กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 872.4 ตอนนั้นผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้กล้าที่โดดเด่น
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 872.4 ตอนนั้นผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้กล้าที่โดดเด่น
ได้เจอกับเฉินผิงอัน หลี่ฝูฉวีประหลาดใจเป็นทบทวี เฉินผิงอันถามถึงเรื่องการฝึกตนของเจิงเย่ หลี่ฝูฉวีย่อมตอบทุกอย่างที่นางรู้
ทั้งสองฝ่ายจึงถือโอกาสพูดคุยไปถึงเกาเหมี่ยน ที่แท้หลังจากที่หลี่ฝูฉวีเข้าร่วมงานพิธีที่ภูเขาลั่วพั่วก็ยังได้รับตำแหน่งเป็นผู้ถวายงานของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน ไม่ได้เป็นแค่เค่อชิง
เกาเหมี่ยนปลดประจำการจากตำแหน่งประมุขพรรคแล้ว เจ้าประมุขพรรคผู้เฒ่าเกาที่เคยขอบเขตถดถอยจากขอบเขตหยกดิบถึงสองครั้งผู้นี้ ก่อนหน้านั้นตอนอยู่ที่สนามรบใกล้กับลำน้ำใหญ่ก็เกือบจะถูกปีศาจใหญ่ตนหนึ่งสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ ขอบเขตจึงถดถอยอีกครั้ง ได้แต่รักษาขอบเขตโอสถทองไว้อย่างถูไถ ชีวิตนี้คงไม่อาจอวดเก่งกับคนอื่นได้อีกแล้ว
ผลคือครั้งแรกที่หลี่ฝูฉวีเข้าร่วมการประชุมในศาลบรรพจารย์ของที่พรรคก็ได้เห็นภาพที่คนสองกลุ่มเท้าเอวพ่นน้ำลายแตกฟองใส่กัน คนสองกลุ่มทะเลาะโต้เถียงกันอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องที่ว่าสรุปแล้วควรจะเปลี่ยนชื่อของภูเขาหรือไม่ แต่ทะเลาะกันเรื่องที่ว่าชื่อใหม่ชื่อใดดียิ่งกว่า เพราะถึงอย่างไรก็เป็นพรรคของผู้ฝึกตนที่ถูกต้องชอบธรรม แต่ดันตั้งชื่อพรรคได้ย่ำแย่ซึ่งเป็นชื่อที่แม้แต่พรรคในยุทธภพก็ไม่มีทางตั้งแบบนี้
ในอดีตหากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ที่กระดูกของเจ้าประมุขผู้เฒ่ายังแข็งแรงดีอยู่ ตีก็ตีไม่ชนะ ด่าก็ยิ่งด่าไม่ทัน ไม่อย่างนั้นก็คงยกเรื่องนี้เข้าวาระการประชุมไปนานแล้ว
อยู่ในสำนักเจินจิ้ง ไหนเลยจะได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เจ้าสำนักสามรุ่น เจียงซ่างเจิน เหวยอิ๋ง หลิวเหล่าเฉิง ต่างก็สยบฝูงชนได้เป็นอย่างดี
สำนักเจินจิ้งก็ถือว่าร้ายกาจแล้ว ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ถึงได้มีเจ้าสำนักถึงสามคน
แรกเริ่มหลี่ฝูฉวียังกังวลอยู่มาก เจ้าประมุขผู้เฒ่าเก่าจะผิดหวังเพราะเรื่องนี้ เป็นดั่งวีรบุรุษที่หายใจลำบากหรือไม่ ผลคือไม่มีเรื่องอะไรแบบนี้เลย ตอนนั้นที่หลี่ฝูฉวีได้เจอกับเกาเหมี่ยน ผู้เฒ่าปลื้มปิติอารมณ์ดีอย่างมาก ที่แท้เทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงก็ถูกรับเข้ามาอยู่ในทำเนียบลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์อีกครั้งหนึ่งแล้ว
