กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 873.3 ใต้ฟ้าบนดิน
ครั้งนั้นติดตามหอบินทะยาน ‘บินทะยาน’ ไป คนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือสวี่หุนแห่งนครลมเย็นที่สวมเสื้อเกราะโหวจื่อ แม้จะแค่ฝ่าทะลุขอบเขตขั้นเดียว แต่กลับได้เลื่อนจากก่อกำเนิดเป็นหยกดิบ
ทว่าคนที่น่าเสียดายมากที่สุดก็คือหลิวป้าเฉียวที่เดินขึ้นสู่ทะเลเมฆ ได้มองเห็นประตูใหญ่พร้อมกับสวี่หุน
อันที่จริงขาดอีกนิดเดียวเขาก็จะมีโอกาสได้เลื่อนขอบเขตติดต่อกันสองขั้น สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ ทว่าทั้งๆ ที่หลิวป้าเฉียวได้ก้าวออกไปก้าวใหญ่แล้ว ไม่รู้ทำไมถึงได้ถอยกลับมาก้าวเล็กๆ อีกหนึ่งก้าว
หลิวป้าเฉียวสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่
หลังจากที่ศิษย์พี่เดินทางไกลไปยังเปลี่ยวร้าง สวนลมฟ้าก็มีผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดอย่างเขาแค่คนเดียวแล้ว
หลิวป้าเฉียวไม่ถนัดที่จะจัดการดูแลกิจธุระทั้งหลาย งานทุกอย่างจึงยกให้พวกลูกศิษย์และศิษย์หลานไปดูแล ซ่งเต้ากวง ไจ้เสียง สิงโหย่วเหิง หนันกงซิงเยี่ยน ผู้ฝึกกระบี่สี่คนนี้ต่างก็อายุน้อยมาก โอสถทองสองคนอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ อีกคนหนึ่งเป็นประตูมังกร และอีกคนที่เป็นชมมหาสมุทรก็ย่อมอายุน้อยยิ่งกว่า
หากไม่ผิดไปจากที่คาด ตัวเลือกเจ้าสำนักของสวนลมฟ้าคนถัดไปก็จะต้องเลือกมาจากคนรุ่นเยาว์สี่คนนี้
ส่วนหลิวป้าเฉียวที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด เขาทั้งไร้ใจแล้วก็ไร้กำลัง
บางครั้งหลิวป้าเฉียวก็นึกอยากจะเอาขอบเขตของตนยกให้กับเจ้าเด็กสิงโหย่วเหิงนั่นนัก
ขอแค่ทำได้ หลิวป้าเฉียวจะทำโดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่ครั้งเดียว
แน่นอนว่าอย่าเห็นว่าเวลาปกติสิงโหย่วเหิงเอ้อระเหยลอยชาย แท้จริงแล้วเขาเองก็เหมือนกับศิษย์พี่ที่เย่อหยิ่งโอหังอย่างมาก ไม่มีทางรับไว้แน่นอน
ส่วนพวกตาแก่ทั้งหลายของสวนลมฟ้าที่นิสัยดุร้าย พูดจาไม่น่าฟัง กลับไม่มีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ แค่ตั้งใจฝึกกระบี่อย่างเดียวเท่านั้น ช่วงชิงอำนาจไขว่คว้าผลประโยชน์? นับตั้งแต่ที่สวนลมฟ้าก่อตั้งมาก็ไม่มีคำกล่าวเช่นนี้มาก่อน
หากพวกผู้เฒ่าเจอกับหลิวป้าเฉียวโดยบังเอิญก็จะด่าอย่างไม่ไว้หน้า ไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย หากไม่ทันระวัง แม้แต่หลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสำนักก็ยังเดือดร้อนโดนด่าไปด้วย
ก็แค่ว่าพวกเขาเอาชนะหลิวป้าเฉียวไม่ได้ หรือไม่ควรจะบอกว่าไล่ตามหลิวป้าเฉียวที่ขี่กระบี่หนีไม่ทัน ไม่อย่างนั้นก็คงถอดพื้นรองเท้าเอาไปวางไว้บนหน้าหลิวป้าเฉียวแล้ว
ถึงอย่างไรทุกครั้งที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ฝึกกระบี่ได้ไม่ราบรื่นก็จะต้องไปหาหลิวป้าเฉียวที่ขัดหูขัดตา ในเมื่อขัดหูขัดตา ไม่ไปด่าเขาถึงบ้านสักสองสามประโยคจะไม่เสียเปล่าแย่หรอกหรือ
ในฐานะหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของแจกันสมบัติทวีป ลำดับรายชื่อของหลิวป้าเฉียวกลับถดถอยลงมาเรื่อยๆ ไม่หยุด ตอนแรกก็เป็นเซี่ยหลิงแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่ตามมาทัน ภายหลังก็ถูกอาจารย์ลุงของหม่าขู่เสวียน อวี๋สืออู้ผู้ฝึกตนสำนักการทหารเบียดให้ไปอยู่ข้างหลัง
‘ป้าเฉียวอ่า จะให้ข้าเรียกเจ้าว่านายท่านใหญ่หลิวก็ได้นะ คนรุ่นเยาว์สิบคน คนรุ่นเยาว์สิบคน มีแค่สิบคนนะ ไม่ใช่ร้อยคน’
‘อาจารย์ลุงพูดผิดแล้ว ข้ายังสามารถถอยไปอยู่ตัวสำรองสิบคนได้อีกนะ’
ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี ‘ตั้งใจฝึกกระบี่หน่อยได้ไหม? ก็แค่ก่อกำเนิดที่ต้องเลื่อนเป็นหยกดิบไม่ใช่หรือ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว หากเปลี่ยนให้อาจารย์ลุงอย่างข้าที่เป็นก่อกำเนิด…’
หลิวป้าเฉียวรีบประจบเอาใจอาจารย์ลุงขอบเขตโอสถทองผู้นั้นทันที ‘เป็นก่อกำเนิดอะไร หากอาจารย์ลุงเป็นขอบเขตหยกดิบยังอยุติธรรมกับท่านเลย’
‘เจ้าตะพาบน้อย รีบยื่นหน้ามาเสียดีๆ อาจารย์ลุงคันมือแย่แล้ว’
หลิวป้าเฉียวตอบตกลงกับศิษย์พี่ไว้แล้วว่าจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนภายในร้อยปี
หากศิษย์พี่ไม่สามารถกลับมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ หลิวป้าเฉียวยังต้องพยายามเลื่อนขั้นให้เป็นขอบเขตเซียนเหริน หากทำสำเร็จก็ถือว่าเขามีคำอธิบายที่พอฟังขึ้นให้กับสวนลมฟ้าแล้ว
หลิวป้าเฉียวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที หันหน้าไปมองทิศไกล
ซูเจี้ยได้สถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงกลับคืนมาแล้ว
ได้ยินว่าดูเหมือนนางจะไปอยู่บนภูเขาเดียวดายเล็ก แต่ก็ไปที่ยอดเขาจูอวี๋ด้วย
นอกจากฝึกกระบี่แล้ว หลิวป้าเฉียวก็มักจะแอบลงจากภูเขาไปเป็นระยะ ไปยังร้านหนังสือที่อยู่ในเมืองของแคว้นเล็กใต้อาณัติราชวงศ์จูอิ๋งเก่าร้านนั้น คนที่ขายหนังสือเคยเป็นหญิงสาวที่รูปโฉมธรรมดาคนหนึ่ง นางในเวลานั้นชื่อว่าเหอเจี๋ย
หลังจากนางจากไป หลิวป้าเฉียวก็ซื้อร้านหนังสือเอาไว้ แล้วเก็บทุกอย่างไว้ดังเดิมไม่ไปแตะต้อง
ต่อให้ทุกครั้งจะเพียงแค่ไปมองร้านที่ประตูถูกปิดเอาไว้ ไม่ได้เปิดประตูเดินเข้าไปข้างใน หลิวป้าเฉียวก็ยังสบายใจขึ้นได้หลายส่วน
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ เรื่องของการฝึกกระบี่ ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนจะทำไปเพื่อไม่ให้อาจารย์ผิดหวัง ภายหลังเพื่อไม่ให้ศิษย์พี่ดูแคลนมากเกินไป ทุกวันนี้ก็เพื่อสวนลมฟ้า แล้วหลังจากนี้ล่ะ?
หลิวป้าเฉียวไม่รู้
ดูเหมือนว่าจะมีเพียงชอบสตรีผู้นั้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นตราบจนวันสุดท้าย
น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะของหลิวป้าเฉียว “นี่ เซียนกระบี่ใหญ่หลิว คิดถึงใครอยู่หรือ?”
