กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 865.1 ตัวต่อตัว
บนภูเขานอกภูเขา สองฝ่ายคุมเชิงกัน ต่างคนต่างร่ายวิชาอภินิหาร
คนผู้หนึ่งมาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน อีกผู้หนึ่งรับรองแขกมอบของขวัญกลับคืน
ทางฝั่งของเฉินผิงอัน นักพรตชุดเขียวที่เดินออกมาจากกระท่อมไม้มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังภูเขาทัวเยว่ ยืนอยู่บนยอดเขาของขุนเขาห้าสี ประหนึ่งเทพองค์หนึ่งที่ค้ำฟ้ายันดิน ในมือถือตราประทับอักษรน้ำซึ่งซุกซ่อนโชคชะตาน้ำของลำคลองเย่ลั่วเอาไว้สี่ส่วน ตรงเอวห้อยคาถาขอฝนที่มีประกายแสงเรืองรองเอาไว้หนึ่งบท
ด้านหลังกายธรรมนักพรตร่างสูงหมื่นจั้ง กายธรรมร่างทองที่อยู่ในรูปลักษณ์ของทวยเทพ สองแขนรัดพันด้วยมังกรเพลิง เท้าเหยียบอยู่บนป๋ายอวี้จิงจำลอง คือการจำแลงของสมบัติพิทักษ์ภูเขาของตำหนักอวี้ฝูในอดีต ธงเซียนกระบี่ที่ปักอยู่ในนครเสินเซียว ตราประทับห้าอัสนีถูกองค์เทพยกสูง บินทะยานไปลอยอยู่ตรงจุดที่สูงที่สุดของฟ้าดินเล็กนกในกรง เทพทั้งสามสิบหกองค์หลังจากที่ถูกเฉินผิงอันแต้มนัยน์ตาแล้ว พร้อมทั้งวิญญาณวีรบุรุษเซียนกระบี่ที่สวมชุดขาวเรือนกายล่องลอยสิบแปดคน ต่างก็พากันล่องลอยไปทั่วสี่ทิศในอาณาเขตของขุนเขาสายน้ำหกพันลี้ เปิดฉากสังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อยู่โดยรอบอาณาเขตของภูเขาทัวเยว่อย่างกำเริบเสิบสาน
หลังจากที่เทพสามสิบหกองค์พุ่งออกมาจากตราประทับอาคม ด้านหลังต่างก็มีนางอัปสรเหมือนในภาพวาดฝาผนังติดตามมาด้วย ล่องลอยดุจเซียน คิ้วของเหล่าเทพธิดาเรียวยาว ใบหน้าอิ่มเอิบ งามพิสุทธิ์หมดจด
บนศีรษะของพวกนางสวมมงกุฎ บนไหล่สวมผ้าคลุมหลากสี ตรงหน้าอกสวมสร้อยหยกและพลอย ต้นแขนสวมกำไล ด้านหลังมีเส้นยาวลักษณะคล้ายเปลวเพลิงถูกลากยาวตามมา เมฆหลากสีบินล้อมวน โปรยดอกไม้ปลิวปรายเต็มห้วงอากาศอันเวิ้งว้าง
ราวกับหิ่งห้อยกลุ่มใหญ่ที่พลันบินออกมาจากม่านราตรี ประกายแสงแวววาวพร่างพรายอย่างถึงที่สุด
ภาพที่ผู้ฝึกตนของนครเซียนจานสร้างขึ้นจากการพากันเผ่นหนีก่อนหน้านี้ เมื่อเทียบกับภาพนี้แล้วไม่มีค่าพอให้พูดถึงจริงๆ
ลู่เฉินนั่งยองอยู่ในลานประกอบพิธีกรรมดอกบัว เบื้องหน้ามีโต๊ะวาดภาพตัวเล็กวางอยู่ ด้านหนึ่งวาดภาพม้าวิ่งแห่งกาลเวลา ด้านหนึ่งก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เป็นลางที่ดี เป็นบุญตาให้อิ่มตาเสียจริง”
เทพธิดานางอัปสรที่เป็นราวกับจิตวิญญาณยุคโบราณพวกนี้ ไม่เคยถูกวาดลงไปบนสี่ด้านของตราประทับอาคมมาก่อน ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน เป็นการเกิดขึ้นมาตามวงจรแห่งวิถีฟ้า
คือท่วงทำนองของวิถีฟ้าที่ยังหลงเหลืออยู่หลังหอบินทะยานแตกสลาย หมื่นปีไม่จางหาย คล้ายคลึงกับปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่ล้อมวนอยู่รอบกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่จากไปไหน หลังจากที่เฉินผิงอันแต้มนัยน์ตา เสริมมหามรรคาส่วนหนึ่งให้ครบถ้วน ถึงได้คล้ายกับเป็นคำสั่งให้พวกนางออกมา ก็เหมือนกับว่าได้ช่วงชิงพื้นที่แห่งหนึ่งในโลกมนุษย์ใหม่เอี่ยมในอีกหมื่นปีให้หลังมาให้กับพวกนาง
