กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 877.2 ต่างคนต่างมีท่าเรือ
เจิ้งจวีจงเคยรับปากชุยฉานว่าจะช่วยปกป้องมรรคาให้ศิษย์น้องเล็กของเขาระยะทางหนึ่ง
หากนี่ยังไม่ใช่การปกป้องมรรคาอีก แล้วแบบไหนจึงจะใช่?
ชุยตงซานเอ่ยอย่างอัดอั้น “คนบางคนก็ดีแต่รังแกที่อาจารย์ข้าอายุน้อย ขอบเขตไม่สูง”
เจิ้งจวีจงหยุดเดิน
ไม่ถือสาที่ชุยตงซานพูดจากระทบกระเทียบ ก็แค่รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ของชุยตงซานพูดเหมือนคนอ่อนแอเกินไป
คนอ่อนแอไม่ใช่ว่าร่างกายบอบบาง มือเท้าไร้กำลัง ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาในสายตาของคนบนภูเขา แล้วก็ไม่ใช่คนกลางภูเขาในสายตาของผู้ฝึกตนบนยอดเขา
แต่เป็นคนที่เวลาเจอเรื่องอะไรก็ตามแต่ มักจะชอบหาข้ออ้าง เป็นเพราะนิสัยใจคอของคนคนนั้นอ่อนแอเกินไป
ชุยตงซานชูสองมือขึ้น “ถือว่าข้าผายลมก็แล้วกัน”
น้อยครั้งนักที่ต้องสะอึกอึ้งพูดไม่ออกเช่นนี้
ใครให้เจ้าคนที่อยู่ข้างกายก็คือเจิ้งจวีจงเล่า
อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดมรรคาให้กับเจิ้งจวีจงอย่างเฉินจั๋วหลิวคนพิฆาตมังกร ต่อให้เขายินดีออกกระบี่ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะปกป้องอาณาเขตของหลงโจวได้อย่างครอบคลุมขนาดนี้
ในความเห็นของชุยตงซาน คนที่คู่ควรจะถูกเรียกว่าเป็นผู้บรรลุมรรคาที่มีพร้อมทั้งป้องกันและโจมตีอย่างแท้จริง มีน้อยจนนับนิ้วได้ เจ้านครจักรพรรดิขาวยึดครองตำแหน่งหนึ่งในนั้นไปได้อย่างมั่นคง
ชุยตงซานสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ถามว่า “ในเมื่อเรื่องราวก็ยุติลงแล้ว ยังจะเดินเล่นอยู่ที่นี่อีกหรือ?”
เจิ้งจวีจงกล่าว “ข้ากำลังรอทางหนีทีไล่อย่างที่สองของเฉินผิงอันอย่างหลี่ซีเซิ่ง แต่เฉินผิงอันก็ยังใจอ่อนเกินไป ทั้งไม่ยินดีจะขอร้องข้า แล้วก็ไม่ยินดีจะถ่วงเวลาการฝึกตนของหลี่ซีเซิ่ง ก็เลยได้แต่ทำการค้ากับข้าแทน”
คนผู้หนึ่งที่ตบะและศักยภาพไม่สามารถใช้ขอบเขตสูงต่ำ ไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปมาประเมินได้
หลิ่วชื่อเฉิงผู้เป็นศิษย์น้องเคยนำความของหลี่ซีเซิ่งมาบอกต่อแก่ตน
เจิ้งจวีจงจึงรอคอยอย่างยิ่งที่จะได้เล่นหมากล้อมกับหลี่ซีเซิ่ง
ชุยตงซานถาม “หากอาจารย์ของข้าขอร้องท่าน จะเป็นอย่างไร?”
