กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 882.3 สายตา
อิงตามอุบายเล็กๆ ที่หนันจานคิดไว้ หากเด็กบ้านนอกผู้นี้เจรจากับบรรพบุรุษสกุลลู่สำเร็จ อย่างมากก็แค่ให้คนเอาเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตกลับมาจากเมืองเล็ก หรือถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์สกุลลู่คิดจะทอดทิ้งตน ถ้าอย่างนั้นก็จะมาโทษที่ตนทำการค้ากับเฉินผิงอันเพียงลำพังไม่ได้ พวกเจ้าสกุลลู่เห็นราชวงศ์ต้าหลีเป็นมะพลับนิ่มที่ใครจะบีบอย่างไรก็ได้จริงๆ หรือ? ข้าคือหนันจาน คือไทเฮาต้าหลีที่มีชาติกำเนิดมาจากเขตอวี้จาง ไม่ใช่ลู่เจี้ยงอะไรทั้งนั้น
เฉินผิงอันใช้สายตาเวทนามองหนันจาน “คิดจะเล่นเล่ห์ อย่างเจ้าน่ะหรือจะเอาชนะลู่เหว่ยได้? คิดอะไรอยู่ ไข่มุกหลิงซีเส้นนี้หมดค่าไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ฉวยโอกาสที่ลู่เหว่ยไม่อยู่ที่นี่ หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองดูได้”
หนันจานเหมือนถูกฟ้าผ่า รีบก้มหน้าลง ยื่นมือไปขยับเม็ดไข่มุกทั้งหลาย ไข่มุกที่เดิมทีมีประกายแสงศักดิ์สิทธิ์แฝงเร้นคล้ายสูญเสียตราผนึกพันธนาการแห่งขุนเขาสายน้ำชั้นหนึ่งไป กลายมาเป็นหม่นหมองไร้แสง เกิดลางว่าจะแห้งเหี่ยว
เสี่ยวโม่เก็บปณิธานกระบี่ที่ใช้ปาดแสงศักดิ์สิทธิ์ของไข่มุกหลิงซีทิ้งไปอย่างเงียบเชียบมา ถามอย่างสงสัยว่า “คุณชายจะไม่ถามสักหน่อยหรือว่าซ่อนอยู่ที่ไหน?”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มกล่าว “ข้ารู้แล้วว่าซ่อนอยู่ที่ไหน คราวหน้าค่อยกลับไปเอาก็แล้วกัน”
ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างจากบ้านบรรพบุรุษของตนแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
หนันจานเงยหน้าขึ้นมองเฉินผิงอัน แล้วจึงหันกลับมามองบรรพบุรุษสกุลลู่ที่หัวและร่างแยกจากกัน
ความเกลียดแค้นในดวงตามากมายนัก
แต่สายตาที่ไทเฮาต้าหลีมองฝ่ายแรก นอกจากมีความเคียดแค้นครึ่งหนึ่งแล้ว ยังมีความหวาดเกรงอีกครึ่งหนึ่งด้วย
“เห็นแก่ที่คำตอบนี้นับว่าน่าพึงพอใจ ข้าก็มีคำแนะนำอย่างหนึ่งให้เจ้า”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ลู่เจี้ยงเป็นใคร ข้าไม่รู้ แต่ไทเฮาต้าหลี หนันจานแห่งเขตอวี้จาง ข้าเคยพบเจอมานานแล้ว วันหน้าทำอะไรต้องวางแผนให้ดีก่อนค่อยลงมือ สกุลซ่งต้าหลีไม่อาจขาดฮ่องเต้ได้แม้แต่วันเดียว แต่ไทเฮาน่ะหรือ กลับสามารถฝึกตนอยู่ในตำหนักฉางชุนเป็นเวลายาวนานเพื่อขอพรให้บ้านเมืองได้”
“เข้าใจแล้วหรือยัง?”
หนันจานพยักหน้ารับเบาๆ ด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ
เฉินผิงอันถามอีกว่า “ข้าไม่เชื่อในสมองของเจ้า ดังนั้นจึงจะถามเจ้าซ้ำอีกครั้ง ‘ไม่อาจขาดฮ่องเต้ได้แม้แต่วันเดียว’ เจ้าเข้าใจแล้วจริงๆ หรือ?”
