กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 886.1 ปิ่นเต๋า
เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่เดินขึ้นไปบนสะพานแห่งหนึ่งแล้วพลันหยุดฝีเท้า
เหนือลำคลองชางผูพลันมีลมเบาๆ โชยมา ผืนน้ำเกิดริ้วคลื่นเป็นประกายแสงสีทองเหมือนเกล็ดปลา
เสี่ยวโม่ถาม “คุณชาย มีเรื่องในใจหรือ?”
เฉินผิงอันยื่นมือไปวางบนราวรั้ว “กำลังคำนวณว่าหากเปิดเหลาสุราอยู่ที่นี่ ปีหนึ่งจะได้เงินเท่าไร”
เสี่ยวโม่หลุดหัวเราะพรืด
เรือนเล็กกุยม่ายของเกาะกุ้ยฮวา หน้าผาอวี้อิ๋งของสวนน้ำค้างวสันต์และร้านผีฟู และยังมีเกาะเป็ดน้ำถ้ำสวรรค์วังมังกรที่ใช้เงินแค่แปดสิบเหรียญฝนธัญพืชซื้อมา
นอกจากนี้ตอนที่เจียงซ่างเจินรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักเจินจิ้งก็เคยแบ่งเกาะออกมาห้าแห่งยกให้เป็นอาณาเขตแดนบินของภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังอยู่ในนามของเจิงเย่ชั่วคราว แน่นอนว่ามีการบันทึกลงเอกสารลับของกรมพิธีการต้าหลี ดังนั้นภูเขาลั่วพั่วจึงเอามาเก็บใส่ไว้ในกระเป๋าได้ทุกเมื่อ
เฉินผิงอันในทุกวันนี้เรียกได้ว่ามีกิจการส่วนตัวเยอะมาก
เฉินผิงอันหันไปมอง ‘ผู้ติดตาม’ ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวตรงหน้าผู้นี้ เอ่ยสัพยอกว่า “วันหน้าจะมอบไม้เท้าเดินป่าอันหนึ่งและหีบไม้ไผ่ใบหนึ่งให้เจ้า ออกไปอยู่ข้างนอกจะได้เหมือนบัณฑิตอ่อนแอที่แบกหีบหนังสือออกทัศนาจรมากกว่าเดิม”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวโม่ก็คิดจริงแล้วนะ หากคุณชายไม่ทันระวังลืมเรื่องนี้ เสี่ยวโม่จะต้องทำหน้าหนาเตือนคุณชายแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ปีนั้นหลิ่วชีใช้เวทคาถาประชันกับเวทคาถาดักขวางทางระหว่างที่หย่างจื่อหวนกลับสู่ไพศาล เป็นเหตุให้นางไม่อาจหนีเข้าไปในช่องทางกุยซวีได้ ทุกวันนี้เหมือนจะถูกศาลบุ๋นกักขังอยู่ในกลุ่มภูเขาไฟที่เล่าลือกันว่าเป็น ‘เตาหลอมโอสถ’ ของมรรคาจารย์เต๋าในอดีต วันหน้าหากมีโอกาสได้ไปเที่ยวเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางด้วยกัน สามารถพาเจ้าไปคุยเล่นกับนางได้”
เสี่ยวโม่คิดแล้วก็ยกมือขึ้นกดหมวก “อันที่จริงกับหย่างจื่อก็ไม่ได้มีอะไรให้รำลึกความหลังกัน กลับเป็นจูเยี่ยนผู้นั้นที่ชวนให้คนรังเกียจเดียดฉันท์จริงๆ มองดูเหมือนพูดจามุทะลุวู่วาม แต่แท้จริงแล้วกลับเชี่ยวชาญด้านการวางแผน ปีนั้นสหายเก่าของเสี่ยวโม่ที่นิสัยค่อนข้างตรงไปตรงมาหลายคนต่างก็เคยเสียเปรียบจูเยี่ยนมาก่อน เจอกับเรื่องลำบากมาไม่น้อย ดังนั้นครั้งนี้เสี่ยวโม่ตื่นขึ้นมา เดิมทีคิดอยากจะกลับไปที่แผ่นดินใหญ่ พยายามรวบรวมหกถ้ำที่เป็นอาณาเขตเก่ากลับมาให้ได้มากที่สุด เรื่องที่สองก็คือลากสหายสองคนไปชมศึก ข้าต้องถามกระบี่กับจูเยี่ยนสักครั้งให้จงได้”