เจิ้งจวีจงกล่าว “ยังจะเป็นอย่างไร ข้าไม่มีทางตอบตกลง”
จู่ๆ ซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งก็มาโผล่ด้านหลังคนทั้งสอง เอามือหนึ่งกดหัวชุยตงซานแล้วผลักออกไปด้านข้าง ยื่นมือมาคว้าแขนเจิ้งจวีจงเอาไว้ หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “อาจารย์เจิ้ง อาจารย์เจิ้ง โปรดหยุดก่อน ไป กลับไปดื่มชากัน”
เจิ้งจวีจงหยุดเดิน ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “อาจารย์เหวินเซิ่ง ชาคงไม่ดื่มแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์เจิ้งโปรดไว้หน้าข้าด้วย!”
อุตส่าห์พูดจาตรงไปตรงมาขนาดนี้แล้ว ก่อนหน้านั้นเร่งร้อนเดินทางมายังภูเขาลั่วพั่ว แอบฟังมาตลอดทาง ในที่สุดซิ่วไฉเฒ่าก็อดทนไม่ไหวแล้ว แน่นอนว่าเจิ้งจวีจงย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ก็แค่ไม่ได้เปิดโปงเท่านั้น
เจิ้งจวีจงสะอึกอึ้งพูดไม่ออก
เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ซิ่วไฉเฒ่าขยุ้มชายแขนเสื้อของเจิ้งจวีจงเอาไว้แน่น เอ่ยเสียงบา “คนฉลาดไยต้องทำให้คนดีลำบากใจด้วยเล่า”
ชุยตงซานเงียบงันไม่พูดไม่จา เอาแต่มองใบหน้าด้านข้างของซิ่วไฉเฒ่าอย่างเหม่อลอย
เจิ้งจวีจงหัวเราะ หันไปมองทางโต๊ะ พยักหน้าเอ่ย “น้ำชาของภูเขาลั่วพั่วไม่เลวเลยจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะใช้ทรัพย์สินของคนอื่นมาสร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง เชิญเหวินเซิ่งดื่มชา?”
ซิ่วไฉเฒ่าลากเจิ้งจวีจงเดินกลับไป หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ประเสริฐยิ่งแล้ว!”
ทว่าชุยตงซานกลับยังยืนอยู่ที่เดิม
ซิ่วไฉเฒ่าหันมาถลึงตาใส่ “มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม รีบไปรินน้ำชาเข้าสิ เจ้านี่ตาไม่มีแววเอาเสียเลย แย่กว่าหมี่ลี่น้อยตั้งหนึ่งแสนแปดพันลี้!”
ชุยตงซานเค้นรอยยิ้มออกมา แล้ววิ่งตุปัดตุเป๋ไปแย่งหน้าที่ยกน้ำส่งชาที่โต๊ะ
ซิ่วไฉเฒ่าใช้เสียงในใจเอ่ยกับเจิ้งจวีจง “ขอบคุณมาก”
ยามที่ขอร้องคนอื่นต้องหน้าหนา ตอนที่ขอบคุณคนอื่นต้องหน้าบาง
เจิ้งจวีจงมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มชุดขาวแล้วใช้เสียงในใจตอบว่า “เหวินเซิ่งไม่ต้องขอบคุณ อันที่จริงข้าเองก็มีใจเห็นแก่ตัว เขาจะไม่ใช่ลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่งก็ได้ แต่เขาจำเป็นต้องเป็นซิ่วหู่คนใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม”
ซิ่วไฉเฒ่าไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ “วันหน้าข้าจะต้องไปเป็นแขกที่นครจักรพรรดิขาวบ่อยๆ แน่นอน”
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “เหวินเซิ่งขาดสุรา ข้าสามารถให้คนเอาไปส่งให้ที่ศาลบุ๋นได้”
เห็นได้ชัดว่าเป็นคำเตือนว่าเจ้าซิ่วไฉเฒ่าอย่าได้ไปที่นั่นเลย
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้าพูดบ่น “จะมาเกรงใจข้าทำไม ห่างเหินกันเกินไปแล้วนะ!”