หนันจานยังคงพยักหน้า
หนึ่งประโยคสองความหมาย ซ่งเหอฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีจำเป็นต้องครองราชย์ มิเช่นนั้นบ้านเมืองจะเป็นดั่งฝูงมังกรไร้ผู้นำ จะสร้างความสั่นสะเทือนรุนแรงให้แก่ราชสำนัก
นอกจากนี้ก็คือหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นกับฮ่องเต้ซ่งเหอ ราชสำนักก็ต้องเปลี่ยนคน ต้องมีคนมารับตำแหน่งต่อทันที ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนฮ่องเต้ในวันนั้นเลย ยังคงเป็นประโยคที่ว่ามิอาจขาดฮ่องเต้ได้แม้แต่วันเดียวเหมือนกัน
ส่วนดวงจิตเมล็ดงาของลู่เหว่ยก็เหมือนถูกบังคับยัดเข้าไปในเนื้อหนังที่ล่องลอยว่างเปล่า ทำให้ได้เห็นภาพแห่งกาลเวลาภาพแล้วภาพเล่า
บนสนามรบที่เป็นภาพมายาแห่งหนึ่ง ปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุดของราชาบัลลังก์เก่าสิบสี่คนซึ่งรวมบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่เป็นหนึ่งในนั้นยืนเรียงกันเป็นแถว คล้ายกับว่าลู่เหว่ยคนเดียวกำลังคุมเชิงกับพวกมัน
เป็นเหตุให้จิตแห่งมรรคาของลู่เหว่ยส่ายไหวไม่มั่นคง
บนพื้นดิน ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าอย่างเฟยเฟยกำลังกระชากลำคลองใหญ่อยู่กลางอากาศ
บนยอดเขาของภูเขาใหญ่แห่งหนึ่ง ปีศาจใหญ่บนยอดเขาที่มีชื่อว่าหยวนซง ข้างกายมีดรุณีน้อยยืนอยู่บนลำคลอง มีแสงกระบี่ที่คล้ายกับพุ่งดิ่งตรงมาหาลู่เหว่ย
……
ในช่วงเวลาที่จิตแห่งมรรคาของลู่เหว่ยกำลังจะแหลกสลาย
สุดท้ายเขาก็มาถึงตรอกซิ่งฮวาที่ลู่เหว่ยคุ้นเคยเป็นอย่างดี ที่นั่นมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งตั้งแผงขายถังหูลู่
ชายฉกรรจ์คนนั้นกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เอ่ยกับบรรพบุรุษสกุลลู่สำนักหยินหยางด้วยประโยคที่พูดก็เหมือนไม่พูด “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เศษสวะลู่เหว่ย”
จิตแห่งมรรคาแตกโพละแหลกสลาย ประหนึ่งตะเกียงแก้วที่ร่วงตกพื้น
ทั้งๆ ที่ลู่เหว่ยรู้ดีว่านี่เป็นฝีมือของอิ่นกวานหนุ่ม แต่กลับยังคงยากที่จะรั้งจิตซึ่งหลุดออกจากการควบคุมของตัวเองได้
ต่อมาจิตวิญญาณของลู่เหว่ยที่ขวัญหนีดีฝ่อก็ถูกกระชากดึงให้มาที่หน้าประตู ‘เรือน’ หลังหนึ่ง ประตูไม่ได้ปิดไว้ ด้านในมีผู้ฝึกตนคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิ ข้างหน้าวางโต๊ะเอาไว้ตัวหนึ่ง ดูเหมือนว่าผู้ฝึกตนจะกำลังเขียนอะไรบางอย่าง
เห็นลู่เหว่ยแล้ว คนผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ ทั้งยังมีความตื่นเต้นหลายส่วน เขารีบลุกขึ้นยืน เดินมาที่หน้าประตู แต่กลับไม่กล้าข้ามธรณีประตูออกมาแม้แต่ก้าวเดียว เพียงแค่ใช้ภาษากลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างถามอย่างกระตือรือร้นว่า “สหายท่านนี้มาจากที่ใดของเปลี่ยวร้างหรือ?”
