กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 875.1 ทางหนีทีไล่ปะทะทางหนีทีไล่
เฉินผิงอันมาที่อาณาเขตทางเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากเส้นทางสายหนึ่งที่ศาลบุ๋นบุกเบิกขึ้นใหม่แล้ว ทางสายอื่นๆ ที่เหลือล้วนราบเป็นหน้ากลอง ทอดสายตามองไปไกลก็ไม่เหลือสิ่งใดสักอย่าง
ลู่เฉินเผยกาย เดินเล่นเคียงบ่ากับเฉินผิงอันไปบนเส้นทางที่ไม่มีคำว่าทัศนียภาพใดๆ ให้พูดถึง
นครแห่งหนึ่งที่ผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ร้านเหล้าตั้งเรียงราย และจวนเซียนกระบี่นอกเมืองที่กระจัดกระจายไปตามจุดต่างๆ ล้วนไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
หอเซียนปลูกต้นอวี๋เคยมีเซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งที่ชอบปลูกดอกไม้ ไหว้วานให้หอหลิงจือภูเขาห้อยหัวทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อต้นอวี๋โบราณมาจากฝูเหยาทวีป ย้ายมาปลูกในเมืองเล็ก คงเป็นเพราะน้ำและดินไม่ถูกกัน จึงมิอาจทนรับปราณกระบี่ที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งได้ แห้งเหี่ยวโรยรามานานหลายปี คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ ปีหนึ่งก็พลันมีบุปผาเบ่งบาน สูงเหนือหลังคาบ้าน งดงามจนมิอาจบรรยาย
เพียงแต่รอกระทั่งเซียนกระบี่ขู่เซี่ยแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้หวนกลับคืนมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้ง ทั้งสตรีและดอกไม้ต่างก็ไม่อยู่แล้ว
คลังเจี่ยจ้างที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยอาศัยคุณความชอบในการสู้รบแลกเปลี่ยนมา เรือนว่านเฮ้อที่ลี่ไฉ่เช่าไว้ ทุกครั้งที่เจอกับแสงจันทร์ก็จะมีเสียงต้นสนดังซู่ๆ ดุจเสียงคลื่น รวมไปถึงหอถิงอวิ๋นที่นางจ่ายเงินซื้อมาไว้ ตลอดทั้งหอเรือนถึงกับแกะสลักมาจากหยกก้อนใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่ง
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ขยุ้มดินเล็กน้อยมาขยี้
ลู่เฉินได้มอบกวานดอกบัวกลับคืนไปให้อิ่นกวานหนุ่มอีกครั้ง
การแกะสลักตัวอักษรบนหัวกำแพงเมืองได้เผาผลาญจิงชี่เสินไปอย่างมหาศาล ตอนนี้จึงยังไม่เหมาะจะคืนมรรคกถาให้กับเขา ยังต้องรออีกครู่หนึ่ง
ถึงอย่างไรลู่เฉินก็ไม่รีบร้อนกลับไปยังใต้หล้ามืดสลัว ไปแล้วก็ต้องถูกศิษย์พี่อวี๋รังเกียจ โชคดีที่อาจารย์ได้บอกไว้แล้วว่าไม่ต้องให้เขาไปสังหารพวกเทวบุตรมารนอกโลกที่ฆ่าอย่างไรก็ไม่หมดสิ้นที่ฟ้านอกฟ้า ต้องคอยจ้องตากันไปมา ไม่อย่างนั้นลู่เฉินก็คงต้องหาข้ออ้างเหมาะๆ สักข้อเที่ยวเล่นอยู่ในไพศาลอีกสักสามสี่ปี ก็เหมือนกับอิ่นกวานหนุ่มข้างกายผู้นี้ คนเดินไปถึงที่ไหน ที่นั่นก็เป็นร้านผ้าห่อบุญ ถ้าอย่างนั้นแผงของผินเต้าวางไว้ตรงไหนจะไม่อาจดูดวงได้บ้างเล่า?
