนิดในบ้านของเฉินผิงอัน ล้วนถูกเขาเอาไปขายราคาถูกให้กับโรงรับจำนำตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว และเขาก็มักจะพูดความในใจให้หลิวเสี้ยนหยางฟังจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่นซ่อมแซมสุสานของท่านพ่อท่านแม่ให้ดีก่อน ที่นาไม่กี่ผืนที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ รวมกันแล้วก็มีแค่ไม่กี่ไร ตะวันออกหนึ่งผืนตะวันตกหนึ่งผืน ทางที่ดีที่สุดคือสามารถซื้อคืนกลับมาได้ ราคาอาจจะสูงไปสักหน่อย แต่หากหาได้เงินได้มากกว่านี้ก็จะเอามาซ่อมบ้านบรรพบุรุษ หากยังมีเงินเหลือ บ้านที่อยู่ด้านข้างเหมือนว่าจะไม่มีคนอยู่มาตั้งแต่ตอนเขายังเด็ก ก็จะซื้อมาไว้ด้วย อันที่จริงช่วงเวลาหลายปีที่เฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ของเตาเผา นอกจากค่าใช้จ่ายจุกจิกยิบย่อยที่ใช้ไปกับตัวของกู้ช่านแล้ว เดิมทีก็พอจะสะสมเงินไว้ได้ส่วนหนึ่งแล้ว ผลกลายเป็นว่าถูกหลิวเสี้ยนหยางยืมเอาไป เจอหายนะจนหมดเกลี้ยง เรื่องพวกนี้ ยามอยู่กับเซอเยว่ หลิวเสี้ยนหยางกลับไม่เคยคิดจะปิดบัง
“ภายหลังที่ตรอกหนีผิงก็มีเจ้าขี้มูกยืดน้อยที่เป็นตัวถ่วงมาเพิ่มคนหนึ่ง เฉินผิงอันก็มีรอยยิ้มมากขึ้น เขาเห็นกู้ช่านเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ของตัวเองจริงๆ บางทีอาจเป็นเพราะ…สงสารตัวเองตอนเป็นเด็กกระมัง ก็เลยยิ่งเอ็นดูเจ้าขี้มูกยืดน้อยที่อยู่ใกล้ชิดทุกวัน อีกทั้งกู้ช่านเองก็ติดหนึบเฉินผิงอันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก มีไม่กี่คนที่รู้ว่าในอดีตแทบจะเป็นเฉินผิงอันที่สอนให้กู้ช่านพูด สอนให้กู้ช่านเดินมากับมือตัวเอง ที่ตรอกหนีผิง เด็กกำพร้ากับแม่หม้าย แม่ของกู้ช่าน หลายปีมานั้นเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ทั้งยังไม่ยินดีจะแต่งงานใหม่ เวลาปกติจึงแทบจะไม่มีเวลาว่าง จึงมักจะโยนกู้ช่านให้เฉินผิงอันเป็นคนดูแล แล้วนางก็ไม่สนใจอะไรอีก”
ยากจะจินตนาการได้ว่า เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ตัวเองก็ยังรู้จักตัวอักษรแค่ไม่กี่ตัว หยิบเอากิ่งไม้มา นั่งยองบนพื้น สอนให้เจ้าขี้มูกยืดน้อยเขียนอักษรสองตัวว่า ‘กู้ช่าน’ จะเป็นภาพเหตุการณ์แบบใด
ทำให้คนอื่นรู้สึกขบขัน แต่ก็คล้ายว่าจะหัวเราะไม่ออก
เรื่องของการทนกับความยากลำบากนี้ เป็นความรู้เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ต้องให้คนอื่นสอน บางทีเรื่องเดียวที่ขมขื่นยิ่งกว่าการทนกับความยากลำบาก ก็คือรอคอยไม่ถึงวันที่ความขมขื่นหมดสิ้นความหวานชื่นมาเยือน
