กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 883.1 ดอกและผล
ซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งที่หัวเราะร่าอารมณ์ดีมาที่ศาลเทพอัคคี มายืนอยู่ตรงบันไดขั้นล่างสุดของซุ้มดอกไม้ บอกว่าจะให้เฟิงอี๋ช่วยสืบข่าวในวังหลวงสักหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายที่นิสัยเรียบง่ายซื่อสัตย์ ใจดีมีเมตตากับคนอื่นไม่รู้ทันแผนชั่วร้าย ถูกคนบางคนที่อาศัยว่าอายุมากกว่าแค่ไม่กี่ปีทำตัวเป็นคนแก่รังแกเด็ก หากถูกตาแก่หนังเหนียวนั่นหลอกจนผ่านด่านไปได้ แล้วยังไม่รู้จักเห็นความดีของเขา เขาที่เป็นอาจารย์ย่อมไม่มีทางยอมนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ เป็นแน่
ซิ่วไฉเฒ่าไม่แม้แต่จะมองสารถีเฒ่าให้เต็มตา เอาแต่พูดจาประจบเอาใจเฟิงอี๋ เจอหน้าก็คารวะ คารวะเสร็จแล้วเขาก็ไม่ไปนั่งโต๊ะหินที่สารถีเฒ่านั่งอยู่ แต่ร่ายคำพูดที่ราวกับดึงออกมาจากถังผักดอง อะไรที่บอกว่าบุปผาดวงจันทร์สาวงามต้องมีบทกวีอันไพเราะ และแรงบันดาลใจในการแต่งกวีก็มาจากสุรา หากบนโลกนี้ไม่มีเหล้าหมัก ทั้งฤกษ์ดีทิวทัศน์งามก็ล้วนเป็นเพียงเครื่องประดับที่ว่างเปล่า…
เฟิงอี๋ทนรับกลิ่นเปรี้ยวนี้ไม่ไหวจึงได้แต่โยนเหล้าหมักร้อยบุปผาไปให้ซิ่วไฉเฒ่าหนึ่งไห ถือเป็นของปิดปากอีกฝ่าย นั่งลงตรงบันไดหินใต้ซุ้มดอกไม้แล้ว ซิ่วไฉเฒ่าก็คล้ายเพิ่งจะมองเห็นสารถีเฒ่า รีบขยับก้นยกขึ้นร้องโอ้โหหนึ่งที อุ้มกาเหล้าไปพูดจาแฝงความนัยที่โต๊ะหินอย่างกระตือรือร้น พึมพำทวงความเป็นธรรมแทนผู้อาวุโสอยู่หลายประโยค เหตุใดถึงเหลือเหล้าแค่ครึ่งไหแล้วเล่า ได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือมานาน ประหนึ่งฟ้าผ่าริมหู อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งที ไม่ทันเมาก็จะกลับแล้วได้อย่างไร กระทั่งเฟิงอี๋ทนคำพูดกระทบกระเทียบของซิ่วไฉเฒ่าไม่ไหวจึงโยนเหล้าไปให้สารถีเฒ่าอีกหนึ่งกา ผลคือซิ่วไฉเฒ่ากลับจ้องเป๋งไปที่ฝ่ายหลังและสุราบนโต๊ะอยู่อย่างนั้น สายตาขยับขึ้นขยับลงไม่หยุดนิ่ง ฝ่ายหลังเข้าใจโดยพลัน ผลักเหล้าหมักร้อยบุปผาที่เพิ่งได้มาไปให้เหวินเซิ่งผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือเงียบๆ ทันที
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็นั่งลงข้างโต๊ะ หยิบเอาถั่วเหลืองคั่วแห้งกำหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ โปรยลงบนโต๊ะ ใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตบทหนึ่งของเฟิงอี๋ อาศัยลมเย็นที่โชยอยู่ระหว่างโลกมนุษย์มาเงี่ยหูฟังบทสนทนาในงานเลี้ยงสุราที่วังหลวง
คาดว่าในบรรดาอริยะปราชญ์มากมายผู้มีเทวรูปและเจ้าขุนเขาผู้อำนวยการทั้งหลายของศาลบุ๋น ก็คงมีแค่ซิ่วไฉเฒ่าเท่านั้นที่ทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ได้ลง แล้วยังทำอย่างมาดมั่นมีเหตุมีผลเต็มเปี่ยมอีกด้วย
สารถีเฒ่านั่งอยู่ตรงนั้นด้วยอาการตะครั่นตะครอ อยากจะขอตัวลากลับไปเต็มที
คิดไม่ถึงว่าซิ่วไฉเฒ่าจะเหล่ตามองมา โยนถั่วเหลืองคั่วสองสามเม็ดเข้าปาก “ไม่ไว้หน้ากันใช่ไหม? ข้าบอกให้เจ้าไปได้แล้วหรือ?”