ลู่เหว่ยเชี่ยวชาญภาษากลางของเปลี่ยวร้าง ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “สกุลลู่แห่งแผ่นดินกลาง เจ้าคือ?”
คนผู้นั้นพลันหัวเราะเสียงดังลั่น “ดีๆ ดีเยี่ยมไปเลย เป็นคนที่หล่นร่วงลงมาจากขอบฟ้า (เปรียบเปรยถึงคนที่ตกอับต้องซัดเซพเนจร) เหมือนกัน”
มีทุกข์ร่วมต้าน ไม่สนหรอกว่าจะมาจากบ้านเกิดหรือไพศาล
ทางที่ดีที่สุดคือทั้งสองได้เป็นเพื่อนบ้านกัน ยามปกติยังพูดคุยกันได้ด้วย
คนตรงหน้าลู่เหว่ย ‘คนนี้’ ก็คืออิ๋นลู่รองเจ้านครของนครเซียนจานที่นครถูกผ่าออกเป็นสองท่อน ก่อนหน้านี้ถูกเฉินผิงอันกักหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณแล้วโยนมาไว้ที่นี่
ทุกวันนี้นครเซียนจานถูกยันต์สองแผ่นอย่างยันต์อักษรภูเขาและยันต์อักษรน้ำแบ่งแยกเอาไว้ พื้นที่มงคลเหยากวงที่เป็นคลังยุทโธปกรณ์ของเปลี่ยวร้างก็ไม่เหลืออยู่แล้วเหมือนกัน อิ๋นลู่ที่อยู่ที่นี่อิจฉาอิ๋นลู่ที่จะดีจะชั่วก็ยังมีอิสระผู้นั้นแทบตายแล้ว แค่ขอบเขตถดถอยจากเซียนเหรินมาเป็นขอบเขตหยกดิบแล้วอย่างไร ก็ยังได้อิงแอบแนบชิดสาวงาม ได้เกลือกกลิ้งอยู่ในบ้านเกิดแห่งความอ่อนโยนอยู่ทุกวันไม่ใช่หรือ เสวียนผู่ผู้เป็นอาจารย์ตายไป ไม่แน่ว่า ‘ตัวเอง’ คนนั้นอาจได้เป็นเจ้านครไปแล้วก็ได้
น่าสงสารตนที่ต้องมาถูกขังอยู่ที่นี่ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือ
ต้องคอยจดบันทึกทุกสิ่งที่เคยได้เห็นได้ยินมาเกี่ยวกับเปลี่ยวร้างลงสมุดบันทึก
หากกล่าวตามคำพูดของอิ่นกวานหนุ่ม เขียนได้ไม่ถึงหนึ่งล้านคำก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย หากคุณภาพของเนื้อหายังพอใช้ได้ ไม่แน่ว่าอาจปล่อยให้เขาได้ออกไปเดินดูข้างนอกบ้าง
ทางฝั่งของงานเลี้ยงสุรานอกฟ้าดินเล็ก
เสี่ยวโม่พลันเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชาย”
เวลานี้เฉินผิงอันกำลังก้มหน้ามองหมัดที่ซ่อนฉากสายฟ้าเอาไว้ สายตาฉายประกายเจิดจ้าผิดปกติ
ได้ยินคำเรียกขานของเสี่ยวโม่แล้ว แต่เฉินผิงอันกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เสี่ยวโม่จึงได้แต่เรียกว่าคุณชายอีกครั้ง
เฉินผิงอันถึงได้เงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้มให้กับเสี่ยวโม่
หนันจานกับลู่เหว่ยรู้สึกมาโดยตลอดว่า ‘โม่เซิง’ ที่แปลกหน้าผู้นี้คือผู้ปกป้องมรรคาที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ครั้งนี้เสี่ยวโม่ติดตามเฉินผิงอันมาเป็นแขกในวังหลวง มาเยี่ยมเยือนคนรู้จักสองคน ก็เพื่อให้เสี่ยวโม่คอยเตือนให้เขายับยั้งตัวเองในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
