กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 873.1 ใต้ฟ้าบนดิน
ในอาณาเขตแคว้นเมิ่งเหลียง
ทะเลเมฆของภูเขาเมฆาเรืองคือทัศนียภาพตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทะเลเมฆถูกแสงแดดสาดส่องก็ไม่ได้เป็นแค่สีทองธรรมดา แต่ยังมีปราณวิญญาณลอยอวลขึ้นมา ส่องประกายแสงห้าสี เป็นเหตุให้ถูกผู้ฝึกลมปราณขนานนามว่า ‘ของล้ำค่าบนฟ้า’ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจเข้าไปอยู่ในจารึกขุนเขาทะเลบทเสริมที่ขายดีอย่างมากในเก้าทวีปของไพศาล อีกทั้งเมฆหมอกที่แปรเปลี่ยนไปอย่างยากจะคาดเดาเหล่านั้น ในบางช่วงเวลาก็จะซุกซ่อนจิตวิญญาณที่แท้จริงเอาไว้แล้วจำแลงร่างกลายเป็นบรรพจารย์รุ่นต่างๆ ขอแค่ลูกศิษย์ของภูเขาเมฆาเรืองมีวาสนาก็จะได้พูดคุยกับพวกเขา ขอความรู้ด้านมรรคกถามาจากบรรพจารย์
เฉินผิงอันยืนอยู่เหนือทะเลเมฆ มองไกลไปยังเมืองหลวงของแคว้นเมิ่งเหลียงที่อยู่ห่างออกไป เก็บรวบการไหลรินของโชคชะตาหนึ่งแคว้นมาไว้ในคลองจักษุทั้งหมด
ภูเขาห้อยหัวเคยมีร้านเหล้าเล็กๆ ร้านหนึ่ง คือพื้นที่มงคลหวงเหลียงที่ปริแตกพังภินท์ ชื่อของพื้นที่มงคลมีความหมายแฝงว่าเมื่อได้ดื่มสุรารสเลิศแล้วก็จะเกิดความฝันหวงเหลียง (ความหมายคือฝันหวาน/ฝันดีในยามหุงข้าวหวงเหลียง) ครั้งหนึ่ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเมิ่งเหลียงหรือไม่
ถอนสายตากลับมา มองไปยังยอดเขาต่ำเตี้ยแห่งหนึ่งที่ถูกทะเลเมฆกลบทับยอดเขา
จนถึงทุกวันนี้ภูเขาเมฆาเรืองได้เปิดยอดเขาไปแล้วทั้งหมดสิบหกแห่ง ส่วนไช่จินเจี่ยนบรรพจารย์หญิงแห่งยอดเขาลวี่กุ้ย วันนี้นั่งอยู่บนเบาะ ด้านข้างคือกระถางธูปที่มีไอสีม่วงลอยกรุ่น มือหนึ่งของนางถือไม้ไผ่สมปรารถนาเก่าแก่ชิ้นหนึ่ง กำลังเปิดห้องบรรยายสอนตำราอย่างที่เคยทำ สอนมาถึงช่วงท้ายแล้ว นางจึงเริ่มช่วยอธิบายตัวอักษรให้กับพวกผู้เยาว์ในสำนักฟัง ตอนนี้กำลังอธิบายอักษรคำว่า ‘มิ่ง’ (命 ชีวิต/ออกคำสั่ง)
ตามคำอธิบายของไช่จินเจี่ยน อักษรคำว่ามิ่งสามารถแกะออกมาเป็นอักษรสามตัวคือเหริน (คน 人) อี (หนึ่ง 一) โค่ว (叩 เคาะ/ตี)
จึงอธิบายได้ว่าคนหนึ่งคนเคาะด่านก็คือการฝึกตน
การฝึกบำเพ็ญตนถามใจ เป็นด่านแห่งชีวิต เป็นตายคงอยู่หรือดับสูญ หากผู้ที่ฝึกตนไม่ถูกของนอกกายหรือสังขารถ่วงรั้ง เมื่อลืมตาขึ้นก็จะมองเห็นจักรวาลอันกว้างใหญ่
ในภูเขาเมฆาเรือง สิบหกยอดเขาซึ่งรวมถึงยอดเขาบรรพบุรุษ บรรพจารย์เซียนดินแต่ละคนที่มีคุณสมบัติในการเปิดยอดเขาต่างก็ปฏิบัติตามกฎบรรพบุรุษ ทำการเปิดจวนถ่ายทอดมรรคาตามเวลาที่กำหนด