สารถีเฒ่ายิ้มเจื่อน “เหวินเซิ่งพูดตลกแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ตลก? จำเป็นต้องพูดด้วยหรือ ในสายตาของพวกเจ้า เดิมทีข้าก็เป็นตัวตลกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ยังต้องพูดอีกหรือไร?”
ในใจสารถีเฒ่าตะลึงพรึงเพริดสุดขีด รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาโดยพลัน
คงไม่ใช่ว่าวันนี้ซิ่วไฉเฒ่าปากอมกฎสวรรค์ ต้องการมาคิดบัญชีย้อนหลังแทนศาลบุ๋นหรอกกระมัง?
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะหยัน “ข้าว่าผู้อาวุโสต่างหากที่พูดตลกเก่งนัก ทำไม ผู้อาวุโสดูแคลนอันดับสี่ของศาลบุ๋น คิดว่าไม่มีคุณสมบัติพอจะนั่งทัดเทียมกับท่านอย่างนั้นหรือ?”
ต่อให้สารถีเฒ่าจะหัวทึบแค่ไหนก็ยังรู้หนักเบา รู้ผลได้ผลเสียดี ในใจรู้ว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว จึงรีบใช้เสียงในใจพูดกับเฟิงอี๋ “ผู้มามีเจตนาร้าย ไม่เหมือนนิสัยยามปกติของเหวินเซิ่งเลย อีกเดี๋ยวหากเหวินเซิ่งอาละวาดไร้เหตุผล หรือคิดจะสาดน้ำสกปรกใส่ข้า เจ้าช่วยแบกรับไว้ให้หน่อย อย่างน้อยทางฝั่งศาลบุ๋นและภูเขาเจินอู่ เจ้าก็ช่วยพูดให้ที”
เกี่ยวกับความอัปยศความรุ่งโรจน์และผลได้ผลเสียของตน ชั่วชีวิตนี้ซิ่วไฉเฒ่าไม่เคยสนใจมาก่อน ต่อให้เทวรูปที่อยู่ในศาลบุ๋นจะถูกลดระดับลงครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งถูกย้ายออกจากศาลบุ๋น หรือถึงขั้นถูกทุบแตกอยู่ริมทาง ใต้หล้าไพศาลสั่งห้ามเผยแพร่ความรู้ของเขา ตัวเขาเองก็ถูกกักขังอยู่ในสวนกงเต๋อ ซิ่วไฉเฒ่าล้วนไม่เคยแก้ตัวให้ตัวเอง แม้แต่ร่ำร้องว่าได้รับความไม่เป็นธรรมสักคำก็ไม่เคย บัณฑิตคนหนึ่งที่ได้รับคำว่า ‘เซิ่ง’ ต่อท้าย มีชีวิตอยู่มาจนถึงขั้นนี้ ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาลก็ไม่เคยมีมาก่อน หมื่นปีที่ผ่านมามีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น
เฟิงอี๋ใช้เสียงในใจตอบ “จะพยายามแล้วกัน ได้แต่รับปากว่าหากช่วยได้ก็จะช่วย แต่หากช่วยไม่ได้เจ้าก็อย่าโทษข้า ตอนนี้ข้าก็กังวลเหมือนกันว่าจะชักนำไฟให้ลามมาเผาตัวเอง”
เหวินเซิ่งในวันนี้เป็นอย่างที่สารถีเฒ่ากล่าว วางท่าว่าผู้มาเยือนมีเจตนาไม่ดี ผู้มีเจตนาดีไม่มาเยือนจริงๆ ชัดเจนแล้วว่าต้องการจะซักไซ้เอาเรื่องกับพวกลู่เหว่ย
เฟิงอี๋เองก็เข้าใจได้ ฉีจิ้งฉุนกับเฉินผิงอัน ลูกศิษย์คนเล็กสุดสองคนก่อนและหลังต่างก็เคยถูกพวกตาแก่เหล่านี้ ‘อาศัยว่าอายุมากกว่ามารังแก’ ตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูมาก่อน
แล้วนับประสาอะไรกับที่เมืองหลวงต้าหลีที่ซิ่วไฉเฒ่าอยู่ในเวลานี้ก็ยิ่งเป็น ‘สถานที่ฝึกตน’ ที่ลูกศิษย์คนแรกอย่างชุยฉานทุ่มเทความคิดจิตใจนานนับร้อยปีสร้างขึ้นมา อารมณ์จะดีได้อย่างไร?