สวินยวนที่มีฉายาว่าทวนหนึ่งฉื่อ เกาเหมี่ยนที่มีฉายาว่าหนุ่มน้อยหน้าหยก วรยุทธขอบเขตสิบ รวมไปถึงเปิงเลอะเจินจวินที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง เศรษฐีบ้านนอกพวกนี้ต่างก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ขึ้นชื่อในวงการของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำบนภูเขา บอกว่าพวกเขาแบกค้ำท้องฟ้าครึ่งหนึ่งของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำในหนึ่งทวีปเอาไว้ แผ่นดินครึ่งหนึ่งก็เป็นพวกเขาที่ร่วมแรงกันต่อสู้ยึดครองมาก ไม่รู้ว่าเทพธิดากี่มากน้อยที่เคยได้รับทองพันชั่งจากพวกเขาเหล่านี้
นอกจากนี้ยังมีพี่น้องไม่ทราบชื่อที่ใช้ฉายาว่าปลาขาวน้อยในลูกคลื่นคนหนึ่ง จ่ายเงินไม่มาก แต่ทุกครั้งจะต้องช่วยให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ใช้เงินเกล็ดหิมะหลายเหรียญ ตะเบ็งเสียงดังลั่น ช่วยให้พวกเทพธิดาทั้งหลายที่กิจการซบเซาสร้างบรรยากาศที่เรียกได้ว่ากองทัพนับพันหมื่นล้วนต้องหมอบคลานอยู่ใต้กระโปรงสีทับทิม
หลี่ฝูฉวีเอ่ยถาม “ครั้งนี้เจ้าขุนเขาเฉินมาเยือนเกาะกงหลิ่ว ไม่ไปพบเจ้าสำนักหลิวหรือเจ้าเกาะหลิวหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ครั้งนี้ช่างเถิด”
อันที่จริงตอนที่เจียงซ่างเจินรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักเจินจิ้ง นอกจากการกระทำที่ใช้เรื่องส่วนตัวมาเบียดบังส่วนรวมครั้งนั้นแล้ว ยังเคยเรียกหลิวเหล่าเฉิงผู้ถวายงานอันดับหนึ่งให้มาหา คนทั้งสองเดินไปบนทางสายเล็กริมทะเลสาบของเกาะกงหลิ่ว เจียงซ่างเจินเด็ดกิ่งหลิวมาหนึ่งกิ่ง หัวเราะร่าเอ่ยกับหลิวเหล่าเฉิงสองประโยคว่า
‘เจ้าคิดว่าการฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหยกดิบ เลื่อนเป็นเซียนเหริน จะต้องสังหารนางกับมือตัวเอง นี่เป็นการฝึกตนของตัวเจ้าเอง ข้าไม่บังคับกะเกณฑ์’
‘แต่หากเจ้าคิดจะทำให้นางตาย ข้าก็จะต้องทำให้เจ้าตายก่อนแน่นอน นี่คือเรื่องในบ้านของข้าเจียงซ่างเจินเองแล้ว เจ้าเองก็มาบังคับกะเกณฑ์ไม่ได้เหมือนกัน’
หลิวเหล่าเฉิงไม่กล้าไม่เก็บมาใส่ใจ
คงเป็นเพราะสวรรค์ไม่ไร้หนทางให้คนเดิน กลับกลายเป็นว่าทำให้หลิวเหล่าเฉิงที่จำต้องบุกเบิกหาเส้นทางใหม่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้สำเร็จ เปลี่ยนจากผู้ถวายงานอันดับหนึ่งมารับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักคนที่สามต่อจากเซียนกระบี่สองคนในประวัติศาสตร์ของสำนักเจินจิ้งอย่างเจียงซ่างเจินและเหวยอิ๋ง
เฉินผิงอันไปเยือนเกาะชิงเสียมารอบหนึ่ง แต่ไม่ได้ไปหาหลิวจื้อเม่า เขาไปที่จวนจูเสียนแห่งนั้น
ผีหญิงหงซูของเกาะชิงเสีย ตัวตนที่แท้จริงของนางเมื่อชาติก่อนคือผู้ฝึกตนหญิงหวงฮั่นแห่งเกาะกงหลิ่ว ยิ่งเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของหลิวเหล่าเฉิง
เมื่อหลายปีก่อนนางลาออกจากตำแหน่งในจวนเหิงโป กลับมาทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูของจวนจูเสียนอีกครั้ง
เพราะนางไม่เชี่ยวชาญเรื่องการรับมือกับการปัดแข้งปัดขากันระหว่างสตรีทั้งหลาย นางมิอาจควบคุมสาวใช้สิบกว่าคนที่แต่ละคนต่างก็มีความคิดจิตใจต่างกันไปพวกนั้นได้จริงๆ จึงลาออกจากหน้าที่ที่เป็นงานสบายแล้วยังหาได้เงินได้เยอะ กลับมาที่จวนจูเสียน มาเป็นคนเฝ้าประตูให้กับนายท่านผู้เฒ่าหม่า หากเจอกับคนที่เป็นแขกมาเยี่ยมเยือนก็จะเขย่ากระพรวนที่อยู่ข้างห้องคนเฝ้าประตู
ทำงานอยู่ที่จวนเหิงโปมานานหลายปี สะสมเงินเกล็ดหิมะมาได้มากมาย ทุกครั้งที่หงซูอารมณ์ไม่ดีก็จะจ่ายเงินหนึ่งเหรียญ แปลงโฉมจากหญิงแก่หน้าตาอัปลักษณ์ชวนขนลุก กลับมาเป็นหญิงสาวอีกครั้ง ทำให้หน้าตาของตนไม่น่าชิงชังถึงเพียงนั้น
ผลคือถูกนายท่านหม่าด่าว่าสตรีล้างผลาญ
หม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีที่มีชาติกำเนิดมาจากคนแบกข้าว ทุกวันนี้ยังคงเป็นผู้ถวายงานอันดับสองของเกาะชิงเสีย ติดตามเป็นลูกน้องของหลิวจื้อเม่า เมื่อสกัดคงคาเจินจวินได้เลื่อนขั้นสูง เขาก็เป็นเหมือนหมาและไก่ที่พลอยได้ขึ้นสวรรค์ไปด้วย เมื่อได้สถานะทำเนียบวงศ์ตระกูลมาจากสำนักเจินจิ้ง อันที่จริงก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ทุกปีแค่รอรับเงินเดือนมาเปล่าๆ ก็พอ
คนแบกข้าวที่เป็นนักการหนึ่งในอาชีพมากมายผู้นี้ สถานะเรียกได้ว่าต่ำต้อยอย่างถึงที่สุด แต่กลับมีจิตใจที่ประณีติละเอียดอ่อน ผู้ฝึกตนผีตั้งชื่อจวนบนเกาะชิงเสียของตัวเองว่า ‘จูเสียน’ มาจากประโยค ‘สายพิณบรรเลงก้องดังเป็นจังหวะอันงดงาม’ (จ้งรุ่นเสี่ยงจูเสียน) ที่มาจากกลอนหายากบทหนึ่งของแคว้นบ้านเกิด คำว่าก้องดัง (เสี่ยง) พ้องเสียงกับคำว่า ‘คิด’ (เสี่ยง) และหลิวจ้งรุ่นเจ้าของเกาะจูไชเก่าก็คือองค์หญิงใหญ่ของแคว้นบ้านเกิดเขาพอดี
น่าเสียดายที่หลิวจ้งรุ่นองค์หญิงใหญ่ที่เขาคิดถึงคำนึงหามาโดยตลอดได้พาพวกสตรีทั้งหลายย้ายออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ไปลงหลักปักฐานอยู่ในภูเขาต่างบ้านต่างเมืองที่มีชื่อว่าภูเขาหลังอ๋าวนานแล้ว
หลายปีที่ผ่านมานี้ผู้ฝึกตนผีด่านักบัญชีคนหนึ่งไปไม่น้อย
ด้านหนึ่งก็พูดว่าไม่มีความคิดอะไรแม้แต่น้อย พูดจาหนักแน่นน่าเชื่อถือว่าตัวเองไม่มีความคิดที่ไม่เป็นการควร ไม่คิดจะไปข้องแวะกับองค์หญิงใหญ่อย่างแน่นอน
แต่ด้านหนึ่งกลับแอบหลอกองค์หญิงใหญ่ไปอยู่บ้านเกิดของเขา ภูเขาหลังอ๋าว มารดามันเถอะ ภูเขาหลังอ๋าว ปลาอ๋าว ลื่นไถลจับไม่อยู่ หลัง ผู้ฝึกตนผีเพียงแค่คิดถึงแผ่นหลังที่ผิวขาวนุ่มนวลขององค์หญิงใหญ่ก็…อยากจะร้องไห้แล้ว
จะว่าไปแล้วองค์หญิงใหญ่เป็นสตรีที่หาได้ยากถึงเพียงนั้น เฉินผิงอันก็เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หากเขาจะคิดเพ้อฝัน มีความคิดไม่ดีกับนางก็เป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีพันภูเขาหมื่นสายน้ำกั้นขวาง หลายปีมานี้องค์หญิงใหญ่ไม่ได้พบเจอตนจะคิดถึงจนเป็นโรคทางใจ ผ่ายผอมซูบเซียวจนเอวเล็กยิ่งบางลงอีกหรือไม่?
