กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 866.2 รื้อฟื้น
หากมีเพียงแค่จำนวนของผู้ฝึกลมปราณเผ่าปีศาจที่เพิ่มมากขึ้นดุจน้ำพุพรั่งพรูก็ยังว่าง่าย ปัญหาที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ว่าเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง คือบุคคลที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีศักยภาพสูงที่สุด มีความทะเยอทะยานสูงที่สุดและสันดานดิบที่ชอบการเข่นฆ่ามากที่สุดในบรรดาหลายๆ ใต้หล้า ฆ่าแกง กลืนกิน รุกราน ปล้นชิง…แสวงหาความแข็งแกร่งส่วนบุคคลอย่างไร้ขอบเขตสิ้นสุด ไม่ต้องการพันธนาการใดๆ
หากพูดถึงแค่ศักยภาพในการจับขู่เข่นฆ่ากันระหว่างบินทะยาน ไม่ใช่เพียงแค่ใต้หล้าไพศาลที่เจอความยากลำบากมาอย่างเต็มกลืน มิอาจต่อกรกับเปลี่ยวร้างได้ ใต้หล้ามืดสลัวและดินแดนพุทธะสุขาวดีเองก็ไม่ต่างกัน
ราวกับว่าในสายตาของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เก้าทวีปในไพศาล มีผู้ฝึกตนบนยอดเขาสูงสุดอย่างพวกเจิ้งจวีจง จ้าวเทียนไล่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ฮว่อหลงเจินเหริน ฯลฯ เท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น ทุกครั้งที่พูดถึง เกินครึ่งจะต้องเพิ่มคำว่า ‘ถึงกับ’ (แสดงถึงการคาดคิดไม่ถึง) เข้าไปด้วย
และตอนที่สิงกวานหาวซู่ได้ยินลู่เฉินเล่าให้ฟังถึงศึกที่นครเซียนจาน เจ้านครเสวียนผู่ถึงกับตายดับในเวลาเพียงแค่ก้านธูปเดียว เขาก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน
ไม่กล้าเชื่อว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะมีปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่มรรคกถาเละเทะเช่นนี้ได้
หนันกวงจ้าวที่เป็นผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลซึ่งเป็นขอบเขตบินทะยานเช่นเดียวกัน ถูกหาวซู่ตัดหัวที่หน้าประตูภูเขาสำนักของตัวเอง แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงให้ตอบโต้ สิงกวานท่านนี้ไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย
สำหรับเรื่องของการฝึกตน เว้นจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ผู้ฝึกตนบนยอดเขาจะไม่จงใจหลบเลี่ยงการเข่นฆ่า การประลองเวทคาถา แต่สิ่งที่แสวงหาบนมหามรรคา ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นการอยู่ร่วมกับฟ้าดินไม่เสื่อมสลาย
ทว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่านับตั้งแต่ที่เผ่าปีศาจถือกำเนิดมา เพื่อการดำรงอยู่ของตัวเองแล้วก็ยินดีให้เกิดความพินาศวอดวายกับทุกเรื่องเว้นจากเรื่องส่วนตัวอย่างไม่รู้สึกเสียดาย การฝึกตน การหลอมเรือนกาย การไต่ขอบเขตทั้งหมดก็เพียงแค่เพื่อการเข่นฆ่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไขว่คว้าฉกฉวยมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พูดง่ายๆ ก็คือมีชีวิตอยู่จำต้องกิน ฝึกตนก็เพื่อขยายท้องให้ใหญ่มากกว่าเดิม ทุกครั้งที่เดินขึ้นสู่ที่สูงก็จะสามารถกินสรรพชีวิตในฟ้าดินได้มากกว่าเดิม
หากยังมีปีศาจใหญ่ที่ตั้งใจบุกเบิกทางลัดเดินขึ้นเขาสายหนึ่ง นำพาเผ่าปีศาจเดินไปบนทางเส้นนี้
ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าทั้งหลายก็จะถูกหอบมารวมกัน ไฟสงครามลุกลาม สรรพชีวิตมอดม้วย และความตั้งใจเดิมในการสร้างตำหนักอิงหลิงของชูเซิงก็เพื่อให้ขอบเขตสิบห้า ยกตัวอย่างเช่นป๋ายเจ๋อ นำพาขอบเขตสิบสี่สิบกว่าคน รวมไปถึงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนอีกจำนวนมาก พยายามรวบรวมโลกมนุษย์มาไว้ในใต้หล้าแห่งเดียว
หากป๋ายเจ๋อเป็นขอบเขตสิบห้า ต่อให้ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่จะเป็นพวกพยศยากกำราบแค่ไหน ก็ต้องยอมฟังคำสั่งของป๋ายเจ๋ออย่างว่าง่าย
