กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 877.4 ต่างคนต่างมีท่าเรือ
เรื่องของการลากดวงจันทร์ งานใหญ่สำเร็จลงได้ด้วยดี
ฉีถิงจี้และลู่จือหวนกลับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อน
ทั้งสองไม่ได้ไปที่หัวกำแพง แต่พลิ้วกายลงบนพื้นดินทางทิศใต้
ผู้ที่แกะสลักตัวอักษรใหม่เอี่ยมไว้บนหัวกำแพง อิ่นกวานเฉินผิงอัน
ฉีถิงจี้เงยหน้ามองไปทางตัวอักษรใหญ่ในจุดที่สูงที่สุด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้สึกริษยาสักนิดเลยหรือ?”
ผู้ฝึกกระบี่ที่อยากแกะสลักตัวอักษรมากที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แน่นอนว่าต้องเป็นลู่จือ
อาเหลียงแกะสลักตัวอักษรไปแล้ว ส่วนจั่วโย่วเดิมทีก็ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ต่อให้สังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งได้ บางทีอาจจะไม่ยินดีแกะสลักตัวอักษรเลยด้วยซ้ำ
หากเอ่ยตามคำพูดของอาเหลียงก็คือลายมือของเจ้าหมอนี่อัปลักษณ์เกินไป ไม่กล้าขายหน้าคนอื่น แต่ก็ไม่เป็นไร ตนสามารถทำหน้าที่แทนได้
ลู่จือเบ้ปาก “มิกล้า กลัวว่าจะถูกอาฆาตแค้น”
ฉีถิงจี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ลู่จือรู้จักพูดล้อเล่นด้วยหรือ?
ก็แค่ว่าเป็นมุกที่แป้กไปหน่อยเท่านั้น
ลู่จือถามอย่างใคร่รู้ “หากในอนาคตเจ้าได้สังหารบินทะยานอีกครั้ง ยังจะแกะสลักตัวอักษรไว้ที่นี่อีกหรือไม่?”
การที่ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานถูกสังหารได้ยากบนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ใช่ว่าเซียนกระบี่อาวุโสอย่างพวกฉีถึงจี้เวทกระบี่ไม่สูงพอ พลังพิฆาตไม่มากพอ แต่เป็นเพราะปีศาจใหญ่หลบหนีไปได้ง่ายเกินไป
ทว่าทุกวันนี้สถานการณ์ของสองใต้หล้าสลับกันแล้ว ด้วยศักยภาพของฉีถิงจี้ก็มีโอกาสที่จะจับคู่เข่นฆ่ากับปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่เข้าตาจนได้อย่างเต็มที่ และยังสามารถใช้กระบี่ตัดหัวอีกฝ่ายได้ด้วย
ฉีถิงจี้ส่ายหน้า “ให้อักษรคำว่า ‘ผิง’ นี้เป็นตัวปิดท้ายก็ดีที่สุดแล้ว”
ชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ที่นี่ประหนึ่งจอกแหนล่องลอยแต่ไม่จมหาย
การยกนครบินทะยานครั้งหนึ่งก็คล้ายกับจอกแหนที่กระจายไปทั่วฟ้าดิน ต่างบ้านต่างเมืองในทุกวันนี้ เมื่อเวลานานวันเข้า ในอนาคตก็จะกลายมาเป็นบ้านเกิดของแต่ละคนไปเอง
ฉีถิงจี้เงยหน้ามองไปยังหัวกำแพงเมืองครึ่งหนึ่งนั้น “อิ่นกวานท่านนี้ของพวกเรา ขอบเขตถดถอยไปไม่น้อย”
ลู่จือรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย “ราคาที่ต้องจ่ายสูงเกินไปหน่อยหรือไม่”
ฉีถิงจี้ถามอย่างกังขา “ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจคนนั้นมาจากไหน ทำไมถึงมาดื่มเหล้ากับเจ้าลัทธิลู่ได้ล่ะ?”
ลู่เฉินที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองโบกมือให้ลู่จือแต่ไกล ตะโกนพูดกลั้วหัวเราะว่า “พี่หญิงลู่ มาตรงนี้ มาตรงนี้!”