ยุคบรรพกาล ฟ้าดินมีหอบินทะยานอยู่สองแห่ง ที่ถ้ำสวรรค์หลีจู หยางเหล่าโถวเป็นผู้รับผิดชอบคอยนำพาบุรุษผู้เป็นเซียนดินให้เดินขึ้นสวรรค์กลายเป็นเทพ ส่วนหอบินทะยานที่ภูเขาทัวเยว่ แน่นอนว่ารับตัวสตรีเซียนดินที่ผลัดรกเปลี่ยนกระดูก ได้เลื่อนขั้นเป็นเทพ
ทางฝั่งของปีศาจใหญ่หยวนซง ร่างจริงถือหอกยาวสีทองที่หลอมมาจากโครงกระดูกของเทพเอาไว้ เวลานี้จิตหยินที่ออกจากช่องโพรงเดินทางไกล ข้างกายมีผู้ติดตามลักษณะคล้ายหุ่นเชิดอย่างดรุณีน้อยบนลำคลอง นางคล่องแคล่วเฉลียวฉลาด นางหันหลังให้กับเจ้านายและเฉินผิงอัน แม่น้ำยาวสีเขียวมรกตที่ซัดหลุนๆ เส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากชายแขนเสื้อของนาง ไหลกรูไปยังนักพรตชุดเขียว ใช้เวทน้ำปะทะกับเวทน้ำ
จิตหยางกายนอกกายของหยวนซงยืนถือค้อนยักษ์โชคชะตาเปลวเพลิงเล่มหนึ่งอยู่บนภูเขาที่สูงเป็นอันดับสองของภูเขาทัวเยว่ ด้านหน้าปรากฏเป็นกลองใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเปลี่ยวร้าง ใช้ค้อนตีกลอง ทุกครั้งที่เกิดเสียงดัง นครของป๋ายอวี้จิงจำลองซึ่งเป็นที่อยู่ของเทพร่างทองด้านหลังเฉินผิงอันก็คล้ายถูกฉีกกระชากดินแดนในห้วงจักรวาลไปแถบใหญ่ เกิดเป็นน้ำวนสีชาดลูกแล้วลูกเล่า ปราณวิญญาณฟ้าดินจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเสียงกลองทุบให้แหลกลาญ เป็นเหตุให้ธงเทพเซียนที่อยู่ในนครส่ายสะบัดอย่างรุนแรง ส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
เทพร่างทองที่สองแขนมีมังกรเพลิงเลื้อยล้อมวนทิ้งกายลงในนครเสินเซียว ใช้มือหนึ่งจับธงให้แน่น ขณะเดียวกันก็บังคับตราประทับห้าอสนีที่ลอยสูงอยู่บนม่านฟ้าชิ้นนั้น ลำแสงสีทองนับร้อยนับพันเส้นแผ่ออกมาจากบนตราประทับอาคม พริบตานั้นก็มีสายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดเปรี้ยงลงพื้น หล่นลงบนภูเขาทัวเยว่ ระหว่างแผ่นดินกับท้องฟ้าราวกับว่ามีสะพานเดินขึ้นสวรรค์ซึ่งมีบันไดหลายพันขั้นถูกสร้างขึ้นมา
ลู่เฉินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “น่าเสียดายที่การประลองเวทครั้งนี้มีแค่ผินเต้าที่ชมศึกอยู่คนเดียว”
ระหว่างฟ้าดินมีความงดงามใหญ่หลวงที่มิอาจพรรณนา การถือกำเนิดและการมอดดับของสรรพสิ่งต่างก็ซุกซ่อนไว้ด้วยธรรมชาติบนมหามรรคาที่มิอาจใช้ถ้อยคำมาบรรยายได้
ลู่เฉินเหลือบมองกระบี่ยาวที่เฉินผิงอันถืออยู่ในมือซ้าย ไม่เสียแรงที่เป็นกระบี่เพียงหนึ่งเดียวที่สูงกว่ากระบี่เซียนสี่เล่มอย่างไท่ป๋าย ว่านฝ่า เต้าจ้างและเทียนเจิน
สูงเหนือนอกฟ้า สูงจนสูงกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ครั้งนี้เฉินผิงอันมาถามกระบี่กับภูเขาทัวเยว่ เท่ากับเขาคนเดียวพกกระบี่มาฟันเปิดภูเขาลั่วพั่วเพียงลำพังถึงสามพันกว่าครั้ง
เรื่องแบบนี้ หากแพร่ออกไปย่อมไม่มีใครเชื่อ
ก็เหมือนบอกว่าสวนกงเต๋อแห่งศาลบุ๋นแผ่นดินกลางถูกคนพลิกค้นสามพันครั้ง ป๋ายอวี้จิงถูกคนทุบทำลายสามพันครั้ง ใครจะเชื่อ?