ปีนั้นเพื่อนางแล้ว ผีตนนี้ยอมมอบชีวิตให้นางแล้วจริงๆ
มอบใจให้นางไปตั้งนานแล้ว
นางมานอนอยู่บนหลุมในใจของตนหลายปี
หึ อยากจะมอบกายให้องค์หญิงใหญ่ไปด้วยเลยจริงๆ
วันนี้ผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อมาที่หน้าประตูจวน คิดว่าจะออกไปข้างนอกสักรอบ จะไปล่องเรือเที่ยวเล่นที่เกาะจูไช หากองค์หญิงใหญ่กลับมาที่นี่ก็จะได้เห็นเงาร่างของตนที่ยืนอยู่บนฝั่งได้ทันทีเลยไม่ใช่หรือ?
หงซูคนเฝ้าประตูปลุกความกล้าถามว่า “นายท่าน อาจารย์เฉินได้เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักแห่งหนึ่งแล้วจริงๆ หรือ?”
หม่าหย่วนจื้อหยุดเดิน หลุดหัวเราะพรืด “หลอกเจ้าแล้วจะได้เงินหรือ?”
ผีสาวเอ่ยอย่างขลาดๆ “ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”
หม่าหย่วนจื้อนวดคลึงปลายคาง “ไม่รู้ว่าเรื่องราวความรักความผูกพันระหว่างข้ากับองค์หญิงใหญ่ สรุปแล้วจะได้จัดพิมพ์เป็นเล่มตำราหรือไม่”
หงซูเอ่ยอย่างเขินอาย “ยังมีเรื่องของบ่าวด้วย อาจารย์เฉินก็คัดลอกไปเหมือนกัน”
หม่าหย่วนจื้อถลึงตาใส่ “เจ้าเองก็โง่จนไร้หนทางเยียวยาแล้ว อยู่ในสถานที่แห่งความร่ำรวยอย่างจวนเหิงโปของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหลิวของพวกเรา ไม่รู้จักเสวยสุขดีๆ ดันวิ่งมาเป็นคนเฝ้าประตูในสถานที่ผีๆ ของข้านี่ ข้าล่ะแปลกใจนัก หากมีพวกบ้าตัณหาอยู่ในจวนเหิงโปจริงๆ ข้างในก็มีสตรีที่หน้าตางดงามอยู่มากมาย แต่ละคนอกใหญ่ก้นเด้งกลม ต่อให้จะกินไม่เลือกแค่ไหนก็คงไม่ถึงขั้นตาลายเลือกมาถึงเจ้าได้กระมัง หากไม่เป็นเพราะไม่มีคนยินดีมาทำงานที่นี่จริงๆ ดูสิ ด้วยสารรูปของเจ้าในเวลานี้ อย่าว่าแต่จะทำให้คนตกใจตายเลย แม้แต่ผีก็ยังถูกเจ้าทำให้ตกใจจนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก แบบนั้นข้าไม่ต้องเก็บเงินจากเจ้าอีกหรือ? ทำไมเจ้ายังมีหน้ามารับเงินเดือนจากข้าทุกเดือนอีก? ทุกครั้งก็แค่ถ่วงเวลานานไปสองสามวันค่อยจ่ายให้ เจ้ายังกล้าจะมาทะเลาะเอากับข้า เจ้าเป็นผีทวงหนี้หรือไร?”