แม้จะพูดว่าเป็นการถามกระบี่ แต่แท้จริงแล้วคือการล้อมโจมตี จะได้จัดการเจ้าจูเยี่ยนผู้นั้นได้ ไม่อย่างนั้นไยเสี่ยวโม่จะต้องลากเอาเพื่อนเก่าไปอีกสองคนด้วยเล่า
หากไม่ทันระวังแพร่งพรายข่าวออกไป ถูกป๋ายเจ๋อหรือไม่ก็ภูเขาทัวเยว่ลงมือขัดขวาง ช่วยเหลือจูเยี่ยนเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยหาโอกาสใหม่คราวหน้า
คาดว่านี่ก็คงเป็นลักษณะการลงมือทำเรื่องต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของราชาบนยอดเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ความพยศยากจะกำราบนั้นได้ฝังลึกลงไปในกระดูกแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “บรรพบุรุษย้ายภูเขาคนเดียวท้าทายคนสามคน ช่างมีมาดองอาจเสียเหลือเกิน”
เสี่ยวโม่ได้ยินคำกล่าวนี้ก็ให้เลื่อมใสยิ่งนัก ยังคงเป็นคุณชายของตนที่ความรู้สูง รู้จักพูดจริงๆ เสียด้วย
เฉินผิงอันเอ่ย “เสี่ยวโม่ พวกเราไปที่โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนของผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินกันสักรอบ”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “แบบนี้ก็ดีเลย ข้าจะได้เอ่ยขอบคุณแม่นางที่เป็นเถ้าแก่ได้พอดี จะมอบชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งที่ถักเสร็จเมื่อคืนให้นางก็แล้วกัน คุณชาย เรื่องนี้เหมาะสมหรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ยื่นมือไปตบหน้าคนที่ยิ้มให้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เป็นการมอบของขวัญให้คนอื่น ไม่มีอะไรไม่เหมาะสมหรอก อีกฝ่ายจะรับหรือไม่รับ ถึงอย่างไรเจ้าก็ทำสิ่งที่เหมาะสมแล้ว”
ครั้งนี้เดินทางมาเยือนเมืองหลวงต้าหลี เรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่สำคัญที่สุดจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วยังมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันอีกอย่าง นั่นคือตนสามารถสืบสาวเบาะแสลากเอาตัวลู่เหว่ยบรรพบุรุษสกุลลู่แผ่นดินกลางออกมาได้คนหนึ่ง ยังคงเป็นคำพูดเก่าแก่ของบ้านเกิดประโยคนั้น เรื่องร้ายไม่กลัวเกิดขึ้นเร็ว เรื่องดีไม่กลัวเกิดขึ้นช้า
แค่รอให้หนิงเหยาปิดด่านเสร็จสิ้น เฉินผิงอันก็จะออกไปจากเมืองหลวง เพียงแต่มีบางเรื่องที่ต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อยเสียก่อน ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าโจวไห่จิ้ง การที่นางจะเข้าร่วมกับสายแผนภูมิดินคือเรื่องที่แน่นอนแล้ว ความลังเลของนางในเวลานี้แค่เกิดจากนิสัยระมัดระวังตัวจนเคยชินเท่านั้น แต่ขอแค่โจวไห่จิ้งยังคิดจะแก้แค้นอวี๋หงผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี อีกทั้งความแค้นนั้นยังเป็นแค้นใหญ่หลวงที่หากได้ชำระแล้วจะทำให้สาแก่ใจยิ่งยวด นางก็ต้องเข้าร่วมสายแผนภูมิดินเพื่อหายันต์คุ้มกันกายที่ใหญ่ยิ่งกว่าป้ายสงบสุขปลอดภัยอันดับหนึ่งของกรมอาญาให้กับตัวเอง