ต่อให้เป็นโครงร่างที่ว่างเปล่าแค่ไหน ต่อให้จะไม่มีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่นั่งพิทักษ์ ก็ยังคงเป็นภูเขาทัวเยว่ ยังคงเป็นศาลบุ๋นและป๋ายอวี้จิง
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงไม่อาจใช้หนึ่งกระบี่สังหารหยวนซง ฟันภูเขาทัวเยว่ให้แหลกสลายได้อย่างสิ้นเชิง เพียงแค่เหมือนปีนั้นตอนเป็นเด็กหนุ่มที่ใช้กระบี่เปิดมหาบรรพตสุ้ยซานแห่งแผ่นดินกลาง หนึ่งเพราะปีศาจใหญ่หยวนซงที่เป็นบินทะยานขั้นสูงสุดผสานมรรคากับภูเขาลูกนี้ มีเวทคาถาแปลกประหลาด สามารถทำให้ภูเขาทัวเยว่กลับคืนสู่สภาพเดิมได้หนึ่งหมื่นครั้ง นอกจากนี้ก็เป็นเพราะเวทกระบี่ของเฉินผิงอันยังคงไม่…ไร้เทียมทานได้มากพอ
เป็นเหตุให้ทั้งไม่อาจทำเหมือนเมื่อหมื่นปีก่อนที่เฉินชิงตูใช้หนึ่งกระบี่ทำลายหอบินทะยานอยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่อาจเทียบกับหมื่นปีให้หลังที่บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ใช้ฝ่ามือผ่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ออกเป็นสองท่อน
ไม่มีทางเป็นเพราะกระบี่ยาวเล่มนั้นไม่คมมากพอ
แน่นอนว่าเจ้าเด็กเฉินผิงอันผู้นี้ต้องมีใจเห็นแก่ตัว เท่ากับว่าเอาภูเขาทัวเยว่มาหลอมกระบี่ พยายามจะปล่อยกระบี่ออกไปให้ได้หลายพันครั้ง กระทั่งถึงหมื่นกว่าครั้ง เอาเวทกระบี่ ปณิธานกระบี่ คาถากระบี่ที่ปะปนซับซ้อนของทั้งร่างมาหลอมอยู่ในเตาเดียวกัน สุดท้ายพยายามที่จะผสานเป็น…วิถีกระบี่บางเส้นของตัวเอง
คาดว่านี่คงเป็นการซ้อมมือเพื่อถามกระบี่ต่อป๋ายอวี้จิงในอนาคตกระมัง
ลู่เฉินสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงจากแรงกระแทกในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของเฉินผิงอันก็อดไม่ไหวใช้เสียงในใจถามว่า “ได้รับบาดเจ็บแล้ว? แถมยังไม่เบาด้วย?”
