กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 884.4 เตรียมสุรา
อยู่ในเมืองหลวงต้าหลี จู๋เฟิ่งเซียนไม่กล้าก่อเรื่อง ตอนที่ควักทองก้อนหนึ่งออกมาให้เป็นรางวัลจึงฉวยโอกาสลูบคลำมือเล็กขาวนวลของสตรีผู้นั้นไปเล็กน้อย
ช่วยไม่ได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่จู๋เฟิ่งเซียนให้เงินก้อนเป็นรางวัล สตรีสองคนไม่แม้แต่จะปรายตามองด้วยซ้ำ
หลังจากที่เดินออกมาจากเหลาสุราพร้อมกับสหายเฒ่า จู๋เฟิ่งเซียนที่เดินอยู่ริมลำคลองชางผูก็อดเอ่ยทอดถอนใจประโยคหนึ่งไม่ได้ ทองล้ำค่า ในสายตามองไม่เห็นเงินสักนิด
เวลานี้อวี่ชางหมางเหลือบมองไปยังเหยียนกวานกับหวงเหมยที่เดินขึ้นบันไดมา รวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยว่า “น่าอัดอั้นนัก หากรู้แต่แรกว่าจะมีสถานการณ์เช่นนี้ ให้ตายอย่างไรก็คงไม่เข้าร่วมกับหอฝูสู่แล้ว เรื่องนี้ต้องโทษข้าจริงๆ ที่ลากเจ้าให้มาซวยด้วย”
พูดถึงตำแหน่งผู้อาวุโสของพรรคที่แท้จริงแล้วไม่มีอำนาจแท้จริงอยู่ในมือแม้แต่น้อย และเวลาที่มากกว่านั้นก็แค่ช่วยป้อนหมัดให้กับเด็กน้อยสองคนเท่านั้น
เหยียนกวานยังนับว่าดี ออกหมัดรู้จักหนักเบา แล้วยังเป็นคนที่ถือว่ามีคุณธรรม เพียงแต่มองแม่นางน้อยที่คิ้วตาอ่อนหวานผู้นั้นแล้ว ยามที่ลงมือนั่นต่างหากที่เรียกว่าอำมหิต เห็นพวกเขาเป็นเสาไม้เดินได้ที่เอาไว้ซ้อมมือชัดๆ
เพียงแต่จำต้องยอมรับว่าผลสำเร็จบนวิถีวรยุทธของหวงเหมยจะต้องสูงกว่าศิษย์พี่อย่างเหยียนกวานแน่นอน
แม้ทุกวันนี้จะยังเป็นแค่ขอบเขตหก แต่กลับมุ่งหน้าเข้าหาขอบเขตเดินทางไกลแล้ว หันมามองเหยียนกวาน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าชีวิตนี้จะหยุดอยู่แค่ที่ขอบเขตร่างทองแล้ว ในอนาคตอย่างมากสุดก็แค่ถูกส่งให้ไปอยู่ในพรรคของศิษย์พี่บางคนเท่านั้น พูดเสียน่าฟังว่าไปฝึกประสบการณ์ทำความเข้าใจกับขนบธรรมเนียมและเรื่องราวในโลกมนุษย์ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการไปคบค้าอยู่กับกิจธุระยิบย่อยกองใหญ่ในยุทธภพ
จู๋เฟิ่งเซียนยิ้มเอ่ย “ลูกผู้ชายยืดได้หดได้ ไม่เป็นไร ถือเสียว่ามีข้าวให้กินเปล่าๆ คิดให้ตก สีหน้าของคนที่มอบข้าวให้กินไม่น่าดู ไม่นับว่าเป็นอะไรได้ ขอแค่ถ้วยข้าวที่อยู่บนโต๊ะไม่รสชาติแย่เกินไปก็พอแล้ว”
ทางฝั่งของหัวเรือมีแขกไม่ได้รับเชิญสองคนเดินออกมา ดูจากท่าทางแล้วน่าจะตั้งใจมาหาพวกเขา
คนชุดเขียวเป็นฝ่ายกุมหมัดยิ้มเอ่ยก่อนว่า “เจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋ จากลากันที่แคว้นชิงหลวน ไม่ได้เจอกันนานหลายปี มาดของเจ้าประมุขผู้เฒ่ายังคงสง่างามดังเดิม”
องค์รักษ์หนุ่มที่เดินรั้งไปด้านหลังคนผู้นั้นครึ่งตัวกุมหมัดตาม
จู๋เฟิ่งเซียนพอจะรู้สึกคุ้นเคยคิ้วตาของคนตรงหน้าอยู่บ้าง จึงลองถามหยั่งเชิงว่า “ใช่คุณชายเฉินที่…พบเจอกันโดยบังเอิญที่อารามจินกุ้ยหรือไม่?”