……
ใต้หล้าสี่แห่ง ฤดูกาลมีความต่าง มีใบไม้ร่วง ร้อน ใบไม้ผลิ หนาวเหมือนกันพอดี ต่างก็ได้ครอบครองกันอย่างละฤดูกาล
ห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง ห้านครในนั้นแบ่งออกเป็นนครชิงชุ่ย นครหลิงเป่า นครหนันหัว นครเสินเซียว นครอวี้ก่าง
ด้านในนครชิงชุ่ยมีที่ตั้งเก่าของหุบเขาหานกู่ สระเหมี่ยวฉือ ป่าท้อของนครเสินเซียว รวมไปถึง ‘สถานที่เมฆขาวก่อกำเนิด’ ล้วนเป็นสถานที่ที่ทิวทัศน์งดงามมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า
รองเจ้านครของนครทั้งห้า จำนวนมีตั้งแต่หนึ่งถึงสองสามคน ไม่เท่ากัน ล้วนขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้านคร อย่างนครหนันหัวก็มีมากถึงสามคน บินทะยานหนึ่งคนเซียนเหรินสองคน หากศิษย์พี่อวี๋โต้วไม่ห้ามไว้ ลู่เฉินก็สามารถเพิ่มรองเจ้านครได้อีกสองถึงสามคน ถึงขั้นจะยอมแหกกฎให้ขอบเขตหยกดิบรับหน้าที่เป็นรองเจ้านครด้วยซ้ำไป
ป๋ายอวี้จิงมีแค่หนึ่งนครกับสองหอเรือนเท่านั้นที่มีความเคยชินในการข้ามปีพอๆ กับขนบธรรมเนียมของล่างภูเขา นครชิงชุ่ยที่มีอีกชื่อว่า ‘นครอวี้หวง’ และยังมีหออวิ๋นสุ่ยกับหอหลินหลาง
เด็กน้อยสอนเขียนยันต์ท้อ นักพรตมอบให้กลับคืนทุกปี
ไม่หลับไม่นอนเพื่อเฝ้าคืน โลกมนุษย์มีอายุเพิ่มอีกหนึ่งปี ขอพรให้กับใต้หล้า ทุกบ้านทุกครอบครัวราบรื่นปลอดภัย มีความสุขสมหวัง
สำหรับผู้ฝึกตนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้ว อันที่จริงนี่คือปัญหาที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กอย่างหนึ่ง กลอนคู่ที่ต้องติดก่อนวันปีใหม่ พอถึงเทศกาลหยวนเซียวก็ต้องเอาลง
อีกทั้งยังต้องวาดยันต์ท้อ แขวนไว้ตามที่ต่างๆ โชคดีที่เคยชินจนกลายเป็นธรรมชาติไปแล้ว จึงกลายเป็นว่าดีขึ้นมาหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่คนที่มีความสุขที่สุดยังคงเป็นพวกนักพรตน้อยที่อายุไม่มากทั้งหลาย ไม่เพียงแต่ครึกครื้นสนุกสนาน ประเด็นสำคัญคือยังได้ซองแดงมาอีกกองใหญ่ จับกลุ่มแวะเวียนไปตามบ้านต่างๆ ไปสวัสดีปีใหม่กับพวกผู้อาวุโสทั้งหลาย ได้เงินเกล็ดหิมะสองสามเหรียญมาจากตรงนี้ ได้อีกสามสี่เหรียญจากตรงนั้น บางครั้งยังได้ซองแดงซองใหญ่ที่บรรจุเงินร้อนน้อยไว้หนึ่งถึงสองเหรียญอีกด้วย เอามารวมกันแล้วก็กลายเป็นเงินยาสุ้ยก้อนไม่เล็กเลย
เรื่องที่มีความสุขที่สุดก็หนีไม่พ้นได้เจอกับเจ้าลัทธิลู่ที่ใจกว้างแล้ว ให้ทีก็เป็นเงินยาสุ้ยสองเหรียญเงินร้อนน้อยหรือไม่ก็เงินฝนธัญพืช เห็นใครคนนั้นก็ได้ ทุกๆ วันที่หนึ่งของปีใหม่ ขอแค่เจ้าลัทธิลู่ไม่ได้ไปฟ้านอกฟ้า หรือไม่ได้ออกจากบ้านเดินทางไกล มือซ้ายก็จะให้ซองแดงเล็ก มือขวาให้ซองแดงใหญ่ บอกให้พวกนักพรตน้อยเข้าแถวเรียงกัน เจ้าลัทธิลู่จะถามพวกนักพรตน้อยหนึ่งคำถาม ตำราลัทธิเต๋า คัมภีร์ หากตอบถูกก็จะให้ซองที่บรรจุเงินฝนธัญพืช ตอบไม่ถูกก็ได้แค่เงินร้อนน้อย อันที่จริงคำถามล้วนง่ายมาก
