กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 885.3 หนึ่งคำในใต้หล้า
ดังนั้นนอกจากจะให้เฉินผิงอันช่วยเลือกลูกศิษย์ให้แล้ว ยังปรึกษาเรื่องหนึ่งกับเฉินผิงอันด้วย หากมีความคิดเห็นกับต้นสนโบราณต้นนั้นก็ไปเปิดปากขอซื้อกับศาลลมหิมะเอาเอง อีกอย่างเขาเว่ยจิ้นตอบตกลงกับเรื่องนี้ไปแล้ว ดังนั้นขอแค่ศาลลมหิมะไม่มีความเห็นต่าง ส่วนภูเขาลั่วพั่วก็ออกเงินก้อนนั้นได้ไหวก็สามารถย้ายต้นสนโบราณไปไว้ที่ภูเขาลั่วพั่วได้
แต่เฉินผิงอันไม่มีความคิดเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะตาไม่อยากได้ใจไม่หวั่นไหว แต่เป็นเพราะมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าศาลลมหิมะกำลังรอให้ต้นสนหมื่นปีหลอมเรือนกายได้สำเร็จ บางทีอาจจะเดินก้าวเดียวขึ้นฟ้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน จากนั้นก็กลายเป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของศาลลมหิมะอย่างมีเหตุผลชอบธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวารนรย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงตายไป แจกันสมบัติทวีปขาดตำแหน่งภูตห้าขอบเขตบนอีกครั้ง ก็ยิ่งไม่มีทางที่ศาลลมหิมะจะขายต้นสนหมื่นปีที่มีความหวังบนมหามรรคาต้นนั้นอีก
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในเมื่อต้นสนโบราณมีชื่อว่า ‘ฉางฉิง’ (ความรักความผูกพันที่ยาวนาน) ก็แสดงว่าต้องมีความเกี่ยวพันบนมหามรรคากับใครบางคนแน่นอน
เฉินผิงอันไม่มีความจำเป็นต้องไปหาเรื่องให้คนรังเกียจที่ศาลลมหิมะ
ทางฝั่งของเรือข้ามฟากหลี่เฉวียน เนิ่นนานกานอี๋ก็ยังมิอาจเก็บสายตาคืนมา
ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนในหนึ่งทวีปล้วนเสียดายในเรื่องหนึ่ง น่าเสียดายที่เซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งศาลลมหิมะไม่ได้พาตัวอ่อนเซียนกระบี่คนสองคนจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาให้แจกันสมบัติทวีปได้
ไม่อย่างนั้นอีกเจ็ดทวีปที่เหลือของใต้หล้าไพศาลจะปฏิบัติต่อเด็กๆ ที่มาจากต่างบ้านต่างเมืองพวกนี้อย่างไร พูดถึงแค่แจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีป พวกเขาก็สามารถเดินกร่างได้เลย
ผู้ฝึกตนบนภูเขาของสองทวีปเหนือใต้ที่เป็นเพื่อนบ้านกันล้วนจะกลายเป็นผู้ปกป้องมรรคาของพวกเขา
อันที่จริงเมื่อครู่นี้กานอี๋อยากถามคำถามหนึ่งอย่างมาก ภูเขาลั่วพั่วของเจ้าขุนเขาเฉินมีผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์จากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาฝึกตนอยู่บนภูเขาบ้างหรือไม่
เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ นางไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อะไร ย่อมไม่สะดวกจะเปิดปากถาม
ขยับก้าวเดินไปข้างหน้า กานอี๋ก็พลันคลี่ยิ้มหวาน เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์หยาดเยิ้ม
ฮ่า ใต้เท้าอิ่นกวานเคยนั่งเรือข้ามฟากของบ้านตนแล้ว
วันหน้าสามารถเอาไปคุยโอ้อวดให้คนอื่นฟังได้แล้ว
ไปดื่มเหล้าดีกว่า
……
เมืองหลวงต้าหลี ยามเช้าตรู่ สวินชวี่สวี่ปันแห่งศาลหงหลูมาที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นอีกครั้ง นำรายงานของที่ว่าการหกกรมในราชสำนักส่วนหนึ่งมาส่งมอบให้กับอาจารย์เฉิน