ดังนั้นยังคงเป็นประโยคเก่าแก่ประโยคนั้น อย่าได้รังแกคนซื่อที่มองดูแล้วนิสัยดีมากเกินไป
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ปฏิทินเหลืองเก่าแก่บางอย่างที่ฝุ่นเกาะมานานปี วันนี้เฟิงอี๋จงใช้โอกาสนี้ชดใช้ให้เฉินผิงอันเถิด”
เฟิงอี๋ถอนหายใจเบาๆ ก่อนพยักหน้ารับ
ดังนั้นเฉินผิงอันที่วางแผนปัดแข้งปัดขากับลู่เหว่ยและหนันจานอยู่ในวังหลวง ‘อยู่ดีๆ’ จึงมีข้อได้เปรียบของการชิงลงมือก่อนเพิ่มมาหลายครั้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ
สารถีเฒ่าเห็นว่าซิ่วไฉเฒ่าเดี๋ยวก็มีสีหน้าเคร่งขรึมคล้ายพระธุดงค์ เดี๋ยวก็หรี่ตาลูบหนวดยิ้มอย่างชอบใจ เดี๋ยวก็ผงกศีรษะอยู่กับตัวเอง คล้ายแอบได้ยินถ้อยคำอันยอดเยี่ยมซึ่งเกาถูกที่คัน
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าก็ให้เฟิงอี๋เชิญลู่เหว่ยมารำลึกความหลังกันที่ศาลเทพอัคคีแห่งนี้
เฟิงอี๋ ลู่เหว่ย สารถีเฒ่า สหายเก่าสามคนในถ้ำสวรรค์หลีจูได้กลับมาพบกันอีกครั้งที่ศาลเทพอัคคีเมืองหลวงต้าหลี
ซิ่วไฉเฒ่าปรายตามองบรรพบุรุษสกุลลู่ที่เร่งเดินทางออกจากวังหลวงต้าหลีมายังที่แห่งนี้แล้วเก็บเหล้าหมักร้อยบุปผากาหนึ่งใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ คว้าถั่วเหลืองคั่วกำสุดท้ายบนโต๊ะมาโยนใส่ปากเคี้ยวช้าๆ แล้วกลืน ลุกขึ้นอย่างเนิบช้า เอ่ยประโยคที่เป็นข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงกับสารถีเฒ่าว่า “วันหน้าเจ้าอย่าได้คิดจะเข้าออกภูเขาเจินอู่อีกเลย ไม่อย่างนั้นหากข้ารู้เข้า ข้าก็จะไม่ไปหาเรื่องเจ้าหรอก แต่ข้าจะไปอธิบายเหตุผลกับภูเขาเจินอู่แทน”
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นนิ้วข้างหนึ่งจิ้มไปที่หน้าอก “คำพูดของข้าก็คือคำพูดของศาลบุ๋น หากภูเขาเจินอู่มีความเห็นต่างก็ไปฟ้องศาลบุ๋นเอาเอง ข้าจะรออยู่ที่หน้าประตู”
สารถีเฒ่าเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ยังดีที่เหวินเซิ่งไม่ได้รังแกกันมากเกินไป วันหน้าอย่างมากตนก็เข้าออกโลกมนุษย์ผ่านทางศาลลมหิมะก็แล้วกัน
ซิ่วไฉเฒ่ามองลู่เหว่ยที่ขอบเขตเพิ่งถดถอย “กลับไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว เจ้าก็ช่วยไปบอกกับลู่เซิงแทนข้าสักคำ วันหน้าเมื่อไปที่หอครองดาว อย่าได้เดินทางตอนกลางคืน อย่าไปพูดว่าข้ามีที่พึ่งอะไรอยู่ที่ศาลบุ๋นล่ะ รับมือกับลู่เซิงคนเดียว ไม่จำเป็น ไม่มีค่าพอ”
ซิ่วไฉเฒ่ายกนิ้วโป้งชี้ไปที่ท้องฟ้า “บนฟ้าข้าผู้อาวุโสก็มีคนอยู่ด้วย”
ฝูลู่อวี๋เสวียน ผสานมรรคากับธารดวงดาว
ข้ากับป๋ายเหย่เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ส่วนตาเฒ่าอวี๋ก็มีมิตรภาพที่เคยแลกชีวิตกันมากับป๋ายเหย่ ถ้าอย่างนั้นข้ากับตาเฒ่าอวี๋ก็คือสหายรักกันแล้ว
เหตุใดปรมาจารย์มหาปราชญ์ถึงต้องเปิดทางให้อวี๋เสวียนด้วยตัวเอง?