เซอเยว่รับฟังเรื่องในปฏิทินเก่าแก่ที่กาลเวลาไม่ถือว่าผ่านมายาวนานนัก
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร พูดไปพูดมา เมื่อเทียบกับการฝึกตนของบนภูเขาแล้ว ก็เป็นแค่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งในตรอกเล็กเท่านั้น มีอยู่ทุกปี มีอยู่ในทุกครอบครัว เจ้าอย่าได้รู้สึกว่าเพราะเฉินผิงอันประสบเรื่องพวกนี้มาถึงได้กลายมาเป็นน้ำเต้าตัน เคยได้ยินพวกเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กับตรอกหนีผิงเล่าให้ฟังว่า เจ้าหมอนั่นนับแต่เด็กมาก็พูดไม่เก่ง ในความทรงจำของพวกผู้เฒ่า มีคำบอกเล่าหลายอย่าง แตกต่างกันไป คำกล่าวเดียวที่คล้ายคลึงกันก็คือสองตาของเจ้าเด็กนั่น นับแต่เด็กมาก็สว่างไสวมากมาโดยตลอด”
เซอเยว่ท่องคำว่า ‘สว่างไสว’ นี้อยู่ในใจหนึ่งรอบ จากนั้นพยักหน้าเอ่ย “เป็นคำกล่าวที่ดีมากเลย”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างลำพองใจ “คำพูดเก่าแก่ของบ้านเกิดข้ามีอีกเยอะเลยล่ะ”
เซอเยว่ถามอย่างสงสัย “คำว่าสว่างไสวนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ภาษาที่มีเฉพาะในเมืองเล็กของพวกเจ้ากระมัง?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นแม่นางอวี๋ก็คิดว่าใช่ไปแล้วกัน”
หลังจากนั้นหลิวเสี้ยนหยางก็เริ่มหลับตางีบหลับ
ส่วนเซอเยว่ไปที่ริมลำคลอง นางกลัวว่าเมืองเล็กจะมีคนที่ชอบขว้างหินแล้วขโมยเป็ดไปอยู่อีกเหมือนกัน
หลังจากนั้นมีวันหนึ่งศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนก็ย้ายออกไป หร่วนฉงกลับมาที่นี่ครั้งหนึ่งอย่างที่หาได้ยาก เซอเยว่กำลังเดินเล่นอยู่ริมลำคลองพอดี
เซอเยว่ถามหยั่งเชิง “ช่างหร่วน อยากกินเป็ดผัดหน่อไม้แห้งหรือไม่?”
นางพลันคลี่ยิ้มอย่างเขินอาย ทั้งสงสารฝูงลูกเป็ดที่ตัวเองเลี้ยงดูมาอย่างตั้งใจ ทั้งลำบากใจ “แต่เป็ดยังไม่แก่เท่าไรนะ”
ในใจกลับแอบขอพรให้ช่างหร่วนโปรดเกรงใจกันสักหน่อย ทำตัวห่างเหินสักนิด อย่าได้พยักหน้าตกลงเด็ดขาดเชียว
หร่วนฉงถึงนึกขึ้นได้ว่าระหว่างทางที่เดินมา ในลำคลองหลงซวีใกล้กับร้านตีเหล็กแห่งนี้ ดูเหมือนจะมีเป็ดฝูงหนึ่งที่เล่นน้ำกันอย่างเบิกบาน
ใบหน้าของบุรุษมีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก ส่ายหน้าปฏิเสธ
พอหร่วนฉงส่ายหน้า กลับกลายเป็นว่าเซอเยว่รู้สึกมโนธรรมในใจไม่สงบ ช่างเถิดๆ ล้วนยกให้หลิวเสี้ยนหยางไปจัดการเอาเองเถอะ นางจะทำเป็นว่ามองไม่เห็น รอแค่ให้เป็ดผัดหน่อไม้แห้งที่ไอร้อนลอยกรุ่นจากหม้อถูกยกมาวางบนโต๊ะ นางค่อยขยับตะเกียบก็แล้วกัน
หร่วนฉงถาม “หลิวเสี้ยนหยางล่ะ?”