ต้องเป็นเพราะกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งที่ผสานมรรคาด้วยเกิดปัญหาแน่นอน
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ หากไม่เป็นเช่นนี้ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ไม่มีทางเผยกาย
แต่ในเมื่อเฉินชิงตูออกกระบี่อยู่ที่นั่นแล้ว ลู่เฉินไม่คิดว่าจะยังมีเรื่องไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นอีก
ผู้ฝึกตน เพียงแค่เผยกายก็ราวกับว่าสามารถทำให้ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายตัวเองรู้สึกว่าเรื่องไม่คาดฝันทุกอย่างล้วนต้องหลบเลี่ยงหลีกทางไป หมื่นปีที่ผ่านมานี้ มีอยู่ไม่มาก
มีน้อยจนนับนิ้วได้
ลู่เฉินยอมรับว่าตอนนี้ตัวเองยังทำไม่ได้ ศิษย์พี่อวี๋โต้วก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน
ขอบเขตสิบสี่และขอบเขตสิบห้า ถูกมองเป็นสองขอบเขตที่หายสาบสูญไปแล้วเสมอมา จึงไม่มีชื่อเรียกอะไร
คำว่าหายสาบสูญก็คือไม่มีอาจารย์ผู้ถ่ายทอด ไม่มีการสืบทอดมรรคกถาหรือการทอดยาวของควันธูปใดๆ คิดอยากจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตบินทะยาน เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ ก็ได้แต่แสวงหาเอง พิสูจน์เอง ทำความเข้าใจเอง ไขว่คว้ามาเอง
ฝึกตนบนเส้นทางด้วยตัวเอง พิสูจน์มรรคกถากับตัวเอง เป็นอมตะดำรงอยู่ไปตลอดกาล พิสูจน์มรรคาไม่เสื่อมสลาย ทุกอย่างล้วนอาศัยการตระหนักรู้การทำความเข้าใจของตัวผู้ฝึกตนเอง คำว่าฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณก็เป็นแค่การอาศัยปราณวิญญาณอันไร้ที่สิ้นสุดในฟ้าดินสร้างเรือนกายที่มีขีดจำกัดของมนุษย์ สืบทอดชีวิตที่เสื่อมโทรมได้ง่าย สุดท้ายคนฟ้าผสานเป็นหนึ่ง ไม่ใช่การลอบขโมยมหามรรคา ไม่เป็นหนี้ติดค้างอะไรกับฟ้าดินอีก
ดังนั้นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ มีเพียงแค่บนยอดเขาเท่านั้นที่ถึงจะมีคำกล่าวแบบลึกลับอำพรางไม่กี่อย่างที่เป็นความลับไม่แพร่งพราย หนึ่งในนั้นก็มีคำเรียกที่ว่า ‘ขอบเขตคนฟ้า’ ที่ไม่ใช่ทั้งเทพและทั้งไม่ใช่เซียน
สำหรับคำว่าคนฟ้า สามลัทธิต่างก็มีคำบรรยายวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป หนึ่งในนั้นคือจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ซิ่วไฉเฒ่าไปเป็นแขกในอดีต ก็เคยมอบกลอนคู่บทหนึ่งให้แก่จ้าวเทียนไล่เทียนซือใหญ่รุ่นปัจจุบัน หนึ่งในนั้นก็มีกรอบป้ายที่เขียนด้วยอักษรตัวใหญ่ว่า ‘คนฟ้ารวมเป็นหนึ่ง’
เฉินผิงอันบังคับค่ายกลกระบี่ของจันทร์ในบ่อต่ออีกครั้ง ให้มันพุ่งกระแทกใส่ฟ้าดินที่ถูกหยวนซงสะบั้นกั้นขวาง แค่ต้องดูว่าใครจะถูกเผาผลาญพลังไปมากกว่ากัน เขาตอบด้วยเสียงในใจว่า “เรื่องเล็กน้อย ชินไปแล้วก็ดีเอง”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “นี่เป็นเรื่องที่ทำร้ายรากฐานมหามรรคาเชียวนะ หากนี่ยังเป็นเรื่องเล็ก แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าเรื่องใหญ่?”
