กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 879.1 เงินสิบสี่ตำลึง
ในลานบ้านของหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าจนเมากรึ่มๆ บอกว่าตัวเองต้องไปที่แห่งหนึ่ง อยากจะแวะไปเยี่ยมเยือนเพื่อเอ่ยขอบคุณนานแล้ว ยังบอกว่าที่นั่นเคยเป็นที่มาของกระเป๋าเงินตน ทำให้ตนได้รวบรวมสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือที่ค่อนข้างเข้าท่าเข้าทีได้ครบถ้วนเป็นครั้งแรกในชีวิต ทำให้ตนเป็นเหมือนบัณฑิตที่ศึกษาหาความรู้อยู่ในห้องหนังสือได้อย่างแท้จริง
เฉินผิงอันรู้ว่าอาจารย์จะไปที่ไหน จึงไม่ได้ตามไปด้วย
ซิ่วไฉเฒ่าออกจากเรือน เดินทางออกจากเมืองลงใต้ไปเพียงลำพัง
ในตรอกเก่าโทรมของแคว้นเล็กแห่งหนึ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็ก อาจารย์และศิษย์สองคน ทุกครั้งที่ยากจนจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ อยู่ว่างๆ ก็เสียเวลาเปล่า อ่านหนังสือก็ไม่อาจทำให้ท้องอิ่มได้ จึงมักจะไปยืนรออยู่ตรงหน้าประตูบ้าน รอคอยจดหมายจากทางบ้านของเด็กหนุ่มส่งมา อันที่จริงในจดหมายเขียนอะไรบ้าง คนทั้งสองต่างก็ไม่สนใจ ถึงอย่างไรสิ่งที่รอก็ไม่ใช่จดหมาย แต่เป็นเงินที่ส่งมาพร้อมกับจดหมายทางบ้านต่างหาก หรือก็คือค่าสอนที่เด็กหนุ่มจากต่างถิ่นซึ่งมากราบไหว้ซิ่วไฉคนในพื้นที่เป็นอาจารย์ขอเล่าเรียนวิชาต้องจ่าย เงินคือความใจกล้าของวีรบุรุษนี่นะ บางครั้งที่ถึงช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง ยกตัวอย่างเช่นวันคล้ายวันเกิดของปรมาจารย์มหาปราชญ์ บ้านที่อยู่ไกลถึงแจกันสมบัติทวีปก็จะส่งเงินพิเศษ (เงินหรือของขวัญที่มอบให้หัวหน้าหรือขุนนางในช่วงเทศกาล) ก้อนหนึ่งซึ่งจำนวนเงินมากน้อยไม่แน่นอนมาให้ ‘อาจารย์ซีสี’ (ซีสี西席เป็นคำเรียกครูผู้สอนอย่างให้ความเคารพในสมัยโบราณ) ในนามผู้นี้อีกด้วย
ครั้งแรกที่ซิ่วไฉเฒ่าได้สัมผัสตั๋วเงินก็คือตอนที่ได้รับเงินพิเศษก้อนหนานี้
ครั้งนั้นได้รับจดหมายจากทางบ้านของเด็กหนุ่มกลับมีแค่ซองจดหมายบางเบาซองเดียวเท่านั้น ซิ่วไฉเฒ่าสะบัดอย่างแรง อย่าว่าแต่เศษเงินเลย ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเงินเหรียญทองแดงด้วยซ้ำ ซิ่วไฉเฒ่านอึ้งค้างไปทันที เด็กหนุ่มนั่งยองอยู่หน้าประตู สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ อันที่จริงเขารู้สึกละอายใจมาก
ไม่ใช่ว่าที่บ้านไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะท่านปู่ไม่พอใจที่ตนออกจากบ้านมาโดยพลการ จากมาทีก็มาไกลถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าเดินทางจากแจกันสมบัติทวีปมาถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แล้วยังหาอาจารย์ที่เป็นแค่บัณฑิตของแคว้นเล็กซึ่งมียศเป็นแค่ซิ่วไฉเท่านั้น อันที่จริงรากฐานตระกูลชุยในแจกันสมบัติทวีป คิดจะหานักปราชญ์หรือวิญญูชนของสำนักศึกษามาเป็นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนของที่บ้านก็ไม่ยากเลย ดังนั้นทุกครั้งสกุลชุยจึงส่งเงินมาให้อย่างกระเหม็ดกระแหม่ ขี้เหนียวอย่างมาก
