กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 885.5 หนึ่งคำในใต้หล้า
กวนอี้หรานร้องถุยหนึ่งที “นั่นเพราะเกรงใจแซ่ของข้าต่างหาก เจ้าเห็นเวลาเขาเจอเจ้า เกรงใจไหมล่ะ? เคยมองเจ้าเต็มๆ ตาบ้างไหม?”
จิ่งควนเอ่ย “ก็ไม่แย่กระมัง”
กวนอี้หรานยิ้มมองเฉินผิงอัน จากนั้นจึงชี้ไปที่จิ่งควน “ดูสิ ฟังสิ พูดจาไม่มีน้ำไหลรอดได้สักหยด ได้เรียนรู้แล้วกระมัง อายุไม่มากก็เป็นตาเฒ่ามากประสบการณ์ในวงการขุนนางแล้ว หากอนาคตของเจ้าหมอนี่ไม่ปูด้วยผ้าแพรก็ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “จะพูดอย่างไรก็ได้ ขอแค่ดื่มเหล้าไม่เหลือ นิสัยยามดื่มเหล้าไม่มีปัญหา นิสัยของตัวคนก็ต้องไม่มีปัญหาแน่นอน”
กวนอี้หรานเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ก็จริงนะ”
ดังนั้นจิ่งควนจึงดื่มเหล้าอีกครั้ง
กวนอี้หรานกลั้นขำ ให้เจ้าจิ่งควนได้ลิ้มรสความสามารถในการยุให้คนดื่มเหล้าของนักบัญชีเฉินดีๆ สักหน่อย
มารดามันเถอะ ปีนั้นตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน เรียกได้ว่าร้อยเรียงต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ ถูกเชิญท่านลงโอ่งแล้วยังไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
อยู่ดีๆ กวนอี้หรานก็เอ่ยขึ้นว่า “มีความเป็นไปได้ว่าจิ่งควนจะถูกย้ายไปให้ทำงานข้างนอก”
จิ่งควนส่ายหน้าทันใด “เป็นเรื่องที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย พูดถึงข้าทำไม”
กวนอี้หรานกลอกตามองบน “ผายลมเจ้าน่ะสิ วางท่าเข้าไป เชิญเจ้าหนูเจ้าวางท่าเข้าไปเถอะ นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว ยังมาบอกกับข้าว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ในที่ว่าการของพวกเรา หากจะพูดถึงกรมขุนนาง ข้ากวนอี้หรานไม่มีคนสนิท ใครกล้าพูดว่าตัวเองมีคนสนิทบ้างเล่า?”
จิ่งควนรู้สึกจนใจเล็กน้อย
กวนอี้หรานไอ้หมอนี่ดื่มจนเมาแล้วจริงๆ
ไม่อย่างนั้นคำพูดเช่นนี้ก็ช่างไม่เหมาะจะพูดเลยจริงๆ
แน่นอนว่าที่สำคัญยิ่งกว่านั้นยังเป็นเรื่องที่กวนอี้หรานเห็นตนและเฉินผิงอันเป็นคนกันเองแล้ว
วงการขุนนางต้าหลี ใครบ้างไม่รู้ว่า ‘กรมขุนนางแซ่กวน’
ในเมื่อกรมขุนนางยังแซ่กวนแล้ว ลูกศิษย์ลูกหาแซ่กวนจะมีมากแค่ไหน แค่คิดก็พอจะจินตนาการได้แล้ว
ประเด็นสำคัญคืออดีตฮ่องเต้และโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันต่างก็ไม่รู้สึกยอกแสลงใจกับเรื่องนี้เลยสักนิด
เพราะถึงอย่างไรนายท่านผู้เฒ่ากวนก็คือขุนนางจำนวนไม่มากที่ในอดีตกล้าเถียงราชครูชุยต่อหน้า
รอกระทั่งกวนอี้หรานปลดประจำการจากตำแหน่งขุนนางผู้ตรวจการลำน้ำใหญ่ หวนกลับมาที่เมืองหลวง ไม่ได้ทำงานอยู่ในกรมขุนนางหรือกรมกลาโหมอย่างที่ผิดจากการคาดการณ์ของทุกคน แต่มารับหน้าที่อยู่ในกรมคลังที่ผู้คนรังเกียจมากที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ อยู่ในวงการขุนนางอย่าว่าแต่เลื่อนขั้นเลย ไม่ถือว่าเป็นการโยกย้ายตำแหน่งมารับในตำแหน่งที่เท่าเทียมกันด้วยซ้ำ เป็นการถูกลดขั้นอย่างจริงแท้แน่นอน