เซอเยว่กะพริบตาปริบๆ นางมิอาจโกหกช่างหร่วนได้ ถ้าอย่างนั้นก็แกล้งโง่ไปแล้วกัน
หร่วนฉงเอ่ยอย่างจนใจ “ข้ามีธุระกับเขา”
ดูเหมือนเซอเยว่จะนึกขึ้นมาได้กะทันหันว่าหลิวเสี้ยนหยางไปไหน นางจึงเอ่ยว่า “ไม่รู้เหมือนกัน เขาบอกแค่ว่า ‘บ้านใกล้เรือนเคียงมีคนประลองกำลังกัน ต้องรีบรุดหน้าไปช่วยไกล่เกลี่ย’ แล้วก็วิ่งไปที่เมืองเล็กทันที คงมีธุระสำคัญต้องไปทำกระมัง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบัณฑิตคนหนึ่งนี่นะ”
หร่วนฉงถึงได้มองไกลๆ ไปยังเมืองเล็ก ในตรอกแห่งหนึ่งมีหญิงแก่สองคนกำลังข่วนหน้ากระชากผมกันอยู่
หลิวเสี้ยนหยางกับชายฉกรรจ์และเด็กตัวเท่าก้นกลุ่มหนึ่งนั่งยองแทะเมล็ดแตง ชมเรื่องสนุกด้วยกัน
ต่างก็พูดกันว่าคนเราเมื่อโตขึ้น บ้านเกิดจะเล็กลง
ยังบอกอีกว่าสถานที่ที่ไปเยือนบ่อยๆ ไม่มีทัศนียภาพที่น่าสนใจอีกแล้ว
ทว่าสำหรับหลิวเสี้ยนหยางกลับไม่มีคำกล่าวพวกนี้
เซอเยว่ถาม “ให้ข้าช่วยเรียกเขากลับมาไหม?”
“ไม่ต้อง ไม่ใช่ธุระเร่งด่วน” หร่วนฉงโบกมือ ใต้ชายคาเรือนวางเก้าอี้ไม้ไผ่ไว้สองตัว หร่วนฉงกลับไปยกม้านั่งยาวในห้องออกมา
เซอเยว่ยังคงใช้เสียงในใจบอกเตือนให้หลิวเสี้ยนหยางรีบกลับมา
หลิวเสี้ยนหยางรีบวิ่งเหยาะๆ กลับมาทางสะพานโค้งทันที น่าเสียดาย น่าเสียดาย อีกแค่นิดเดียวสตรีสองคนก็จะฉีกเสื้อผ้ากันแล้ว
รอกระทั่งหลิวเสี้ยนหยางนั่งลงแล้ว เซอเยว่ก็กลับเข้าห้องไปแล้ว
หร่วนฉงเงียบไปพักหนึ่ง ถึงได้เปิดปากเอ่ยว่า “หลิวเสี้ยนหยาง”
หลิวเสี้ยนหยางส่งเสียงถามด้วยความสงสัย “หืม?”
วันนี้หร่วนฉงดูแปลกไป ทำไม คิดถึงลูกศิษย์คนเล็กอย่างตนมากขนาดนี้เชียวหรือ? ถึงกับตั้งใจมาที่นี่เพื่อเรียกชื่อตน?
หร่วนฉงเงียบไปอีกครั้ง
หลิวเสี้ยนหยางจึงส่งเหล้ากาหนึ่งไปให้
หร่วนฉงไม่ได้ปฏิเสธ รับกาเหล้ามา บุรุษสูงวัยเริ่มดื่มเหล้าเงียบๆ
ตัวหลิวเสี้ยนหยางเองไม่ได้ดื่มเหล้า สองมือของเขาสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ยกเท้าขึ้น รองเท้าทั้งคู่กระทบกันเบาๆ
หร่วนฉงพลันเอ่ยว่า “หากปีนั้นข้าไม่ขัดขวางพวกเขาสองคน ตอนนี้จะดีกว่าเดิมหรือไม่?”