ลู่เฉินเห็นว่าเฉินผิงอันยังไม่คิดจะลุกขึ้นยืนจึงนั่งลงไปบนพื้น หยิบเอาหินแตกขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่งที่เก็บมาจากมุมกำแพงออกมาจากชายแขนเสื้อ
เดินทางมาท่องเที่ยวไพศาลครั้งนี้ หากอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่เฉินผิงอัน เจ้าลัทธิลู่ก็คงจะหามุมมืดมุมหนึ่งของหัวกำแพงเมืองแกะสลักตัวอักษรขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันว่า ‘ลู่เฉินเคยมาเที่ยวเยือนที่นี่’ แล้วก็เผ่นหนีไป
ลู่เฉินยกมือขึ้น “ไม่ถือสากระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ลู่เฉินหยิบมีดตัดกระดาษไผ่เหลืองเล่มหนึ่งออกมา เอามาทำเป็นมีดแกะสลัก สุดท้ายลู่เฉินก็แกะสลักตราประทับเปล่าลักษณะเรียวยาวออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วจึงใช้นิ้วมือปาดลงไปตรงมุม เป่าลมลงไปให้เศษหินปลิวกระจาย
เฉินผิงอันถาม “ที่ฟ้านอกฟ้า เทวบุตรมารนอกโลกจัดการได้ยากขนาดนั้นเลยหรือ?”
ถึงขั้นที่มรรคาจารย์เต๋าต้องสร้างป๋ายอวี้จิงที่ ‘สูงตระหง่านเสียดฟ้า’ ขึ้นมาเพื่อใช้ต้านทานการรุกรานอย่างไร้ขอบเขตสิ้นสุดที่เทวบุตรมารนอกโลกมีต่อใต้หล้ามืดสลัว
ลู่เฉินพยักหน้า สองนิ้วคีบมีดตัดกระดาษ กำลังแกะสลักริมขอบของตราประทับ เนื้อหาคร่าวๆ เป็นบันทึกเกี่ยวกับการเดินทางมาเยือนเปลี่ยวร้างระหว่างตนกับอิ่นกวานหนุ่ม สิ่งที่ได้พบเห็นมาตลอดทาง พอได้ยินคำถามนี้ ลู่เฉินก็เผยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ยาก ยากมากจริงๆ ผินเต้าไปแล้วก็ต้องเหนื่อยเปล่าอยู่ดี ก่อไฟหุงข้าวทำกับข้าว เป็นเรื่องที่เปลืองแรงเปล่า ดังนั้นเต้ากวานของป๋ายอวี้จิงล้วนมองมันเป็นงานเหนื่อยยากมาโดยตลอด เพราะมีแต่จะผลาญตบะ ไม่มีประโยชน์ใดๆ ให้พูดถึง ผู้ฝึกตนที่ขอบเขตต่ำกว่าบินทะยาน รับมือกับเทวบุตรมารนอกโลกที่แปรเปลี่ยนได้สารพัดรูปแบบก็คือการหอบฟืนไปดับไฟ จิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนไม่มั่นคงมากพอ ขอแค่มีช่องโหว่หรือจุดด่างพร้อยสักเล็กน้อยก็จะกลายเป็นเหยื่อบนมหามรรคาของเทวบุตรมาร ไม่ต่างจากการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้ามืดสลัวมีบินทะยานอายุมากจำนวนไม่น้อยที่ให้ตายอย่างไรก็ฝ่าคอขวดไปไม่ได้ คิดอยากจะแอบไปเสี่ยงดวงที่ฟ้านอกฟ้า ไม่มีหนึ่งในหมื่นอะไรทั้งนั้น ทุกคนล้วนกายดับมรรคาสลายเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น หากไม่ตายอยู่ที่ฟ้านอกฟ้า ถูกเทวบุตรมารนอกโลกจับมาเล่นอยู่ในกำมืออย่างสนุกสนาน ก็ต้องตายใต้คมกระบี่ของศิษย์พี่อวี๋”