เฉินผิงอันคลายนิ้วทั้งห้าออก จิตวิญญาณของลู่เหว่ยพลันกลับคืนสู่ตำแหน่ง รีบคลำหายันต์สีม่วงเขียวแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เอามาทาบทับตรงลำคอทันใด
เซียนเหรินที่อยู่ในช่วงคอขวดแล้ว กลับขอบเขตถดถอยเป็นหยกดิบภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ได้ลงมือเลยสักครั้ง
ความอัปยศใหญ่หลวงสำหรับคนบนภูเขาประเภทนี้ มิอาจหาสิ่งใดมาเทียบเทียมได้อีกแล้ว
ควรจะรับมือกับบรรพบุรุษสกุลลู่ผู้นี้อย่างไร อันที่จริงเฉินผิงอันไม่มีทางเลือกมากนัก ลู่เหว่ยไม่ใช่อิ๋นลู่แห่งนครเซียนจานผู้นั้น เฉินผิงอันไม่ค่อยกล้าดึงจิตวิญญาณของอีกฝ่ายมาทิ้งไว้ในตราผนึกของฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของตัวเอง ดังนั้นหากไม่หลอมจิตวิญญาณของอีกฝ่ายให้หมดสิ้น เป็นเหตุให้ลู่เหว่ยต้องอาศัยตะเกียงต่อชะตาชีวิตในศาลบรรพชนตระกูลตัวเอง เอาอย่างไหวเฉียน กลับมาฝึกตนใหม่อีกครั้ง หรือไม่ก็เหมือนอย่างตอนนี้ที่ทำให้อีกฝ่ายขอบเขตถดถอย เรื่องไม่คาดฝันเพียงหนึ่งเดียวคือจิตแห่งมรรคาดวงนั้นของลู่เหว่ยเปราะบางกว่าที่เฉินผิงอันคาดการณ์ไว้มากนัก คาดว่าอาจารย์ฉีและโจวจื่อต่างก็ต้องเคยทิ้งตราประทับที่มิอาจลบเลือนไว้บนจิตแห่งมรรคาของลู่เหว่ย และเขาก็ต้องเคยเผชิญกับความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวงมาก่อนแน่นอน
แน่นอนว่าตอนนี้ยังต้องนับรวมตนเข้าไปด้วยอีกคน
หลายปีมานี้เฉินผิงอันได้มองคนของสกุลลู่แผ่นดินกลางทั้งตระกูลเป็นศัตรูในจินตนาการซึ่งเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่มาโดยตลอด
ตอนนี้มาลองนึกดูก็ไม่ใช่ว่าเขาประเมินไว้สูงเกินไปเลยจริงๆ
ต่อให้อีกฝ่ายไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง หรือถึงขั้นที่ว่าต่อให้ไม่มีใครสักคนที่เป็นขอบเขตเซียนเหริน ความกริ่งเกรงที่เฉินผิงอันมีต่อสกุลลู่แผ่นดินกลางก็ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิด
ลู่เหว่ยในวันนี้แค่ถูกเสี่ยวโม่สยบกำราบไว้เท่านั้น ส่วนเฉินผิงอันก็แค่ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นดั่งการผลักเรือตามกระแสน้ำ ไม่ถือเป็นการประชันอะไรกับสกุลลู่แผ่นดินกลางทั้งนั้น
เฉินผิงอันหยิบตะเกียบด้ามนั้นขึ้นมา มองไปทางลู่เหว่ยที่วันนี้เจอหายนะพลังชีวิตจึงได้รับความเสียหายอย่างหนัก “ขุนเขาสูงสายน้ำไหลยาว จงรักษาตัวให้ดี”
ลู่เหว่ยราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พยักหน้าเอ่ยว่า “เป็นคนต้องฟังคำแนะนำของคนอื่นบ้าง จดจำไว้ขึ้นใจแล้ว”
เมื่อครู่ ‘ระหว่างทางที่มา’ คนชุดเขียวผู้นั้นเอาสองมือสอดชายแขนเสื้อ เดินเคียงบ่าไปกับดวงจิตดวงหนึ่งของลู่เหว่ย หันหน้ามาถามว่า เจ้าและข้าล้วนเป็นคนธรรมดา กลัวผลไม่กลัวเหตุ?