ถึงเวลานั้นภายใต้การนำพาของป๋ายเจ๋อก็จะสามารถเปิดประตูใหญ่ที่เชื่อมโยงใต้หล้าสองแห่งออกได้อย่างง่ายดาย จับมือกันเดินทางไกล บุกทะลวงเข้าไปเข่นฆ่าในใต้หล้าแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ กลืนกินไปอย่างช้าๆ
ดังนั้นแท้จริงแล้วชูเซิงจึงเคยมาหาป๋ายเจ๋อเป็นการส่วนตัว ยินดีจะเคารพป๋ายเจ๋อเป็นผู้นำของเผ่าปีศาจ หวังว่าป๋ายเจ๋อจะนำพาเผ่าปีศาจเดินขึ้นสู่ยอดสูง
เพราะป๋ายเจ๋อได้ครอบครองวิชาอภินิหารฟ้าประทานบทหนึ่ง นั่นคือควบคุมชื่อจริงของเผ่าปีศาจทั้งหมดในใต้หล้า! ไม่มี? ง่ายมาก ป๋ายเจ๋อจะตั้งชื่อให้เจ้าโดยตรง
น่าเสียดายก็แต่ป๋ายเจ๋อปฎิเสธไป
ภายหลังก็เป็นการถามกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่ที่เฉินชิงตูเป็นผู้นำ
จากนั้นต่อมาชูเซิงที่เพื่อหลบหนีมรรคาจารย์เต๋าก็จำต้องเดินทางไกลออกไปนอกฟ้า
เพราะขอแค่เจรจากันไม่สำเร็จ ผู้ฝึกตนนับพันนับหมื่นของใต้หล้ามืดสลัวจะต้องเหมือนฝนกระหน่ำที่เทลงมาจากฟากฟ้า พากันหล่นร่วงลงมายังพื้นดินของเปลี่ยวร้าง
ในบรรดาบรรพจารย์สามลัทธิ เป็นที่รู้กันโดยทั่วกันว่ามรรคาจารย์เต๋านิสัยแย่ที่สุด ต่อสู้เก่งที่สุด
ในสงครามที่ไม่มีการบันทึกไว้ครานั้น ก็เป็นนักพรตที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มผู้นั้นที่กายธรรมตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน ในมือลากเอาเรือนกายใหญ่โตมโหฬารของบุรพาจารย์สำนักการทหารขว้างใส่ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ป๋ายเจ๋อเอ่ย “จงใจปล่อยสำนักจิ่วเฉวียนและมหาบรรพตชิงซานไป ไม่ได้เปิดฉากเข่นฆ่าครั้งใหญ่เหมือนตอนอยู่ที่นครป่ายฮวา นครเซียนจาน ลำคลองเย่ลั่วและภูเขาทัวเยว่ พวกฉีถิงจี้เองก็ทำตามด้วย นอกจากตอนที่ลู่จือดื่มเหล้าอยู่ที่สำนักจิ่วเฉวียนแล้วมีผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งที่เห็นสตรีแล้วเกิดความคิดชั่วร้าย จึงถูกนางฆ่าตายไป นอกจากนี้ทั้งสองสถานที่ต่างก็ไม่มีคลื่นมรสุมอะไร”
เฉินชิงตูยิ้มเอ่ย “อิ่นกวานคนสุดท้ายผู้นี้ยังใจอ่อนไปหน่อย”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเฝ่ยหรานเคยเอ่ยความในใจประโยคหนึ่ง บอกว่าบนภูเขาและล่างภูเขาของใต้หล้าไพศาลถูกเหล่าผู้แข็งแกร่งที่เงียบงันทั้งหลายปกป้องไว้เป็นอย่างดี
ผู้ฝึกตนใหญ่ที่เคยไปเยือนนอกฟ้าย่อมมีความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใต้หล้าทุกแห่งก็คล้ายเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่เดินทางไกลไปในจักรวาลว่างเปล่า
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดขึ้นเรือลงเรือ ไปๆ มาๆ
ป๋ายเจ๋อคล้ายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงพลันเอ่ยว่า “การประชุมก่อนหน้านี้ ตอนที่อยู่ศาลบุ๋น ตอนนั้นข้าได้ยินหลินจวินปี้ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นของคฤหาสน์หลบร้อนคุยเล่นกับสหายอยู่หน้าประตู มีคำถามอยู่ข้อหนึ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจ ข้าต้องเอามาทดสอบเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสักหน่อย”
เฉินชิงตูหัวเราะเสียงเย็นชา “หยุดเลย”
ป๋ายเจ๋อกลับพึมพำกับตัวเองว่า “หลินจวินปี้บอกว่าในอดีตตอนอยู่คฤหาสน์หลบร้อน เฉินผิงอันเคยถามคำถามข้อหนึ่ง เหตุใดกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงสามารถตั้งตระหง่านอยู่มาได้เป็นหมื่นปีโดยที่ไม่ล้มลง หลินจวินปี้จึงเอาคำถามข้อนี้มาถามสหาย”
เฉินชิงตูขมวดคิ้ว “ไม่ใช่เพราะผู้ฝึกกระบี่ต่อสู้ได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ ต่อยตีได้เก่งที่สุดหรอกหรือ?”