ลู่จือกับฉีถิงจี้ทะยานลมไปที่หัวกำแพงเมืองด้านนั้นด้วยกัน หลังจากพลิ้วกายลงพื้นแล้ว ลู่จือก็พูดด้วยสีหน้าคลางแคลง “มีธุระหรือ? คนที่จะไปเป็นแขกที่ป๋ายอวี้จิงกับลัทธิลู่คือหาวซู่ ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย”
ลู่เฉินผงกปลายคางไปทางลู่จือ เพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
ที่แท้ลู่จือในเวลานี้ ในมือยังถือหนันหมิงเอาไว้ ชื่นชอบจนตัดใจวางไม่ลง อีกทั้งตรงเอวยังห้อยโหยวเริ่นไว้อีกหนึ่งเล่ม ปลาเขียวตัวหนึ่งว่ายวนอยู่กลางอากาศรอบกายลู่จือ ส่ายสะบัดหางอย่างสบายอารมณ์
ลู่จือเองก็เงียบตามไปด้วย
เฉินผิงอันเปิดปากเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร”
“อีกเดี๋ยวหนิงเหยาก็กลับมาแล้ว”
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “หาวซู่คงไม่กลับมาที่นี่แล้ว เพียงแค่ให้ข้านำความมาบอกเจ้า บอกว่าผู้ฝึกกระบี่กลุ่มที่ทุกวันนี้อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว ให้เจ้าวางใจ เขาจะช่วยจับตามองให้ สรุปก็คือจะไม่ปล่อยให้ใครรังแกตามใจชอบ แม้ว่าเขาจะไม่กล้ารับประกันความปลอดภัยของชีวิตผู้ฝึกกระบี่ทุกคน บอกว่าถึงอย่างไรตัวเองก็ไม่ใช่อิ่นกวานอย่างเจ้า มิอาจทำหน้าที่เป็นแม่บ้านผู้ดูแลที่เก็บทุกเรื่องมาใส่ใจได้ แต่เขาหาวซู่สามารถรับประกันเรื่องหนึ่งได้ หากมีผู้ฝึกกระบี่คนใดเกิดเรื่องไม่คาดฝันตายอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็ไม่ถึงขั้นที่ไม่มีคนแก้แค้นให้แน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
ในบางความหมาย หาวซู่ที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มิได้ปฏิบัติหน้าที่สมกับเป็นสิงกวาน คิดไม่ถึงว่ากลับเลือกที่จะเป็นสิงกวานจริงๆ จังๆ ตอนที่ไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัวแทน
พลานุภาพของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ไม่ว่าอยู่ในใต้หล้าแห่งไหนก็ล้วนมากมหาศาลเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาวซู่ยังเคยสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานใต้เปลือกตาของศาลบุ๋นและหลี่เซิ่งกับมือตัวเอง
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับลู่เฉิน “เจ้าลัทธิลู่ เจ้าช่วยข้าถามหาวซู่ทีว่า เขายินดีจะแบ่งคุณความชอบในการลากดวงจันทร์ส่วนหนึ่ง เอามาต่อรองเรื่องหนึ่งกับป๋ายอวี้จิงของพวกเจ้าหรือไม่ วันหน้าสามารถสังหารขอบเขตบินทะยานได้โดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ กับป๋ายอวี้จิง”
ลู่เฉินปวดหัวอย่างหนัก “เรื่องนี้ต้องถามศิษย์พี่รองถึงจะได้ เขาต่างหากที่เป็นคนดูแลกิจธุระต่างๆ อย่างแท้จริง เวลานี้ผินเต้าไม่กล้ารับปากหรอก”
การเอาตัวไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นไม่ใช่นิสัยของเจ้าลัทธิสามท่านนี้ หลบเลี่ยงเรื่องราวต่างๆ จึงจะเป็นความสามารถดั้งเดิมของเขา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สามารถให้หาวซู่พยายามออกกระบี่ภายในเวลาร้อยปีที่เจ้าเป็นคนพิทักษ์ดูแลป๋ายอวี้จิง ก็ถือว่าเป็นการมอบบันไดลงให้กับผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงแล้ว แบบนี้คงจะได้กระมัง? แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้ฝึกกระบี่เหล่านั้นของพวกเรา บนเส้นทางการฝึกตนก็ไม่น่าจะเป็นฝ่ายไปหาเรื่องคนอื่นมากนัก”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างจนใจ “ก็ได้ๆ ข้าล่ะกลัวเจ้าแล้ว ผินเต้าจะปรึกษากับศิษย์พี่รองแบบนี้ คาดว่าคงต้องดื่มเหล้าปลุกความกล้าเสียก่อน ต้องแข็งใจถึงจะกล้าเปิดปากพูด นิสัยของศิษย์พี่รองข้า คนทั้งใต้หล้าล้วนรู้ดี แล้วก็ขึ้นชื่อเรื่องเกลียดขี้หน้าศิษย์น้องอย่างผินเต้าเสียด้วย คอยหาเรื่องข้าอยู่สารพัด หวังเพียงว่าผินเต้าจะไม่หวังดีทำเรื่องพังเท่านั้น”
“อีกอย่างผินเต้าก็ต้องเอาคำพูดไม่น่าฟังมาพูดกันก่อน ที่ป๋ายอวี้จิง ห้านครสิบสองหอเรือนไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำ ตามกฎระเบียบที่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าเป็นคนกำหนดไว้ในอดีต นอกจากกฎเกณฑ์บนมหามรรคาไม่กี่ข้อที่มีน้อยนิดแล้ว เรื่องราวส่วนใหญ่ เจ้านครและเจ้าหอแต่ละคนสามารถอาศัยความชื่นชอบของตัวเองโต้แย้งคำสั่งของเจ้าลัทธิทั้งสาม สามารถปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามได้อย่างเต็มที่”
“ไม่ว่าจะอย่างไร ผินเต้าก็จะพยายามเต็มที่เพื่อทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ”
อันที่จริงอวี๋โต้วเห็นดีในกลุ่มของผู้ฝึกกระบี่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างมาก
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก สายของเซียนกระบี่แห่งอารามเสวียนตูใหญ่ได้ยึดครองโชคชะตาวิถีกระบี่ของใต้หล้าไปมากเกินพอแล้ว
อารามเสวียนตูใหญ่เคยถูกคนเรียกว่าเป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่ของใต้หล้ามืดสลัว
จากนั้นคำกล่าวที่ชื่นชมอารามเต๋าและนักพรตซุนจากใจจริงนี้ก็พลันแพร่หลายไปทั่ว
ผลกลับทำให้เจ้าอารามผู้เฒ่าซุนโมโหอย่างหนัก ว่ากันว่านักพรตเฒ่าโกรธจนเต้นผาง บอกว่าด่าข้านั้นได้ แต่ไปด่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไร
ปรี่ไปหาเรื่องถึงที่ บอกให้ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่เอ่ยคำพูดนี้ขึ้นมาก่อนใครเก็บคำพูดประโยคนี้กลับคืนไป ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ก็จะไม่จบง่ายๆ มิตรภาพที่พวกเราสองพี่น้องสะสมมานานพันปีจะถือว่าไหลหายไปกับกระแสน้ำแล้ว นับแต่วันนี้ไปก็ถือว่าได้ผูกปมแค้นต่อกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว
อีกฝ่ายจึงได้แต่อาศัยรายงานขุนเขาสายน้ำของทางสำนักป่าวประกาศแก่ใต้หล้า ฝืนใจแก้ไขคำพูดเสียใหม่ บอกว่าอารามเสวียนตูใหญ่ไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของใต้หล้ามืดสลัว
เจ้าอารามผู้เฒ่าที่พึงพอใจแล้วถึงได้ตบแขนของพี่น้องคนดี เอ่ยเตือนอีกฝ่ายว่าวันหน้าก็ระวังให้มากหน่อย น้ำลายหนึ่งฟองเท่ากับตะปูหนึ่งดอก จะพูดจาเหลวไหลไม่ได้
คำพูดทำนองนี้ อันที่จริงหลุดออกมาจากปากของนักพรตซุน ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ไม่ถูกต้อง