ไม่สามารถพูดได้ว่าไร้อคติต่อคนที่อยู่ต่างสายไปเสียทั้งหมด แน่นอนว่าเคล็ดวิชาการฝึกตนบางอย่างที่เป็นกุญแจสำคัญก็มีการเก็บซ่อนไว้เป็นการส่วนตัวอยู่หลายส่วนเหมือนกัน หากไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายตัวเองก็จะเก็บเป็นความลับไม่แพร่งพราย เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับพรรคตระกูลเซียนทั่วไปก็ถือว่าเปิดเสรีมากแล้ว
บรรพจารย์บางคนก็อธิบายได้อย่างลึกซึ้งและชัดแจ้ง น่าเสียดายที่ขาดรสชาติน่าเบื่อ บรรพจารย์บางคนพูดจาน่าสนใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะพาออกนอกหัวข้อไปไกลหมื่นลี้ มักจะพูดถึงเรื่องราวน่าสนใจในขุนเขาสายน้ำและประวัติเล็กๆ น้อยๆ ของตระกูลเซียนยาวถึงหนึ่งชั่วยาม สรุปก็คือมีแค่ไม่กี่ประโยคที่ตรงประเด็น ลูกศิษย์ของยอดเขาแห่งอื่นฟังด้วยความสนุกสนาน แต่ปัญหาข้อยากและข้อสงสัยมากมายด้านการฝึกตน ก่อนจะเข้าประตูไปฟังคำบรรยายสับสนแค่ไหน ออกจากประตูมาก็ยังสนเท่ห์อยู่เท่านั้น
ส่วนยอดเขาลวี่กุ้ยของไช่จินเจี่ยน ทุกครั้งที่มีการถ่ายทอดมรรคามักจะมีคนมาร่วมฟังคำบรรยายหนาแน่น เนื่องจากการสอนของไช่จินเจี่ยน ทั้งพูดถึงเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยน่าสนใจอย่างการอธิบายตัวอักษร และยิ่งให้คำอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับด่านการฝึกตนของนาง บอกเล่าประสบการณ์ของนาง ไม่มีการเก็บอำพรางไว้แม้แต่น้อย
‘เจ้ายอดเขาไช่สั่งสอนถ่ายทอดมรรคา คำพูดลึกซึ้งแจ่มแจ้ง ถี่ห่างเหมาะสม ละอายใจที่สู้ไม่ได้’
อันที่จริงจุดที่ไช่จินเจี่ยนทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าของยอดเขาทั้งหลายทอดถอนใจที่สู้ไม่ได้อย่างแท้จริง ยังคงเป็นการไขข้อข้องใจให้ความรู้ของนาง มองลูกศิษย์ของยอดเขาอื่นเป็นเหมือนลูกศิษย์ในสายของตัวเอง ราวกับว่าขอแค่เป็นลูกศิษย์ของภูเขาเมฆาเรือง ถึงขั้นที่ว่าต่อให้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ ไช่จินเจี่ยนก็ยังปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ถือสาแม้แต่น้อยว่าจะถ่ายทอดเวทคาถาของยอดเขาลวี่กุ้ยไปให้กับคนภายนอก
ดั่งคำกล่าวที่ว่าลวี่กุ้ยภูเขาเขียว เมฆสีชาดเรืองรองหมอกหนาแน่น จวนเทพเซียนรวมกลุ่ม
สตรีเจ้าของยอดเขาผู้นี้มีสีหน้าสดชื่นปลอดโปร่ง ดั่งสายลมใต้ต้นไม้ (เปรียบเปรยถึงสตรีที่มีความสามารถ มีมาด บุคลิกดี) ช่างมีมาดแห่งเซียนล่องลอยจริงๆ