ป๋ายเจ๋อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดูท่าแล้วเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็คงเข้าไปในคฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้เหมือนกันสินะ”
เฉินชิงตูหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ
ป๋ายเจ๋อให้คำตอบ
“ไม่ไพศาล”
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง พยักหน้าเบาๆ
เพียงแค่สามคำ แต่กลับสามารถปลอบใจคนแก่คนหนึ่งได้ดียิ่งกว่าถ้อยคำไพเราะสละสลวยใดๆ
ป๋ายเจ๋อถอนหายใจ “จะจากไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ไม่อย่างนั้น? ยังต้องตีฆ้องร้องป่าวด้วยหรือ?”
แล้วนับประสาอะไรกับที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดินมานับหมื่นปีก็คือสุสานที่ดีที่สุดของผู้ฝึกกระบี่ นอนหลับยาวนานอยู่ที่นี่ ไม่มีทางเงียบเหงา
หลังจากนี้การส่งกระบี่ต่อโลกมนุษย์ของผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ในนครบินทะยานทุกครั้ง ก็คือการเซ่นสุราไกลๆ ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อหน้าหลุมศพ
สุดท้ายป๋ายเจ๋อกุมหมัดอำลาเฉินชิงตู
เฉินชิงตูเพียงแค่ยิ้มรับ
ป๋ายเจ๋อลังเลเล็กน้อย ก่อนจะใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “สิ่งที่ใช้ผสานมรรคากับขอบเขตสิบสี่ เรียบง่ายมาก ยิ่งเผ่าปีศาจในใต้หล้าเปลี่ยวร้างน้อยลงเท่าไร พลังพิฆาตของป๋ายเจ๋อก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หากขุนเขาสายน้ำของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพังทลายย่อยยับ ยกตัวอย่างเช่นจำนวนของเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนลดน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง พลังการสู้รบของข้า อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เป็นรองบรรพจารย์สามลัทธิ”
เฉินชิงตูยกนิ้วโป้งให้ “น่าเสียดายที่พวกเราสองคนไม่มีโอกาสยืนอยู่บนยอดเขาคนละลูกแล้วตีกันอย่างสะใจสักครั้ง”
หากไม่เป็นเพราะมีข้อห้ามว่าไม่พูดถึงผู้ล่วงลับในทางที่ไม่ดี เดิมทีเฉินชิงตูก็อยากจะบอกว่าบรรพบุรุษใหญ่แห่งภูเขาทัวเยว่ผู้นั้นก็คือพวกไม่ได้เรื่องที่นิสัยอิดออดเหมือนสตรี ไม่ยินดีจะปะทะกับตนซึ่งๆ หน้า
ป๋ายเจ๋อกล่าว “น่าเสียดายที่โลกมนุษย์ไม่มีเฉินชิงตูอีกต่อไป”
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง มองไปทางภูเขาทัวเยว่ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “หากโลกมนุษย์มีคนที่เวทกระบี่สูงกว่าข้าล่ะ เรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจบอกได้แน่ชัดหรอกนะ”
……
ทางฝั่งของฉิงจี ก่อนหน้านี้แสงตะวันในฟ้าดินของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพลันมารวมอยู่เป็นเส้นเดียวกัน ประหนึ่งแสงกระบี่หล่นลงพื้น กักขังฉิงจีทั้งแห่งเอาไว้ ทำให้อาณาเขตหดเล็กเข้ามาเรื่อยๆ ทุกที่ที่ลำแสงพุ่งผ่าน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไร้ชีวิตล้วนแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นธุลี