เฉินผิงอันกล่าว “มีเรื่องหนึ่งที่ต้องรบกวนให้เจ้าสำนักฉีพูดกับถัวเหยียนฮูหยินสักหน่อย แจกันสมบัติทวีปมีอารามชิงเหมยของทะเลสาบหนันถังที่ตั้งใจเพาะปลูกต้นเหมยโบราณไว้หมื่นกว่าต้น พวกมันแห้งตายไปเกินครึ่งแล้ว วันหน้าจะเชิญนางไปเยือนสักรอบ ดูว่ามีวิธีที่จะช่วยเหลือได้หรือไม่ ข้าต้องไม่ทำให้นางไปเสียเที่ยวแน่นอน”
ฉีถิงจี้พยักหน้ารับ “ได้สิ ทุกวันนี้นางอยากจะหาเหตุผลที่ถูกต้องชอบธรรมกลับไปไพศาลจะแย่อยู่แล้ว”
อดีตเจ้าของสวนดอกเหมยผู้นี้กลัวตายจริงๆ อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ทุกวันนางยากจะทำใจให้สงบได้ รู้สึกราวกับอยู่ในสนามรบอย่างไรอย่างนั้น อันตรายเกินไปแล้ว พยายามเปลี่ยนวิธีมาหาข้ออ้างแย่ๆ หลายข้อ หวังว่าจะได้กลับไปอยู่ในสำนักที่ทักษินาตยทวีป
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยแนะนำ “สหายสี่จู๋ท่านนี้จะตามข้ากลับไปยังใต้หล้าไพศาล ไปรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว”
ปีศาจใหญ่บรรพกาลที่เป็นถึงขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่งกลับมีท่าทีสำรวมระมัดระวัง ลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะแล้วค่อยยืดตัวตรงอีกครั้ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรียกข้าว่าเสี่ยวโม่ก็ได้แล้ว”
ทำเอาฉีถิงจี้ที่มองดูอยู่ตกตะลึงอย่างหนัก
ลู่จือกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย หากเป็นศัตรูย่อมดีที่สุด แค่ฟันให้ตายก็พอแล้ว ตนยังไม่ได้แกะสลักตัวอักษรพอดี
เว้นเสียจากว่าจะสละกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งทิ้ง แลกเปลี่ยนมาด้วยการแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพง ย่อมไม่ขาดทุน
ลู่เฉินกุมหมัดเอ่ย “ลาล่ะๆ ผินเต้าจะไปที่ประตูใหญ่บนฟ้าสักรอบก่อน จากนั้นค่อยตรงไปที่ใต้หล้าไพศาล ขุนเขาเขียวไม่แปรเปลี่ยนสายน้ำใสไหลยาว!”
ผลคือไม่มีใครเอ่ยประโยคเกรงใจตามมารยาทกับเขาสักคำ
เสี่ยวโม่คิดว่าจะรอให้คุณชายบ้านตนเปิดปากก่อนแล้วค่อยโอภาปราศรัยกับสหายลู่ที่ถูกชะตากันสักสองสามประโยค
ลู่เฉินจึงค้างอยู่ในท่ากุมหมัดนั้น
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าลัทธิลู่ได้พบกับผู้อาวุโสกู้แล้วก็อย่าลืมไปที่ภูเขาเมฆาเรืองสักรอบล่ะ”
ฉีถิงจี้เอ่ยตามขึ้นมาว่า “วันหน้ามีโอกาสไปที่ใต้หล้ามืดสลัวจะต้องไปเยี่ยมเยือนเจ้าลัทธิลู่แน่”
ลู่จือกล่าว “ข้าไม่ไป”
เสี่ยวโม่ถึงได้คารวะอำลา “สหายลู่ ลากันตรงนี้ วันหน้าค่อยพบกันใหม่”
ลู่เฉินถึงรู้สึกดีขึ้นได้หลายส่วน
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน กุมหมัดบอกลาลู่เฉิน
คราวหน้าที่ทั้งสองฝ่ายพบเจอกันอีกครั้ง เกินครึ่งก็คงต้องเป็นที่ป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวแล้ว
ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีสถานะเป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายและลู่เฉินแห่งไพศาลอีกแล้ว
แต่จะเป็นเฉินผิงอันแห่งถ้ำสวรรค์หลีจูกับเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง
ลู่เฉินยิ้มบางๆ ผงกศีรษะรับเบาๆ กลายร่างเป็นรุ้งยาวพุ่งไปยังม่านฟ้า
เมื่อแน่ใจว่าลู่เฉินออกห่างจากหัวกำแพงเมืองไปไกลแล้ว ลู่จือก็ใช้เสียงในใจสอบถามว่า “เฉินผิงอัน กล่องกระบี่ใบนี้จะทำอย่างไร?”