ฝุ่นแดงคลุ้งหมื่นจั้ง มหาสมุทรแห่งทุกข์โถมท่วมฟ้า คนธรรมดาหวาดกลัวผล บนยอดเขากลัวเหตุ
ตอนนั้นลู่เหว่ยไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
จากนั้นคนชุดเขียวก็หัวเราะพลางตบหน้าท้องตัวเอง เอ่ยคำพูดประหลาดว่า ‘ท้องร้องดังโครกคราก หิวโหยทรมาน ลองถามท่านลู่ ต้องทำอย่างไรดี?’
ลู่เหว่ยยังคงไม่ตอบ
เดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ เฉินผิงอันเอ่ยว่า “วันหน้าอย่าได้พัวพันอยู่กับต้าหลีอีกเลย จะฟังหรือไม่ฟังก็แล้วแต่เจ้า”
ลู่เหว่ยมองไปที่ลู่เจี้ยงแวบหนึ่ง
สุดท้ายเฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ย “การถามกระบี่ของสกุลลู่แผ่นดินกลางพวกเจ้าครั้งนี้ ข้าเฉินผิงอันและภูเขาลั่วพั่วถือว่ารับกระบี่อย่างเป็นทางการนับแต่บัดนี้”
ลู่เหว่ยลุกขึ้นยืน ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋าต่อเฉินผิงอัน จากนั้นร่างกายก็สลายหายไป
ทิ้งไว้เพียงหนันจานที่สับสนเลื่อนลอย ทั้งยังคลางแคลงไม่แน่ใจ
จัดการเจ้าลู่เหว่ยผู้นั้นให้สิ้นซากไปทีเดียวเลยสิ?! จะปล่อยเสือกลับภูทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?
เฉินผิงอันโยนตะเกียบด้ามนั้นลงบนโต๊ะ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องที่เจ้าต้องสอนข้าทำรึ?”
หนันจานคล้ายถูกคนบีบคอเอาไว้
วันนี้เหมือนเจอผีจริงๆ คำพูดในใจพูดไม่ได้สักคำ แม้แต่ความคิดในใจก็ยังคิดไม่ได้เหมือนกันงั้นรึ?
เฉินผิงอันชี้ไปที่ตะเกียบด้ามนั้น “มอบให้เจ้าแล้ว สามารถเอาไปปักเป็นปิ่นบนมวยผมได้ ทุกวันยามส่องกระจกก็คอยเตือนตัวเองว่าเป็นหนันจานที่ไม่ใช่ลู่เจี้ยงอีกแล้ว ปิ่นยากจะปัก” (คำว่าจานแปลว่าปิ่น)
หนันจานลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังหยิบตะเกียบด้ามที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง ไม่ได้จากไปทันที
หนันจานเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก เพียงยืนอยู่อย่างนั้น เพียงแต่ว่ามือข้างที่ไพล่ไปด้านหลังกำตะเกียบไผ่เขียวด้ามนั้นเอาไว้เกร็งแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน
ผลคืออีกฝ่ายยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “รับของขวัญแล้วไม่รู้จักเอ่ยขอบคุณหรือ นี่เป็นนิสัยแย่ๆ ที่ใครสั่งใครสอนเจ้ากัน?”