หากกำแพงเมืองครึ่งหนึ่งนั้นถูกใครฟันแตก ก็เท่ากับว่าสะพานแห่งความเป็นอมตะของเฉินผิงอันได้ขาดสะบั้นไปอีกครั้ง เท่ากับว่าคืนมรรคกถาทั้งร่างให้กับลู่เฉิน ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเลวร้ายจนมิอาจคาดคิด
ลู่เฉินอดไม่ไหวเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสดีกับเจ้ามากจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “แต่ไหนแต่ไรมาวาสนากับผู้อาวุโสของข้าก็ไม่เลวมาโดยตลอด”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างเป็นกังวล “เฉินผิงอัน หากอิงตามการคำนวณของข้า อีกประมาณแปดพันกระบี่ เจ้าก็จะตกอยู่ในสภาพชักหน้าไม่ถึงหลัง หากโชคดีก็ยังสามารถใช้กาลเวลาในการฝึกตนภายหลังมาค่อยๆ ใช้หนี้คืน หากโชคร้าย ก็จะต้องเอาขอบเขตหนึ่งขั้นมาชดเชยช่องโหว่ โชคร้ายกว่านั้น…ช่างเถิด ไม่พูดจาอัปมงคลจะดีกว่า”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร”
ประโยคสุดท้ายของลู่เฉิน คืออยากพูดว่าตอนนี้ยืมไปกี่ขอบเขต วันหน้าก็ต้องขอบเขตถดถอยเท่านั้น
แต่นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ลู่เฉินรู้สึกว่าโชคของตัวเองรวมกับของเฉินผิงอันไม่ควรจะแย่ถึงขนาดนั้นจึงจะถูก
ก่อนหน้านี้ลู่เฉินยังกังวลว่าในเวลาสั้นๆ เพียงเจ็ดแปดปี เฉินผิงอันจะต้องไปสร้างความวุ่นวายที่ใต้หล้ามืดสลัว งัดข้อกับศิษย์พี่อวี๋แต่เนิ่นๆ เวลานี้กลับเริ่มกังวลว่าเมื่อถึงเวลาที่ตนเป็นผู้ดูแลกิจธุระในป๋ายอวี้จิง เฉินผิงอันกลับมีโรคแฝงทิ้งไว้หลังจากศึกเปิดภูเขานี้ ทำให้ไม่ปรากฏกายเสียที ตนจะเงียบเหงาปานใดนะ? อย่าเห็นว่าอยูในใต้หล้าบ้านเกิด ชื่อเสียงของตนธรรมดา แท้จริงแล้วในป๋ายอวี้จิงเขาเป็นถึงเจินเหรินเจ้าลัทธิที่ผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่วว่าวางตัวเที่ยงตรง ประพฤติในทางชอบ ไม่ค่อยแย้มยิ้มพูดคุยเชียวนะ
ลู่เฉินเอ่ยอย่างกังขา “ก่อนหน้านี้ทำไมไม่ให้พวกหนิงเหยาอยู่ต่อนานอีกสักหน่อย”
ผู้ฝึกกระบี่สี่คนร่วมแรงกันออกกระบี่ เฉินผิงอันไม่ต้องเปิดภูเขาเพียงลำพัง แน่นอนว่าย่อมผ่อนคลายกว่ามาก
สองเรื่องอย่างการเปิดภูเขาและลากดวงจันทร์ ผลกระทบที่มีต่อโชคชะตาของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อันที่จริงไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำอะไร
ขอแค่ทำวีรกรรมใดวีรกรรมหนึ่งได้ก็เพียงพอแล้ว นอกจากชะตาฟ้าที่จะเปลี่ยนแปลงแล้ว สำหรับจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจก็ถือเป็นการสร้างความเสียหายอย่างสาหัสเช่นกัน
แน่นอนว่าหากว่ากันในระยะยาว ย้ายดวงจันทร์ที่ในอดีตอยู่ตรงกลางดวงนั้นไป ทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเหลือดวงจันทร์แค่ดวงเดียว ย่อมต้องมีความหมายยิ่งกว่าทำลายภูเขาทัวเยว่ที่เหลือแต่เปลือกว่างเปล่าเท่านั้น