นางชอบมันจริงๆ
แล้วอีกอย่างก็ใช้ได้คล่องมือนัก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าลู่เฉินต้องย้อนกลับมาที่ไพศาลอีกแน่ หากเขาไปหาเจ้าที่ทักษินาตยทวีปก่อน เจ้าก็ไม่ต้องสนใจว่าเขาจะพูดอะไร แค่ผลักภาระมาที่ข้าก็พอแล้ว ยืนกรานหนักแน่นไปว่านี่เป็นการค้าขาย สองฝ่ายที่ทำการค้ากันคือเจ้าลัทธิลู่กับเฉินผิงอัน แน่นอนว่ากล่องกระบี่ต้องคืนให้ แต่ต้องให้เฉินผิงอันเป็นคนออกหน้ามาพูดคุยเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นถึงเวลานั้นเจ้าลัทธิลู่เอากล่องกระบี่กลับไปแล้ววิ่งมาโวยวายที่ภูเขาลั่วพั่วอีกที คิดจะหาเงินสองก้อนจากการทำการค้าครั้งเดียวอย่างนั้นหรือ แบบนั้นจะไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว”
“แต่ถ้าหากคราวหน้าลู่เฉินมาหาข้าก่อนก็ยิ่งจัดการได้ง่าย ข้าจะถ่วงเวลาเขาไว้สักพัก ให้เขาอยู่เป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว แล้วส่งข่าวให้เจ้าอย่างลับๆ ถึงเวลานั้นเจ้าก็หาสถานที่สักแห่งหลบเลี่ยงเขาไปก่อน ยกตัวอย่างเช่นนครจักรพรรดิขาว สวนกงเต๋อศาลบุ๋น หรือไม่ก็วัดเสวียนคงของภิกษุเหลี่ยวหราน หลังผ่านไปสองครั้งสามครั้งเข้า เจ้าลัทธิลู่ก็จะเข้าใจไปเอง”
ลู่จือฟังด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใส พยักหน้าติดกันถี่ๆ อันที่จริงความตั้งใจเดิมของนางก็คือหากไม่ได้จริงๆ ก็จะให้ใต้เท้าอิ่นกวานไปปรึกษากับเจ้าลัทธิลู่ นางยินดีจ่ายเงินซื้อกล่องกระบี่เอาไว้ แต่ถึงแม้นางจะเชี่ยวชาญด้านการฟันคน แต่กลับไม่เชี่ยวชาญการหั่นราคากับใคร วางศักดิ์ศรีหน้าตาไม่ลง จึงอยากจะให้เฉินผิงอันออกหน้ามาต่อรองราคาให้ ถึงอย่างไรการออกเดินทางครั้งนี้ก็ได้กำไรมาไม่น้อย สมบัติวิเศษแห่งฟ้าดิน เงินเทพเซียนกองโต หากถูกเอาไปใช้จนหมดสิ้น ถึงเวลานั้นเงินไม่พอ นางก็จะเชื่อเอาไว้ก่อน อย่างมากก็แค่ให้สำนักกระบี่หลงเซี่ยงหรือไม่ก็เฉินผิงอันช่วยสำรองจ่ายไปให้ก่อน
ความสุขยามซื้อของของสตรี อันที่จริงครึ่งหนึ่งนั้นอยู่ที่การหั่นราคา ลู่จือก็แค่ไม่เชี่ยวชาญด้านการต่อรองราคา แต่ไม่ได้หมายความว่านางไม่ชอบหั่นราคา
อันที่จริงลู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจกล่องกระบี่ใบนั้นมากนัก ของชิ้นนี้ค่อนข้างเป็นซี่โครงไก่สำหรับเขา
แน่นอนว่าเฉินผิงอันเองก็ไม่ได้อยากช่วยลู่จือฮุบกล่องกระบี่ใบนี้มาจริงๆ เขาคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าที่วางพู่กันปะการังชิ้นหนึ่งที่ลู่เฉินเอาไป ในอนาคตผลประโยชน์จากซากปรักวังมังกรครึ่งหนึ่งล้วนสามารถยกให้ลู่เฉินทั้งหมดได้