หลิวป้าเฉียวโน้มตัวไปด้านหน้า เงยหน้าขึ้น เห็นบุรุษชุดเขียวคนหนึ่งนั่งอยู่ริมชายคา ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า น่าเตะยิ่งนัก
“โอ้ นี่มันเซียนกระบี่ใหญ่เฉินไม่ใช่หรือ โชคดีที่ได้พบ โชคดีที่ได้พบ”
หลิวป้าเฉียวรีบโบกมือทักทาย “ระวังหน่อยนะ นิสัยของผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าของพวกเราไม่ค่อยดี คนนอกบุกเข้ามาในที่แห่งนี้โดยพลการ ระวังจะถูกล้อมฟันกระบี่ใส่เล่า”
กับเฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องวางตัวห่างเหินอะไร
แล้วนับประสาอะไรกับที่สวนลมฟ้าเองก็ไม่มีพิธีรีตองยิบย่อยในการต้อนรับแขกอยู่แล้ว
ถึงอย่างไรตลอดทั้งปีก็มีแขกอยู่แค่ไม่กี่คน เพราะสหายของผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้ามีไม่มาก ถึงอย่างไรคนที่ดูแคลนไม่เห็นอยู่ในสายตาก็มีมากกว่า
เฉินผิงอันกระโดดเบาๆ ลงมาจากหลังคา เดินก้าวหนึ่งก็ขึ้นมาอยู่บนราวระเบียง โยนเหล้ากาหนึ่งให้กับหลิวป้าเฉียว คนทั้งสองนั่งลงบนราวรั้วพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หลิวป้าเฉียวแหงนหน้ากระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ยกชายแขนเสื้อเช็ดปาก ยิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงห่างจากคราวก่อนที่พบกันก็แค่ไม่กี่ปีเท่านั้น เวลายี่สิบสามสิบปีบนภูเขาจะนับเป็นอะไรได้ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่าพวกเราสองคนไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วเลยล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยสัพยอก “เกือบจะจำเจ้าไม่ได้แล้วเชียว ทำไม ตอนนี้พวกเทพธิดาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็ชื่นชอบบุรุษปล่อยตัวกันแล้วหรือ?”
หลิวป้าเฉียวยิ้มหน้าทะเล้น “ลมใบไม้ร่วงพัดเอวบางของหลิวหลาง (หลางเป็นคำเรียกแทนบุรุษ) ยากจะเลี้ยงเนื้ออ้วนฤดูใบไม้ร่วง (หลังจากเข้าฤดูใบไม้ร่วง ชาวบ้านจะต้องใช้วิธีการตุ๋นเนื้อเพื่อชดเชย ‘เนื้ออ้วน’ ของบนร่างที่หายไปตอนฤดูร้อนกลับมา) กลับมาได้อีกอย่างไรเล่า”
หลิวป้าเฉียวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “เจ้าต้องระวังไว้หน่อยจริงๆ นะ ที่แห่งนี้ของพวกเรามีแม่นางน้อยคนหนึ่งชื่อหนันกงซิงเยี่ยน รูปโฉมงามสะคราญ ทว่านิสัยกลับฉุนเฉียวดุร้ายไปสักหน่อย คราวก่อนชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ดวงตาสองข้างของแม่นางน้อยเป็นประกาย ทุกวันนี้นางจะต้องมีคำพูดที่พูดติดปากอยู่ทุกวัน นั่นคือ ‘ใต้หล้านี้ถึงกับมีบุรุษที่หล่อเหลาสง่างามถึงเพียงนี้ด้วยหรือ?!’ เซียนกระบี่เฉิน ต้องถามเจ้าแล้วว่ากลัวหรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด เขาเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ของเจ้าจะไปที่เปลี่ยวร้างแล้ว ทุกวันนี้อยู่ที่ท่าเรือรื่อจุ้ย ถูกชะตากับเหวยอิ๋งแห่งสำนักกุยหยกมาก”