อันที่จริงต้องเป็นเฉินเซียนซือแล้ว เพียงแต่ว่าจู๋เฟิ่งเซียนไม่รู้สึกว่าท่านผู้นี้คือเทพเซียนบนภูเขา กลับรู้สึกเหมือนเป็นคนในยุทธภพมากกว่า
ปีนั้นพบเจอกันโดยบังเอิญ จู๋เฟิ่งเซียนยังให้กลุ่มของเฉินเซียนซือผู้นี้เข้าพักในเรือนที่คนของพรรคต้าเจ๋อเพิ่งจะออกเงินสร้างเสร็จพอดี ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกชะตากันมาก
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “เจ้าประมุขผู้เฒ่าช่างสายตาดียิ่งนัก!”
จู๋เฟิ่งเซียนแผดเสียงหัวเราะดังลั่น คว้าจับแขนของเฉินผิงอันเอาไว้ “ไป ไปดื่มเหล้าที่ชั้นสองกัน ในห้องของข้ามีสุราดีบนภูเขาอยู่ด้วย! ซื้อมาจากเมืองหลวงต้าหลี ขนาดตาเฒ่าอวี่ข้ายังตัดใจให้เขาดื่มไม่ได้เลย”
เฉินผิงอันถาม “คือเหล้าหมักเซียนของตำหนักฉางชุนที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้น่ะหรือ?”
ชั้นสอง?
อวี๋หงอาจารย์และศิษย์สามคนเหมือนจะเข้าพักอยู่ที่ชั้นสาม ต่างคนต่างมีห้องส่วนตัว
แน่นอนว่าบางทีอาจเป็นเพราะห้องที่ชั้นสามของตำหนักฉางชุนมีจำนวนน้อยเกินไป ต่อให้มีเงินเทพเซียนก็ยังเข้าพักไม่ได้
จู๋เฟิ่งเซียนถลึงตาเอ่ย “คุณชายเฉิน หากเจ้าพูดคุยกับคนอื่นแบบนี้จะไม่มีเพื่อนแล้วนะ”
เฉินผิงอันถูกลากตัวให้เดินไป ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าประมุขผู้เฒ่าไม่มี แต่ในมือข้าบังเอิญมีอยู่สองสามกานะ แต่เป็นแบบที่ถูกที่สุด”
จู๋เฟิ่งเซียนพยักหน้ากล่าว “ดี สหายอย่างคุณชายเฉิน ข้าจะถือว่าเพิ่งรู้จัก คบหาเป็นสหายด้วยแน่แล้ว!”
เสี่ยวโม่เดินตามอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน เห็นว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ชื่อว่าอวี่ชางหมางส่งสายตาสอบถามมาให้ตน เสี่ยวโม่ก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะให้อีกฝ่าย
ไปถึงห้องชั้นสอง ระหว่างที่คุณชายกับสหายในยุทธภพสองคนเดินไปที่โต๊ะเหล้า เสี่ยวโม่ที่เดินอยู่รั้งท้ายสุดก็ปิดประตูห้องลงเบาๆ
จู๋เฟิ่งเซียนนั่งลงแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ตอนแรกปรมาจารย์ผู้เฒ่าอวี๋อยากให้พวกเราพักอยู่ชั้นบน เพียงแต่ข้ากับตาเฒ่าอวี่ต่างก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินทองส่วนนี้ หากเป็นไปได้ล่ะก็ พวกเราอยากพักอยู่ที่ชั้นหนึ่งกันด้วยซ้ำ เพียงแต่ปรมาจารย์ผู้เฒ่าอวี๋ไม่ยอมตอบตกลง คุณชายเฉิน โดยสารเรือของตำหนักฉางชุนลำนี้ ทุกวันคงมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นจึงเป็นเหมือนเจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋ ไม่อาจตัดใจพักอยู่ที่ชั้นบนสุดได้ ที่นั่นลมแรงเกินไป หากไม่ทันระวังต้องกวาดเอาเงินในกระเป๋าไปจนหมดแน่”