ด้วยนิสัยของลู่จือ วันหน้ารอให้นางเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน นางจะต้องไปเยือนใต้หล้าห้าสีก่อนแน่นอน จากนั้นค่อยไปที่ใต้หล้ามืดสลัว
ดังนั้นลู่จือก็แค่ปากพูดว่าจะไม่ไป ไม่มีทางทำเช่นนั้นจริงๆ
เสี่ยวโม่เอ่ยเตือนเสียงเบา “คุณชายกำลังรอให้คนรักกลับมาที่หัวกำแพงเมืองหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ฉีถิงจี้นำทุกคนกลับไปที่ท่าเรือแห่งนั้นก่อน ทิ้งลู่จือเอาไว้ รอให้หนิงเหยากลับมาก่อนค่อยออกเดินทาง
เฉินผิงอันรอคอยหนิงเหยา ขณะเดียวกันก็มองไปทางทิศใต้ ไม่มีตบะขอบเขตสิบสี่อีกแล้ว ต่อให้มองไปสุดสายตาก็ยังมองเห็นทัศนียภาพได้ไม่ไกลนัก
คิดถึงเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งขึ้นมา ค่อยๆ พลิกตรวจสอบความทรงจำ เลือกเอาสถานที่ที่วันหน้าจะไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนล่างภูเขา ระยะห่างจากภูเขาลั่วพั่ว ไกลไปใกล้ไปก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ หากเลือกเป็นแคว้นหวงถิงก็ดูเหมือนจะไม่เลว
ซากปรักของสรวงสวรรค์เก่า ทางฝั่งของสะพานโค้งสีทอง ข้างกายโจวมี่มีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่บนราวรั้วตลอดเวลา
ใต้หล้ามืดสลัว อวี๋โต้วที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงอาศัยฟ้าอำนวยบนมหามรรคาของใต้หล้า เผยกายธรรมใหญ่โตมโหฬาร บนมือถือประคองดวงจันทร์ เหยียบย่างลงบนความว่างเปล่า
หนิงเหยาขี่กระบี่หวนคืนกลับมายังโลกมนุษย์
หลี่เซิ่งกับป๋ายเจ๋อที่ต่อสู้กันไปตลอดทางจนถึงนอกฟ้าก็พากันหวนกลับมา
เฉินผิงอันที่อยู่ในเมืองหลวงของต้าหลีผสานร่างเป็นหนึ่งกับเฉินผิงอันที่หวนกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่
สะพายกระบี่สวมชุดเขียว บนไหล่มีแมงมุมสีขาวหิมะตัวหนึ่งเกาะอยู่
หนิงเหยาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน คนทั้งสองพากันเดินไปที่โรงเตี๊ยม
ซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งนั่งอาบแดดอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม ในมือถือเมล็ดแตง มองดูคล้ายกำลังแทะเมล็ดแตง แต่แท้จริงแล้วบนม้านั่งยาวกลับมีเปลือกเมล็ดแตงอยู่แค่ไม่กี่เมล็ดเท่านั้น
ดูเหมือนว่าจะนั่งรอใครบางคนหวนกลับคืนบ้านเกิดอยู่อย่างนี้มาโดยตลอด มีเพียงได้เห็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ชื่อว่าเฉินผิงอันปลอดภัยอย่างแท้จริงกับตาตัวเองเท่านั้น ผู้เฒ่าถึงจะแทะเมล็ดแตงอีกครั้ง