นอกจากนี้การเดินทางกลับเมืองหลวงต้าหลีในครั้งนี้ หลิวเจียได้ขอตราประทับจากตนสองชิ้น บอกชัดเจนว่าเนื้อหาของตราประทับต้องแกะสลักเป็นคำว่า ‘เซียนกระบี่’ กับ ‘ผู้เล่นระดับแคว้น’
เจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ยท่านนี้คือผู้สร้างตัวอักษรก่วนเก๋อที่ใช้กันทั่วแคว้น คือปรมาจารย์ด้านเทียบอักษรอย่างสมศักดิ์ศรี มอบเทียบอักษรที่บรรจุในกระบอกม้วนภาพให้กับ ‘หลิวเจีย’ ถึงสองกระบอกเต็มๆ มากถึงยี่สิบสองเทียบ โดยเฉพาะเทียบ ‘ชุดเขียวหยวนเจีย’ ที่น่าทึ่งอย่างถึงที่สุด
และเฉินผิงอันก็แค่ต้องมอบตราประทับสองชิ้นให้เป็นของขวัญตอบแทนกลับคืน การมอบลูกหลีตอบแทนลูกท้อเช่นนี้ยิ่งมากก็ยิ่งมีประโยชน์จริงๆ
หนิงเหยายังปิดด่าน เฉินผิงอันจึงไม่ไปแกะสลักตัวอักษรที่ห้องด้านข้างแล้ว กังวลว่าจะทำให้นางเสียสมาธิ
แต่หากทำเรื่องนี้ที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น เฉินผิงอันก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ไม่ใช่ทำตัวให้เป็นที่ขบขันของผู้คนแล้วจะเป็นอะไร เพราะถึงอย่างไรพรสวรรค์ด้านการเขียนพู่กันจีนของศิษย์พี่ชุยฉานเป็นอย่างไร คนทั้งโลกล้วนรับรู้ นั่นคือหนึ่งในสามเรื่องงดงามแห่งไพศาลเชียวนะ โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนั้นจึงค่อนข้างจะเหมาะกับการแกะสลักตราประทับมากกว่า
ออกจากลำคลองชางผูที่แสงจากโคมไฟสว่างเรืองรองแล้วก็เดินเข้าไปในตรอกที่ค่อนข้างห่างไกลกับเสี่ยวโม่ก่อน จากนั้นเฉินผิงอันก็ร่ายร่างวารีเมฆา อำพรางเรือนกายทะยานลมไปยังโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนั้น
ทั้งสองฝ่ายพลิ้วกายลงบนพื้น มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมซึ่งตั้งอยู่สุดปลายตรอกเล็ก โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่เอาไว้ให้ผู้ฝึกลมปราณพักพิงทำนองเดียวกันนี้ เมืองหลวงต้าหลียังมีอีกเจ็ดแปดแห่ง เฉินผิงอันกล้ารับประกันเลยว่า สถานที่แห่งนี้ต้องเป็นที่ที่กิจการซบเซาที่สุด ไม่มีหนึ่งในอีกแล้ว
เสี่ยวโม่เดินไปถึงนอกประตูใหญ่ที่แปะภาพเทพทวารบาลลงสีสูงเท่าตัวคนสองภาพก่อน ยกห่วงหัวสัตว์ชุบทองเคาะลงเบาๆ หลังจากเคาะไปช้าๆ สามครั้งกลับต้องรออยู่นาน กว่าที่เถ้าแก่เนี๊ยะโรงเตี๊ยมผู้นั้นจะเดินออกมา สตรีสวมเสื้อผ้าสีสันสดใส ก็คือผีสาวก่ายเยี่ยนขอบเขตโอสถทองผู้นั้น