อันที่จริงปีนั้นที่ไช่จินเจี่ยนเลือกก่อตั้งจวนบนยอดเขาลวี่กุ้ย คือเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่เล็ก เนื่องจากยอดเขาแห่งนี้ถูกภูเขาเมฆาเรืองทิ้งร้างมานานหลายปี ไม่ว่าจะเป็นปราณวิญญาณฟ้าดินหรือทัศนียภาพแห่งขุนเขาสายน้ำล้วนไม่โดดเด่น ไม่ใช่ว่าไม่มีภูเขาที่ดีกว่านี้ให้นางเลือก แต่ไช่จินเจี่ยนกลับเลือกยอดเขาลูกนี้แค่แห่งเดียว
เฉินผิงอันขยับเส้นสายตาไปด้านข้างเล็กน้อย ยอดเขาแห่งหนึ่งที่เหมือนเกาะบนทะเลมีเซียนดินโอสถทองอายุน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่บนราวรั้วหยกขาว คล้ายกำลังดื่มเหล้าดับทุกข์อยู่ตรงนั้น
ดูจากชุดคลุมอาคมบนร่างของอีกฝ่ายทำให้จำได้ว่าเขาคือหวงจงโหวแห่งยอดเขาเกิงอวิ๋นของภูเขาเมฆาเรือง
ก่อนที่แต่ละคนจะสร้างโอสถทองได้ หวงจงโหวกับไช่จินเจี่ยนเคยได้รับการยอมรับว่าเป็นคู่กุมารทองกุมารีหยก มีหวังว่าจะกลายเป็นคู่รักเทพเซียนของภูเขาเมฆาเรืองมากที่สุด
ชุดคลุมอาคมบนร่างของเขาคือสมบัติพิทักษ์ภูเขาที่ได้รับการสืบทอดมาอย่างยาวนาน มีชื่อว่า ‘ไฉ่หลวน’
เฉินผิงอันทะยานลมพลิ้วกายลงบนยอดเขาเกิงอวิ๋น หวงจงโหวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วก็คร้านจะซักไซ้เอาผิดกับการกระทำอันไร้มารยาทที่คนต่างถิ่นคนหนึ่งไม่เดินเข้ามาทางประตูภูเขา เซียนดินหนุ่มเอาแต่ดื่มเหล้าอยู่กับตัวเอง เพียงแต่ว่าไม่ได้มองไปยังจวนเซียนแห่งหนึ่งที่อยู่บนภูเขาบรรพบุรุษด้วยสายตาเหม่อลอยอีกแล้ว
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนราวรั้ว หยิบเหล้าอีกาครวญกาหนึ่งออกมา
หวงจงโหวหันหน้ามามองกาเหล้าในมือของอีกฝ่าย ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เหล้านี่ไม่ได้เรื่อง”
หวงจงโหวบิดหมุนข้อมือหนึ่งครั้งก็มีเหล้าชุนคุ่นของภูเขาเมฆาเรืองเพิ่มมาหนึ่งกา โยนไปให้แขกไม่ได้รับเชิญที่เขาไม่รู้จัก “ดื่มของข้านี่”
เฉินผิงอันรับกาเหล้ามา เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ แกะผนึกดินออก แหงนหน้ากระดกดื่มอึกใหญ่
เหล้าหนึ่งเหยือกในฟ้าดิน ล้วนเป็นบ้านเกิดแห่งความเมามาย
หวงจงโหวแนะนำตัวเอง “หวงจงโหวแห่งยอดเขาเกิงอวิ๋น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว”
หวงจงโหวเกือบจะพ่นสุราออกจากปาก เขายกหลังมือเช็ดมุมปาก หันขวับมามองคนผู้นั้น ไม่ว่าจะมองซ้ายหรือมองขวาก็ล้วนผิดปกติ จะอย่างไรก็ไม่ใช่เซียนกระบี่หนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วคนนั้น ทว่าการแต่งกายนับว่าพอจะเลียนแบบได้อย่างเข้าท่าเข้าที หวงจงโหวยิ้มเอ่ย “สหายช่างเป็นคนไร้คุณธรรม ทำให้เหล้าดีๆ กานี้ของข้าต้องเสียเปล่า ดื่มเหล้าหมดแล้วก็รีบไสหัวไปเถอะ”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ค่อนข้างใคร่รู้อยู่เรื่องหนึ่ง ปีนั้นคนที่ไปตามหาโชควาสนาที่ถ้ำสวรรค์หลีจู เหตุใดถึงเป็นเทพธิดาไช่ ไม่ใช่พี่หวงที่คุณสมบัติดียิ่งกว่า”