เมื่อคืนหลังจากเฉินผิงอันกลับมาถึงเมืองหลวงก็พบว่าหนิงเหยายังปิดด่านอยู่ในห้องของโรงเตี๊ยม เฉินผิงอันจึงมาอ่านตำราอยู่ที่หอหนังสือแห่งนี้ทั้งคืน ส่วนเสี่ยวโม่ก็ห้อยป้ายสงบสุข ร่ายเวทอำพรางตาอีกครั้งแล้วออกไปเดินเที่ยวเมืองหลวงที่แสงจากโคมไฟสว่างไสวราวกับเวลากลางวันมารอบหนึ่ง หลังหวนกลับมาที่ตรอกเล็กก็ไปอยู่ในลานบ้านด้านนอก ถักชุดคลุมอาคมสีเขียวได้หลายชุด
กังวลว่าพอติดตามคุณชายไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วจะเตรียมของขวัญพบหน้าไว้ไม่พอ
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่เดินออกจากตรอกไปพบสวินชวี่
สวินชวี่สังเกตเห็นว่าข้างกายอาจารย์เฉินวันนี้มีผู้ติดตามรูปโฉมอ่อนเยาว์เพิ่มมาคนหนึ่งจากครั้งก่อน สวินชวี่รู้แค่ว่าอีกฝ่ายชื่อเสี่ยวโม่ เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว
มองดูแล้วเป็นเซียนซือบนภูเขาที่เป็นมิตรเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมาก
เฉินผิงอันเก็บรายงานใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตามข้อตกลง เขาต้องไปเที่ยวเยือนสถานที่ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงกับสวินชวี่รอบหนึ่ง
คนทั้งกลุ่มเดินเท้ากันไปถึงถนนเส้นที่สองข้างทางยาวถึงหนึ่งลี้กว่า ร้านรวงข้างทางมีวางขายทั้งหนังสือฉบับสมบูรณ์หายาก ภาพอักษรแต่ละยุคแต่ละสมัย พู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก ของโบราณที่คนชอบเก็บสะสม เรียกได้ว่ามีครบทุกอย่าง
เมื่อก่อนที่แห่งนี้คือเตาเผาทางการแห่งหนึ่ง เอาไว้เผากระเบื้องแก้วใสและอิฐสีเขียวสีทองโดยเฉพาะ ทุกวันนี้บนถนนเส้นนี้ล้วนมีแต่ร้านเก่าแก่อายุสองร้อยสามร้อยปี นี่ทำให้มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือทุกร้านล้วนใส่ใจลูกค้า ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีทำลายป้ายอักษรทองของบ้านตัวเอง ต่อให้มีบางร้านที่รังแกลูกค้าอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ของปลอมของเลียนแบบกลับมีน้อยมาก นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง จะว่าไปแล้ว หากในกระเป๋าไม่มีเงินสักเล็กน้อย ถุงเงินตรงเอวไม่ตุงแน่นมากพอ มาที่นี่ก็ได้แต่เบิกตามองอย่างเดียวเท่านั้น ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องมามือเปล่าแล้วกลับไปด้วยมือเปล่า
เฉินผิงอันได้รับสายตาบอกเป็นนัยจากสวินสวี่ปันก็ซื้อตำราที่อีกฝ่ายถูกใจมาสามเล่ม กระดาษล้วนเป็นเหมือนหยกขาว เรียกได้ว่าเป็นตำราฉบับสมบูรณ์แบบ บัณฑิตทั่วไปมาเจอกับตำราพวกนี้ก็เหมือนกับการเจอสาวงามบนถนน ได้แต่มองดูอย่างเดียวเท่านั้น มิอาจลูบคลำได้จริงๆ
แต่สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันมอบตำราให้สวินชวี่หกเล่ม สามเล่มบันทึกลงในบัญชีของศาลหงหลู ราคาประมาณสองร้อยแปดสิบตำลึงเงิน
อีกสามเล่มเป็นเฉินผิงอันที่ควักกระเป๋าจ่ายเอง มอบให้กับขุนนางหนุ่มที่สอบเคอจวี่สนามเดียวกับเฉาฉิงหล่างผู้นี้
ระหว่างที่ย้อนกลับไปยังหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น สวินชวี่ลังเลแล้วลังเลอีก สุดท้ายก็ใช้เสียงในใจถามว่า “อาจารย์เฉินไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไมข้าถึงเป็นผู้ฝึกตน?”