นอกจากเผยเปยเทพีแห่งการต่อสู้ของต้าตวน ไหวอินหนึ่งในสิบคนของแผ่นดินกลาง กวอโอ่วทิงแห่งภูเขาต้นไม้เหล็ก หลิวทุ่ยเจ้าสำนักเทียนเหยาเซียงแห่งฝูเหยาทวีป และชงเชี่ยนเซียนเหรินหญิงแห่งหลิวเสียทวีปที่ต่างคนต่างพากันลงมือสกัดขวางลำแสงนั้นอยู่ในตำแหน่งของตัวเองแล้ว
มีเพียงเจิ้งจวีจงเท่านั้นที่ไม่ได้เผยกาย และไม่ได้ลงมือ ทำราวกับว่าตัวเองเป็นคนนอกสถานการณ์อย่างไรอย่างนั้น
โชคดีที่สุดท้ายก็สกัดขวางลำแสงสีทองเส้นนั้นเอาไว้ได้ ผู้ฝึกตนของฉิงจีจึงได้รับความเสียหายไม่มาก ชงเชี่ยนที่ร่ายเวทคาถาหมดสิ้น ผลาญสมบัติอาคมไปไม่น้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใครกันกันนะที่ทำเช่นนี้ ตกใจแทบตาย
เซียนเหรินหญิงที่มาจากหลิวเสียทวีปผู้นี้ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน เก็บภาพบรรยากาศแสงเรืองรองสีเหลืองแดงที่อาบไล้ทั่วร่างกลับมา นางยกมือขึ้น แบฝ่ามือออกดูก็เห็นแต่กระดูกขาวโพลน อันที่จริงแขนสองข้างก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร เลือดโชกเนื้อฉีก ราวกับถูกมีดทื่อๆ แล่เนื้อ โชคดีที่ชุดคลุมอาคมบนร่างมีเยอะ ไม่อย่างนั้นหากเผยให้เห็นความงามใต้ร่มผ้าก็คงขาดทุนครั้งใหญ่แล้ว
ชงเชี่ยนคือศิษย์น้องหญิงของเจ้าสำนักฉินจ่าว นางยังได้ครอบครองพื้นที่มงคลซงอ่ายแห่งหนึ่ง ฐานะของนางในสำนักอันที่จริงคล้ายคลังกับเจียงซ่างเจินของสำนักกุยหยก แม้ว่าศิษย์พี่ฉินจ่าวจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการจับคู่เข่นฆ่ากับผู้อื่น หรือชื่อเสียงในใต้หล้าไพศาล ต่างก็อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับชงเชี่ยนได้ติด
หยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาจากถุงหอมที่มีลำแสงเรืองรองข้างเอว ทายาล้ำค่าหายากที่สามารถทำให้เลือดเนื้อก่อเกิดขึ้นบนกระดูกขาวลงไป จากนั้นก็มีแสงอรุโณทัยเจ็ดสีไหลผ่านฝ่ามือ บาดแผลพลันประสานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วโดยที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
สตรีที่มีรูปโฉมงามพิลาสคนหนึ่งทะยานลมเร่งรุดมา เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “ศิษย์พี่หญิง ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ศิษย์น้องหญิงของชงเชี่ยนผู้นี้ชื่อว่าอวี่หรูอี้ ทุกวันนี้ถือว่าเป็นคนนอกของสำนักแล้ว เพราะได้แต่งงานออกเรือนไปกับเจ้าของถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋นานแล้ว
อวี่หรูอี้ขอบเขตไม่สูง ยังเป็นขอบเขตหยกดิบที่ทุ่มเงินถึงเลื่อนขั้นมาได้อีกด้วย ถึงอย่างไรบุรุษของนางก็มีเงิน
นางคือสาวงามบนภูเขาที่ชื่อเสียงเลื่องลือ จะสวมใส่มงกฎดอกไม้มรกตตลอดทั้งปี ส่วนชุดคลุมอาคมบนร่างนั้น ได้ยินว่าตลอดทั้งปีจะต้องเปลี่ยนทุกวัน ไม่เคยซ้ำกันสักวัน
เป็นเหตุให้ได้รับคำเรียกขานอันไพเราะว่าผู้รวบรวมชุดคลุมอาคมของผู้ฝึกตนหญิงแห่งใต้หล้า แม้แต่ภรรยาของเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวของธวัลทวีปก็ยังยอมรับว่าในเรื่องนี้ ตนไม่ใส่ใจเท่าอวี่หรูอี้จริงๆ