ผู้ฝึกลมปราณของภูเขาเมฆาเรือง รากฐานในการฝึกตนก็คือสยบจิตวานรที่ไม่อยู่นิ่งและรั้งม้าพยศในใจเอาไว้ให้ได้
ตอนนั้นไช่จินเจี่ยนไปเที่ยวเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู แสวงหาของนอกกายอย่างพวกสมบัติอาคม และยิ่งแสวงหาโชควาสนาตระกูลเซียน
น่าเสียดายที่ไช่จินเจี่ยนในเวลานั้น แม้กระทั่งข้อที่ว่าแท้จริงแล้วจิตวานรม้าพยศคืออะไรก็ดูเหมือนว่านางจะยังไม่เข้าใจเลย
ในสายตาของเฉินผิงอัน เซียนดินอายุน้อยที่ภาพบรรยากาศของโอสถทองดีเยี่ยมคนนี้ ต่อให้จะถูกพันธนาการด้วยความรัก แต่เมื่อเทียบกับไช่จินเจี่ยนแล้วก็ยังคงเป็นหวงจงโหวที่เหมาะจะลงจากภูเขาไปเสี่ยงดวงที่ต้าหลีมากกว่า
หวงจงโจวใช้สองมือถือประคองกาเหล้า กระตุกมุมปาก “สหายคนนี้แสร้งว่าตัวเองเป็นเซียนกระบี่จนติดใจอย่างนั้นหรือ? รีบดื่มเหล้าซะ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องลงมือไล่คนแล้ว ระวังว่าดื่มเหล้าไปหนึ่งกาจะต้องอาเจียนออกมาสองกา”
เจ้าขุนเขาคนปัจจุบันของภูเขาเมฆาเรืองคือบรรพจารย์หญิงที่ไม่ค่อยชอบปรากฏกายสักเท่าไร บรรพจารย์อีกสองคนที่เหลือซึ่งเป็นผู้ดูแลอย่างแท้จริง คนหนึ่งดูแลกฎระเบียบของสำนัก อีกคนหนึ่งดูแลคลังสมบัติเงินทอง
อาจารย์ผู้มีพระคุณของไช่จินเจี่ยนคือคนที่ดูแลเงิน ส่วนผู้ถ่ายทอดมรรคาของหวงจงโหวก็คืออาจารย์ผู้คุมกฎของภูเขาเมฆาเรือง
ฝ่ายแรกอบรมปลูกฝังไช่จินเจี่ยนอย่างที่เรียกได้ว่าทุ่มเทเต็มกำลัง กล่าวได้ว่าทุ่มหมดหน้าตัก ตอนนั้นภูเขาเมฆาเรืองรวบรวมเงินเหรียญทองแดงแก่นทองถุงหนึ่งมาได้ ตัวเลือกของคนที่จะได้ไปค้นหาโชควาสนาที่ถ้ำสวรรค์หลีจูก็เคยมีการทะเลาะถกเถียงกันครั้งใหญ่มาก่อน หวงจงโจวที่คุณสมบัติดีกว่า เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมยิ่งกว่า เพียงแต่ว่าหวงจงโหวเองไม่สนใจ กลับกันยังโน้มน้าวอาจารย์ของตัวเองให้ปล่อยโอกาสนี้ไป
แต่พออยู่นอกภูเขา การรับรองต้อนรับขับสู้ผู้อื่น หวงจงโหวกลับเปลี่ยนไปเป็นอีกโฉมหน้าหนึ่ง