น่าเสียดายที่ปลายปีของปีนี้ เจ้าลัทธิลู่ไม่ได้อยู่ที่ป๋ายอวี้จิง พวกนักพรตน้อยกลุ่มหนึ่งมาสุมหัวกัน ทุกคนร่วมกันวางแผน ปรึกษากันไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องให้เจ้าลัทธิลู่เอาซองแดงมาชดเชยให้จงได้ ติดหนี้ได้แต่ไม่อาจติดเงิน
เจียงอวิ๋นเซิงอยู่ในสถานที่ที่เล่าลือกันว่าเป็นสถานที่ก่อกำเนิดเมฆขาวทุกก้อนบนโลกมนุษย์พึมพำว่า “ดูจากท่าทางแล้ว ใต้หล้าเปลี่ยวร้างคงเละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งแล้ว” จากนั้น ‘นักพรตน้อย’ ที่เฝ้าประตูของภูเขาห้อยหัวมานานหลายปีคนนี้ก็สังเกตเห็นว่าบนม่านฟ้าพลันมีประตูใหญ่บานหนึ่งโผล่ขึ้นมา ถึงกับถูกแสงกระบี่บังคับฟันเปิด
เห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว ในป๋ายอวี้จิงก็มีเหล่าเซียนซือและเต้ากวานพากันจับกลุ่มพุ่งทะยานตรงไปราวกับกลุ่มหิ่งห้อย
บริเวณใกล้เคียงกับประตูใหญ่ที่ถูกหนิงเหยาใช้กระบี่ฟันเปิด
เต้ากวานสองกลุ่มของใต้หล้ามืดสลัวต่างก็ขี่ลมทะยานตัวหยุดนิ่ง แบ่งแยกขอบเขตชัดเจน เพราะแค่เห็นขี้หน้ากันก็รังเกียจแล้ว
ฝั่งหนึ่งคือเต้ากวานที่รับตำแหน่งตามระบบระเบียบของป๋ายอวี้จิง
อีกฝ่ายหนึ่งคือกองกำลังตระกูลเซียนที่เป็นผู้นำของแต่ละเขตอย่างพวกอารามเสวียนตูใหญ่ ตำหนักสุ้ยฉู ภูเขาไฉ่โซว
ฝ่ายหลังขยับไปรวมตัวกันอยู่กับนักพรตผู้เฒ่าซุนคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา คุมเชิงกับผู้ฝึกตนของป๋ายอวี้จิงอยู่ไกลๆ สองฝ่ายวางท่าว่าจะเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนกระจัดกระจายอีกบางส่วนที่ไม่เข้ากับทั้งสองฝ่าย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาที่ไม่ได้อยู่ในทำเนียบที่ถูกต้องของลัทธิเต๋า หรือไม่ก็เป็นพวกที่ฝึกวิชานอกรีตซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากป๋ายอวี้จิง
ทั้งสามฝ่ายต่างก็อยากเป็นพยานในภาพเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ของการ ‘ย้ายดวงจันทร์’ ครั้งนี้กับตาตัวเอง เพราะถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องถูกบันทึกลงในตำราประวัติศาสตร์ สืบทอดกันไปอีกพันปีหมื่นปี
ป๋ายอวี้จิงมีเต้ากวานกลุ่มหนึ่งที่ใส่ใจเรื่องนี้มากที่สุด
พวกเขาขอบเขตไม่สูง แต่ฐานะโดดเด่น ถูกขนานนามให้เป็น ‘ขุนนางประวัติศาสตร์บนภูเขา’ ทำหน้าที่เรียบเรียง ‘ตำราประวัติศาสตร์’ ที่ถูกต้องของป๋ายอวี้จิงและตลอดทั้งใต้หล้าโดยเฉพาะ