อวี่ชางหมางที่เงียบงันมาตลอดยิ้มชอบใจ
จู๋เฟิ่งเซียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง จุ๊ปากเอ่ยว่า “หากจะพูดเรื่องค่าใช้จ่ายด้านเงินทองล่ะก็ ไม่ใช่แค่ว่าบนสวรรค์หนึ่งวันบนพื้นดินหนึ่งปี เทียบกับเทพเซียนบนภูเขาอย่างพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันหันหน้ามาตบแขนเสี่ยวโม่ ยิ้มเอ่ย “เสี่ยวโม่ เจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋ดื่มเหล้าเก่งมาก อีกเดี๋ยวเจ้าจำไว้ว่าต้องคอยขวางไว้ให้ข้าด้วย”
เสี่ยวโม่ที่เดิมทีคิดว่าจะยืนอยู่อย่างนั้นถึงได้นั่งลง
จู๋เฟิ่งเซียนหยิบเหล้าออกมาสองกา ระหว่างนั้นก็เหลือบมองอวี่ชางหมางหนึ่งที ฝ่ายหลังส่ายหน้าอย่างไม่เผยร่องรอย
จู๋เฟิ่งเซียนรินเหล้าสี่ถ้วย เสี่ยวโม่โน้มกายไปด้านหน้า ใช้สองมือประคองรับถ้วยเหล้า เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
แรกเริ่มยังพูดคุยกันอย่างคลุมเครือ ส่วนใหญ่เป็นเฉินผิงอันที่ถามถึงสถานการณ์ช่วงหลายปีที่ผ่านมาของจู๋เฟิ่งเซียน รวมไปถึงเรื่องการฝึกตนของหลานสาวเจ้าประมุขผู้เฒ่าที่อยู่ในอารามจินกุ้ย
รอกระทั่งเหล้าสองสามจอกไหลลงท้องก็เริ่มคุยกันอย่างผ่อนคลายมากขึ้น จู๋เฟิ่งเซียนยกจอกเหล้าขึ้น “ข้ากับตาเฒ่าอวี่ถือว่าอายุมากแล้ว แต่เจ้ากับพี่น้องเสี่ยวโม่ต่างก็ยังหนุ่มแน่น ไม่ว่าจะอย่างไร เห็นแก่ที่พวกเราทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ก็ควรต้องดื่มให้หมดจอกสักหน่อย”
ต่างคนต่างดื่มสุราในจอก แล้วจู๋เฟิ่งเซียนก็รินเหล้าเต็มจอกอีกครั้ง
เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งอึก ถามว่า “เจ้าประมุขผู้เฒ่าเข่นฆ่าบนสนามรบจนฝ่าทะลุขอบเขตแล้วหรือ?”
จู๋เฟิ่งเซียนคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “ก็แค่โชคดีเท่านั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
จากนั้นผู้เฒ่าก็ชี้ไปที่อวี่ชางหมาง “ตาเฒ่าอวี่ผู้นี้ต่างหากที่มีค่าพอให้พูดถึง ใช้สองหมัดต่อยให้ผู้ฝึกตนเซียนดินเผ่าปีศาจคนหนึ่งตายไป ถือว่าเป็นลูกผู้ชายตัวจริงแล้ว”
อวี่ชางหมางส่ายหน้า “เหยียบโชคดีขี้หมาบนสนามรบ ก็แค่บังเอิญเก็บตกได้เท่านั้น เป็นที่ขบขันของทุกคนแล้ว หากเป็นการจับคู่เข่นฆ่ากันก็คงต้องแลกคุณความชอบทางการสู้รบกันแล้ว”
เซียนซือหนุ่มคนหนึ่งที่มีเงินซื้อเหล้าเซียนตำหนักฉางชุนได้ลง ไม่ใช่ซื้อได้ไหว
ประวัติความเป็นมาคร่าวๆ เป็นอย่างไร อวี่ชางหมางพอจะรู้อยู่ในใจ
บนภูเขา ขอบเขตของเซียนซือทำเนียบตระกูลคนหนึ่งสูงหรือต่ำ หรือตบะมีเท่าไร ไม่ได้เป็นตัวแทนของทุกอย่าง