“เรื่องของการลากดึงดวงจันทร์ มีความเป็นไปได้สองสามส่วนกับมีความเป็นไปได้สี่ห้าส่วน จะมีอะไรต่างหรือ? ในสายตาของข้า ไม่ใช่ว่าต่างห้าหกส่วน แล้วก็ไม่ได้ต่างเก้าส่วนสิบส่วนเสียหน่อย ทั้งสองอย่างไม่ได้มีความต่างอะไรเลยสักนิด”
ในสายตาของลู่เฉิน การเลือกที่มั่นคงที่สุดยังคงเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าคนร่วมมือกันสังหารหยวนซง ไม่สู้ละทิ้งเรื่องลากดวงจันทร์ไปดีกว่า
เฉินผิงอันเอ่ยอธิบาย “มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับข้ามากหน่อย ยามลากดวงจันทร์ก็จะได้มีเรื่องไม่คาดฝันลดน้อยลงไปหน่อย”
ลู่เฉินถอนหายใจ หันหน้าไปมองบนยอดเขาของภูเขาทัวเยว่ บุรุษชุดเหลืองที่กักตัวเองอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มานานหมื่นกว่าปี ไม่เสียแรงที่เป็นคัมภีร์ซึ่งอ่านได้ยากที่มีอยู่ทุกบ้าน
วัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุไม้ที่เนิ่นนานปีศาจใหญ่หยวนซงก็ยังไม่ยอมเปิดเผยเสียที เป็นราวกับต้นไม้โบราณหมื่นปีที่หล่อหลอมแม่น้ำแห่งกาลเวลาไว้ในเวลาเดียวกัน ทุกครั้งที่เฉินผิงอันใช้กระบี่เปิดภูเขา หยวนซงก็จะสูญเสียวงปีแห่งชะตาชีวิตไปหนึ่งวง ในช่วงเวลาที่วงปีกำลังจะหายไปหมดสิ้น ก็คือช่วงเวลาที่ลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างผู้นี้กายดับมรรคาสลาย
ในภูเขาทัวเยว่ ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินสามตนที่เดิมทีควรจะเรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนอยู่ในบ้านเกิด ขมขื่นเกินกว่าจะบรรยาย เห็นได้ชัดว่าคำวิงวอนที่มีต่อหยวนซงนั้นไร้ประโยชน์ จึงได้แข็งใจบากหน้าทุ่มสุดชีวิตร่ายใช้วิธีการช่วยเหลือตัวเองที่เป็นท่าไม้ตายออกมา นอกจากตะขาบตัวที่ใช้ร่างโอบล้อมอยู่ปลายภูเขาหลายรอบแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งเจ็ดสี เซียนเหรินกำลังรดน้ำลงไป บุปผาร้อยกว่าชนิดก็พลันถือกำเนิด ผลิดอกเบ่งบาน ก่อนจะแห้งเหี่ยวโรยราไปอย่างต่อเนื่อง
เซียนเหรินเผ่าปีศาจคนหนึ่งที่เป็นสตรี นางสวมเสื้อเกราะปักลายตะปูทองแดง เบื้องหน้ามีตะเกียงเซียนเหรินถือที่ทำมาจากหยกโบราณลอยอยู่ นางกำลังหลอมยันต์ จุดไฟสว่างให้กับไส้ตะเกียง เปลวเพลิงปรากฏเป็นสีเหลืองทองบริสุทธิ์ ราวกับสีสันที่หลอมมาจากเหรียญทองแดงแก่นทอง เห็นได้ชัดว่าถึงกับเรียกสมบัติหนักแห่งชะตาชีวิต ใช้วิชารักษาชีวิตอันเป็นสมบัติก้นกรุแล้ว
ตะขาบตัวนั้นชูหัวขนาดมหึมาขึ้นมามองสบตากับกายธรรมนักพรตหมื่นจั้งอยู่ไกลๆ
หยวนซงเอ่ยเยาะเย้ย “แค่สายตาเดียวก็คิดจะผูกมิตรเป็นพันธมิตรกับใต้เท้าอิ่นกวานแล้วหรือ? ดีมาก ถ้าอย่างนั้นก็ลองร่วมมือกับเขา หันมาแว้งโจมตีข้าดู”
หยวนซงยังเอ่ยอีกประโยคหนึ่งเสริมมาว่า “ขอแค่พวกเจ้าสามคนมีชีวิตหนีรอดไปจากอาณาเขตของภูเขาทัวเยว่ได้ ข้าสามารถรับปากว่าจะไม่ให้เฝ่ยหรานและใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอาผิดพวกเจ้าฐานเป็นกบฏ”