ตอนนั้นครั้งแรกที่เฉินผิงอันมาที่นี่ ผีสาวที่เป็น ‘จิตรกร’ ผู้นี้ได้แสดงบารมีใส่เขาไปไม่น้อย
คืนนี้ก่ายเยี่ยนเห็นเฉินผิงอัน ทั้งที่เป็นผีที่เจอคน แต่นางกลับทำเหมือนคนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “เถ้าแก่ก่ายเยี่ยนช่างเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์เหมือนที่เคยเป็นมาจริงๆ แม้แต่เงินจ้างคนเฝ้าประตูให้โรงเตี๊ยมตัวเองก็ยังตัดใจจ่ายไม่ลง มิน่าเล่ากิจการถึงได้ดีขนาดนี้”
ก่ายเยี่ยนยิ้มอย่างฝืดฝืน “ตอบเจ้าขุนเขาเฉิน อันที่จริงทางโรงเตี๊ยมคอยหาคนอยู่ตลอด เพียงแต่ยังไม่เจอตัวเลือกที่ถูกใจสักที”
นี่ไม่ใช่ว่าก่ายเยี่ยนพูดโกหกอะไรจริงๆ เกี่ยวกับเรื่องของคนเฝ้าประตูและสาวใช้ในโรงเตี๊ยม นางเคยปรึกษากับหันโจ้วจิ่นและอวี๋อวี๋มาก่อน ความหมายของหันโจ้วจิ่นก็คือหาผู้ฝึกลมปราณหญิงที่หน้าตาพอใช้ได้มาก็พอแล้ว ขอแค่มือเท้าคล่องแคล่ว นิสัยอ่อนโยนไม่ก่อเรื่อง ก็ไม่ต้องสนใจมากนักว่ารูปโฉมของพวกนางเป็นเช่นไร แต่อวี๋อวี๋กลับพูดว่าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร แน่นอนว่าต้องหาสตรีงามหยาดเยิ้มที่หน้าอกชนกระแทกให้คนตายได้ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายจึงไม่ได้ผลลัพธ์ เรื่องนี้จึงได้แต่ต้องละเอาไว้ก่อนชั่วคราว
ก่ายเยี่ยนพาคนทั้งสองมายังเรือนที่ว่างอยู่แห่งหนึ่ง
ระหว่างนี้เสี่ยวโม่ก็ได้มอบกระบอกไม้ไผ่เขียวเล็กจิ๋วปล้องหนึ่งที่บรรจุชุดคลุมอาคมชิ้นหนึ่งให้กับก่ายเยี่ยน
ก่ายเยี่ยนเห็นแล้วชอบมาก ไม่พูดไม่จาก็รับเอาไว้ทันที ไม่มีการปฏิเสธตามมารยาทเลยแม้แต่น้อย
ความตั้งใจเดิมของเฉินผิงอันก็คือคืนนี้จะเรียกตัวองค์ชายซ่งซวี่หรือไม่ก็เด็กหนุ่มโก่วฉุนมาพูดคุยด้วยเท่านั้น ให้พวกเขานำความไปบอกผู้ฝึกตนคนอื่นต่อ ถึงอย่างไรรวมๆ กันแล้วก็มีอยู่แค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าคืนนี้ผู้ฝึกตนเก้าคนของสายแผนภูมิดินจะมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว อย่างเก๋อหลิ่งกับภิกษุน้อยโฮ่วแจว๋ที่ได้รับข่าวกะหันทันก็รีบรุดเดินทางจากหน่วยเต้าลู่และหน่วยแปลคัมภีร์ของเมืองหลวงกลับมาที่นี่ ส่วนพวกหยวนฮว่าจิ้งต่างก็ออกมาจากลานประกอบพิธีกรรมเปลือกหอยของตัวเองที่อยู่ในโรงเตี๊ยม และพอมาถึงที่นี่ สายตาของแต่ละคนที่มองไปยังเฉินผิงอันต่างก็แปลกประหลาดกันทั้งนั้น
เพราะเมื่อตอนกลางวันทางโรงเตี๊ยมเพิ่งจะได้รับรายงานข่าวลับที่มาจากท่าเรือรื่อจุ้ยฉบับหนึ่ง
ทางฝั่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่เทียมฟ้าอย่างแท้จริงสองเรื่อง
หมื่นปีให้หลัง ตามหลังผู้ฝึกกระบี่สามคนอย่างเฉินชิงตู หลงจวินและกวนจ้าว กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ถามกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่อีกครั้ง