เห็นเพียงว่าคนหนุ่มที่รู้จักกับจู๋เฟิ่งเซียนตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายดื่มสุราคารวะตน “เก็บตกมาจากกองคนตาย ทำไมจะไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงล่ะ ผู้อาวุโสอวี่ เห็นแก่ประโยคนี้ ท่านผู้อาวุโสต้องดื่มให้หมดจอก ต่างคนต่างลงโทษตัวเองหนึ่งจอก”
จู๋เฟิ่งเซียนด่าขำๆ “เร็วเข้า เหล้าทั้งสองจอกต้องดื่มกันให้หมด จำไว้ว่าอย่าทำเป็นมือสั่น อิดๆ ออดๆ เหมือนสตรีล่ะ”
เหล้าของตำหนักฉางชุน ว่ากันว่าเป็นเหล้าเซียนที่สามารถรักษาบาดแผลได้ดีที่สุด เมื่อเทียบกับเหล้าตระกูลเซียนทั่วไปแล้วเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า อยู่บนภูเขาก็ถือเป็นของดีที่มีแต่ราคาทว่าหาซื้อได้ยาก อวี่ชางหมางมีต้นตอของโรคทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนอยู่บนสนามรบ ยังไม่เคยรักษาให้หายดีมาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นไปสวามิภักดิ์กับอวี๋หง วันนี้หากดื่มได้หนึ่งจอกก็ต้องดื่มให้มากเข้าไว้
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดพวกเขาสองคนถึงไม่ไปราชสำนักต้าหลีเพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้ถวายงานปลายแถวมาเป็น ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก
อันที่จริงเหล้าตระกูลเซียนสองกาที่อยู่บนโต๊ะนี้ก็คือยาดองเหล้าที่จู๋เฟิ่งเซียนตั้งใจซื้อมาจากเมืองหลวงต้าหลีเพื่อให้อวี่ชางหมางรักษาบาดแผลโดยเฉพาะ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับสหายบนเรือ จู๋เฟิ่งเซียนดีใจจึงไม่ทันระวังลืมเรื่องนี้ไป ดังนั้นเมื่อครู่ตอนที่หยิบเหล้าออกมา สายตาถึงได้มีแววขออภัย เพียงแต่ว่าเดิมทีตาเฒ่าอวี่ก็เป็นคนใจกว้างอยู่แล้วจึงไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นคนทั้งสองก็ไม่มีทางเป็นสหายกันได้
สุราสองไหบนโต๊ะดื่มกันไปพอประมาณแล้ว อันที่จริงเสี่ยวโม่ดื่มไม่ถึงสองจอก และในจอกสุราเบื้องหน้าเฉินผิงอันยามนี้ก็ยังมีเหล้าอยู่
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “เสี่ยวโม่”
เสี่ยวโม่จึงหยิบเหล้าสองกาออกมาวางไว้บนโต๊ะเบาๆ จากนั้นลุกขึ้นยืนรับหน้าที่รินเหล้า
ก่อนหน้านี้ที่คุณชายตบแขนของเขาก็ได้ส่งมอบเหล้าสองกามาไว้ในมือเขาเงียบๆ แล้ว
จู๋เฟิ่งเซียนและอวี่ชางหมางต่างก็เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ จึงได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางการหยิบเหล้าของเสี่ยวโม่ที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะหยิบออกมาจากวัตถุฟางชุ่น
จู๋เฟิ่งเซียนยกจอกเหล้าขึ้นสูดดม ยิ้มถาม “หรือว่าจะเป็นเหล้าของตำหนักฉางชุนจริงๆ?”
ผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักฉางชุนขึ้นชื่อเรื่องดวงตามองสูงไม่เห็นหัวใครเป็นที่สุด อีกทั้งจวนเซียนก็ตั้งอยู่ในสถานที่มังกรลุกผงาดของต้าหลี และยิ่งมีข่าวลือบอกว่าไทเฮาต้าหลีในทุกวันนี้ ตอนที่นางยังเป็นฮองเฮาเคยไปสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่ตำหนักฉางชุน ดังนั้นเวลาที่ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลของตำหนักฉางชุนออกไปข้างนอกก็ย่อมสูงส่งกว่าคนอื่นหนึ่งส่วนอย่างเป็นธรรมชาติ ก็เหมือนกับจู๋เฟิ่งเซียน ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง อีกทั้งสามารถเก็บสะสมเงินเทพเซียนได้มากพอ แต่หากคิดจะซื้อเหล้าเซียนของตำหนักฉางชุนก็ยังหาช่องทางไม่ได้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สหายบนภูเขามีเยอะ เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
จู๋เฟิ่งเซียนสะอึกอึ้ง มารดามันเถอะ เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลพวกนี้ เวลาพูดจาช่างชวนให้คนโมโหจริงๆ
จู๋เฟิ่งเซียนจิบเหล้าหนึ่งอึก “คุณชายเฉิน ปีนั้นไม่ได้ถามมาก เพราะถึงอย่างไรก็เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน หากเอาแต่ซักไซ้ไล่เรียงอาจจะดูเหมือนข้ามีเจตนาร้าย วันนี้ขอปากมากถามประโยคหนึ่งเถอะ สรุปแล้วเจ้ามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชั้นสูงบางแห่งของล่างภูเขาหรือว่ามาจากจวนเซียนบนภูเขาแห่งใดกันแน่?”
เฉินผิงอันลังเลไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ยังเปลี่ยนใจ เลือกจะบอกไปตามตรง “อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วของจังหวัดหลงโจวต้าหลีมาโดยตลอด”
จู๋เฟิ่งเซียนพ่นเหล้าพรวดออกจากปากทันที
ผู้เฒ่าทั้งตกตะลึงกับคำตอบที่ได้ยิน ทั้งเสียดายเหล้าเซียนคำนี้ด้วย
เสี่ยวโม่โบกชายแขนเสื้อเบาๆ สลายเหล้าคำใหญ่ที่พ่นไปทางคุณชายทิ้งไป
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าประมุขผู้เฒ่าและอาจารย์อวี่ไม่เคยได้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำครั้งนั้นหรือ?”
จู๋เฟิ่งเซียนส่ายหน้า “ของเล่นนั่นเปลืองเงินจะตายไป อีกอย่างยังเป็นเงินเทพเซียนบนภูเขา มีแต่สีสันฉูดฉาด ข้ากับตาเฒ่าอวี่ทั้งไม่มีความสนใจ แล้วในกระเป๋าก็ไม่มีเงินเหลือมากพอด้วย เวลาปกติก็ไม่มีหน้าไปขอดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำจากใครเปล่าๆ ทว่าลูกศิษย์สองคนของปรมาจารย์ผู้เฒ่าอวี๋กลับชอบเรื่องนี้ คนหนึ่งดูเทพธิดา คนหนึ่งดูเซียนกระบี่ ชอบอกชอบใจมากเป็นพิเศษ ได้ยินมาว่าทุกครั้งที่หวงเหมยได้เห็นเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งศาลลมหิมะจะต้องพร่ำเพ้อ นางยังเชิญจิตรกรมือเอกบนภูเขาให้มาวาดภาพเหมือนของเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยไว้ในห้องด้วย…”
อวี่ชางหมางเห็นว่าจู๋เฟิ่งเซียนยิ่งพูดก็ยิ่งออกนอกเรื่องไปไกลจึงรีบเหยียบเท้าสหายเฒ่าที่อยู่ใต้โต๊ะเบาๆ เตือนอีกฝ่ายว่าดื่มเหล้าแล้วอย่าได้พูดจาเลอะเทอะ
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มิน่าเล่า”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ยกจอกเหล้าขึ้น “วันนี้คงดื่มเพียงเท่านี้แล้ว”
เสี่ยวโม่ยกจอกเหล้าขึ้น
จู๋เฟิ่งเซียนก็ยกจอกเหล้าเช่นกัน ถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณชายเฉินคงจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาลั่วพั่วกระมัง? หรือว่าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์?”