หลิวเสี้ยนหยางไร้คำพูดตอบโต้
หลิวเสี้ยนหยางที่แต่ไหนแต่ไรมายอมรับว่าตัวเองค่อนข้างพูดเก่ง เวลานี้กลับไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรดี
หร่วนฉงดื่มเหล้า พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ต้องโทษข้า”
หลิวเสี้ยนหยางมองตรงไปเบื้องหน้า เอ่ยเบาๆ ว่า “อาจารย์ อย่าพูดแบบนี้เด็ดขาดเลย แล้วก็อย่าคิดเช่นนี้ด้วย จริงๆ นะ”
หร่วนฉงเงียบไปพักใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ยังมีเหล้าอีกหรือไม่?”
หลิวเสี้ยนหยางถึงได้หยิบเหล้าออกมาสองกา อาจารย์และศิษย์สองคน ดื่มกันคนละกา
ยามดื่มเหล้า หนึ่งกลัวว่าเหล้าจะมีไม่พอให้ดื่ม สองกลัวว่าจะดื่มไม่เมา กลัวที่สุดคือตอนดื่มเหล้ากลับไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังดื่มเหล้า
ชีวิตคนแสนสั้นและขมขื่น ทว่าความทุกข์ความกลัดกลุ้มกับยาวนานนัก
แท้จริงแล้วทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน ก็เหมือนกระจกบานหนึ่ง
ฟ้าดินของจิตธรรมทั้งแห่งเหมือนกระจกราบเรียบบานหนึ่ง ทัศนียภาพทั้งหมดบนผิวน้ำ ดวงตะวัน ดวงจันทรา ดวงดาว หอเก็บตำรา สุสาน ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นภาพสะท้อนกลับหัวอยู่ด้านใน ไม่คลาดเคลื่อนไปแม้แต่น้อย
สภาพจิตใจก็คือกระจก
มีเพียงของสิ่งเดียวที่เพิ่มเติมเข้ามา
ราวกับว่าด้านใต้ผิวน้ำ อีกด้านหนึ่งของกระจก มีคนคนหนึ่งยืนอยู่
เป็นเหตุให้หากกระจกพลิกกลับด้าน ก็จะกลายเป็นการพลิกฟ้าตลบดินอย่างสมชื่อแล้ว
‘คนผู้นี้’ มองปราดๆ เหมือนตัวเฉินผิงอันเอง แต่หากมองอีกทีกลับคล้ายเฉินผิงอันคนที่มีความเป็นเทพบริสุทธิ์ตอนอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีมากกว่า ทว่าหากมีคนจ้องมองเขานิ่งนาน กลับจะรู้สึกว่าเหมือนทั้งสองคนแต่กลับไม่ใช่
คนผู้นี้หลับตาอยู่ตลอดเวลา บนใบหน้าคลี่ยิ้มสงบสุข เดินไปบนผิวกระจกช้าๆ ฟ้าดินเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง เปลี่ยววิเวกดุจสุสาน
ราวกับว่ามีเพียงใจคนของผู้ฝึกตนเท่านั้นที่ถึงจะเป็นเขตแดนเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีการดำรงอยู่ของแม่น้ำแห่งกาลเวลา หรือไม่ก็เป็นแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่เลือกจะหยุดนิ่งอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล
ทางฝั่งของสะพานโค้งสีทอง
หลีเจินหัวเราะคิกคัก “บอกไว้ก่อนเลยว่า ข้ารับรองว่านี่จะเป็นการสมน้ำหน้าครั้งสุดท้ายแล้ว! ใต้เท้าอิ่นกวานไม่เลือกดวงจันทร์ของเซอเยว่ แต่เปลี่ยนใจกะทันหัน เลือกดวงจันทร์ที่อยู่ตรงกลางแทน ค่อนข้างน่าประหลาดใจใช่หรือไม่? ต้องให้ข้าช่วยลงมือขัดขวางผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนั้นหรือไม่? หรือจะบอกว่าแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังอยู่ในการคาดการณ์ของอาจารย์อยู่แล้ว?”