คล้ายคลึงกับฉี่จวีจู้ของราชวงศ์ล่างภูเขาที่บันทึกทุกการกระทำของเต้ากวานในหนึ่งใต้หล้าเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่ดีหรือร้าย ล้วนไม่มีข้อห้ามที่ต้องหลีกเลี่ยงการเอ่ยนามของผู้สูงศักดิ์
คำสั่งทุกฉบับที่ป๋ายอวี้จิงป่าวประกาศแก่ใต้หล้า เต้ากวานของห้านครสิบสองหอเรือนจะเป็นผู้ถ่ายทอดให้แก่ใต้หล้ารับรู้ การเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ ล่างภูเขา อากาศสี่ฤดูกาล นิมิตมงคลของแปดทิศ การเพิ่มและลดสำมะโนครัวของเต้ากวานแต่ละแคว้น การใช้งานการละทิ้งอารามเต๋าน้อยใหญ่ ล้วนมีพวก ‘ขุนนางประวัติศาสตร์’ กลุ่มนี้เป็นผู้บันทึกรายละเอียด อีกทั้งนอกจากเจ้าลัทธิสามท่านของป๋ายอวี้จิงแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้เปิดอ่านตำราประวัติศาสตร์เล่มนี้
แต่นักพรตซุนได้ให้คำวิจารณ์ไว้ประโยคหนึ่ง จรดพู่กันเขียนอย่างไหลลื่น แต่พลังอำนาจกลับอ่อนแอ ไม่กล้าพูดถ้อยคำไพเราะและถ้อยคำที่ไม่น่าฟังอย่างแท้จริง เปลืองน้ำหมึกเสียเปล่า
จากนั้นก็แนะนำให้พวกเขาย้ายจากป๋ายอวี้จิงไปอยู่อารามเสวียนตู รับรองว่านับแต่นี้ไปจรดพู่กันย่อมราวกับมีบุปผาผลิบาน ภาพบรรยากาศได้เปลี่ยนใหม่แน่นอน
จนถึงตอนนี้เจ้าลัทธิอวี๋แห่งป๋ายอวี้จิงก็ยังไม่ได้ออกโองการ ยิ่งไม่ได้เผยกายด้วยตัวเอง แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครลงมือไปชักนำดวงจันทร์ดวงนั้นย้ายมายังใต้หล้ามืดสลัวโดยพลการ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ลงมือโดยพลการ เสี่ยงอันตรายทำเรื่องนี้ก็ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเอาเสียเลย
ปราณกระบี่ที่ประตูใหญ่ไม่เพียงแต่เฉียบคม ยังมีการเข่นฆ่าระหว่างหลี่เซิ่งกับป๋ายเจ๋อ หากไม่ทันระวังถูกหอบเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็ต้องมีจุดจบที่กายดับมรรคาแหลกสลาย
ต่อให้มีความกล้าก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีศักยภาพมากพอที่จะสอดมือเข้าแทรก
ด้านนอกป๋ายอวี้จิง คนที่มีทั้งความกล้าและมีทั้งฝีมือ ตอนนี้ยังมีแค่สามคน
คนหนึ่งคร้านจะขยับตัว อีกคนหนึ่งไม่ยินดีจะเผยกายเร็วเกินไปนัก
และยังมีอีกคนหนึ่งที่ไม่อยากจะเผยตัวในที่สาธารณะ มีหน้ามีหน้าตาเกินคนรักของตัวเอง
ก็คือนักพรตซุน กับนักพรตหญิงสองคนที่อยู่ห่างข้างกายไปไม่ไกล อายุของพวกนางต่างก็ไม่ถือว่าน้อยแล้ว
นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ลูบหนวดยิ้ม “ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าทำไมถึงไม่เห็นหน้าลู่เหล่าซานที่หน้าหนามานานแล้ว ที่แท้ก็ออกจากบ้านไปเดินเล่น (ใช้กับสัตว์เลี้ยง/จูงสัตว์เลี้ยงเดินเล่น) อีกแล้วนี่เอง”