เคยมีคนไปขโมยเหล้าที่ถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ แต่กลับถูกจับได้คาหนังคาเขา เจ้าโจรผู้นั้นเห็นอวี่หรูอี้แล้วก็เริ่มตีอกชกตัว พูดก่อนว่าพี่หญิงหรูอี้เปลี่ยนชุดจนเขาเกือบจะจำไม่ได้เสียแล้ว จากนั้นก็พูดอย่างรวดร้าวปานจะขาดใจว่า ไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคนสมควรโดนแทงพันครั้งคนใด กล้าบอกว่าสตรีฝึกตนได้ดีไม่สู้แต่งได้ดี แต่งได้ดี ก็ไม่สู้คลอดลูกได้ดี ทำเอาข้าโมโหแทบตาย โชคดีที่พี่หญิงหรูอี้แต่งได้ดี ให้กำเนิดบุตรชายก็ให้กำเนิดได้ดี แล้วการฝึกตนก็ยังดียิ่งกว่า รูปโฉมก็ยิ่งงดงามเป็นที่สุด สุดท้ายพูดว่าวันนี้ชุดกระโปรงของพี่หญิงหรูอี้เหมือนจะหนาและมิดชิดไปสักหน่อย…
จุดจบเป็นอย่างไรแค่คิดก็พอจะรู้ได้ ค่ายกลใหญ่ของภูเขาถูกเปิดใช้ทันที ถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ถูกปิดลง ปิดประตูตีสุนัข
ลูกชายของอวี่หรูอี้ก็คือสู่จ้งสู่หนึ่งในตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ เขาเดินทางไกลไปเยือนใต้หล้าห้าสีเพียงลำพังนานแล้ว สร้างหอเชาหรานขึ้นมาที่นั่น แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่เลื่อมใสซูจื่อ
ก็เหมือนอย่างอู๋ซวงเจี้ยงที่เลื่อมใสในบทกวีอันนุ่มนวลละมุนละไมของหลิ่วชี เทียนหรานคู่รักของเขากลับชื่นชอบบทกวีของซูจื่อ
นอกจากนี้ก็เป็นสวีเจวี้ยนที่ตั้งใจจับมือกับเฉาเกอคนรักลงจากภูเขามาด้วยกัน ไปตามหาหยวนอิ๋งที่เขตไหวหนัน สอบถามว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้พบเจอกับหลิ่วชี
หยวนเทียนเฟิงแห่งกองโหราศาสตร์ของเมืองหลวงต้าหลี ตำราที่อ่านยามจุดธูปหอมก็เป็นบทกวีของซูจื่อ
ส่วนผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ซึ่งได้รับการขนานนามว่า ‘เบื้องหลังป๋ายเหย่จึงจะมีดวงจันทร์’ ผู้นั้น บนและล่างภูเขาก็ยิ่งมีผู้ที่สนับสนุนเขามากมายนับไม่ถ้วน
ชงเชี่ยนยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร อย่างน้อยจุดจบก็ดีกว่าสตรีอย่างลี่ไฉ่ผู้นั้นมากนัก”
นางกับลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ต่างก็เป็นสหายรักของหลี่อวี๋ไท่เสียหยวนจวินแห่งสายยอดเขาพาตี้อุตรกุรุทวีป
เพียงแต่ว่าลี่ไฉ่กับชงเชี่ยนที่มีนิสัยคล้ายคลึงกันกลับไม่ค่อยชอบขี้หน้าอีกฝ่ายสักเท่าไร
อวี่หรูอี้ได้แต่กล้าใช้เสียงในใจบ่นว่า “หากอาจารย์เจิ้งลงมือ เชื่อว่าศิษย์พี่หญิงก็คงไม่ต้องบาดเจ็บเช่นนี้แล้ว”
ชงเชี่ยนถลึงตาใส่ “เจ้าอย่าทำให้ข้าเดือดร้อนนะ”
บนยอดเขาเงียบสงัดแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากฉิงจีมาไกลมาก หันเชี่ยวเซ่อรีบร้อนเก็บเวทหลบหนี หยุดร่างที่ทะยานลม เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ศิษย์พี่มาได้อย่างไร?”
ที่แท้ก็เป็นเจิ้งจวีจงที่เผยกายตรงริมหน้าผา กำลังมองทะเลเมฆสีทองผืนใหญ่ที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง
หันเชี่ยวเซ่อพลิ้วกายลงมายืนอยู่ข้างกายศิษย์พี่ คลี่ยิ้มหวาน “กังวลถึงความปลอดภัยของกู้ช่านหรือ?”
เจิ้งจวีจงเอ่ยอย่างเฉยเมย “หากกังวลจริง ข้าคงไปปรากฏตัวที่ป่าไผ่แล้ว”
หันเชี่ยวเซ่อไม่ประหลาดใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
ชินไปแล้วก็ดีเอง
หากศิษย์พี่ไม่ทำให้คนประหลาดใจต่างหากถึงจะน่าประหลาดใจ