ได้ยินว่าหวงเหอหยุดอยู่ที่ซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงไม่นาน พูดคุยกับเว่ยจิ้นผู้ฝึกกระบี่บ้านเดียวกันสองสามประโยคก็ไปที่รื่อจุ้ยทันที แต่พอหวงเหอไปถึงท่าเรือก็บอกกับผู้ฝึกตนที่เฝ้าท่าเรืออย่างชัดเจนว่า เขาจะใช้สถานะของผู้ฝึกตนอิสระมาออกกระบี่เพียงลำพัง แต่ภายหลังดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนใจแล้ว รับหน้าที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ไม่ได้บันทึกชื่อของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีกองหนึ่งเป็นการชั่วคราว
ทางฝั่งของรื่อจุ้ย นอกจากซูจื่อและหลิ่วชีแล้ว ยังมีซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลี เหวยอิ๋งแห่งสำนักกุยหยก
เฉินผิงอันเชื่อมาโดยตลอดว่าไม่ว่าจะเป็นหลี่ถวนจิ่งหรือหวงเหอ อาจารย์และศิษย์คู่นี้ หากเกิดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผลสำเร็จบนวิถีกระบี่จะต้องสูงมากอย่างแน่นอน
ไม่แน่ว่าอาจสามารถยืนเคียงบ่ากับพวกเซียนกระบี่ใหญ่อย่างหมี่ฮู่ เยว่ชิงได้
หลิวป้าเฉียวถามอย่างใคร่รู้ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าศิษย์พี่ของข้าอยู่ที่ท่าเรือรื่อจุ้ย ถึงขั้นที่ว่าเรื่องที่เขาถูกชะตากับเหวยอิ๋งเจ้าก็ยังรู้ด้วย? เจ้าหนูเจ้ามีตาทิพย์หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าก็เดาเอาเองสิ”
สวนลมฟ้าไม่มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเป็นของตัวเอง ไม่ได้สร้างรายงานขุนเขาสายน้ำขึ้นมาเอง ไม่ได้มีการไปมาหาสู่ที่เกินความจำเป็นกับผู้อื่น และเรื่องการทำการค้ากับภายนอกก็มีข้อจำกัดสูงมาก
ในสายตาของคนนอก สวนลมฟ้านั้นตัดขาดกับโลกภายนอกไปแล้ว เอาแต่ฝึกตนอย่างไร้รสชาติน่าเบื่อหน่าย นอกจากฝึกกระบี่ก็ยังเป็นฝึกกระบี่
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์หลายสิบคน บวกกับลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ และพวกผู้ดูแล นักการ สาวใช้ที่คอยช่วยจัดการกิจธุระทางโลกทั้งหลาย รวมๆ กันแล้วก็มีแค่สองร้อยกว่าคนเท่านั้น
ตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษสวนลมฟ้า สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ของการถ่ายทอดวิถีแห่งกระบี่ ไม่ใช่สถานที่ที่จะเลี้ยงดูคนว่างงาน
ภูเขาลูกอื่น ทุกครั้งที่ผู้ฝึกลมปราณฝ่าทะลุขอบเขต โดยทั่วไปแล้วศาลบรรพจารย์จะต้องมอบเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งให้เป็นรางวัล ทว่าในสวนลมฟ้ากลับไม่มีคำกล่าวนี้ สิ่งที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างทั้งหมดจำเป็นต้องใช้ในการหลอมกระบี่ วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินที่ต้องเผาผลาญไป สามารถเบิกเป็นเงินเทพเซียนกับสวนลมฟ้าล่วงหน้าได้ หลังเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางแล้วก็จำเป็นต้องคืนเงิน ลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ แน่นอนว่าหากพวกผู้อาวุโสในสายกระบี่ยินดีควักเงินส่วนนี้ สวนลมฟ้าก็ไม่ห้าม
ราชวงศ์ล่างภูเขาหลายแห่งที่อยู่ใกล้กับสวนลมฟ้า นอกจากตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ส่งมอบมาให้กับสวนลมฟ้าแล้ว ยังเป็นฝ่ายเสนอตำแหน่งผู้ถวายงาน เค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อมาให้ด้วย ถือว่าเป็นเงินเดือนก้อนที่ไม่เล็กเลยทีเดียว ต่อให้ปีนั้นหลี่ถวนจิ่งไปจากโลกนี้แล้วก็ยังไม่มีราชวงศ์ล่างภูเขาและแคว้นใต้อาณัติแห่งใดที่กล้าถอดยศผู้ฝึกกระบี่ หักเงินเทพเซียนเหล่านั้นไปโดยพลการ