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสามตนนี้ก็เคยได้แบ่งแยกดินแดนยึดครองพื้นที่หนึ่ง ชื่อเสียงของความดุร้ายเลื่องลือ เพียงแต่ว่าเวลานี้กลับตกใจจนขวัญกระเจิงแล้ว วันหน้าหรือจะยังกล้าเป็นศัตรูกับใต้หล้าไพศาล
หากไปอยู่ในหมู่ชาวบ้านล่างภูเขา แล้วในครอบครัวยังมีผู้อาวุโสอยู่ คาดว่าคงต้องมาที่ภูเขาทัวเยว่ช่วยทั้งสามคนเรียกขวัญเรียกวิญญาณกลับมาแล้ว
ผิวกลองที่กายนอกกายของหยวนซงใช้ค้อนใหญ่ทุบตีลงไป คือเนื้อหนังมังสาร่างจริงของปีศาจใหญ่เผ่าน้ำขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดในอดีตตนหนึ่ง ในมือถือค้อนยักษ์โชคชะตาเปลวเพลิง ลั่นกลองรัวไม่หยุด ค้อนทุบลงบนผิวกลองหนักหน่วง นอกจากจะปะทะกับวิชาอสนีของกายธรรมร่างทองแล้ว ตะขาบใหญ่ยักษ์ที่ร่างจริงรัดพันภูเขาทัวเยว่ก็เจอเคราะห์ไม่เบา ถูกคลื่นเสียงตีกลองที่ก้องกังวานสะเทือนมาโดน ผิวเนื้อพลันปริแตก เลือดโชกไหลอาบ ผู้ฝึกตนเซียนเหรินอีกสองคนที่ยังคงอยู่ในรูปลักษณ์มนุษย์ก็ยิ่งมีเลือดสดไหลจากทวารทั้งเจ็ด เบาะรองนั่งสั่นไหวไม่หยุด ถ้วยขาวเกิดเสียงแตกร้าว ตะเกียงที่เดิมทีประหนึ่งสาวงามที่ผิวพรรณขาวนวลเกิดลางว่าจะเป็นไข่มุกเหลืองที่มืดหม่นไร้แสง เปลวเพลิงส่ายสะบัด ดึงเอายันต์สีทองปึกหนึ่งออกมา ข่มกลั้นความเจ็บปวดจากจิตแห่งมรรคาที่ไม่มั่นคง จิตวิญญาณที่สั่นสะเทือน ใช้นิ้วมือที่สั่นไหวจุดไส้ตะเกียงขึ้นพร้อมเพรียงกัน พยายามอย่างเต็มที่ที่จะประคับประคองไม่ให้ไฟในตะเกียงมอดดับลง
ตะขาบตัวนั้นเจ็บปวดทรมานอย่างถึงที่สุด เรือนกายดิ้นกระเสือกกระสน บดขยี้ตัวภูเขาจนแหลกละเอียด เศษหินของภูเขาทัวเยว่กลิ้งหลุนๆ ลงมาที่ตีนเขา ฝุ่นคลุ้งกระจาย ทรายเหลืองก็ยิ่งไหลซัดสาดไล่หลังกันมา
ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินสามตนที่น่าสงสารคล้ายตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบากที่ถูกผู้ฝึกกระบี่และหยวนซงร่วมมือกันเล่นงาน ไม่อยากตายก็ยังยาก
แต่หลังจากปีศาจที่ร่างจริงคือตะขาบตัวนั้นถูกหยวนซงเปิดโปงความคิดในใจก็ไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะโชคดีรอดชีวิตอีก ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าจะสามารถร่วมมือกับอิ่นกวานหนุ่มทำเรื่องที่เป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพรได้บ้างหรือไม่ ขอแค่วันนี้สามารถรักษาขอบเขตเอาไว้ได้ หลังจากมีชีวิตหนีรอดออกไปจากภูเขาทัวเยว่ ขอแค่หยวนซงตายไปก็ถือว่าเป็นการมอบสัญญาสวามิภักดิ์ฉบับหนึ่งให้แก่ใต้หล้าไพศาล และในเมื่อทำเช่นนั้นแล้วเขาก็จะแปรพักตร์โดยตรง แอบกลับไปเอาตะเกียงแห่งชะตาชีวิตดวงนั้นกลับมาก่อน แล้วค่อยหาท่าเรือกุยซวีแห่งหนึ่ง เข้าสวามิภักดิ์กับใต้หล้าไพศาล ยกตัวอย่างเช่นไปหาเจิ้งจวีจงพญามารแห่งนครจักรพรรดิขาวผู้นั้นให้มาเป็นที่พึ่ง
——