เฉินผิงอันพยักหน้า ยกจอกเหล้าขึ้น ยิ้มเอ่ย “ขออวยพรให้ใต้เท้าหลางจงที่ออกไปเป็นขุนนางข้างนอกสร้างความผาสุกให้กับพื้นที่หนึ่ง เป็นขุนนางดุจบิดามารดาที่ปฏิบัติต่อชาวประชาดุจลูกแท้ๆ ของตัวเองอย่างสมชื่อ”
เดิมทีจิ่งควนยังกังวลว่ากวนอี้หรานจะพูดเรื่องวงในมากกว่านี้ โชคดีที่เขาแค่หยุดแต่พอสมควร ดูท่าแล้วน่าจะยังไม่ดื่มจนเมาอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้ไม่นานรองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายของกรมคลังเรียกจิ่งควนไปถาม ถามคำถามไม่น้อย แม้จะไม่มีท่าทีที่แน่ชัด แต่จิ่งควนกลับรู้ว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าตนต้องออกจากเมืองหลวงไปเป็นขุนนางประจำท้องถิ่นแล้ว
อีกทั้งใต้เท้าเจ้ากรมยังค่อนข้างให้ความสำคัญต่อตน
แต่สรุปแล้วจะต้องไปอยู่ที่ไหน จิ่งควนได้แต่มีการคาดเดาบางอย่างเท่านั้น
รอกระทั่งกวนอี้หรานจงใจพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเจ้าขุนเขาเฉิน จิ่งควนก็เริ่มมั่นใจได้หลายส่วนแล้วว่า สถานที่ที่ตนต้องไปประจำการ มีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่าจะต้องอยู่ห่างจากหลงโจวไม่ไกล ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ในหลงโจวที่ ‘อาณาเขตการปกครอง’ ควบรวมทั้งภูเขาลั่วพั่วและภูเขาพีอวิ๋นไว้ด้วยแห่งนั้น!
ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี จิ่งควนยังไม่ได้ออกจากเมืองหลวงไปรับตำแหน่งขุนนางท้องถิ่นก็มีครบทั้งสามอย่างแล้ว
เป็นขุนนางที่หลงโจว วงการขุนนางต้าหลีเห็นพ้องต้องกันว่าทั้งเป็นอันตรายที่ใหญ่เทียมฟ้า แล้วก็เป็นทั้งโอกาสที่ยิ่งใหญ่ด้วย จุดจบไม่ดีก็จะเป็นเหมือนอู๋ยวน จุดจบดีก็จะเหมือนฟู่อวี้
เหล้ามื้อหนึ่งคนทั้งสามดื่มร่วมกันประมาณหนึ่งชั่วยามกว่า อันที่จริงพอถึงช่วงท้ายๆ เฉินผิงอันก็ไม่ได้ยุให้ดื่มสักเท่าไรแล้ว ล้วนเป็นกวนอี้หรานที่เกิดการแตกหักภายในกับจิ่งควนบนโต๊ะเหล้าแทน
หลังจากขุนนางจากกรมคลังทั้งสองคนเดินออกไปจากเหลาสุราก็เดินโซซัดโซเซไปมา ช่วยประคองกันและกันเดินอยู่ริมลำคลองชางผู มองแผ่นหลังของคนชุดเขียวฝีเท้าหนักแน่นที่ยิ่งเดินก็ยิ่งค่อยๆ ห่างไปไกล จิ่งควนก็ให้อิจฉายิ่งนัก ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนกระบี่ ดื่มเหล้าเก่งจริงๆ
ลมเย็นพัดโชยมา กลิ่นสุราจางหายไปหลายส่วน
จิ่งควนเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณมาก”
กวนอี้หรานส่งเสียงเรอ “ไปถึงท้องถิ่นแล้วก็ทำเรื่องดีๆ หลายๆ เรื่องหน่อย”