สุดท้ายเป็นเหตุให้ภูเขาทัวเยว่ทั้งลูกหายวับไปไม่หลงเหลืออยู่ ดุจก้อนเมฆและหมอกควันที่ลอยผ่านตาไป
นอกจากนี้ตามหลังต่งซานเกิงที่กระชากดวงจันทร์ลงมายังโลกมนุษย์ ดวงจันทร์เฮ่าไฉ่อีกดวงหนึ่งก็ได้ถูกเซียนกระบี่หลายท่านร่วมแรงกันย้ายไปยังใต้หล้ามืดสลัว
เป็นเหตุให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้เหลือดวงจันทร์บนฟ้าแค่ดวงเดียว
อวี๋อวี๋ถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์เฉิน ใช่ใช่ไหม?”
เด็กสาวที่ขวัญกล้าเทียมฟ้ามาโดยตลอดกลับใช้คำพูดที่คลุมเครือเอ่ยถาม
ตามรายงานสายลับของต้าหลี ดูเหมือนว่าใต้หล้าจะมี ‘เฉินผิงอัน’ สองคนปรากฏตัวในเวลาเดียวกัน อยู่ที่ไพศาลและเปลี่ยวร้างอย่างละคน ประเด็นสำคัญคือคนทั้งสองต่างก็ขอบเขตสูงมาก แล้วยังสูงแบบที่สูงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วด้วย ตามการอนุมานของทางกองโหราศาสตร์ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นขอบเขตสิบสี่ในตำนาน...
สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือเฉินผิงอันที่เป็นนักพรตสวมกวานดอกบัวสะพายกระบี่ได้ร่วมมือกับเซียนกระบี่หลายท่านแทรกซึมลึกเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้าง ส่วนเซียนกระบี่ชุดเขียวที่เดินทางลงใต้ไปเยือนสถานที่ต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีปกลับไม่ได้สะพายกระบี่
เฉินผิงอันถาม “อะไร?”
อวี๋อวี๋กะพริบตาปริบๆ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าว่าใช่ก็ใช่นั่นแหละ”
จากนั้นเฉินผิงอันก็พูดเข้าประเด็นทันที “วันนี้มาที่นี่เพราะจะบอกพวกเจ้าสามเรื่อง”
“เรื่องแรก กฎยังคงเดิม ขอแค่อยู่ในกฎระเบียบที่ศิษย์พี่ชุยกำหนดไว้ ข้าก็จะไม่ก้าวก่ายการฝึกตนของพวกเจ้ามากเกินควร และยิ่งไม่มีทางเจ้าจี้เจ้าการกับการทำเรื่องต่างๆ ตอนอยู่ข้างนอกของพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้ามีใครยินดีส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังยอดเขาจี้เซ่อและภูเขาลั่วพั่วเพื่อขอความเห็นก่อนจะลงมือทำอะไร ก็ยินดีต้อนรับ หากมีอะไรที่รู้จะต้องบอกหมดไม่มีกั๊กไว้แน่นอน”
“ข้อสอง ประมาณทุกๆ สิบปีข้าจะต้องขอประวัติย่อและรายรับรายจ่ายจากสองกรมอย่างพิธีการและอาญาเพื่อตรวจสอบผลการฝึกตนของพวกเจ้า หากใครได้เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบก็สามารถยกเว้นการทดสอบนี้ไปได้”
“สุดท้าย จะรักษาคำพูดตามที่บอกไปในสองข้อแรกหรือไม่ ข้าเป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ”