นั่นเป็นเพราะความเคารพยำเกรงที่มีต่อผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าได้ซึมลึกเข้าไปในกระดูกแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่ของสวนลมฟ้าไม่ว่าจะชายหรือหญิง นอกจากมีความต่างด้านขอบเขตสูงต่ำแล้ว นอกจากนี้ก็เหมือนแกะสลักนิสัยออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
ออกกระบี่อย่างตรงไปตรงมา แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน ทำอะไรรวดเร็วฉับไว
เคยมีผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งถูกคนฟันแขนทั้งสองข้างระหว่างการฝึกประสบการณ์ อีกฝ่ายจงใจปล่อยให้เขามีชีวิตรอด
หลังจากหลี่ถวนจิ่งผู้เป็นเจ้าสวนสอบถามเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้วก็พกกระบี่ลงจากภูเขาไปเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังภูเขาใหญ่ที่เป็นของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแค่ฟันแขนสองข้างของคนสิบสองคนในศาลบรรพจารย์ของอีกฝ่ายจนครบถ้วน
ราชวงศ์จูอิ๋งเก่าที่เคยถูกขนานนามว่ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ เป็นอันดับหนึ่งในทวีป แต่กระนั้นก็ยังไม่มีผู้ฝึกกระบี่คนใดกล้าออกหน้ามาช่วยพูดแทน
ต้องรู้ว่าหลี่ถวนจิ่งยังตั้งใจไปที่ชานเมืองหลวงของจูอิ๋งโดยเฉพาะ เขาไปรอคอยอยู่ที่ท่าเรือของที่นั่นนานถึงสามวันเต็ม รอให้คนอื่นมาถามกระบี่
หลิวป้าเฉียวถาม “ทำไมถึงคิดอยากจะมาสวนลมฟ้าของพวกเราล่ะ? จะอยู่นานแค่ไหน?”
เฉินผิงอันกล่าว “เดี๋ยวก็จะไปแล้ว”
หลิวป้าเฉียวเอ่ยสัพยอก “กลัวแม่นางน้อยคนหนึ่งจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าจำไว้ว่าถ้ามีเวลาว่างก็ไปภูเขาลั่วพั่วบ้าง ข้าต้องไปเยือนนครมังกรเฒ่าแล้ว”
หลิวป้าเฉียวสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเสี้ยวหนึ่งจึงพยักหน้ารับ ไม่ได้รั้งตัวเฉินผิงอันเอาไว้
ซากปรักนครมังกรเฒ่า ทั้งในและนอกเมืองที่ในอดีตใหญ่โตโอฬารเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจต่างก็กำลังถูกสร้างขึ้นใหม่ อยู่ในช่วงของการก่อสร้าง ฝุ่นคลุ้งเสียดังอึกทึก
เพียงแต่ว่าถนนยาวร้อยลี้ที่เคยอยู่ในนามของซุนเจียซู่ หอเติงหลง ทะเลเมฆบนฟ้า ร้านยาฮุยเฉินในตรอกเล็ก รวมไปถึงสระดอกบัวสิบลี้ที่เซียนกระบี่ใหญ่หมี่คิดถึงคำนึงหา ย่อมไม่เหลืออยู่แล้ว
ในขณะที่ม่านราตรีแผ่ปกคลุมไปทั่วไพศาล ใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับเป็นเวลากลางวัน
เวลานี้เฉินผิงอันยืนอยู่ริมชายหาดของทะเลทักษิณ มองดูเหมือนหลับตาทำสมาธิ แต่แท้จริงแล้วกำลังเปิดภาพม้าวิ่งแห่งกาลเวลาภาพหนึ่ง จึงได้เห็นฉากสายฟ้านั้นกับตาตัวเอง
หลังลืมตาขึ้น เฉินผิงอันก็หวนกลับขึ้นเหนือทันที เลือกบ้านเกิดตัวเองเป็นจุดหมายปลายทาง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ไปยืนอยู่บนบันไดขั้นบนสุดของตรอกฉีหลง
พอดีกับที่เมืองเล็กของบ้านเกิดเพิ่งมีฝนใหญ่ตกลงมาจากฟ้า ร่วงหล่นลงมายังพื้นดิน
ศึกที่ภูเขาทัวเยว่ปิดฉากลงไปแล้ว กระบี่สังหารบินทะยานขั้นสูงสุด
เฉินผิงอันเดินลงไปตามขั้นบันไดช้าๆ