“เป็นขุนนางในท้องถิ่นไม่เหมือนกับเป็นขุนนางในเมืองหลวงของพวกเรา ที่นี่มีที่ว่าการเยอะ กฎเกณฑ์ก็มากมาย เส้นแบ่งชัดเจน ใครที่เป็นขุนนางก็พอจะรู้กันดีอยู่ในใจ พูดถึงแค่ตรอกหนันซวินของพวกเรา หลางจงคนหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้? เพียงแต่ว่าพอไปอยู่ข้างนอก เรื่องต่างๆ มากมายที่ทำกลับต้องอาศัยมโนธรรมในใจ จะมีหรือไม่มีก็ได้ จะทำหรือไม่ทำก็ได้ จะฉลาดหรือจะเลอะเลือนก็ได้ จะพยักหน้าหรือส่ายก็ได้ จะรู้หรือจะไม่รู้ก็ได้ พูดไปพูดมาแล้วล้วนเป็นเจ้าที่ต้องตัดสินใจเอง”
“จิ่งควน ท่านปู่ทวดของข้าเคยบอกว่าเป็นขุนนางน้ำใสที่ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายนั้นไม่ง่ายเลย ต้องเป็นทั้งขุนนางน้ำใสและเป็นทั้งขุนนางที่ดีที่มีแต่จะยากยิ่งกว่า อะไรที่เรียกว่าเป็นขุนนางที่ดี ก็คือในใจต้องรู้สึกย่ำแย่อยู่ตลอดเวลา”
คนทั้งสองเดินขึ้นไปบนสะพานโค้งด้วยกัน กวนอี้หรานเซถลา รีบก้าวเร็วๆ ไปที่ราวรั้วของสะพาน หันหน้าเข้าหาลำคลองชางผูแล้วอาเจียนโฮกฮาก
จิ่งควนที่เดิมทีตบหลังให้กวนอี้หรานเบาๆ คาดว่าคงติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย พลันรู้สึกเหมือนแม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำ จึงนอนคว่ำลงบนราวรั้วอาเจียนคู่กับกวนอี้หราน
สุดท้ายคนทั้งสองต่างก็หยุดอาเจียนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย หมุนตัวกลับรูดตัวพิงราวรั้วนั่งลงบนพื้น หันหน้ามาสบตาแล้วยิ้มให้กัน
เฉินผิงอันเดินเลียบไปตามเส้นทางลำคลองที่มีประกายแสงไหลริน
งานเลี้ยงสุราในวันนี้เฉินผิงอันไม่ได้พาเสี่ยวโม่มาด้วย เพียงแค่ให้เขาเดินเล่นที่ลำคลองชางผูตามสบาย
เสี่ยวโม่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงไปซื้อโคมดอกบัวสองสามดวงมาจากข้างทาง วางลงไปในลำคลอง จากนั้นก็ขยับเท้าเดินตามโคมที่ลอยอยู่ในลำคลองไปช้าๆ
แค่เดินเล่นอยู่ที่นี่ไม่กี่ก้าว เสี่ยวโม่ก็สังเกตเห็นว่าตัวเองสามารถแยกคนในพื้นที่ของเมืองหลวงกับคนต่างถิ่นได้เพียงแค่มองแวบเดียว บนร่างของฝ่ายแรกมีความเหี้ยมหาญอย่างที่ยากจะปกปิด ยิ่งอายุน้อยก็ยิ่งเห็นได้ชัด ส่วนคนต่างถิ่นที่ต่อให้เสื้อผ้าจะหรูหรา แต่สีหน้ากลับมีความสำรวมเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอยู่หลายส่วน
เสี่ยวโม่ยืนอยู่ริมลำคลองชางผู มองน้ำในลำคลองสายนั้น
ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ งมเอาบทกวีพรรณนาดวงจันทร์พันปีขึ้นมา
เสียงกีบม้าสะเทือนพื้นดิน บทเพลงชายแดนร้อยปีสาดกระเซ็น
เสี่ยวโม่เหม่อลอย อดนึกถึงการพบเจอกันโดยบังเอิญเมื่อหมื่นปีก่อนนั้นไม่ได้
บุคคลผู้นั้นเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ มองดูโลกมนุษย์ เดินลงมาจากหอบินทะยานที่เดิมทีควรจะมีแค่เซียนดินที่ได้เดินขึ้นสู่ที่สูงจากไปเพียงลำพังช้าๆ อย่าง ‘ผิดมหันต์’
ใต้หล้า
คำกล่าวคำนี้ นาทีนั้นไม่ใช่คำนาม แต่เหมือนคำกริยามากกว่า
บางทีอาจเพราะมองเห็นเสี่ยวโม่ที่นั่งอยู่ห่างจากหอบินทะยานไปไม่ไกล บุคคลผู้นั้นจึงสบตากับเสี่ยวโม่ จากนั้นก็ยิ้มพลางยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ…