ตอนนั้นซิ่วไฉที่ยังไม่แก่ไม่ได้ตำหนิลูกศิษย์ของตัวเอง เขานั่งยองอยู่ตรงธรณีประตูเป็นเพื่อนเด็กหนุ่ม กลับกันยังเป็นฝ่ายปลอบใจเด็กหนุ่มด้วย ‘โทษใครไม่ได้ ต้องโทษที่อาจารย์ความรู้ไม่ลึกล้ำมากพอ เลยทำให้ผู้อาวุโสในบ้านเจ้ารังเกียจ’
เพราะช่วงท้ายของจดหมายจากทางบ้านฉบับหนึ่ง ปู่ของเด็กหนุ่มได้เขียนหัวข้อคำถามในการสอบเคอจวี่มาสิบกว่าตัวอักษร ถือเป็นการทดสอบความรู้ที่แท้จริงของซิ่วไฉ
ซิ่วไฉจุดตะเกียงเขียนคำตอบยาวถึงพันกว่าคำทั้งคืน รู้สึกเพียงว่าความรู้ในท้องถูกควักเอาไปหมดแล้ว เขาไม่ถนัดเรื่องพวกนี้จริงๆ หากถนัดจริงๆ ป่านนี้แม่งไม่สอบติดเป็นจิ้นซื่อไปแล้วหรือ? รอกระทั่งเด็กหนุ่มตอบจดหมายกลับไป พอจดหมายถูกส่งออกไปแล้ว อันที่จริงซิ่วไฉกลับรู้สึกเสียใจภายหลัง เพราะกังวลว่าวันหน้าเงินค่าสอนกับเงินพิเศษจะหายไปไม่เห็นเงาพร้อมกับม้าที่ควบเอาจดหมายไปส่งด้วย
เด็กหนุ่มคว้าจดหมายฉบับนั้นมาจากมือของอาจารย์ ขยำจนเป็นก้อนกลม โยนใส่กำแพงฝั่งตรงข้ามของตรอกเล็ก ผลคือจดหมายกลิ้งกลับมาอยู่ตรงหน้า ทำเอาเด็กหนุ่มโมโหจนเตรียมจะปรี่ไปเหยียบซ้ำอีกสักสองสามที แต่อาจารย์รั้งแขนเอาไว้ เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า ‘บ้านห่วยๆ แบบนี้ จะกลับไปทำผายลมอะไร วันหน้าข้าไม่กลับไปแล้ว’
‘ห้ามพูดด้วยอารมณ์โมโหแบบนี้’
ซิ่วไฉลากเด็กหนุ่มกลับมาที่เดิม ตบศีรษะลูกศิษย์เบาๆ ก้มเอวลุกขึ้นเดินไปเก็บจดหมายที่อยู่บนพื้นกลับมา ลูบให้เรียบแล้วคลี่ออกดู มีแค่กระดาษสองแผ่น ด้านบนเป็นจดหมายจากทางบ้าน นอกจากคำถามไถ่ทั่วไปของพวกผู้อาวุโสแล้ว ลงท้ายยังมีประโยคหนึ่งเขียนไว้ว่า ‘อาจารย์ของเจ้า ความรู้ธรรมดา แต่ยศซิ่วไฉ เกินครึ่งน่าจะเป็นของจริง ตัวอักษรไม่เลว’
กระดาษที่อยู่ด้านล่างก็คือตั๋วเงินของแท้แน่นอน มากถึงร้อยตำลึง
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะปากกว้างจนหุบปากไม่ลง เด็กหนุ่มข้างกายก็คลี่ยิ้มเจิดจ้า
หลังจากนั้นกว่าซิ่วไฉจะสะสมเงินจำนวนหนึ่งได้อีกครั้งอย่างไม่ง่าย ก่อนหน้านี้เป็นอาจารย์จนๆ ที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนส่วนตัว ในบ้านเคยยากจนจนเหลือแค่หนังสือพิมพ์หยาบๆ ที่เก็บสะสมไว้กองใหญ่ ภายใต้การยุยงของลูกศิษย์ตัวเองก็ได้สร้างสำนักสอนหนังสือของตัวเองขึ้นมา ถือว่าเปิดรับลูกศิษย์ถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นทางการแล้ว จากที่สอนเด็กประถมเปลี่ยนมาถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านคัมภีร์ของขงจื๊อ อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่ตัวซิ่วไฉเองคาดฝันและปรารถนามากที่สุด เอาแต่พร่ำพูดกับพวกเด็กๆ ที่สวมกางเกงเปิดก้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ใช่รสชาติที่ดีเลยจริงๆ เพราะรู้สึกผิดต่อวิชาความรู้ของอริยะปราชญ์ที่มีอยู่เต็มท้อง? ใช่ที่ไหนกันเล่า เป็นเพราะว่าได้เงินน้อยต่างหาก!