แน่นอนว่าด้วยตบะและขอบเขตของอาจารย์เฉินต้องมองเรื่องนี้ออกนานแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ต่างคนต่างมีโชควาสนา ไม่จำเป็นต้องสืบเสาะให้ลึกซึ้ง”
ขอบเขตชมมหาสมุทรอายุสามสิบกว่าปี อันที่จริงไม่ถือว่าขอบเขตต่ำแล้ว
แจกันสมบัติทวีปในอดีต ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางหากไม่ใช่เทพเซียนก็เป็นปีศาจใหญ่แล้ว
เฉินผิงอันอดไม่ไหวยิ้มถาม “หรือเจ้าไม่รู้ว่าเฉาฉิงหล่างก็เป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเจ้า?”
สวินชวี่อึ้งงันไร้คำพูด ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ย “มองไม่ออกเลย”
เฉินผิงอันกล่าว “ก็ดีเหมือนกัน วันหน้าพวกเจ้ากลับมาพบเจอกันอีกครั้งจะได้มีเรื่องพูดคุยกันมากขึ้น สามารถคุยเรื่องการฝึกตนกันได้”
สวินชวี่อดไม่ไหวพึมพำเบาๆ ว่า “เจ้าตัวดี แกล้งทำเป็นยากจนกับข้า!”
เห็นสายตาแฝงเลศนัยที่อาจารย์เฉินมองมา สวินชวี่ก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “อาจารย์เฉิน ไม่เหมือนกับเฉาฉิงหล่าง ข้าน่ะจนจริงๆ ตั้งแต่เด็กมาก็เป็นคนประเภทที่รั้งเงินไว้ไม่อยู่”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “จะว่าไปแล้วเจ้าก็มีสถานะเป็นขุนนางมากกว่า คนที่มีความสามารถส่วนใหญ่มักชะตาชีวิตไม่ดี ไม่มีเงินก็ดีน่ะสิ วันหน้าจรดพู่กันดุจบุปผาผลิบาน ถือโอกาสเป็นขุนนางใหญ่ให้ได้ ในอนาคตเมื่อข้ามาที่เมืองหลวงอีกครั้งก็จะได้มีที่พึ่งเป็นขุนนางบ้างแล้ว”
สวินชวี่บื้อใบ้พูดไม่ออก
ไม่เหมือนกับเฉาฉิงหล่างสหายรักที่ร่วมสอบเคอจวี่ปีเดียวกัน แม้ว่าสวินชวี่จะเป็นจิ้นซื่ออันดับที่สอง แต่ระดับขั้นกลับต่ำมาก ดังนั้นจุดเริ่มต้นในวงการขุนนางจึงต่ำตามไปด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกจับโยนมาอยู่ที่ว่าการมนตรีเล็กนอกจากหกกรมอย่างศาลหงหลูแห่งนี้
สวินชวี่ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นขุนนางใหญ่อะไรได้จริงๆ อีกทั้งต่อให้หมวกขุนนางจะใหญ่ยิ่งกว่านี้ อยู่กับอาจารย์เฉินแล้วจะมีประโยชน์อย่างนั้นหรือ?
สวินชวี่ลังเลอยู่นานอีกครั้ง “อาจารย์ของข้าบอกว่าเขาอยากรู้จักอาจารย์เฉินมานานมากแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ขอถามได้หรือไม่ว่าเป็นยอดฝีมือคนใด?”