คืนนี้เวลานี้เฉินผิงอันเดินอยู่ริมน้ำ โบกมือให้เสี่ยวโม่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
สุราในค่ำคืนนี้ไม่ได้ดื่มไปอย่างเสียเปล่า กวนอี้หรานคือคนที่เคารพกฎในการเป็นขุนนางอย่างมาก ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่พูดถึงคนของหน่วยแท่นฝนหมึกที่ทำตัวร้ายกาจจึงไม่ใช่คำพูดไร้เจตนาใดๆ ไม่ใช่คำพูดติดลมบนโต๊ะสุรา แต่เป็นการเตือนเฉินผิงอันว่าให้บอกกับต่งสุ่ยจิ่งคนบ้านเดียวกันว่า วันหน้าทำการค้าต้องระมัดระวังให้มาก เพราะได้ถูกลูกหลานคนรวยที่มีอำนาจในเมืองหลวงส่วนน้อยซึ่งอิจฉาตาร้อนในกิจการของเขาหมายหัวเอาไว้แล้ว
ไม่ได้บอกว่าเจ้าคนที่อยู่ในหน่วยแท่นฝนหมึกกรมคลังซึ่งไม่ใช่แซ่ของเสาค้ำยันแคว้นผู้นั้นจะสามารถทำให้ต่งสุ่ยจิ่งบาดเจ็บถึงเส้นเอ็นและกระดูกอะไรได้จริงๆ อันที่จริงอีกฝ่ายไม่มีคุณสมบัติแม้กระทั่งจะงัดข้อกับต่งครึ่งเมืองอย่างจริงจังเลยด้วยซ้ำ แต่ลูกหลานคนมีเงินจำนวนไม่น้อยในเมืองหลวงก็มีภูเขาลูกเล็กๆ ของตัวเองเหมือนกัน พวกเขาชอบจับกลุ่มสามัคคีประดุจพี่น้องร่วมอุทร อยู่ในเมืองหลวง แต่ละคนอาจเป็นเต่าหดหัว แต่ขอแค่ออกไปนอกเมืองหลวง ไปถึงท้องถิ่น ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขา จะในวงการขุนนางหรือวงการการค้าก็ล้วนทำตัวกร่างกันอย่างมาก หากต่งสุ่ยจิ่งถูกพวกเขาร่วมมือกันเล่นงาน ถึงอย่างไรก็เป็นปัญหาที่ไม่เล็กเลย
แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับการที่ต่งสุ่ยจิ่งปิดประตูหาเงินเงียบๆ จึงทำให้เส้นสายมากมายในวงการขุนนางต้าหลีไม่ชัดเจนสะดุดตาด้วย ถึงได้ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาคือมะพลับนิ่ม
วิถีทางโลกก็มักจะซับซ้อนเช่นนี้ บางทีต่อให้เคารพกฎเกณฑ์ก็ยังหนีไม่พ้นถูกคนอื่นหาเรื่อง
ก็เหมือนอย่างริมลำคลองชางผูแห่งนี้ คนคนหนึ่งเดินไปอย่างมีระเบียบ จากนั้นก็มีผีขี้เหล้าเดินโงนเงนมาชน แม้จะหลีกทางให้ก็ไม่ได้ จะหลบก็หลบไม่พ้น
เสี่ยวโม่ข่มกลั้นอารมณ์ขึ้นลงในใจที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุดนั้นลงไป ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “คุณชาย มีคนผู้หนึ่งทำท่าลับๆ ล่อๆ เมื่อครู่แอบมองประเมินคุณชายสองครั้งแล้ว”
“อีกฝ่ายเป็นเซียนเหรินเหมือนกับผู้อาวุโสลู่ แต่กลับต่อสู้เก่งกว่า”
“เดิมทีข้าอยากรอให้ถึงครั้งที่สามแล้วจะไปลากตัวเขาออกมา แต่อีกฝ่ายระวังตัวมาก ราวกับว่าสังเกตเห็นความตั้งใจของข้าได้ก่อนล่วงหน้าแล้ว คุณชายพูดได้ถูกต้องแล้ว ต้องมองพวกคนที่ทำนายพยากรณ์ได้โดยเพิ่มขอบเขตอีกขั้นหนึ่งจริงๆ ด้วย”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทั้งยังรู้สึกจนใจอยู่บ้าง หลังจากขอบเขตถดถอยก็ยากที่จะชิงความได้เปรียบอีก
เฉินผิงอันครุ่นคิด คนของลัทธิเต๋าขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง?