“ศิษย์พี่อวี๋เคยมีสหายสนิทที่เจอกันล่างภูเขาสามคน ทั้งสี่คนขึ้นเขาฝึกตนในเวลาไล่เลี่ยกัน ต่างก็เป็นผู้ฝึกตนที่คุณสมบัติดีเยี่ยม พอได้เจอกันก็ถูกชะตากันมาก สุดท้ายคนทั้งสี่จึงเป็นสหายรักที่ร่วมทุกข์มาด้วยกัน ภายในเวลาพันปีก็เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานด้วยกัน มีเพียงศิษย์พี่อวี๋ที่เข้าไปอยู่ในป๋ายอวี้จิง ขอบเขตบินทะยานอีกสามคนที่เหลือ คนหนึ่งคือปรมาจารย์ใหญ่สายยันต์ และยังมีคู่รักอีกคู่หนึ่ง คนหนึ่งเป็นอาจารย์ค่ายกล คนหนึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ เจ้าพอจะจินตนาการได้หรือไม่ว่าในช่วงเวลานั้น พวกศิษย์พี่อวี๋จะมีปณิธานฮึกเหิมเพียงใด?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เดินไปด้วยกันบนมหามรรคา เดินกร่างไปทั่วหล้าก็ยังไร้ศัตรูทัดทาน”
หลิวเสี้ยนหยาง จางซานเฟิง จงขุย หลิวจิ่งหลง…
เฉินผิงอันก็เคยจินตนาการถึงภาพที่ตนและเหล่าสหายออกท่องเที่ยวไปทั่วหล้า เจอน้ำข้ามน้ำ เจอภูเขาปีนภูเขา เจอกับเรื่องที่ไม่เป็นธรรมก็หยุดเท้า ให้โลกมนุษย์มีเรื่องที่ทำให้คนไม่เป็นสุขน้อยลงไปเรื่องหนึ่ง
“อืม ฉายาผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของศิษย์พี่อวี๋ก็เริ่มแพร่ออกมาตอนช่วงเวลานั้นนั่นแหละ ฉายประกายคมกริบ บุกไปที่ใดที่นั่นก็ราบเป็นหน้ากลอง ในฐานะลูกศิษย์คนที่สองของมรรคาจารย์เต๋า อยู่ท่ามกลางเจ้านคร เจ้าหอ เทียนจวินและเซียนกวานมากมายของป๋ายอวี้จิง คือคนคนเดียวที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับกล้าพูดว่าตัวเองคือผู้บรรลุมรรคาที่สามารถเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างมั่นคง ทุกครั้งที่ศิษย์พี่อวี๋ออกไปแล้วหวนกลับมาที่ป๋ายอวี้จิงอีกครั้งก็จะต้องพกเรื่องเล่าเป็นกระบุงโกยกลับมาที่ห้านครสิบสองหอเรือนด้วย”
ก็เหมือนอย่างอาเหลียงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ อิ่นกวานหนุ่ม รวมไปถึงหนิงเหยาแห่งนครบินทะยานใต้หล้าห้าสีในยุคหลัง
“เวลานานวันเข้า คนก็ลือกันไปทั้งเมือง กลายเป็นว่า ‘ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง’ เป็นฉายาที่ศิษย์พี่อวี๋แต่งตั้งให้กับตัวเอง ศิษย์พี่เองก็คร้านจะอธิบายอะไร คาดว่าคงยิ่งรู้สึกว่าตำแหน่ง ‘ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง’ ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นของในกระเป๋าของเขาอยู่แล้ว ก็แค่ว่าถูกคนเรียกกันเร็วกว่าที่คิดไว้ไม่กี่พันปีเท่านั้น จะนับเป็นอะไรได้”
“น่าเสียดายที่มีสองคนในกลุ่ม คนหนึ่งตายไปที่ฟ้านอกฟ้า ตอนนั้นศิษย์พี่อวี๋ไม่ได้ขัดขวาง มิอาจตัดใจปล่อยกระบี่ใส่สหายรักได้ จึงจงใจปล่อยผ่านไป ด้วยเหตุนี้ยังถูกพวกขุนนางประวัติศาสตร์ของป๋ายอวี้จิงกล่าวโทษ ร้องเรียนไปถึงถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวาของท่านอาจารย์ ส่วนอีกคนหนึ่งตายใต้คมกระบี่ของศิษย์พี่อวี๋ เหลือแค่คนเดียว แล้วก็เพราะว่าคนรักตายด้วยน้ำมือของศิษย์พี่อวี๋ นางจึงกลายเป็นศัตรูคู่แค้นกับศิษย์พี่อวี๋ไปอย่างสิ้นเชิง เป็นเหตุให้ทุกๆ หลายร้อยปี เรื่องแรกที่นางทำหลังออกจากด่านในทุกครั้งก็ถือถามกระบี่ต่อป๋ายอวี้จิง ทำอะไรโดยใช้อารมณ์ ทั้งที่รู้ดีว่าสู้ไม่ได้แต่ก็ยังจะสู้”