สวินชวี่กล่าว “อาจารย์คือหลางจงกองชิงลี่ฝ่ายบวงสรวงของกรมพิธีการ”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งทันใด ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
ในบรรดาขุนนางมากมายของวงการขุนนางต้าหลี มีสามตำแหน่งที่มีอำนาจมากที่สุด กองประเมินการสอบของกรมขุนนาง กองคัดเลือกทหารกรมกลาโหม และกองชิงลี่ฝ่ายบวงสรวงของกรมพิธีการ แม้จะเป็นแค่ขุนนางขั้นห้าชั้นเอก แต่กุมอำนาจใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ถ่ายทอดมรรคาของสวินชวี่ ใต้เท้าหลางจงกองชิงลี่ฝ่ายบวงสรวงกรมพิธีการผู้นี้ยังดูแลเรื่องการประเมินคุณความชอบของเทพขุนเขาสายน้ำทั้งหมดในใต้หล้าด้วย ดังนั้นจึงมีคำเรียกขานที่ไพเราะบนภูเขาว่า ‘ขุนนางสวรรค์น้อย’
หลางจงผู้เฒ่าที่นอนอยู่ในตำแหน่งขุนนางมานานหลายปีคนนี้ ดูเหมือนจะเป็นสหายเก่ากับหลี่จิ่นเทพวารีแม่น้ำชงตั้นด้วย
ครั้งล่าสุดที่เผยกายก็คือครั้งที่ไปเยือนเมืองหงจู๋ด้วยตัวเอง ไปหาเรื่องเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ที่ก่อเรื่องคนนั้น
เพียงแต่ว่าขุนนางประเภทนี้ก็เหมือนกับเฉาเกิงซินผู้ตรวจการของบ้านเกิดที่ภูเขาลั่วพั่วไม่เหมาะจะเป็นฝ่ายไปผูกมิตรด้วย
ในสายตาของเฉินผิงอัน คำว่า ‘เข้าใจหลักการเหตุผล’ ของคนคนหนึ่งก็เป็นแค่การ ‘รู้จักหยุดเมื่อสมควร’ เท่านั้น
ทั้งรู้ว่าเป็นอะไร แล้วก็รู้ว่าไม่ควรทำอะไร
สวินชวี่เดินเป็นเพื่อนเฉินผิงอันไปจนถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับตรอกเล็ก
ตลอดทางที่เดินมา สวินชวี่ก็คอยหวนนึกไปถึงถ้อยคำของซื่อชิงศาลหงหลู รวมไปถึงคำถามที่เขาถามแบบเดียวกันถึงสองครั้งอยู่ตลอด
ดูเหมือนราชครูชุยฉานจะไม่ค่อยสนใจกรมขุนนางของนายท่านผู้เฒ่ากวนและกรมพิธีการมาโดยตลอด ส่วนที่ว่าการที่เงียบสงัดอย่างศาลหงหลูก็ยิ่งไม่มาปรากฏตัว
แต่ใต้เท้าราชครูกลับให้ความใส่ใจกองยุทธโทปกรณ์ของกรมกลาโหม รวมไปถึงกองต่างๆ ในกรมการคลังและกรมโยธาอย่างมาก
ดังนั้นหลางจงในกองยุทธโทปกรณ์จึงถูกเรียกว่าเป็นว่าเป็นตำแหน่งที่เสียหมวกขุนนาง หรือถึงขั้นอาจต้องหัวหลุดได้ง่ายที่สุด
นอกจากนี้ว่ากันว่าแม้แต่ขุนนางเล็กๆ อย่างผู้ดูแลของสองกรมอย่างกรมคลังและกรมโยธา ราชครูล้วนจะต้องตรวจสอบประวัติความเป็นมาด้วยตัวเองตลอด ขนาดขุนนางตำแหน่งเล็กเท่าเมล็ดงายังเป็นเช่นนี้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเลื่อนตำแหน่ง การส่งตัวไปทำงานข้างนอกของขุนนางสองกรมนี้เลย
ตอนนี้สวินชวี่ยังไม่มั่นใจในเรื่องหนึ่ง เนื่องจากความสัมพันธ์กับอาจารย์ การกระทำของเขาในวงการขุนนางที่ศาลหงหลูจึงอยู่ในสายตาของราชครูมานานแล้วใช่หรือไม่?
เฉินผิงอันคืนกล่องไม้ที่ใช้บรรจุกระบี่บินส่งข่าวให้กับสวินชวี่ ยิ้มเอ่ยว่า “รายงานที่ยืมมาจากศาลหงหลูสองครั้ง ก่อนข้าจะออกไปจากเมืองหลวงจะมอบให้กับหลิวเจียที่ทำหน้าที่เฝ้าตรอก วันหน้าสวินสวี่ปันสามารถไปขอกับเขาได้โดยตรงเลย”
สวินชวี่คารวะขอบคุณ
เนื่องจากรู้ว่าอาจารย์เฉินช่วยให้ตนมีเส้นทางที่ไม่เปิดเผยเพิ่มขึ้นมาเส้นหนึ่งในเมืองหลวง