หลายปีต่อมาซิ่วไฉก็รับลูกศิษย์มาอีกหลายคน ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอด เจ้าใหญ่เป็นถุงเงินมาโดยตลอด อยู่กับซิ่วไฉมายาวนานที่สุด เจ้ารองคือเจ้าบื้อที่เอาแต่กินเปล่าอยู่เปล่า เจ้าสามมีเนื้อหนังแข็งแกร่งเต็มร่างเสียเปล่า ในกระเป๋าก็ไม่มีเงินเช่นกัน ทว่ากลับกินข้าวไม่น้อย หลายปีนั้นซิ่วไฉมักจะรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกเข้าแล้ว โชคดีที่เจ้าใหญ่ไม่รู้ว่าไปหลอกเด็กคนหนึ่งมาจากไหน ฉลาด หล่อเหลา มองดูแล้วก็ทำให้คนชื่นชอบจากใจจริง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต ลูกศิษย์คนแรกที่ความสามารถสูงที่สุดคล้ายจะมีอคติต่อการสอบเคอจวี่มาก แล้วยังมีนิสัยดื้อรั้น เกินครึ่งคงไม่มีหวังแล้ว ดังนั้นจะได้ตำแหน่งนายท่านจิ้นซื่อมาหรือไม่ก็ต้องดูที่ลูกศิษย์คนเล็กคนนี้แล้ว ไม่ลำเอียงเข้าข้างเขาแล้วจะลำเอียงเข้าข้างใคร?
หลังจากนั้นมา ในที่สุดซิ่วไฉก็ได้มีวันเวลาที่ดีที่ในอดีตแม้แต่ฝันก็ยังไม่กล้าฝัน
แม้แต่ตัวอักษรพวกนั้นก็ยังได้จัดพิมพ์ออกมาเป็นตำรา แม้จะบอกว่ายอดขายที่ร้านหนังสือธรรมดา ถึงท้ายที่สุดก็ขายออกไปได้แค่ไม่กี่เล่ม แต่สำหรับบัณฑิตที่ศึกษาหาความรู้คนหนึ่งแล้ว นี่เท่ากับว่าเรื่องที่ตัวเองตั้งปณิธานไว้ได้ทำสำเร็จแล้ว ซิ่วไฉหรือจะปรารถนาสิ่งใดไปมากกว่านี้
นอกจากเจ้าสามจวินเชี่ยน อันที่จริงชุยฉาน จั่วโย่ว ฉีจิ้งชุน ต่างก็เป็นซิ่วไฉที่มองดูพวกเขาค่อยๆ เติบโตจากเด็กหนุ่มเป็นชายหนุ่มมาปีแล้วปีเล่า
หลายปีให้หลัง จากซิ่วไฉก็กลายมาเป็นซิ่วไฉเฒ่า ในที่สุดก็ได้รับลูกศิษย์คนสุดท้าย เฉินผิงอัน
ส่วนความรู้อริยะปราชญ์ที่น่าตกตะลึง น้อยคนที่จะเปรียบเทียบกับเขาได้อะไรนั่น หรือเหวินเซิ่งสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อมีคุณความชอบในการค้ำฟ้าประคองมหาสมุทรอะไรก็ตาม
จะชมก็ดี จะด่าก็ช่าง ซิ่วไฉเฒ่าล้วนไม่เคยคิดเป็นจริงเป็นจัง พวกเจ้ายินดีชมยินดีด่า ต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง ถึงอย่างไรก็ไม่ถ่วงรั้งการที่ข้าเป็นอาจารย์สอนหนังสือ เป็นอาจารย์ให้กับลูกศิษย์ทั้งหลายเหล่านั้น
แต่เรื่องเดียวที่ซิ่วไฉเฒ่าอดทนไม่ได้ก็คือลูกศิษย์ของตัวเองต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ ข้าเป็นซิ่วไฉคนหนึ่ง ก็จะใช้ความเป็นซิ่วไฉไปโต้เถียงกับคนที่ศาลบุ๋นให้พวกเจ้าดู
ซิ่วหู่แห่งไพศาลที่เคยเล่นหมากล้อมหลากสี หลังจากที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนทรยศออกจากสายบุ๋นก็เก็บหัวเก็บหางอยู่ในใต้หล้าไพศาลอย่างมิดชิด ระเหเร่ร่อนอยู่นานหลายปี สุดท้ายเลือกดินแดนป่าเถื่อนทางทิศเหนือของบ้านเกิดอย่างแจกันสมบัติทวีปเป็นที่ลงหลักปักฐาน รับหน้าที่เป็นราชครูของต้าหลี หมายจะเผยแพร่ทฤษฎีความรู้คุณความชอบและลาภยศไปให้ทั่วแคว้น ถึงขั้นทั่วทั้งทวีป
ปีนั้นหลังจากที่ชุยฉานกลับไปถึงแจกันสมบัติทวีปก็ไม่เคยกลับไปที่จวนตระกูลชุยเลยสักครั้ง