หนันจานจึงได้แต่ยอบกายคารวะด้วยท่าทางสำรวมไร้ชีวิตชีวา เค้นรอยยิ้มเอ่ยขอบคุณคนผู้นั้นคำหนึ่ง
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่จากไป
ความคิดในหัวหนันจานตีกันอยู่พักใหญ่ แต่ก็ยังใช้เสียงในใจซักถามกับแผ่นหลังของคนชุดเขียวว่า “นับแต่นี้ไปข้าสามารถตัดขาดความสัมพันธ์กับสกุลลู่แผ่นดินกลางได้จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันไม่ได้หันกลับมา “สวรรค์เท่านั้นที่รู้”
เดินไปที่ประตูวังด้วยกัน ทั้งสองฝั่งล้วนเป็นกำแพงสูงใหญ่
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “เจอกันบนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ต่างฝ่ายต่างผูกบุญสัมพันธ์ ใช้ชีวิตอยู่บนโลก ต่างฝ่ายต่างต้องใช้หนี้คืน”
ดวงตาเสี่ยวลู่เป็นประกายวาบ เอ่ยว่า “พอคุณชายพูดแบบนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้เสี่ยวโม่ก็จับผลัดจับผลูตั้งชื่อให้ตัวเองได้ดีขนาดนี้”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “โม่เซิงชื่อนี้ยิ่งใหญ่มาก สี่จู๋ฉายานี้ก็เป็นมงคลชวนชื่นชอบ เสี่ยวโม่ที่เป็นชื่อเล่นก็เล็กมาก”
เสี่ยวโม่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามหยั่งเชิง “คุณชาย กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเหล่านั้นของข้า ไม่สู้ช่วยข้าเปลี่ยนชื่อด้วยดีไหม?”
“ข้าเชี่ยวชาญด้านการตั้งชื่อจริงๆ แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่ลงมือง่ายๆ”
ชูอี สืออู่
จ้างปู้ (สมุดบัญชี) ข่านไฉ (ผ่าไม้/ผ่าฟืน)
แน่นอนว่ายังมีหน่วนซู่กับจิ่งชิง
เคยถูกทำให้เสียใจมาก่อนด้วยนะ
แต่บัญชีเก่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับแม่นางน้อยหน่วนซู่ ล้วนคิดลงบนหัวเฉินหลิงจวินทั้งหมด
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “สรุปแล้วมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกี่เล่ม?”
เสี่ยวโม่ตอบอย่างเขินอาย “มีแค่สี่เล่ม ระดับขั้นล้วนธรรมดา”
เฉินผิงอันตบไหล่เสี่ยวโม่ “เสี่ยวโม่อ่า รับคำชมไม่ได้เลยใช่ไหม ถึงได้ไม่รู้จักพูดแบบนี้”
เสี่ยวโม่ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “คุณชาย มีอยู่ประโยคหนึ่งไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าพูดเลย”
เสี่ยวโม่อืมรับหนึ่งที ไม่ได้เอ่ยความคิดนั้นออกมา
บนพื้นดินยุคบรรพกาล เสี่ยวโม่ในเวลานั้นเพิ่งจะเรียนเวทกระบี่เป็นก็เริ่มพกกระบี่ออกท่องเที่ยวไปในใต้หล้า เคยโชคดีได้เจอบุคคลหนึ่งที่มาจากฟ้า ลงมาเดินบนโลกมนุษย์
คุณชายข้างกายผู้นี้เหมือน ‘คน’ ผู้นั้นอย่างมาก
กาลเวลายาวนาน หมื่นปีให้หลัง เสี่ยวโม่จดจำใบหน้าและน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เสี่ยวโม่ก็ลืมไปด้วยว่าเจอกับอีกฝ่ายแล้วพวกเขาทั้งสองคุยเรื่องอะไรกัน หรือว่าแท้จริงแล้วไม่ได้พูดคุยอะไรทั้งนั้น สรุปก็คือเหลือแค่ภาพความทรงจำที่พร่าเลือนอย่างหนึ่งทำให้เสี่ยวโม่มิอาจลืมเลือนแม้จะผ่านมาแล้วหมื่นปี จนกระทั่งวันนี้เสี่ยวโม่ก็แค่นึกถึงอีกฝ่ายขึ้นมาได้ ดูเหมือนจะนิสัยดีมากๆ ความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่นั้นก็ยิ่งไม่มีเหตุผลใดจะอธิบายแล้ว
ยามที่อีกฝ่ายมองสรรพสิ่งในฟ้าดิน มองสรรพชีวิตที่มีสติปัญญาก็มีสายตาอ่อนโยนเช่นนี้เหมือนกัน