“เวทกระบี่และมรรคกถาทั้งหมดบนโลกใบนี้ได้แค่สยบเทวบุตรมารเท่านั้น รักษาที่ปลายเหตุไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ จึงไม่อาจขจัดภัยร้ายนี้จากต้นตอได้ ศิษย์พี่สองคนของผินเต้า และยังมีศิษย์น้องของนักพรตซุน ทั้งสามคนนี้ต่างก็เลือกเส้นทางกันคนละเส้น ล้วนเคยพยายามหาวิธีที่เหนื่อยครั้งเดียวสบายไปได้ตลอด”
“ยกตัวอย่างสองเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรแล้วกัน เจ้าสามารถมองเทวบุตรมารนอกโลกทั้งหมดเป็นการรวมตัวกันของเวทคาถาบางอย่าง หรือมองเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบห้าคนหนึ่งที่สามารถ ‘สลายมรรคา’ ‘ผสานมรรคา’ ได้ตามใจชอบ”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “ดูเหมือนลัทธิพุทธจะมีคำกล่าวที่ว่าความจริงมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง”
ลู่เฉินพยักหน้า “ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าเทวบุตรมารทำลายกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง”
“วิธีการของศิษย์พี่เจ้าลัทธิคือสร้างหุนอี๋ (ลูกทรงกลมท้องฟ้าแบบวงล้อ ใช้วัดตำแหน่งปรากฏของวัตถุท้องฟ้า) และหุนเซี่ยง (ลูกทรงกลมท้องฟ้า ใช้เป็นลูกทรงกลมที่แสดงตำแหน่งดาวตามในแผนที่ดาวบนผิวทรงกลม) ทำให้เกิดเวทบนฟ้าปรากฏการณ์บนดินได้อย่างแท้จริง พยายามที่จะยืนยันความเป็นเอกลักษณ์ของเทวบุตรมารนอกโลกทุกตน อนุญาตให้มีขอบเขตที่พร่าเลือนในระดับแน่นอน เพียงแต่ว่ากระบวนการนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ไม่ต่างจากการอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวมานับเม็ดทรายในแม่น้ำลำคลองให้ครบทุกเม็ด แต่ศิษย์พี่เจ้าลัทธิก็ยังทุ่มเทสติปัญญาทำเรื่องนี้อย่างระมัดระวังมาหลายพันปี วันหน้ารอให้เจ้าไปเป็นแขกที่ป๋ายอวี้จิง ผินเต้าสามารถพาเจ้าไปดูหุนอี๋และหุนเซี่ยงนั่นได้”
ลู่เฉินพูดถึงศิษย์พี่สองคน คำเรียกขานมีความต่างกันอยู่บ้าง คนหนึ่งเรียกว่าศิษย์พี่เจ้าลัทธิ อีกคนหนึ่งเรียกว่าศิษย์พี่อวี๋
ราวกับว่าในสายตาของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนี้ นักพรตที่มีคุณสมบัติจะถูกเรียกเป็น ‘เจ้าลัทธิแทนอาจารย์’ ได้อย่างแท้จริง ยังคงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็น ‘บุคคลสูงส่งผู้ไร้ความเห็นแก่ตัว’ คนนั้นเท่านั้น
“ความคิดของศิษย์น้องเจ้าอารามซุนยิ่งน่าตะลึงพรึงเพริดมากกว่า ต้องการสืบเสาะไปถึงต้นกำเนิดของเทวบุตรมารนอกโลก เตรียมจะใช้เทวบุตรมารจัดการกับเทวบุตรมารกันเอง เพียงแต่ว่าการกระทำนี้มีข้อห้ามมากมาย หากแพร่ออกไปก็มีความเป็นไปได้มากกว่าจะชักนำหายนะที่มิอาจประมาณการณ์ได้มาให้แก่โลกมนุษย์ ศิษย์พี่ซิ่วหู่ของเจ้าแอบสร้างคนกระเบื้องขึ้นมา ก็ยิ่งเกินกว่าเหตุเข้าไปใหญ่ แม้จะบอกว่าวิธีการไม่เหมือนกัน แต่แท้จริงแล้วกลับรุดหน้าไปได้มากกว่าฝ่ายแรกหนึ่งขั้น เท่ากับว่าเป็นการลงมือทำอย่างแท้จริงแล้ว”