ซิ่วไฉเฒ่ารู้ว่าเป็นเพราะอะไร ครึ่งหนึ่งคือชุยฉานรู้สึกละอายใจ อีกครึ่งหนึ่งเพราะโกรธเคือง
อยู่เมืองหลวงต้าหลีต่างบ้านต่างเมือง ราชครูชุยฉานได้สร้างหอหนังสือให้ตัวเอง ตั้งชื่อว่าเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น (คนอื่นว่าอะไรก็ว่าตามเขา ไม่มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง)
ซิ่วไฉเฒ่ามายังชั้นบนสุดของหอเก็บหนังสือตระกูลชุย เหนือชั้นนี้ขึ้นไปยังมีห้องเล็กๆ ที่ต้องพาดบันไดถึงจะขึ้นลงได้
ซิ่วไฉเฒ่าเดินมาที่หน้าต่าง มองออกไปด้านนอก
คนเห็นนกบินตามเมฆ แต่กลับตามไม่ทัน
ครั้งนี้ชุยตงซานยินดีเป็นฝ่ายเสนอตัวรับภาระหนักอึ้ง ขอเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง เป็นเรื่องดี
ภูเขาตะวันออกตั้งตระหง่านอีกครั้ง (ตงซานไจ้ฉี่ เปรียบเปรยถึงคนที่ตกอับแต่กลับมาตั้งตัวได้อีกครั้ง)
เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่เดินออกไปจากตรอกเล็ก ไปที่โรงเตี๊ยมด้วยกัน
เสี่ยวโม่คอยมองประเมินสังเกตเมืองหลวงต้าหลีอยู่ตลอดเวลา
ที่นี่ก็คือเมืองหลวงของแคว้นหนึ่งในใต้หล้าไพศาล คือสถานที่ที่ดีที่สุดในการเลือกพักอาศัย
บางทีนี่ก็น่าจะเป็นสิ่งที่นครล่างภูเขาสมควรมีในความคิดของชูเซิงปีนั้น
เสี่ยวโม่ถาม “คุณชาย ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ของใต้หล้าไพศาลมีเยอะหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ว่าจะเป็นใต้หล้าไหน เหนือกว่าขอบเขตบินทะยานขึ้นไป แต่ไหนแต่ไรมาก็มีไม่เยอะ”
ผู้ฝึกตน หากไม่แบ่งด้วยใต้หล้า แต่แบ่งแค่ระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจ ก็จะค้นพบว่าจำนวนของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่มีน้อยนิด ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล
การดำรงอยู่ของบรรพจารย์สามลัทธิ
การสกัดดึงเอาชื่อจริงไปของป๋ายเจ๋อ
เฉินผิงอันคิดว่าในอนาคตจะเปิดร้านเหล้าต้อนรับแขกจากแปดทิศอยู่บนเรือราตรีลำนั้น
จะสามารถดื่มเหล้าโดยไม่จ่ายเงินได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ความสามารถของใครของมัน
เกี่ยวกับชื่อของสำนักเบื้องล่าง อันที่จริงเฉินผิงอันมีเตรียมไว้กระบุงใหญ่
นี่ก็คือจุดที่น่ากระอักกระอ่วนของการที่ตั้งชื่อได้เก่งเกินไป
นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตที่ต้องมีผลลัพธ์ได้แล้ว
ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของเงินสิบสี่ตำลึงเท่านั้น
โรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