หงซูไม่กล้าโต้เถียง
แต่ไหนแต่ไรมานายท่านหม่าก็มักจะพูดจาไม่น่าฟังอยู่เสมอ
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นนายท่านบ้านตนนี่นะ
หม่าหย่วนจื้อยกสองแขนกอดอก หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “คราวหน้าเจอกับเจ้าตะพาบแซ่เฉินผู้นั้น คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเขาอย่างไร คนหนุ่มทำตัวไม่น่าเชื่อถือจะอยู่ในยุทธภพได้อย่างไร เป็นเจ้าสำนักเป็นเซียนแล้วจะอย่างไร…”
มีคนชุดเขียวผู้หนึ่งปรากฏกายจากความว่างเปล่า ยิ้มตาหยีพูดต่อคำเขาว่า “แล้วอย่างไร?”
หม่าหย่วนจื้อเพ่งสายตามองให้แน่ชัดแล้วหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “โอ้ คุณชายเฉินมาแล้วหรือ”
เกาะทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียงกับทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้ฝึกตนผีและผีรวมกลุ่มกันอยู่เป็นจำนวนมาก ตั้งใจฝึกตนอยู่บนเกาะแทบทุกคน ไม่ค่อยออกไปข้างนอก ไม่ใช่กังวลว่าออกไปข้างนอกแล้วจะถูกคนสังหารอย่างกำเริบเสิบสาน เพราะขอแค่พกป้ายบอกสถานะของเกาะไว้ที่เอว ก็สามารถเข้าออกอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนได้อย่างไม่มีปัญหา จะได้รับการยอมรับจากทั้งสำนักเจินจิ้งและกองทัพต้าหลี ส่วนการเดินทางออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็ต้องอาศัยความสามารถของใครของมัน และก็มีผีที่หลงระเริงลืมตัว หันไปทำอาชีพเก่าที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เกิดความขัดแย้งกับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขา หากถูกสังหารก็ต้องตายไป
แต่ถึงกับยอมจ่ายเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งชดใช้ให้กับเจิงเย่ หากอิงตามคำกล่าวของสำนักเจินจิ้งก็คือยังคงเป็นการทำตามกฎขุนเขาสายน้ำของต้าหลี โทษไม่สมควรตาย หากพวกเจ้ายินดีเลิกรากันแต่เพียงเท่านี้ก็จะสามารถอธิบายเหตุผลให้กับกรมอาญาต้าหลีฟังได้
อันที่จริงตอนนั้นเจิงเย่ลังเลใจอย่างมาก ยังคงเป็นวิธีการของหม่าตู่อี๋ที่ดี ไปถามอาจารย์ผู้เฒ่าจางเข้าสิ เจ้าจะคิดหาวิธีดีๆ อะไรออก คิดว่าตัวเองเป็นอาจารย์เฉินหรือกู้ช่านกันล่ะ? ในเมื่อเจ้าไม่มีสมองก็ควรหาคนที่สมองดีๆ มาช่วยเหลือสิ
เจิงเย่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสำนักเจินจิ้งและเกาะชิงเสียยินดีปฏิบัติต่อผู้ฝึกตนผีและผีที่อยู่ปลายแถวอย่างพวกเขาเป็นอย่างดี แท้จริงแล้วก็เป็นเพราะคุณความชอบของอาจารย์เฉิน
เด็กหนุ่มจากเกาะเหมาเยว่ในอดีตอย่างเจิงเย่นี้ เกิดมาก็เหมาะกับการฝึกตนวิถีผี โอกาสและโชควาสนาที่เขาพบเจอมีมากมายหลายครั้ง อันดับแรกก็ถูกจางเย่ผู้ดูแลเกาะชิงเสียพาออกมาจากหลุมไฟ กลายมาเป็นผู้ช่วยของนักบัญชี จากนั้นก็ติดตามอยู่ข้างกายกู้ช่าน เมื่อหลายปีก่อนได้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว ทุกวันนี้จึงเป็นเหมือนผู้นำของพรรคบนภูเขาคนหนึ่ง