แน่นอนว่าเพราะฝูลู่อวี๋เสวียนไม่ผิดต่อคำว่า ‘ฝูลู่’ (ยันต์) ตอนนั้นเขาข้ามทวีปไปให้ความช่วยเหลือป๋ายเหย่ ตาเฒ่าอวี๋เสวียนยอมสละมรรคกถาและยันต์นับล้านแผ่นอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ต้องเข้าร่วมสงครามวุ่นวายครั้งนั้นให้ได้
ขณะเดียวกันศาลบุ๋นก็มีความไม่พอใจต่อสกุลลู่แผ่นดินกลางอยู่เช่นกัน เพียงแต่ว่าเรื่องบางอย่างสกุลลู่ทำอย่างคลุมเครือทั้งยังยอดเยี่ยม อยู่ในกฎเกณฑ์ทุกเรื่อง ศาลบุ๋นจะเอาโทษก็ไม่อาจแสดงออกอย่างชัดเจนมากเกินไป
บนฟ้ามีอวี๋เสวียน สกุลลู่อยู่บนดิน นี่ต่างหากจึงจะเป็นการพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นอย่างแท้จริง!
คำข่มขู่ของซิ่วไฉเฒ่า ฟังดูเหมือนคำล้อเล่นที่เอาแต่ใจไร้แก่นสาร ไม่เจ็บไม่คัน ไม่ส่งผลต่อเรื่องสำคัญใดๆ
แต่ลู่เหว่ยกลับหัวเราะไม่ออกเลยสักนิด
อาจารย์คนหนึ่งที่นิสัยดีย่อมไม่มีทางสอนลูกศิษย์อย่างฉีจิ้งชุนและจั่วโย่วออกมาได้
บัณฑิตที่ดีแต่แสร้งวางท่าข่มขู่ให้คนกลัวก็ไม่มีทางสอนคนอย่างชุยฉาน เฉินผิงอันได้เช่นกัน
อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่ความรู้ไม่พอ ในช่วงเวลาที่ชื่อเสียงไม่โดดเด่นก็ไม่มีทางทำให้หลิวสือลิ่วเป็นฝ่ายกราบอาจารย์ขอเข้ามาเรียนในสำนักด้วยตัวเอง
ยิ่งไม่มีทางมีสหายอย่างป๋ายเหย่ ป๋ายเจ๋อ
ซิ่วไฉเฒ่ายิ่งพูดก็ยิ่งโมโห สองมือเท้าเอวฉับ แผดเสียงก่นด่าใส่คนทั้งสอง
“ตอนที่ใช้เหตุผลกับพวกเจ้าดีๆ พวกเจ้าดันไม่ฟัง ยืนกรานจะทำตัวงี่เง่า”
“จะต้องให้กดหัวพวกเจ้า พวกเจ้าถึงจะยินดีฟังเหตุผล ยอมพูดภาษาคน”
“แล้วก็เพราะลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้านิสัยดี ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นข้าล่ะก็…ช่างเถอะ ข้าความสามารถต่ำต้อย หน้าตาก็มีแค่น้อยนิด วันนี้คงไม่ทิ้งถ้อยคำอาฆาตไว้ที่นี่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะทำให้พวกเจ้าได้เห็นเรื่องตลกกันเสียเปล่าๆ”
ซิ่วไฉเฒ่าหันไปมองเฟิงอี๋ที่นั่งอยู่บนบันไดหินของซุ้มดอกไม้
ใบหน้าเฟิงอี๋เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ตบหัวใจเบาๆ เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “โอ้ ถึงคราวด่ามาถึงข้าแล้วหรือ? เหวินเซิ่งเชิญด่าได้ตามสบาย ข้าจะรับไว้ทั้งหมดเอง”
ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ถูมือเอ่ย “ที่ไหนกันๆ นี่ก็เพราะว่าข้าพูดจนปากคอแห้งผากหมดแล้ว เอาเหล้ามาดื่มให้ชุ่มคอสักหน่อยสิ”
เฟิงอี๋ยิ้มกล่าว “เหวินเซิ่งด่ากันตรงๆ ยังดีเสียกว่า”