“วิธีการของศิษย์พี่อวี๋ข้ากลับเรียบง่ายและหยาบกว่ามาก เขารู้สึกว่าขอแค่มรรคกถาของตัวเองสูงมากพอ พลังการสังหารเพียงพอก็จะสามารถบีบให้เทวบุตรมารนอกโลกมารวมตัวกันได้มากขึ้น จนจำต้องมีแนวโน้มว่าจะรวมเป็นหนึ่งมากขึ้น จากนั้นเขาก็จะรวบแหจัดการทีเดียว จะสยบกำราบ กักขังและหล่อหลอมพวกมัน เท่านี้ก็ถือว่ากระทำบุญกุศลเสร็จสมบูรณ์แล้ว เมื่อบุญกุศลพร้อมถึงสามพันประการ ก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นอริยะ กลายเป็นขอบเขตสิบห้าคนที่สองตามหลังอาจารย์ ราคาที่ต้องจ่ายก็คือต้องทำให้ป๋ายอวี้จิงว่างลงเพื่อนำมาใช้เป็นกรงขังของเทวบุตรมารนอกโลก ศิษย์พี่อวี๋วางแผนทำเรื่องนี้มานานแล้ว ต้องการขอโองการฉบับหนึ่งมาจากท่านอาจารย์ ให้ท่านรับปากว่าจะให้เขาหลอมป๋ายอวี้จิงเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ใช้ฟ้าดินสองแห่งอย่างป๋ายอวี้จิงและภูเขาสายน้ำเรือนกายมนุษย์ ร่วมกับกระบี่เซียน ‘เต้าจ้าง’ และห้าร้อยหลิงกวานมารับผิดชอบคอยลาดตระเวนภูเขาสายน้ำ อาศัยสิ่งนี้มากักขัง หลอมสังหารเทวบุตรมารนอกโลกทั้งหมด”
“อาจารย์มีท่าทีที่ไม่ชัดเจนกับการกระทำนี้ของศิษย์พี่อวี๋มาโดยตลอด ดูเหมือนว่าจะไม่สนับสนุน แต่ก็คล้ายว่าจะไม่คัดค้านด้วย”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ทำไมถึงเรียกการก่อกวนอาละวาดของเทวบุตรมารนอกโลกว่าเป็นอุทกภัย?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “วันหน้ารอให้เจ้าได้ออกไปเยือนฟ้านอกฟ้าก็ลองสืบหาความจริงด้วยตัวเองแล้วกัน”
“พวกผู้ฝึกตนอย่างเราๆ ยิ่งอยู่ใกล้กับยอดเขามากเท่าไรก็ยิ่งอยู่ห่างจากโลกมนุษย์มากเท่านั้น รอกระทั่งกว่าจะเดินไปใกล้ยอดเขาสูงสุดหรือยืนอยู่บนยอดเขาได้อย่างไม่ง่าย เมื่อเดินขึ้นสู่ที่สูงมองไปไกลอีกก็ย่อมเรียนรู้ที่จะทะนุถนอมทุกคำว่า ‘ไม่รู้’ ไม่อย่างนั้นชีวิตการฝึกตนก็จะไม่มีความบันเทิงใดๆ ให้กล่าวถึงอีก”
“ก่อนหน้านี้ตบะของเจ้าเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ สามารถปีนเขาข้ามแม่น้ำได้ตามใจปรารถนา ท่องเที่ยวไปได้ทั่วแจกันสมบัติทวีป เชื่อว่าเจ้าน่าจะเข้าใจเรื่องหนึ่งแล้ว การขึ้นที่สูงมองไปไกล ยิ่งสูงเท่าไรก็ยิ่งมองได้ไกลมากเท่านั้น อาณาเขตที่มีขอบเขตจำกัดแห่งหนึ่งจะทนการมองซ้ำได้สักกี่ทีกัน? ต่อให้ใต้หล้าใหญ่แค่ไหน ถึงอย่างไรก็มีขอบเขตสิ้นสุด ทัศนียภาพแบบเดียวกันมองมากเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองซ้ำปีแล้วปีเล่า มองไปนานหลายพันปีก็จะยิ่งทำให้คนรู้สึกเหนื่อยล้า ในใจเกิดความเกียจคร้านเบื่อหน่าย”
ในที่สุดลู่เฉินก็แกะสลักตัวอักษรริมขอบและตัวอักษรด้านล่างของตราประทับสองชิ้นเสร็จ “จากลากันครั้งนี้ ต่างคนต่างอยู่คนละฟากฟ้า รอให้พบเจอกันคราวหน้า คาดว่าอย่างน้อยสุดก็ต้องร้อยปี หรืออย่างมากสุดก็หลายร้อยปี ไม่มีจำนวนที่แน่ชัด”