ก่อนที่กู้ช่านจะออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ได้มอบป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนั้นให้กับเขา แรกเริ่มเจิงเย่ยังกังวลว่าการกระทำเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับกฎของต้าหลี จึงไม่กล้าหยิบมันออกมา เพราะถึงอย่างไรการแอบอ้างใช้ป้ายสงบสุขของกรมอาญาต้าหลีก็คือโทษประหาร! ภายหลังถึงได้รู้ว่ากู้ช่านไปจัดการย้ายป้ายนั้นให้อยู่ในชื่อของเจิงเย่ที่กรมอาญาต้าหลีมาไว้ก่อนนานแล้ว เรื่องแบบนี้ หากอิงตามคำกล่าวของจางเย่ แท้จริงแล้วยากยิ่งกว่าช่วงชิงเอาป้ายสงบสุขแผ่นหนึ่งมาครองเสียอีก
ส่วนหม่าตู่อี๋ นางเป็นผี จึงอยู่ในยันต์หนังจิ้งจอกแผ่นนั้นมาโดยตลอด แล้วยังซื้อแป้งชาดผงเครื่องประทินโฉมมากองใหญ่
บ้านเกิดของอาจารย์เฉินและกู้ช่านมีเรื่องประหลาดและคนประหลาดมากมายจริงๆ พูดถึงแค่ภูเขาลั่วพั่วของอาจารย์เฉิน ตอนนั้นเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ก็ถูกแม่นางน้อยร่างผอมบางคนหนึ่งทำให้ตกใจแทบแย่ เพราะได้เห็นกับตาตัวเองว่านางกระโดดลงมาจากริมหน้าผาที่สูงมาก ร่างทั้งร่างกระแทกลงพื้นอย่างหนักหน่วง ทำให้บนพื้นดินเกิดหลุมใหญ่นับไม่ถ้วน แม่นางน้อยคนหนึ่งที่ตัวเล็กยิ่งกว่าเอาสองมือกุมหัวนั่งยองอยู่ริมขอบของหลุมใหญ่รออยู่แบบนั้น
รอกระทั่งเด็กสาวหล่นร่วงลงพื้น รองเท้าสานสองข้างที่อยู่บนเท้าก็มีเลือดสดไหลนองลงมาเป็นสาย
ภายหลังพวกเขาถึงได้รู้ว่าเด็กสาวผิวคล้ำคนนั้นมีชื่อว่าเผยเฉียน คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของอาจารย์เฉิน
เมื่อใช้วิธีการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเด็กสาวมายืนยันจนแน่ใจในสถานะคนต่างถิ่นของพวกเขาสองคน แม่นางน้อยชุดดำที่หาบคานสีทอง ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว แรกเริ่มยังระมัดระวังตัวอยู่มาก แต่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นร่าเริงสดใส บอกว่าเผยเฉียนของพวกเรากำลังถามหมัด ต้องการทุบหัวกบาลน้อยๆ ของพื้นดินให้หนักๆ !
แม่นางน้อยกระโดดโลดเต้น พูดเจื้อยแจ้วไปตลอดทาง ล้วนเป็นคำพูดที่บอกว่าเผยเฉียนร้ายกาจอย่างไรทั้งสิ้น
ผลคือถูกเผยเฉียนกดศีรษะเล็กๆ เอ่ยด้วยความหวังดีประโยคหนึ่งว่า ชายหญิงในยุทธภพอย่างพวกเรา ออกท่องยุทธภพก็แค่เพื่อผดุงความเป็นธรรม ไม่ต้องการชื่อเสียงจอมปลอม
ทำเอาเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ที่ก็ถือว่าพบเห็นอะไรมามากมาย ท่องยุทธภพมาก็ไม่น้อยมึนงงไปหมด ได้แต่หันมามองหน้ากันเองตาปริบๆ