สุราอร่อย แต่กลับหลอกเอามาได้ยาก
ลู่เหว่ยที่ไม่เหลือกะจิตกะใจจะทำอะไรเพียงแค่ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋าต่อเหวินเซิ่ง จากนั้นก็จากไปอย่างเงียบเชียบ เดินทางไกลกลับไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หวนกลับไปยังสกุลลู่ตระกูลของตัวเองทั้งอย่างนี้
บรรพจารย์สกุลลู่ท่านนี้ตัดสินใจไว้แล้วว่าชีวิตนี้จะไม่เหยียบเข้ามาในแจกันสมบัติทวีปอีก สถานที่อันตราย คนร้ายกาจเยอะเกินไป ตอนแรกก็เป็นฉีจิ้งชุน แล้วยังมามีเฉินผิงอันอีก
ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าจนพอเมากรึ่มๆ ก็เดินออกไปจากศาลเทพอัคคี ไปถึงหน้าประตูศาลก็พลันหยุดยืนนิ่ง ถอนหายใจ ทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด
หญิงชราที่เป็นมนุษย์ธรรมดาคนนั้นเป็นทั้งคนเฝ้าประตูศาลเทพอัคคี แล้วก็เป็นคนเฝ้าศาลด้วย
เรือนกายของหญิงชรางองุ้ม นางพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เหวินเซิ่งรับลูกศิษย์ได้ดี อ่อนโยนนอบน้อมจิตใจดีงาม ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างมีมารยาท ออกมาอยู่นอกบ้าน ในสายตาสามารถมองเห็นอริยะอยู่กันเต็มถนน บนร่างของทุกคนล้วนมีความเป็นพุทธะ แม้ชาติกำเนิดจะยากจน แต่กลับมีสติปัญญาเฉียบแหลม มีจิตใจที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น”
ใบหน้าของซิ่วไฉเฒ่าเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี หัวเราะจนหุบปากไม่ลง แต่กลับยังโบกมือ “ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน ไม่ได้ดีอย่างที่ผู้อาวุโสพูดหรอก เพราะถึงอย่างไรก็ยังเป็นแค่คนหนุ่มคนหนึ่ง วันหน้าย่อมต้องดียิ่งกว่านี้”
‘หญิงชรา’ ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นแค่เนื้อหนังมังสาที่ดวงจิตหนึ่งมาพึ่งพิงเท่านั้น ประหนึ่งโรงเตี๊ยมในโลกมนุษย์ ส่วนตัวตนที่แท้จริงของนางก็ค่อนข้างจะวกวนซับซ้อนแล้ว ค่อนข้างคล้ายคลึงกับนักพรตเฒ่าตาบอดของตรอกฉีหลงที่อยู่ระหว่างอาจารย์และศิษย์อย่างเฉินชิงหลิวกับเจิ้งจวีจง สถานะอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจนของนางก็คือหนึ่งในบรรพบุรุษผู้ประคับประคองมังกรแห่งถ้ำสวรรค์หลีจู หรือก็คือหมัวมัวผู้สอนมารยาทของธิดามังกรบางคนในอดีต หรือนานกว่านั้น นางยังถือว่าเป็นคนกันเองของศาลบุ๋น ระบบสายหลักของผู้เลี้ยงมังกรของเมื่อสามพันปีก่อน สถานะของนางก็คือหนึ่งในหลี่กวานของลัทธิขงจื๊อ
ดังนั้นตอนนั้นที่ลู่เฉินไปตั้งแผงดูดวงอยู่ในเมืองเล็กแล้วถูกหลิวเสี้ยนหยางคว่ำแผงดูดวง ก็คือเส้นแห่งผลกรรมเส้นหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่
ตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีป สถานที่ที่มีกลิ่นไอมังกรโชติช่วงที่สุด เมื่อก่อนคือถ้ำสวรรค์หลีจู ทุกวันนี้แน่นอนว่าต้องเป็นที่เมืองหลวงต้าหลีแล้ว
หญิงชราพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คนล่างล่างมีสติปัญญาบนบน”
ซิ่วไฉเฒ่าหุบยิ้ม เงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้าเบาๆ “สายตาของผู้อาวุโสดีกว่าเฟิงอี๋หลายส่วน”
หญิงชราส่ายหน้า “หากจะพูดถึงแววตา พวกเราล้วนมองเห็นไม่ไกลเท่าฉีจิ้งชุนหรอกนะ”
ซิ่วไฉเฒ่าลังเลเล็กน้อย ครั้นจึงขยุ้มหนวดพูดรำพึงรำพัน “เด็กหนุ่มควรมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ใครเล่าจะสงสารยามที่เจ้าต้องตกทุกข์ทอดถอนใจอยู่เพียงลำพัง”
ความนัยในคำพูดนี้ก็คือ ปีนั้นลู่เฉินถ่อเรือออกท่องมหาสมุทร แต่กระนั้นก็ยังมิอาจหาสถานที่ที่ทำให้ใจสงบได้เจอ สุดท้ายเพื่อแสวงหามหามรรคาที่อยู่ในใจจึงออกจากบ้านเกิดไปยังใต้หล้ามืดสลัว กลายเป็นลูกศิษย์คนที่สามของมรรคาจารย์เต๋า จิตใจสงบไร้คลื่นดุจบ่อโบราณ รู้ว่าบางเรื่องมิอาจทำอะไรได้จึงยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี แม้จะบอกว่าไม่เป็นดั่งใจปรารถนาทั้งยังเหมือนไร้ความรู้สึก แต่แท้จริงแล้วไม่เคยผิดต่อมหามรรคาในใจตน
หญิงชราหัวเราะ “ปีนั้นลู่เฉินตั้งแผงอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูนานหลายปี ทั้งเพื่อช่วยปกป้องมรรคาให้กับศิษย์พี่ใหญ่ของเขา แล้วก็เพื่อสยบกำราบการลงมืออย่างไร้เหตุผลครั้งสุดท้ายของฉีจิ้งชุน ทั้งๆ ที่เป็นศัตรูกัน แต่เหตุใดเหวินเซิ่งจึงยังต้องแก้ตัวให้กับคนผู้นี้?”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้าเอ่ย “ในเมื่อเป็นคนละเรื่องกัน แบ่งแยกบุญคุณความแค้นได้ชัดเจนก็คือลูกผู้ชาย”
ทางฝั่งของซุ้มดอกไม้
สารถีเฒ่าแกว่งไหสุราที่ยังเหลือสุราอีกเกือบครึ่ง ทอดถอนใจ ขมวดคิ้วมุ่นมิคลาย
เฟิงอี๋ยิ้มกล่าว “นี่เรียกว่าโดนเวรกรรมตามสนอง แค่ยืนดีๆ รอโดนตีก็พอแล้ว ไยต้องทำกระเง้ากระงอดราวกับสตรี”
สารถีเฒ่าเอ่ยอย่างจนใจ “ใครเป็นคนบอกกันนะว่า มีเรื่องกับใครก็มีไป แต่อย่าไปผูกปมแค้นกับคนสามคนอย่างซิ่วไฉเฒ่า เจิ้งจวีจงและฮว่อหลงเจินเหรินเด็ดขาด”
คนหนึ่งทะเลาะเก่งเกินไป คนหนึ่งหัวดีเกินไป ส่วนอีกคนก็มีเพื่อนบนภูเขาเยอะเกินไป
หลังจากที่สารถีเฒ่าออกไปจากศาลเทพอัคคีอย่างขุ่นเคืองแล้ว หญิงชราก็เดินกะเผลกๆ มาที่ซุ้มดอกไม้