รอกระทั่งไช่จินเจี่ยนหวนกลับมาที่สำนักด้วยสองมือว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเหตุใดจิตแห่งมรรคาของนางคล้ายจะได้รับบาดเจ็บสาหัส วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตและการฝึกตนเจอแต่อุปสรรคลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ในสภาวะที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อาการร่อแร่เหมือนคนปางตาย เดือดร้อนให้อาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาของนางถูกคนในศาลบรรพจารย์ดูแคลน ทุกครั้งที่มีการประชุมก็ต้องทนรับฟังคำเหน็บแนมเสียจนเต็มกลืน
คาดไม่ถึงว่าผ่านไปได้ไม่นาน ไช่จินเจี่ยนก็คล้ายกับสติปัญญาเปิดกว้างกะทันหัน เข้าใจเรื่องหนึ่งก็เข้าใจเรื่องอื่นๆ ที่เหลือ ค่อยๆ เดินขึ้นไปสู่ที่สูงบนเส้นทางการฝึกตน ประหนึ่งผ่าลำไม้ไผ่ ปิดด่านสร้างโอสถทองก่อน จากนั้นด่านในการฝึกตน ปมปัญหาข้อยากที่แม้กระทั่งบรรพจารย์หลายยุคหลายสมัยของภูเขาเมฆาเรืองก็ยังจนปัญญากลับถูกไช่จินเจี่ยนคลี่คลายไปได้ทีละข้อ เป็นเหตุให้เวทคาถาชั้นสูงในศาลบรรพจารย์หลายบทของภูเขาเมฆาเรืองได้รับการชดเชยให้สมบูรณ์ได้มาก
อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดมรรคาให้กับไช่จินเจี่ยนพลันเงยหน้าอ้าปากได้ด้วยความภาคภูมิใจ มีครั้งหนึ่งอาจารย์และศิษย์พูดคุยแลกเปลี่ยนความในใจกัน ผู้เฒ่าเปิดเผยความลับสวรรค์ บอกว่าปีนั้นเพียงแค่ได้มองนางปราดเดียวก็เลือกนางเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดทันที แล้วก็เคยช่วยทำนายให้นางมาก่อน ได้เซียมซีบนบน (บนหมายถึงดี บนบนจึงหมายถึงว่าดีมาก) ได้รับคำทำนายมาแปดคำ ‘พังก่อนแล้วค่อยหยัดยืนขึ้นใหม่ ประหนึ่งมีเทพช่วย’
หลังจากไช่จินเจี่ยนฟังไปแล้วก็แค่ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
สำหรับความลับในบ้านตัวเองเหล่านี้ หวงจงโหวย่อมไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว เขาชอบดื่มเหล้า แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ดื่มเหล้าไปน้อยนิดแค่นี้แล้วจะเปิดใจกับคนนอกคนหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าคนต่างถิ่นชุดเขียวจะยิ้มเอ่ย “อาเจียนออกมาสองกาแล้วค่อยดื่มลงไปอีกสองกา? หากรับรองแขกเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเจรจาอย่างมีมารยาทก่อนแล้วค่อยใช้กำลังทีหลังแล้ว”
หวงจงโหวจุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ เพราะเคยได้ยินไช่จินเจี่ยนเล่าว่า คนรุ่นเยาว์ที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ขนบธรรมของพวกชาวบ้านเรียบง่ายบริสุทธิ์อย่างมาก เมื่อได้รับการกล่อมเกลามาเป็นระยะเวลายาวนาน แต่ละคนจึงพูดเก่งไม่แพ้กัน คนที่อยู่ข้างกายผู้นี้ก็พูดจาน่าสนใจมาก หรือว่าจะเป็นคนรุ่นเยาว์ที่มีชาติกำเนิดมาจากเมืองเล็กจริงๆ?