อาจารย์พ่อและอาจารย์แม่ไม่อยู่ในเมืองหลวง เจ้าตอไม้เฉาบอกว่าจะไปที่ตรอกหนันซวิน ไปหาสหายร่วมสอบเคอจวี่ปีเดียวกันซึ่งทำงานอยู่ที่ศาลหงหลูเพื่อรำลึกความหลังเสียหน่อย อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งบอกว่าจะไปนั่งอาบแดดรอคนที่หน้าประตู เผยเฉียนจึงเดินเล่นอยู่ในลานบ้านเพียงลำพัง คือเรือนพักสองชั้นที่เปิดประตูบานเล็กๆ ไว้ตรงมุมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ อันที่จริงเป็นบ้านบรรพบุรุษของเถ้าแก่ผู้เฒ่าหลิว เอาไว้ใช้รับรองแขกสูงศักดิ์ที่ไม่ขาดเงินโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่นพวกที่มาติดต่อกับทางการในเมืองหลวง เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็อยู่ใกล้กับตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ เรือนหลังนี้แบ่งออกเป็นห้องทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ห้องหลักเวลานี้ว่างอยู่ เฉาฉิงหล่างพักอยู่ในห้องทางทิศตะวันออก เผยเฉียนพักอยู่ในห้องทางทิศตะวันตกที่อยู่ตรงข้ามกัน
มองดูเหมือนเผยเฉียนกำลังเดินเล่น แต่แท้จริงนางกำลังฝึกเดินนิ่ง เข้าขั้นชำนาญ กดไหล่ถองศอกลมปราณไหลไปสู่ฝ่ามือ นางไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องท่าทางหรือลมหายใจที่ทอดยาวแล้ว แต่ทุกครั้งที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งหายใจเอาปราณที่แท้จริงเข้าออกก็ล้วนเป็นการเปลี่ยนแปลงมหาศาลที่ทำให้ช่องโพรงลมปราณทุกแห่งในขุนเขาสายน้ำฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ได้เจอกับฝนรสหวานในช่วงหน้าแล้ง กลางวันสว่างกลางคืนมืดมิด
นี่ก็เหมือนกับท่านเทพเทวดาที่ดูแลฟ้าดินคนหนึ่งซึ่งตั้งใจควบคุมการหมุนเวียนของสี่ฤดูกาลและการผลัดเปลี่ยนของอากาศ
การเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนั้น อันที่จริงนางได้ฝึกเดินนิ่งอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่อยากให้ตัวเองเอาแต่เดินเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่อย่างเดียวเท่านั้น นี่ทำให้เผยเฉียนมีความเข้าใจเฉพาะในเรื่องการเดินนิ่งเป็นของตัวเอง
ท่าเดินไม่มีพลังอำนาจ ทว่าหมัดกลับมีปณิธานศักดิ์สิทธิ์
คำวิจารณ์ที่ไม่ต่ำนี้มาจากปากของหลี่เอ้อ ไม่ใช่ว่าเผยเฉียนแต่งตั้งเอาเอง
นี่จึงเป็นเหตุให้นอกจากจะป้อนหมัดบนยอดเขาสิงโตแล้ว หลี่เอ้อยังถ่ายทอดวิชาหายใจจากสำนักของตัวเองบทหนึ่งให้กับเผยเฉียน การโคจรปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ เอาไว้ใช้ปรับเส้นเอ็นกระดูกและเลือดเนื้อโดยเฉพาะ
สุดท้ายสัจธรรมหมัดที่หลี่เอ้อสอนให้เผยเฉียนจึงยิ่งใหญ่อย่างมาก
รวมท่าหมัดเข้าด้วยกันก็เหมือนขุนเขาสูงตระหง่านหลายลูกที่มั่นคงไม่ขยับเขยื้อน ขอแค่จิตขยับไหวก็คล้ายลำน้ำใหญ่หลายสายที่ไหลเชี่ยวกราก
นี่ก็คือสถานการณ์ใหญ่อันดีงามที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบแนบชิดกัน ขอแค่เลื่อนสู่ยอดสูงสุดของวิชาหมัด เดินไปถึงปลายทางวิถีวรยุทธได้ ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งก็ไม่ใช่แค่ว่าปณิธานหมัดของทั้งร่างเหมือนมีเทพปกป้องคุ้มครองอะไรอีกแล้ว แต่เป็น ‘ร่างกายก็คือตำหนักเทพ ข้าก็คือทวยเทพ’
นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดสูงสุดของขอบเขตปลายทางอย่างแท้จริง ก็คือคำว่า ‘เทพมาเยือน’ ที่อยู่ด้านหลังสองขั้นอย่างปราณโชติช่วงและคืนความจริงของขอบเขตสิบ
เผยเฉียนเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แค่เรียนก็เป็น ประเด็นสำคัญคือยังสามารถเอามาปรับใช้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันได้ด้วย
ดังนั้นหลี่เอ้อถึงได้เอ่ยประโยคจริงใจกับเผยเฉียนว่า หากไม่นับเรื่องของจิตใจแล้ว เจ้ามีคุณสมบัติในการเรียนวรยุทธดีกว่าอาจารย์พ่อของเจ้า
เผยเฉียนได้ยินแล้วก็ไม่เพียงแต่ไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย กลับยังรู้สึกใจฝ่อด้วยซ้ำ เป็นเหตุให้นางรู้สึกว่าผู้อาวุโสหลี่เอ้อที่เป็นคนบ้านเดียวกับอาจารย์พ่อ ความสามารถในการสอนหมัดป้อนหมัดสูงมาก เพียงแต่ว่าพูดจาไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนัก
ในลานบ้าน นอกจากเผยเฉียนแล้วก็ยังมีเด็กสาวที่วาดฝันถึงยุทธภพมาตั้งแต่ยังเล็ก คือคนของเมืองหลวงที่เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่ ก็คือลูกสาวที่รักของเถ้าแก่ผู้เฒ่าหลิว มีนามว่าลู่ไฉ ชื่อเล่นไถหมี่ เวลานี้นางนั่งอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ด้านข้าง ข้างเท้าวางอ่างน้ำและผ้าเอาไว้
เวลาปกติเด็กสาวจะช่วยที่บ้านทำงานจุกจิกอย่างเก็บกวาดบ้าน ซักและเอาผ้าห่มมาตากแดด นางได้เงินมาจากท่านพ่อของนาง พอได้มาก็เก็บเงินเอาไว้ซื้อหนังสือตำนานจอมยุทธ คดีอันน่าสนใจและนิทานเรื่องเล่าประหลาดที่ร้านหนังสือบางส่วนพิมพ์เองเป็นการส่วนตัว เด็กสาวมักจะทอดถอนใจอย่างชื่นชม มีเรื่องราวแปลกใหม่ให้ซื้อไม่หมดไม่สิ้นจริงๆ ไม่ว่าจะเก็บเงินอย่างไรก็เก็บไม่พอสักที!
ไม่ว่าจะเป็นชื่อเล่นหรือชื่อจริงของเด็กสาวก็ไม่ค่อยเหมือนคนที่เกิดในตระกูลพ่อค้าเล็กๆ เลยจริงๆ เถ้าแก่ผู้เฒ่าได้บุตรสาวมาตอนอายุมากแล้วตามแบบฉบับ จึงทั้งกลุ้มใจในความงามของบุตรสาว ไม่เหมือนมารดาของนางเลยจริงๆ แล้ววันๆ ยังทำตัวบ้าๆ บอๆ กลัวว่านางจะแต่งออกไปไม่ได้ แต่พอคิดถึงว่าวันใดบุตรสาวต้องแต่งงานออกเรือนก็อดไม่ไหวกลุ้มใจขึ้นมาอีก
ถึงอย่างไรลูกชายสองคนก่อนหน้าบุตรสาวก็ได้ดิบได้ดีกันไปหมดแล้ว ทั้งยังกตัญญู บวกกับอายุของบุตรสาวที่อย่างไรก็ยังเล็ก ห่างจากอายุของหญิงสาวที่พวกแม่สื่อมักจะคอยนึกถึงอีกไกล เถ้าแก่หลิวจึงไม่รีบร้อนอีก
เดิมทีเด็กสาวคิดว่าจะใช้ข้ออ้างว่ามานั่งพักตรงนี้ขโมยเรียนวิชาความรู้จากพี่สาวคนนั้น
คนต่างถิ่นทุกคนที่เข้ามาพักในโรงเตี๊ยมล้วนแสดงเอกสารผ่านด่านที่โต๊ะคิดเงิน แต่เด็กสาวไม่ได้ไปเปิดดู ก็ชายหญิงในยุทธภพที่ควบม้าโบยแส้ ผดุงความเป็นธรรมมักจะทำอะไรอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมานี่นะ
รู้แค่ว่านางคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นที่เป็นมือกระบี่ชุดเขียวคนนั้น
จอมยุทธหญิงนี่นะ วันหน้าตนก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
แต่หลิวลู่ไฉกลับเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นหลับตาราวกับกำลังเดินละเมออย่างไรอย่างนั้น