โจวมี่ส่ายหน้า “ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ประหลาดใจจริงๆ”
หลี่เจินถอยหลังไปหลายก้าว กระโดดหนึ่งทีขึ้นไปนั่งอยู่บนราวรั้ว สองแขนกอดอก ความคิดเหม่อลอยไปไกล
อาณาเขตของสรวงสวรรค์แห่งใหม่กว้างใหญ่มากจริงๆ คนที่สามารถพูดถึงได้ก็มีน้อยเหลือเกิน กับพวกเทพที่เลื่อนขั้นใหม่ซึ่งความเป็นมนุษย์ถูกความเป็นเทพกลบทับกลืนกินไปหมดแล้วจะยังพูดคุยอะไรกันได้อีก?
พระจันทร์คืนนี้กลมไม่กลม ในกระเป๋ามีเงินอยู่เท่าไร?
หลีเจินถาม “เมื่อหมื่นปีก่อน เจ้าหมอนั่นคิดอะไรอยู่กันแน่? ทำไมถึงปล่อยให้พี่หญิงหร่วนซิ่วกับหลี่หลิ่วของทุกวันนี้เกิดการช่วงชิงแห่งไฟและน้ำ ต่อสู้กันจนฟ้าถล่มดินทลาย มหาสมุทรแห้งขอดหินผาแตกแหลกลาญ?”
เรื่องนี้ก็คือความจริงที่หลีเจินอยากรู้มากที่สุด
หร่วนซิ่วที่ยืนอยู่บนราวรั้วมาโดยตลอดหันหน้ามามองหลีเจินที่เป็นผู้สืบทอดของผู้สวมเสื้อเกราะ
หลีเจินรีบเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยทันที “ในอดีตก่อนหน้านั้น ทำไมถึงปล่อยให้เทพองค์อื่นสร้างเผ่ามนุษย์ขึ้นมาบนแผ่นดินกันนะ?”
ทวยเทพแสวงหาร่างทองที่ไม่เน่าเปื่อย รวมไปถึงการไม่ทำลายตัวเอง
โจวมี่คลี่ยิ้มให้คำตอบที่อยู่ในใจของตัวเอง “ผู้ที่ไม่เสื่อมสลายอย่างแท้จริง คือผู้ที่รู้สึกโดดเดี่ยวมากที่สุด”
คือโดดเดี่ยว
แต่ไม่มีทางที่จะเดียวดายมากนัก เพราะความเป็นเทพที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดนั้น ไม่อนุญาตให้เทพได้มีความรู้สึกเช่นนี้
ต่อให้จะมีในช่วงเวลาสั้นๆ ก็รู้ดีว่าเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น เป็นความเลื่อนลอยที่ไม่มีความหมายใดๆ
ผู้ที่เข้าใจตัวเองคือผู้รู้แจ้ง เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็คือทวยเทพเหนือศีรษะของสรรพชีวิต
หลีเจินกลับมาฟุบตัวลงบนราวรั้วอีกครั้ง เริ่มพึมพำต่อโลกมนุษย์
ใครกันที่สุดท้ายแล้วจะเปล่งเสียงสะเทือนโลกมนุษย์ เขาจำต้องอยู่คนเดียวมาเนิ่นนานจึงจะสะสมกำลังได้
ใครกันที่สุดท้ายแล้วจะปล่อยพลังอำนาจดุจฟ้าแลบไฟลุกโชน เขาจำต้องเป็นคนที่ล่องลอยดุจเมฆขาวมาอย่างยาวนาน
——