เฉินผิงอันเหลือบมองไปยังยอดเขาตันติ่งที่เป็นภูเขาบรรพบุรุษแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “ดูเหมือนว่าต่อให้เทพธิดาไช่จะเลื่อนเป็นก่อกำเนิด ช่วยรวบรวมกำลังคนและโชคชะตาส่วนหนึ่งมาให้กับภูเขาเมฆาเรืองได้ ทว่าโชคชะตาของสำนักก็ยังไหลออกไปภายนอกไม่หยุดนิ่ง เวลาผ่านไปเกือบสามสิบปีแล้ว พวกเจ้ายังหาสมบัติพิทักษ์ภูเขาที่สามารถรวบรวมโชคชะตาไม่ได้อีกหรือ? หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ระวังว่าจะมีจุดจบเป็นภายนอกเหมือนได้ครอบครองหยกและทอง แต่แท้จริงแล้วภายในกลับมีแต่ปุยหลิวแตกๆ”
ภูเขาเมฆาเรืองแห่งหนึ่ง หมื่นหุบเขาพันหน้าผา บ้านบนภูเขาที่เงียบสงบ ชุดผ้ารองเท้าสาน พักพิงบำรุงกายใจ ยามว่างมองน้ำไหลบุปผาร่วงโรย
รากฐานมรรคกถาของสำนักก็คือผู้ฝึกลมปราณได้เลื่อนสู่สภาวะที่กายใจสงบนิ่งเย็นสบาย แสวงหาเมฆาเรืองเมฆหมอกอบอวล เข้าใจกระจ่างแจ้ง หล่อหลอมความเป็นวารีและเมฆา
สุดท้ายฝึกตนสำเร็จเหยียบย่างเมฆาเรือง สามภูเขาล้วนเป็นบ้านข้า
หวงจงโหวยกมือขึ้นนวดคลึงขมับ ไอ้หมอนี่พูดจาวางโตไม่เบา
ปีนั้นราชสำนักต้าหลีคัดเลือกเซียนดินมากลุ่มใหญ่ ให้พวกเขาเดินขึ้นหอบินทะยานไปด้วยกัน
ไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรืองก็มีชื่อติดอยู่ในรายชื่อนั้นพอดี และการแสดงออกของนางก็ค่อนข้างเหนือจากการคาดการณ์ของทุกคน เดิมทีบรรพจารย์หลายคนของที่บ้านต่างก็ไม่เห็นดีในตัวนาง คิดว่าการที่ไช่จินเจี่ยนสามารถเลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง เปิดยอดเขาอยู่ที่ภูเขาเมฆาเรืองได้ก็ถือว่าน่าเหลือเชื่อมากพอแล้ว ไม่คิดว่าชั่วชีวิตนี้นางจะยังสามารถเลื่อนเป็นก่อกำเนิดได้
คิดไม่ถึงว่าไช่จินเจี่ยนจะทำให้คนต้องมองนางใหม่อีกครั้ง นางประคับประคองตัวได้ถึงสุดท้าย และนางก็ได้เหลือบตามองไปเห็นประตูสวรรค์บานนั้น
ต้องรู้ว่าต่อให้อยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์มากมาย แต่ละคนล้วนถือว่าเป็นตัวอ่อนด้านการฝึกตนระดับสูงสุดของแจกันสมบัติทวีป ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยหลิงแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียน หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้า สุยโย่วเปียนที่ตอนนั้นยังเป็นผู้ฝึกตนของสำนักเจินจิ้ง เจียงอวิ้นแห่งสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ฯลฯ ไม่ว่าจะยกใครออกมาสักคนก็ล้วนเป็นอัจฉริยะที่ไช่จินเจี่ยนมิสามารถเทียบเคียงได้ หลังจบเรื่องก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ลูกรักแห่งสวรรค์เหล่านี้ไม่ได้ทำให้ทุกคนผิดหวัง ต่างก็เลื่อนขั้นเป็นสิบคนรุ่นเยาว์หรือไม่ก็ตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ของแจกันสมบัติทวีป
ตามกฎศาลบรรพจารย์ของภูเขาเมฆาเรือง ได้เลื่อนเป็นโอสถทอง นอกจากจะได้เปิดยอดเขาแล้ว ยังสามารถยกระดับความอาวุโสในทำเนียบขุนเขาสายน้ำได้อีกหนึ่งขั้น สมมตว่าพัฒนาไปอีกขั้น โชคดีได้กลายเป็น ‘เทพเซียนผู้เฒ่า’ ก่อกำเนิด ระดับความอาวุโสก็จะยกสูงขึ้นอีก ส่วนการสืบทอดระหว่างอาจารย์และศิษย์ที่ถือว่าเป็นสายดั้งเดิมของตัวเองก็ค่อยคิดแยกกันไป