“อย่าเพิ่งรีบร้อนดื่มเหล้า รอให้ข้าพูดให้จบก่อน”
เฉินผิงอันยิ้มพลางผายมือข้างหนึ่งออกมาขัดขวางการดื่มเหล้าของจู๋เฟิ่งเซียน “เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล แล้วก็เป็นเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วด้วย”
จู๋เฟิ่งเซียนอึ้งตะลึง จากนั้นก็หัวเราะดังลั่นอย่างชอบใจ มือหนึ่งถือถ้วยเหล้า มือหนึ่งชี้ไปที่คุณชายเฉินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
เจ้าตัวดี มีอารมณ์ขันจริงๆ
จู๋เฟิ่งเซียนเอ่ยว่า “คุณชายเฉิน พวกเราเพิ่งจะดื่มกันได้ไม่เท่าไรเอง เก็บอารมณ์หน่อยเถอะ”
ใต้โต๊ะตัวนั้น อวี่ชางหมางรีบเหยียบเท้าจู๋เฟิ่งเซียนที่โง่เง่าทันที
ในเมื่ออีกฝ่ายคือเซียนซือที่ฝึกตนอยู่บนภูเขา เรื่องแบบนี้จะเอามาล้อเล่นกันได้ตามใจชอบหรือ?
ก็เหมือนอย่างเจ้าจู๋เฟิ่งเซียนที่ต่อให้จะใจกล้าแค่ไหน แต่เจอใครในยุทธภพก็จะกล้าพูดว่าตัวเองคืออวี๋หงหรือ?
ดังนั้นรอกระทั่งบุรุษชุดเขียวดื่มเหล้าในจอกหมด ก็ยื่นมือมาบังจอกเหล้า ยิ้มเอ่ยว่าเหลือค้างไว้ก่อน
จู๋เฟิ่งเซียนเหมือนตกอยู่ในความฝัน เพียงแค่ลุกขึ้นส่ง ลืมที่จะรั้งอีกฝ่ายให้ดื่มเหล้าด้วยกันต่อด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตู พอไปอยู่ที่หน้าประตูห้องก็กุมหมัดเอ่ยลา “เจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋ อาจารย์ผู้เฒ่าอวี่ ไม่ต้องส่งแล้วล่ะ”
สุดท้ายก็ยังคงเป็นเสี่ยวโม่ที่เป็นคนปิดประตูห้อง
ในห้องเงียบสงัดกันไปครู่หนึ่ง
“เจ้าเฒ่าอวี่ มา ต่อยข้าทีหนึ่ง”
“อวี่ชางหมาง! มารดาเจ้าเถอะ นี่เจ้าต่อยข้าจริงๆ หรือนี่?!”
เดินลงจากบันไดมา เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “คุณชาย ข้ามีคำถามอยากจะถาม”
ครั้งนี้เสี่ยวโม่ฉลาดขึ้นแล้ว ไม่ได้เอ่ยประโยคว่า ‘ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือไม่ควรพูดดี’
เฉินผิงอันเอ่ย “ถามได้เลย”
เสี่ยวโม่ถาม “คุณชายดูแลคนอื่นแบบนี้ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ?”
วันนี้เหล้าที่คุณชายเลี้ยงผู้ฝึกยุทธเฒ่าทั้งสอง ดูเหมือนจะเรียกว่าเหล้าร้อยบุปผา ไม่ใช่เหล้าตำหนักฉางชุนอะไรเลย
อีกทั้งคงเป็นเพราะได้ยินเรื่องนั้นของอวี่ชางหมาง วันนี้คุณชายถึงได้ยอมบอกสถานะของตัวเอง แน่นอนว่าไม่ได้จงใจจะวางมาดอะไร แต่เป็นการพบเจอกันในยุทธภพ ไม่ต้องพูดคุยเรื่องสถานะ แค่เตรียมสุราอย่างเดียวก็พอ
เฉินผิงอันอดไม่ไหวยิ้มเอ่ย “ไม่เหนื่อยอยู่แล้ว มีอะไรให้เหนื่อยกัน เสี่ยวโม่ ครั้งนี้คำประจบของเจ้าขาดคุณภาพไปนิดนะ”
สวมรองเท้าสานสะพายตะกร้าไม้ไผ่ไปเก็บสมุนไพรบนภูเขา ทุกวันออกเช้ากลับค่ำ จะไม่ให้เขารู้ถึงใจคนหนาวอุ่น ไม่รู้ถึงความยากลำบากของร้อนหนาว และไม่รู้ถึงระยะทางอันยาวไกลก็คงไม่ได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่เส้นทางในยุทธภพพวกนั้น เขาก็ไม่ได้เดินผ่านมาอย่างเสียเปล่า
“คุณชายเป็นคนดี”
“ประโยคดีๆ ประโยคนี้ ข้ารับเอาไว้แล้ว”