เฟิงอี๋จุ๊ปากพูด “ไม่ได้สัมผัสกับความเดือดดาล ท่าทางแสดงอำนาจของอริยะศาลบุ๋นคนหนึ่งมานานมากแล้ว โชคดีที่แค่ตกใจไปเองเท่านั้น”
เทพที่เลื่อนขั้นใหม่เสริมตำแหน่งที่ขาดในกองงานต่างๆ ของโลกยุคหลังก็ดี ผู้ฝึกตนทำเนียบบนภูเขาและผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาก็ช่าง อย่างมากก็แค่เคยไปมาหาสู่กับพวกเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา แท้จริงแล้วไม่ค่อยเข้าใจพวกอริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปอยู่ในศาลบุ๋นเท่าใดนัก เมื่อสามพันปีก่อน รวมไปถึงเมื่อแปดพันปีก่อน เคยมีเส้นแบ่งสองเส้นที่ขอบเขตชัดเจน ภาพลักษณ์ของอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปจึงยิ่งเจือจางจากใจของคนในโลกมนุษย์ทุกที ถึงขั้นที่ผู้คนยังหลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำ
หญิงชราลูบเส้นผมตรงจอนหู พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เฟิงอี๋ดื่มเหล้า พูดพึมพำกับตัวเองว่า “กังวลเรื่องเมฆเพื่อดวงจันทร์ กังวลเรื่องมอดเพื่อตำรา กังวลเรื่องการสืบทอดเพื่อความรู้ กังวลเรื่องลมฝนเพื่อร้อยบุปผา กังวลเรื่องหลุมบ่อไม่ราบเรียบเพื่อวิถีทางโลก กังวลเรื่องชะตาชีวิตที่เปราะบางเพื่อบุรุษมากความสามารถและโฉมสะคราญ กังวลเรื่องความเงียบเหงาเพื่ออริยะปราชญ์ผู้กล้า ช่างมีจิตใจเมตตาของพระโพธิสัตว์เป็นอันดับหนึ่งเสียจริง”
หญิงชราพึมพำ “ดอกและผลต่างคือกรรม”
……
เด็กหนุ่มกระโดดลงจากรถม้าเดินไปทางตรอกเล็ก ในอ้อมอกหอบกระบอกภาพเทียบอักษรที่วาดเป็นรูปนกและดอกไม้ลงสีสันสวยงามคู่หนึ่ง แกนภาพด้านในมีไม่ต่ำกว่ายี่สิบแกน
หลิวเจียด่าขำๆ “ไอ้หนูเจ้าคิดจะย้ายบ้านหรือ?”
ภาพวาดตัวอักษรของเสี่ยวจ้าวไม่มีค่าถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หรือจะบอกว่าตนยอมแหกกฎทำหน้าหนาขออักษรภาพทำให้เสี่ยวจ้าวตกใจที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝันได้ถึงเพียงนี้?
จ้าวตวนหมิงมาถึงตรอกเล็กแล้วก็เข้าไปในลานประกอบพิธีกรรมหยกขาว โยนกระบอกใส่ม้วนภาพสองกระบอกลงพื้นดังโครม จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ ดูเหมือนท่านปู่ของข้าจะรู้แต่แรกแล้วว่าเป็นใครที่ต้องการอักษรภาพ”
หลิวเจียหยิบแกนภาพอันหนึ่งขึ้นมา หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ก็เป็นเรื่องปกติ ท่านปู่เจ้าฉลาดเหมือนลิงมาตั้งแต่เด็ก ผอมจนเหมือนเหลือแค่ดวงตาคู่เดียว เจอใครก็กลอกตาไปมา โชคดีที่เจ้าไม่เหมือนเขา ไม่อย่างนั้นข้าย่อมไม่มีทางรับเจ้าเป็นลูกศิษย์แน่”