ดังนั้นรอกระทั่งไช่จินเจี่ยนกลับมาถึงสำนัก ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์ก็ได้เปลี่ยนเก้าอี้ของนางจากที่เป็นโอสถทองก่อนหน้านี้ กลายมาเป็นบรรพจารย์หญิงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของภูเขาเมฆาเรืองแล้ว
บรรพจารย์ไช่ในภูเขา เทพธิดาไช่นอกภูเขา เป็นที่ยอมรับว่าเดินสองก้าวก็ก้าวขึ้นสวรรค์
ปีนั้นเมื่อไช่จินเจี่ยนลงมาจากหอบินทะยาน นางก็เคยเดินไปหยุดอยู่นอกโรงเรียนเก่าที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนของอำเภอไหวหวงเพียงลำพัง
เคอจวี่มีคำกล่าวที่ว่า ‘ปีเดียวกัน’ เนื่องจากเซียนดินกลุ่มใหญ่ได้เดินขึ้นหอบินทะยานไปพร้อมกัน ในขอบเขตเล็กๆ กลุ่มคนที่ถูกชะตากันก็มีความสัมพันธ์ควันธูปของบนภูเขาที่คล้ายคลึงกับ ‘ปีเดียวกัน’ นี้อยู่เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คู่หนึ่งของสำนักเจินจิ้งอย่างศิษย์พี่ชายสุ้ยอวี๋และศิษย์น้องหญิงเหนียนจิ่ว เดิมทีทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย ทว่าภายหลังต่อมากลับมีการคบค้าสมาคมกับทั้งไช่จินเจี่ยนและภูเขาเมฆาเรือง ส่วนผู้ฝึกกระบี่สองคนที่ชื่อจริงคือเหวยกูซูและเหวยเซียนโหยวก็ยิ่งเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนกระบี่ใหญ่เหวยอิ๋งเจ้าสำนักกุยหยกคนปัจจุบันของใบถงทวีป
นั่นคือบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีคุณสมบัติได้เข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋นเชียวนะ คือผู้นำเซียนซือของหนึ่งทวีปอย่างสมศักดิ์ศรี
เส้นทางการเดินขึ้นเขาฝึกตนหากช้าหนึ่งก้าวก็มักจะช้าไปทุกก้าวเช่นนี้เสมอ คนเปรียบเทียบกับคนก็ชวนให้คนโมโหตายจริงๆ
โชคดีที่หวงจงโหวไม่คิดจะเอาตัวเองไปเปรียบอะไรกับไช่จินเจี่ยน
เฉินผิงอันยื่นเหล้าอีกาครวญกาหนึ่งส่งไปให้ “ต่อให้รสชาติจะธรรมดามากแค่ไหนก็ยังเป็นสุรา”
หวงจงโหวใช้ฝ่ามือปัดสุรากานั้นกลับไปเบาๆ โคลงศีรษะยิ้มเอ่ย “จิตใจคนยากจะคาดเดา เจ้ากล้าดื่มเหล้าของข้า แต่ข้ากลับไม่กล้าดื่มเหล้าของเจ้า ทำไม เจ้ามีใจให้กับเทพธิดาไช่ของพวกเราจึงมาเยือนเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงของนางมานานแล้ว? วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่ศัตรูหัวใจของเจ้าหรอก แต่พูดกันตามจริงสักคำ สหายเจ้ามีขอบเขตเป็นประตูมังกร คาดว่าพ่อแม่ของไช่จินเจี่ยนคงไม่เห็นอยู่ในสายตา แน่นอนว่าหากสหายสามารถทำให้ไช่จินเจี่ยนหลงรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็นได้ก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว”
ไช่จินเจี่ยนที่เป็นเจ้าของยอดเขาลวี่กุ้ยคือทายาทของคู่รักตระกูลเซียนตามแบบฉบับของบนภูเขา พ่อแม่ล้วนเป็นผู้ฝึกตน ดังนั้นนางที่ถือกำเนิดมาจึงเท่ากับเป็นคนบนภูเขาครึ่งตัว
เพียงแต่ว่าพ่อแม่ของนางต่างก็ขอบเขตไม่สูง คนหนึ่งขอบเขตประตูมังกร คนหนึ่งขอบเขตชมมหาสมุทร ในศาลบรรพจารย์ก็มีแต่เก้าอี้ของบิดานาง
ดังนั้นทุกครั้งที่มีการประชุม ไช่จินเจี่ยนจะรู้สึกอึดอัดอย่างมาก เพราะบิดานางนั่งอยู่ใกล้กับประตูใหญ่ แต่นางที่เป็นบุตรสาว ทุกวันนี้ตำแหน่งที่นั่งกลับเป็นรองแค่เจ้าขุนเขาและบรรพจารย์ผู้คุมกฎเท่านั้น ถือว่านั่งขนาบซ้ายขวาคู่กับอาจารย์แล้ว