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เฝ้าเรือนของราชครู สวินชวี่จะรู้จักหรือไม่รู้จัก คุ้นหน้ากันหรือไม่ มองดูเหมือนว่าจะไม่สำคัญเลยสักนิด แต่แท้จริงแล้วกลับสำคัญอย่างมาก
วันนี้เสี่ยวโม่คือคนที่ซื้อตำราไปมากที่สุด
เมื่อคืนวานเขาไปที่โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่คุณชายแนะนำมารอบหนึ่ง ที่นั่นเหมือนเรือข้ามฟากของบนภูเขา ต่างก็มีสถานที่ที่คล้ายคลึงกันนี้เปิดอยู่ เพื่อสะดวกให้ผู้ฝึกลมปราณที่เข้าพักในโรงเตี๊ยมได้แลกเปลี่ยนเงินเทพเซียน
เสี่ยวโม่จึงนำเงินร้อนน้อยสามเหรียญที่คุณชายมอบให้ตัวเองไปแลกเป็นเงินเกล็ดหิมะและตั๋วเงินมาปึกใหญ่ รวมไปถึงใบไม้ทองและเงินก้อนที่จำเป็นต้องใช้ยามท่องยุทธภพอีกส่วนหนึ่ง
อีกทั้งเสี่ยวโม่ยังขอให้โรงเตี๊ยมแห่งนั้นช่วยนำเมล็ดแตงทองมามอบให้ตนอีกถุงใหญ่ด้วย
เพราะไปถึงภูเขาลั่วพั่ว ของสิ่งนี้จะมีประโยชน์อย่างมาก
แรกเริ่มผู้ฝึกตนผีสาวที่บอกว่าตัวเองเป็นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมยังไม่ค่อยยินดีจะหามาให้ เพราะของอย่างเมล็ดแตงทองนี้เป็นของเล่นฉูดฉาดเกินไป ไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนัก ส่วนใหญ่จะเป็นผู้อาวุโสในตระกูลเศรษฐีที่มอบเป็นของรางวัลให้กับผู้เยาว์ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนบนภูเขาเลย ต่อให้เป็นคนในยุทธภพ ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ใครจะใช้ของเล่นแบบนี้ เพียงแต่รอกระทั่งผู้ฝึกตนหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเสี่ยวโม่บอกว่าตัวเองคือผู้ติดตามของเจ้าขุนเขาเฉิน ก่ายเยี่ยนไม่พูดไม่จาก็หลอมทองหยวนเป่าสิบกว่าก้อนแล้วแบ่งออกมาเป็นเมล็ดแตงทองหนึ่งถุงทันที สุดท้ายให้ตายอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับเงิน
วันนี้นอกจากคัมภีร์ของเมธีร้อยสำนักแล้ว เสี่ยวโม่ยังซื้อหนังสือเบ็ดเตล็ดมาอีกไม่น้อย
รวมบทกวีของนักประพันธ์ใหญ่ ผลงานของปัญญาชน นิทานเรื่องเล่าประหลาด มีกระทั่งบทความในการสอบเคอจวี่ที่ถูกคัดลอกแล้วเรียบเรียงขึ้นมาเป็นตำรา รวมไปถึงหนังสือเรียงความแปดขาที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘ตำราลับวิชายุทธ’ ในการสอบเคอจวี่อีกบางส่วน
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอกว่า “ทำไม ยังอยากจะอาศัยช่องทางการสอบเคอจวี่มาเป็นนายท่านขุนนางด้วยหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็มีเรื่องให้ทำเยอะแล้ว ต้องเป็นถงเซิงเป็นซิ่วไฉก่อน จากนั้นก็ต้องสอบระดับมณฑลช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่สามปีมีครั้ง สอบติดจะได้เป็นจวี่เหริน หลังจากนั้นก็สอบระดับเมืองหลวงฤดูใบไม้ผลิ เป็นจิ้นซื่อ สุดท้ายถึงเป็นการสอบหน้าพระที่นั่ง ค่อยๆ เลื่อนไปทีละขั้น ผ่านด่านมากมาย พอๆ กับปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกรเลยล่ะ”
“แต่หากว่าเจ้ามีความคิดเช่นนี้จริงก็เป็นเรื่องที่ดี สามารถให้เฉาฉิงหล่างสอนเจ้าได้ เทียบกับตำราลับที่เรียกว่าความเรียงแปดขา และตำรากลยุทธการปกครองที่เจ้าซื้อมาแล้วยังน่าเชื่อถือมากกว่า”