น้ำฝนหยดน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนที่หล่นลงบนพื้นไหลลงมาตามขั้นบันไดราวกับไล่หลังคนชุดเขียวมา
เฉินผิงอันยื่นนิ้วมากดหว่างคิ้ว เดินไปได้ครึ่งทางก็พลันหยุดเดิน เขาหันไปมองร้านยาตระกูลหยางก่อน แล้วจึงหันไปมองภูเขาลั่วพั่ว
ต่อให้จะมีสายฝนเทกระหน่ำ ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ นั่งเฝ้าประตูใหญ่อยู่ที่ตีนเขาเพียงลำพัง
หมี่ลี่น้อยคล้ายจะรู้สึกเบื่อเล็กน้อยจึงโคลงศีรษะไปมาอยู่ตรงนั้น กำลังพึมพำกับตัวเอง แต่ก็เหมือนว่ากำลังโอ้อวดบารมีกับใคร มือหนึ่งของนางถือคานหาบสีทอง อีกมือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่า จิ้มๆ ชี้ๆ ไปยังม่านฝน บอกว่าเจ้าคงมองไม่ออกสินะ อันที่จริงข้านิสัยร้ายกาจมากๆ เลยล่ะ อารมณ์ฉุนเฉียวนิดหน่อย ดุดันจนผู้คนขวัญหนีดีฝ่อ เชื่อหรือไม่ว่าฟาดคานหาบทีเดียวก็ทำให้เจ้าล้มลงไปกองกับพื้นได้แล้ว ฟาดไม้ไผ่ทีเดียวก็ซ้อมให้เจ้ากลายเป็นหัวหมูได้เลย ช่างเถิดๆ ครั้งนี้ก็ช่างเถอะ แต่ห้ามให้มีคราวหน้าอีกนะ ไม่สู้มาปรึกษากันดีกว่า พวกเราทั้งสองฝ่ายต้องรู้จักจำแล้วก็ต้องรู้จักระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นเอาแต่สร้างปัญหาให้คนอื่น ย่อมไม่เหมาะสม อีกอย่างพวกเราต่างก็ท่องอยู่ในยุทธภพ ต้องสามัคคีปรองดองกันสิ รบราฆ่าฟันกันนั้นไม่ดี ใช่หลักการเหตุผลนี้หรือไม่? ดี ในเมื่อเจ้าไม่ปฏิเสธ ข้าก็จะคิดว่าเจ้าฟังเข้าใจแล้ว…
แม่นางน้อยชุดดำพลันหยุดพูด ยู่ใบหน้าเล็กๆ ขมวดคิ้วเล็กสีจางทั้งสองข้าง หยุดนิ่งไม่ขยับ
หรือว่าศัตรูจะมาแก้แค้นถึงบ้านแล้ว?
แม้กระทั่งฝนก็ยังหยุดตกไปด้วย? ดูท่าตบะของอีกฝ่ายจะสูงมาก จะทำอย่างไรดี?
เฉินผิงอันยิ้มถาม “อะไรกัน? ดุดันขนาดนี้เชียว?”
หมี่ลี่น้อยเงยหน้าพรวด ก่อนจะหัวเราะฮ่าๆ ที่แท้ก็เจ้าขุนเขาคนดีเองหรือนี่
เฉินผิงอันลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย ถามเสียงเบา “ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิ ไปสร้างปัญหาให้คนอื่นได้อย่างไร?”
หมี่ลี่น้อยแบกคานหาบสีทองไว้บนบ่า ใช้ไม้เท้าเดินป่าทิ่มพื้น ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรๆ ข้าก็แค่แต่งเรื่องราวในยุทธภพที่เต็มไปด้วยสีสันน่าสนใจเท่านั้น”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองแม่น้ำสายหนึ่งที่อยู่เมืองหงจู๋
หมี่ลี่น้อยรีบยื่นมือไปกระตุกชายเสื้อของเจ้าขุนเขาคนดีเอาไว้ ถามว่า “แทะเมล็ดแตงไหม?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ยื่นมือออกไป หมี่ลี่น้อยรีบเปิดกระเป๋าสะพายใบน้อยที่ทำจากผ้าฝ้ายออกทันที ใช้สองมือควักเมล็ดแตงออกมากำใหญ่ รอจนเจ้าขุนเขาคนดีรับเมล็ดแตงไปแล้ว นางก็วิ่งตะบึงไปยกเก้าอี้ไม้ไผ่มาสองตัว หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก นั่งเคียงกัน แทะเมล็ดแตงด้วยกัน
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม ถามว่า “เจ้าขุนเขาคนดี จะกลับมาบ้านเมื่อไหร่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “อีกเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว รอให้ข้าแกะสลักตัวอักษรตัวหนึ่งที่หัวกำแพงเมืองเสร็จก่อน”