หากเฉินผิงอันไม่ได้ออกเดินทางไกลในครั้งนี้ ขอบเขตไม่ได้ถดถอย เชื่อว่ารออีกไม่นานเขาก็จะสามารถพกกระบี่บินทะยาน ออกเดินทางไกลไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว ตามหาโอกาสเหมาะๆ ในการเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้แล้ว
ตอนนี้หมดหวังแล้ว
ลู่เฉินโยนตราประทับชิ้นหนึ่งให้เฉินผิงอันเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เก็บตราประทับไว้คนละชิ้น เอาไว้เป็นของที่ระลึก”
เฉินผิงอันรับตราประทับมา ด้านใต้ตราประทับสลักเป็นคำว่าเปิดตำราข้าได้ตามใจ
ก่อนหน้านี้เหลือบมองไปก็เห็นว่าอักษรด้านใต้ของตราประทับอีกชิ้นหนึ่งก็มีตัวอักษรห้าตัวเช่นกัน มอบใจให้แก่ผู้กล้า
พวกผู้เชี่ยวชาญด้านยันต์ทั้งหลายที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ต่างก็เป็นผู้มีชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับจากบนภูเขา ผลงานที่รังสรรค์ขึ้นตอน ‘อยู่ว่าง’ ทุกชิ้น หากมี ‘ความภาคภูมิใจ’ อยู่สักสองสามส่วนก็จะถูกตระกูลเซียนทั่วไปนำไปทำเป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขาโดยตรง
“ทักษะและประสบการณ์ชีวิต เกี่ยวพันกับร้อยสำนัก ล้วนเป็นพรสวรรค์ที่เหนือกว่ากำลังคน มีเพียงเรื่องการแกะสลักตราประทับที่สวรรค์ห้าคนห้า”
คนที่พูดจาแบบนี้ได้ต้องเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองถึงเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า ‘สวรรค์ห้าคนห้า’ มองดูเหมือนถ่อมตัว แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างสูง
และคนผู้นี้ก็คือเจ้าลัทธิลู่ที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันนั่นเอง
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ แล้วจึงเก็บตราประทับใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างผึ่งผาย
ลู่เฉินพูดถึงที่วางพู่กันปะการังแดงที่ได้มาจากนครอวี้ป่านชิ้นนั้นขึ้นมาอีก คำพูดไม่ได้วกวนอ้อมค้อมอีกแล้ว แต่บอกตรงๆ ว่าใต้เท้าอิ่นกวานเชิญเปิดราคามาได้เลย นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงต้องการของชิ้นนี้มากเพียงใด
มองดูเหมือนว่าเฉินผิงอันไม่ได้ให้ความสำคัญกับของชิ้นนี้มากนัก จะมีหรือไม่มีก็ได้ เขาจึงไม่ได้ปฏิเสธที่จะทำการค้า เพียงแค่ให้ลู่เฉินเปิดราคามาก่อน อีกทั้งยังให้ราคาได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากราคาเหมาะสมก็จะขาย ไม่เหมาะสมก็เลิกตอแยได้แล้ว วันหน้าจะเอาไปวางไว้ที่ภูเขาลั่วพั่วปล่อยให้ฝุ่นเกาะก็แล้วกัน
ลู่เฉินกลับเป็นคนที่ต้องปวดหัวแทน
อีกทั้งอยู่ร่วมกับผิงอันนานวันเข้าจึงรู้ว่าเขาไม่มีความคิดที่จะรอให้ได้ราคาสูงก่อนค่อยขายอะไร หากบอกว่าไม่ขายก็คือไม่ขายจริงๆ
เฉินผิงอันเห็นว่าลู่เฉินมีสีหน้าลำบากใจจึงยิ้มถามว่า “ก่อนจะเปิดราคา ไม่สู้ลองเล่าประวัติความเป็นมาของที่วางพู่กันปะการังแดงชิ้นนั้นก่อนดีไหม?”