ผู้ฝึกตนแผนภูมิดินทั้งเก้าต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง
ต่อให้เป็นลูกรักแห่งสวรรค์แค่ไหน ต่อให้มีความเย่อหยิ่งจองหองมากเท่าไร เผชิญหน้ากับบุคคลที่เคยปั่นหัวพวกเขาเล่นอยู่ในฝ่ามือคนนี้ก็ไม่มีค่าพอให้พูดถึงจริงๆ
ก็เหมือนอย่างหยวนฮว่าจิ้งที่มีใจชอบเอาชนะอย่างมาก ทุกวันนี้ก็ถึงกับหมดแรงใจจะงัดข้อกับเฉินผิงอันแล้ว
เฉินผิงอันบอกว่าตัวเองจะอยู่ที่นี่พักหนึ่ง ให้พวกเขากลับที่พักของตัวเองไปฝึกตนกันต่อ
ส่วนนักพรตหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ ตลอดเวลาผู้นั้น ใครก็มองตบะตื้นลึกของเขาไม่ออก แล้วก็ไม่มีใครกล้าสืบเสาะด้วย
ได้แต่อิงตามรายงานขุนเขาสายน้ำที่ทางกรมอาญาส่งมาให้ในวันนี้ รู้ว่าฉายาของคนผู้นี้คือสี่จู๋ นามว่าโม่เซิง เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อคนใหม่ของภูเขาลั่วพั่ว
ก่อนหน้านี้ไม่นานโม่เซิงยังติดตามเฉินผิงอันเข้าวังไปรอบหนึ่ง ข่าวที่ได้รับมาก็มีเพียงเท่านี้
ฟังจากก่ายเยี่ยน เมื่อคืนวานโม่เซิงมาที่โรงเตี๊ยมแล้วรอบหนึ่ง บอกว่าตัวเองเป็นผู้ติดตามของเฉินผิงอัน นอกจากจะนำเงินเทพเซียนมาแลกแล้วยังขอเมล็ดแตงทองไปเพิ่มอีกถุงหนึ่ง
ก็เป็นเรื่องประหลาดและคนประหลาดที่ไม่อาจใช้หลักการทั่วไปอะไรมาประเมินได้
ภูเขาลั่วพั่วเต็มไปด้วยความอัศจรรย์พันลึก รากฐานลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ทุกวันนี้ได้กลายเป็นความเห็นพ้องต้องกันของบนภูเขาแจกันสมบัติทวีปแล้ว
ก็เหมือนอย่างผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาที่ชื่อว่าโจวหมี่ลี่ที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำที่สุด เพราะในการร่วมงานพิธีครั้งนั้น ดูเหมือนว่าจะมีเพียงผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วคนนี้เท่านั้นที่เก็บงำตบะและขอบเขต ไม่แสดงออกจนน่ากลัว
ดังนั้นสรุปแล้วขอบเขตของ ‘แม่นางน้อย’ คนนั้นสูงเท่าไรกันแน่ ผู้คนพากันพูดไปหลากหลาย บ้างก็บอกว่าต้องมีขอบเขตหยกดิบเป็นอย่างต่ำ แล้วก็มีคนขอบอกว่าเป็นเซียนเหรินคนหนึ่ง เซียนดิน? ตาบอดหรือน้ำเข้าสมองกันล่ะ? อยู่บนภูเขาลั่วพั่วที่ปรมาจารย์ด้านวรยุทธและผู้ฝึกตนก่อกำเนิดถึงกับไม่มีค่าพอให้พูดถึงแห่งนั้น ตบะแค่เซียนดินจะสยบผู้คนได้อย่างไร? จะเป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาได้อย่างไร?
อีกอย่างตอนนั้นยามที่เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีไฝแดงกลางหว่างคิ้ว และยังมีผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแซ่โจวเผชิญหน้ากับผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาคนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเคารพนอบน้อมอย่างยิ่ง
——