ไม่มีทางเป็นฉีเจินเทียนจวินใหญ่ของสำนักโองการเทพ ยิ่งเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ หรือจะเป็นคนประหลาดบางคนที่แค่เดินทางผ่านแจกันสมบัติทวีปมาเท่านั้น? หรือจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลู่เฉิน? คนผู้นี้ฝึกตนอยู่ในภูเขาของอดีตราชวงศ์ป๋ายซวงมานานหลายปี ใช้นามแฝงว่าเฉาหรง อารามเต๋าในภูเขาที่เขาทิ้งเอาไว้มีคนเก่งกาจมากมาย ซึ่งอาจจะกลายเป็นสำนักเบื้องล่างของแจกันสมบัติทวีปแห่งถัดไป
เฉาหรงผู้นี้เคยฉายประกายแสงเจิดจ้าที่สนามรบของนครมังกรเฒ่า
เคยเรียกภาพวิหคและบุปผาแห่งขุนเขาสายน้ำหนึ่งเล่มรวมทั้งสิ้นแปดภาพมาสร้างค่ายกลปกป้องตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าเอาไว้
เจ้าลัทธิทั้งสามท่านของป๋ายอวี้จิงต่างก็มีตราประทับส่วนตัวคนและชิ้นซึ่งได้ประทับลงบนภาพขุนเขาสายน้ำสี่ภาพ ‘เต้าจิงซือ’ (เต้าคือมรรคา จิงคือคัมภีร์ ซือคืออาจารย์) ของเจ้าลัทธิใหญ่ บุ๋นไร้ที่หนึ่งบู๊ไร้ที่สองของอวี๋โต้วผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง สือจื้อหรูจิน (แปลตรงตัวว่าเป็นหินจนถึงปัจจุบัน เป็นการบอกให้ฟังคำเกลี้ยกล่อมหรือคำเตือนของผู้อื่น ทำอะไรหนักแน่นมั่นคงเหมือนก้อนหิน)
และยังมีของนักพรตซุนอารามเสวียนตูใหญ่ที่เป็นคำว่า ‘ได้เห็นดอกท้ออีกครั้ง’
นอกจากนี้ตราประทับอีกสี่ชิ้นที่ประทับลงด้านหลังของม้วนภาพวิหคบุปผาก็มีความเป็นมาเหมือนกัน แบ่งออกเป็นคำว่า ‘เสียงร้องคนตะลึง’ (เปรียบเปรยถึงคนที่ปกติไม่แสดงฝีมือก็ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่พอแสดงฝีมือกลับทำให้คนอื่นตกตะลึง) ของฝูลู่อวี๋เสวียน ‘ลูกหงส์’ ของจ้าวเทียนไล่เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ‘เจื้อยแจ้วดังไม่หยุด’ ของฮว่อหลงเจินเหริน
รวมไปถึง ‘ตาขาว’ (หมายถึงอาการเหลือกตามองบน แสดงการดูแคลน หรือมองค้อนประหลับประเหลือก) ของราชครูต้าหลีชุยฉาน
นักพรตวัยกลางคนคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันและเสี่ยวโม่ เขาก็คือเฉาหรง
เฉาหรงไม่ได้ร่ายเวทอำพรางตา มีความจริงใจอย่างมาก
เฉาหรงคารวะตามขนบของลัทธิเต๋า ยิ้มถามว่า “ขอถามอิ่นกวานว่าตอนนี้อาจารย์ของผินเต้าสบายดีหรือไม่? ได้กลับไปที่ป๋ายอวี้จิงแล้วหรือไม่?”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “ผู้เยาว์คารวะเฉาเซียนจวิน หากไม่ผิดไปจากที่คาด ตอนนี้เจ้าลัทธิลู่น่าจะยังกลับไปไม่ถึงใต้หล้ามืดสลัว อาจจะไปเยือนเกาะกุ้ยฮวาและภูเขาเมฆาเรืองก่อนรอบหนึ่ง เฉาเซียนจวินสามารถไปรอเจ้าลัทธิลู่ที่ภูเขาเมฆาเรืองได้ โอกาสที่จะได้เจอกันจะมีมากกว่า”
เฉาหรงยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “หากอาจารย์ไม่ยินดีมาพบข้าด้วยตัวเองก็คงไม่มีทางได้พบหน้าท่านอาจารย์แน่”
เสี่ยวโม่มองประเมินเฉาหรงแวบหนึ่ง
ดูท่าความสามารถในการรับลูกศิษย์ของสหายลู่จะไม่เลวเลย
กู้ชิงซงที่มีฉายาว่าเซียนฉาได้รับความเลื่อมใสจากคุณชายของตนอย่างมาก
คนตรงหน้านี้ มรรคกถาก็ไม่ถือว่าต่ำเกินไปนัก
เฉาหรงยิ้มถาม “อิ่นกวาน ยอดฝีมือท่านนี้คือ?”