“เพียงแต่ว่าจิ้นซื่อของราชสำนักต้าหลีสอบได้ยากที่สุด ไม่มีหนึ่งในอะไรจริงๆ สามารถพูดได้ว่าเป็นจิ้นซื่อจี๋ตี้ที่มีน้ำหนักมากที่สุดในเก้าทวีปของไพศาล หนึ่งเพราะจำนวนคนมีมากเกินไป เมล็ดพันธ์บัณฑิตของแคว้นใต้อาณัติล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ นอกจากนี้คำถามที่กรมพิธีการเป็นผู้ออกก็หลากหลายอย่างมาก ไม่มีแนวทางที่แน่ชัดอะไร กลับเป็นพวกตำราที่ทางการเป็นผู้เรียบเรียง การอธิบายความหมายและการยกตัวอย่างบางอย่างที่แคว้นเล็กๆ ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปเป็นผู้แจกจ่าย รวมๆ กันแล้วก็น่าจะมีตำราถึงสิบกว่าเล่มที่พอจะถือว่าเป็นทางลัดได้ หากท่องจนขึ้นใจแล้วจะมีประโยชน์ แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ก็ถูกพวกผู้รอบรู้ที่เล่าเรียนมามากวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย ต่างก็เดือดดาลเจ็บแค้นกันมาก ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่าตำราทั้งหมดที่ทางการเป็นผู้เรียบเรียงล้วนเป็นการล่มสลายของคัมภีร์”
“ดังนั้นเสี่ยวโม่หากเจ้ามีความคิดอยากจะเป็นจ้วงหยวนจริงๆ ในอนาคตสามารถไปอยู่ในแคว้นเล็กบางแห่งทางใต้ของเมืองหลวงสำรองแล้วอยู่ที่นั่นสักสิบปีได้ สอนให้พวกเด็กเล็กในบ้านให้เรียนตัวอักษรก็เป็นการฝึกเขียนตัวอักษรเหมือนกัน หลังจากนั้นก็ไปที่โรงเรียน สัมผัสกับหนังสือของนักเรียนประถม ฝึกตัวอักษรท่องหนังสือ คนมีเงินจะเรียนหนังสือในโรงเรียนส่วนตัวของตัวเอง เด็กที่ไม่มีเงินก็จะไปเรียนในโรงเรียนของหมู่บ้าน ขอแค่ที่บ้านไม่ยากจนเกินไป โดยทั่วไปแล้วก็ล้วนแบกรับได้ไหว ถึงอย่างไรก็มีสถานที่ที่ให้เรียนหนังสือรู้จักตัวอักษร หลังจากนั้นถึงจะเริ่มสอนคัมภีร์ ศึกษาเรื่องหัวข้อคำถาม”
เสี่ยวโม่เงี่ยหูตั้งใจฟังคุณชายที่พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ
เฉินผิงอันสังเกตเห็นสายตาใคร่รู้ของเสี่ยวโม่ ราวกับสงสัยว่าเหตุใดตนถึงได้ใส่ใจเรื่องนี้มากถึงเพียงนี้
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เดาถูกแล้ว ในอดีตข้าเคยมีความคิดจะเข้าร่วมการสอบเคอจวี่จริงๆ ครั้งที่สองที่ออกจากบ้านเดินทางไกล นอกจากฝึกหมัดแล้ว เวลาว่างก็มักจะเปิดอ่านตำราที่เกี่ยวข้องอ่านอยู่ไม่น้อย เคยคิดว่าในอนาคตควรจะเริ่มต้นที่สถานะถงเซิงก่อนแล้วค่อยช่วงชิงตำแหน่งนายท่านจวี่เหรินมาให้ได้ แค่นี้ก็พอใจมากแล้ว เงินจิ้นซื่อทองจวี่เหรินนี่นะ”
ทุกวันนี้แน่นอนว่าไม่ได้ใส่ใจเท่าไรแล้ว เพราะถึงอย่างไรในบรรดาลูกศิษย์ก็มีเฉาฉิงหล่างแล้ว
เสี่ยวโม่ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง
ไม่ใช่ว่ามีความคิดอะไรกับการสอบเคอจวี่จริงๆ แต่เป็นเพราะเสี่ยวโม่มิอาจจินตนาการได้เลยว่าตำราและความรู้ของวิถีทางโลกในทุกวันนี้จะราคาถูกถึงเพียงนี้ แทบจะไม่มีราคาค่างวดอะไรเลยด้วยซ้ำ
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล หากบนโลกมนุษย์มีตำราที่เขียนเต็มไปด้วยตัวอักษรสักเล่มหนึ่งก็ช่างหายาก ช่างล้ำค่าถึงเพียงใด?
ดังนั้นเสี่ยวโม่จึงมีความคิดว่าวันหน้าไปถึงภูเขาลั่วพั่ว ตนจะต้องสร้างหอหนังสือสักแห่ง ตั้งชื่อว่าหอหมื่นตำรา
แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดต้องให้คุณช่วยตั้งชื่อดีๆ ให้ด้วย