นักพรตซุนทอดถอนใจไม่หยุด เมื่อครู่นี้มองปราดๆ ได้เห็นกวานดอกบัวบนศีรษะของสหายน้อยเฉิน รวมไปถึงเจ้าลัทธิลู่ที่อยู่ด้านในซึ่งพยายามโบกไม้โบกมือให้ตน เขาลูบหนวดยิ้ม “จำต้องยอมรับว่า คราวนี้เจ้าสามสร้างคุณความชอบไว้ไม่เล็กเลย หากเปลี่ยนข้าไปเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงคนนั้นจะต้องให้อาหารร้อนๆ แก่ศิษย์น้องเล็กหลายๆ คำใหญ่เชียวล่ะ”
มอบฉายาให้สหายเปล่าๆ เติมอิฐเพิ่มกระเบื้อง ปักบุปผาลงบนผ้าแพร หากนักพรตซุนเรียกตัวเองว่าเป็นอันดับสองในใต้หล้าก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองคือปรมาจารย์ยอดฝีมืออันดับหนึ่งอีกแล้ว
“สหายน้อยเฉินที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทรู้ใจของผินเต้าคนนั้น ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย เสน่ห์เฉิดฉายยิ่งกว่าวันวานเสียอีก ดูจากภาพบรรยากาศแห่งทรัพย์สินบนร่างของเขาแล้ว ดูท่าจะกลับไปทำอาชีพเก่า ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำอีกแล้ว?”
เพราะถึงอย่างไรการกระทำ ‘แบกบ่อจากบ้านเกิด’ (เปรียบเปรยถึงการผลัดที่นาคาที่อยู่ เร่ร่อนไกลบ้าน ในที่นี้หมายถึงตอนที่เฉินผิงอันแบกฝ้าเพดานออกไปจากพื้นที่มงคลในอดีต) อย่างจริงแท้แน่นอนครานั้นก็ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้
คราวก่อนเดินทางไกลไปต่างบ้านต่างเมือง ได้รับลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อสองคนมาจากอุตรกุรุทวีปของใต้หล้าไพศาล
คือจานฉิงท่านโหวน้อยจากแคว้นเป่ยถิง และตี๋หยวนเฟิงที่สวมรองเท้าสานถือไม้เท้าไม้ไผ่ตลอดการเดินทาง
เดิมทีหลิ่วกุ้ยเป่าแห่งจวนไฉ่เชวี่ยก็สามารถกลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าอารามผู้เฒ่าได้ แต่กลับคลาดกันไป
หากพูดตามคำกล่าวของนักพรตซุนก็คือคนแก่อายุมากแล้วจะต้องคบค้าสมาคมกับคนรุ่นเยาว์ให้มากๆ จะได้เพิ่มความสดใสมีชีวิตชีวา ขัดเกลาเอาความแก่ชราทิ้งไป
เพียงแต่เรื่องของการถ่ายทอดมรรคา ตัวเจ้าอารามผู้เฒ่าเองไม่ได้ใส่ใจมากนัก ถึงอย่างไรศิษย์ลูกศิษย์หลานในอารามก็มีเยอะอยู่แล้ว เรื่องการถ่ายทอดวิชาความรู้ยังมีน้ำอดน้ำทนดียิ่งกว่าเขา จึงมอบจานฉิงและตี๋หยวนเฟิงไปให้กับลูกศิษย์ที่อายุมากสองคน นักพรตเฒ่าให้เหตุผลว่า เพื่อให้สยบใจคนได้ ไม่ให้ในศาลบรรพจารย์มีความเห็นต่างใดๆ ระหว่างพวกเจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ควรไปมาหาสู่กันให้สนิทสนมมากขึ้น ไม่อย่างนั้นปีๆ หนึ่งพบหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้งก็ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