เสี่ยวโม่คารวะอีกฝ่ายตามพิธีการของลัทธิเต๋า “ฉายาสี่จู๋ เฉาเซียนจวินสามารถเรียกข้าว่าเสี่ยวโม่เหมือนสหายลู่ได้”
หัวใจของเฉาหรงบีบรัดตัวแน่น คารวะกลับคืน “คารวะผู้อาวุโสสี่จู๋”
สหายลู่ที่คนผู้นี้เอ่ยถึงย่อมต้องเป็นอาจารย์ของตนแน่นอน
ก่อนหน้านี้มองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือสองครั้ง ครั้งแรกสัมผัสไม่ได้ถึงสิ่งใด ไม่มีความผิดปกติใดๆ เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันไม่รู้ว่าตนลอบมองอยู่ไกลๆ
ครั้งที่สองเพียงชั่วพริบตานั้น เส้นเอ็นหัวใจของเฉาหรงก็บีบรัดตัวอย่างไม่มีสาเหตุ ประหนึ่งเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้มาจากเฉินผิงอัน แต่มาจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จากการเชื่อมโยงในจุดอื่นของลำคลองชางผู
เฉาหรงรีบแหกกฎทำนายดวงให้ตัวเอง ผลคือคำทำนายชวนให้คนตะลึงยิ่งนัก
ผู้ฝึกตน ‘หนุ่ม’ ที่ไม่มีบรรยากาศของยอดฝีมือแม้แต่น้อยตรงหน้าผู้นี้ หากไม่ผิดไปจากที่คาดต้องเป็นบินทะยานไม่ทราบนามบนยอดเขาสูงสุดของไพศาลแน่นอน
หรือว่าจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเฉินผิงอันที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางส่งตัวมาให้อย่างลับๆ?
คืนนี้เฉาหรงเผยกาย เดิมทีก็เพราะอยากถามเรื่องของลู่เฉินผู้เป็นอาจารย์ ไม่ได้มีความหมายลึกล้ำอะไร
เป็นเหตุให้มาถึงอย่างรีบร้อนแล้วก็จากไปอย่างรีบร้อน ขอตัวลากับเฉินผิงอันและ ‘ผู้อาวุโสสี่จู๋’ คนนั้น
เสี่ยวโม่พลันหัวเราะออกเสียง “เฉาเซียนซือ ขอให้ข้าปากมากสักคำ มิตรภาพส่วนมิตรภาพ กฎเกณฑ์ส่วนกฎเกณฑ์ เรื่องทำนองนี้อย่าให้มีคราวหน้าอีก”
เฉาหรงพยักหน้ารับเบาๆ
รอกระทั่งเฉาหรงจากไปไกลแล้ว เสี่ยวโม่ก็ถามว่า “คุณชาย คำพูดเมื่อครู่นี้ของข้าไม่ไว้หน้ากันเกินไปหน่อยหรือไม่? จะเป็นที่ต้องสงสัยว่าใช้ความอาวุโสรังแกคนอื่นหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่หรอก มีมาดของเซียนนอกโลกและมาดของยอดฝีมืออย่างมาก”
เซียนเหรินเฉาหรงในคืนนี้
และยังมีเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ที่พบเจอในใบถงทวีปก่อนหน้านี้
คนประหลาดมากความสามารถบนยอดเขาเหล่านี้ ยิ่งพบเจอก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินผิงอันสลายกลิ่นเหล้าบนร่างทิ้งไป แล้วยังตบชายแขนเสื้อด้วย
เสี่ยวโม่ทำตาม จากนั้นถามว่า “นี่ก็เป็นขนบธรรมเนียมในงานเลี้ยงสุราของเมืองหลวงด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ พูดอย่างหนักแน่นว่า “แน่นอน!”
——