สวีเจวี้ยนเจ้าสำนักหนุ่มของสำนักต้าเฉา ทุกวันนี้เป็นผู้ฝึกตนผีขอบเขตหยกดิบ
เขาจับมือกับคนรักทะยานลมมาตลอดทาง ฝ่ายหลังคือนักพรตหญิงขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่ง มีนามว่าเฉาเกอ ฉายาคือฟู่คาน
และนางก็ยิ่งเป็นบรรพจารย์เปิดภูเขาของภูเขาเหลี่ยงจิง
สำนักใหญ่ฝ่ายลัทธิเต๋าที่แค่เห็นหน้ากันก็ต้องต่อสู้กันเอาเป็นเอาตายสองแห่งนี้ ในประวัติศาสตร์ต่างก็เคยก่อตั้งสำนักเบื้องล่างกันมาก่อน ผลปรากฏว่าต่างก็ถูกสำนักฝ่ายตรงข้ามทำลายจนไม่เหลืออยู่แล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าความแค้นระหว่างสองสำนักนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน
ดังนั้นนักพรตซุนจึงต้องออกหน้าด้วยตัวเอง เอ่ยถ้อยคำจากใจจริงอย่างคนสุขุมและมีประสบการณ์
ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คลี่คลายไม่ได้!
พอคำพูดนี้เอ่ยอออกไป ตลอดทั้งใต้หล้าก็พากันชื่นชมสรรเสริญไม่หยุด
ยังคงเป็นเจ้าอารามซุนที่พูดจาได้มีระดับ มีน้ำหนัก
เล่าลือกันว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าดื่มเหล้ามงคลในงานเลี้ยงแต่งงานครั้งนั้นแล้ว พอกลับมาถึงอารามบ้านตัวเองก็ไปหาแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ลำดับอาวุโสต่ำสุดและอายุยังน้อยมาก เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ยสั่งสอนนางด้วยความปรารถนาดี บอกว่าพยายามให้มากเข้า โตมาให้หน้าตางดงามเข้าไว้ วันหน้าพยายามให้เจ้าลัทธิลู่กลายมาเป็นเขยที่แต่งเข้าอารามบ้านเราให้ได้
แม่นางน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ
ก็อาจารย์ปู่พูดแล้วนี่นา บอกว่าเจ้าคนบ้ากามที่ชื่อว่าลู่เฉินคนนั้นหลงรักนางตั้งแต่แรกเห็น ทุกๆ สองวันสามวันจะต้องปีนกำแพงมาแอบมองตน
แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าอ้วนเยี่ยนก็เอ่ยประโยคที่เป็นข้อยืนยันได้ ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่ว่านางคิดเหลวไหลไปเอง
เจ้าอ้วนเยี่ยนที่อยู่ในอารามทำการค้าได้เจริญรุ่งเรืองมาก ลำพังแค่ตราประทับร้อยเซียนกระบี่เล่มหนึ่ง ยอดขายก็มากมายน่าดูชม ส่วนราคาน่ะหรือ ออกจะแพงไปสักหน่อย
ผ่านไปไม่นานก็มีตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ที่จัดพิมพ์อย่างประณีตงดงาม แล้วยังมีคำนำของป๋ายเหย่วางขายอีก แบ่งออกเป็นสองเล่ม เล่นบนและเล่มล่าง ตราประทับสองเล่ม เล่มบนขายแยก ราคาสองเหรียญเงินร้อนน้อย เล่มล่างขายแยกราคาสามเหรียญเงินร้อนน้อย หรือว่าคำนำจากป๋ายเหย่ไม่มีค่าพอสำหรับเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ?
ตำราสองเล่มขายรวมกันสามเหรียญเงินร้อนน้อย คนโง่เท่านั้นถึงจะไม่ซื้อสองเล่ม