กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 889.1 ออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด
สำนักศึกษาชุนซาน
ซิ่วไฉเฒ่าได้เดินทางไกลข้ามทวีปกลับไปยังศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางแล้ว
หากยังไม่กลับไป เกรงว่าศาลบุ๋นคงจะมาดักรอหน้าประตูแล้วก่นด่าคนแล้ว
ก่อนจะจากไป ซิ่วไฉเฒ่าพูดคุยกับนักพรตหนุ่มสองสามประโยค
เซียนเว่ยรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก นี่ก็คืออาจารย์ของเฉาเซียนซือหรือ? อาจารย์ผู้เฒ่าหน้าตามีเมตตาปราณีดีอยู่หรอก แต่ปัญหาก็คือดูเหมือนอีกฝ่ายจะยากจนพอๆ กับตนเลยนะ
เสี่ยวโม่เดินเคียงไหล่ไปกับเฉินผิงอัน เอ่ยว่า “ตอนที่อยู่บนโต๊ะสุรา ฮ่องเต้ยังพอวางท่าสุขุมเยือกเย็นได้ แต่ตอนที่จากไป พอขึ้นนั่งบนรถม้า เส้นเอ็นหัวใจก็เปลี่ยนมาเป็นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดูท่าคุณชายคงจะทำให้เขากดดันไม่น้อยเลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็แค่คุยเล่นไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น คนฉลาดมักจะชอบคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง มีทั้งข้อดีแล้วก็ไม่ดี”
ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ถามฮ่องเต้พระองค์นั้นว่า ขุนนางฝ่ายบุ๋นหารือเรื่องการปกครอง ต้องว่ากันด้วยทฤษฎีหรือไม่ ผู้ฝึกตนฝึกตน ต้องถามใจตัวเองหรือไม่
ทุกวันนี้ไม่มีราชครูชุยฉานแล้ว ลูกหลานชนชั้นสูงสกุลซ่งที่มีชาติกำเนิดจากเหวยเซียงอำเภอหัวเซี่ยนของราชวงศ์ต้าหลีซึ่งมีพวกเชื้อพระวงศ์เป็นผู้นำ ก็เป็นคนกลุ่มนี้ที่กระโดดโลดเต้นอยู่ริมอาณาเขตของราชสำนักรุนแรงที่สุด ฝ่าบาทต้องควบคุมหรือไม่ จะควบคุมอย่างไร
ราชวงศ์ต้าหลีเคยตั้งป้ายศิลากฎระเบียบของแคว้นไว้บนภูเขา แผ่นดินครึ่งทวีปที่อยู่ทางใต้ของเมืองหลวงสำรองและลำน้ำใหญ่ อดีตแคว้นใต้อาณัติของต้าหลี ตามข้อกำหนดจะต้องอาศัยคุณความชอบทางการสู้รบของแต่ละฝ่ายพากันตอบแทนแคว้น ดังนั้นจึงมีบางแคว้นที่เริ่มรื้อถอนป้ายศิลาบนภูเขาที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตของแคว้นทิ้งไปแล้ว ราวสำนักต้าหลีเองก็เคารพกฎ ไม่มีทางสอดมือเข้าแทรกกิจธุระในบ้านของคนอื่นเด็ดขาด แล้วยังให้ขุนนางของศาลหงหลูเมืองหลวงต้าหลีและกรมพิธีการของเมืองหลวงสำรองไปให้คำแนะนำอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้มีขุนนางไม่น้อยของเมืองหลวงสำรองที่แนะนำให้ต้าหลีย้ายเมืองหลวง ฝ่าบาทท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?
อันที่จริงคำถามหลายๆ ข้อล้วนไม่ซับซ้อน ยกตัวอย่างเช่นแคว้นอื่นถอนป้ายศิลาออก ราชสำนักต้าหลีไม่ใช่แคว้นผู้นำของพวกเขาแล้วยังจะต้องไปสนใจอีกทำไม
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เฉินผิงอันจงใจใช้ ‘เรื่องเล็ก’ เปิดนำ ทำให้ฮ่องเต้ซ่งเหอคิดมากกับทุกเรื่องหลังจากนั้น
นอกจากนี้ก็คือฮ่องเต้พระองค์นี้รีบร้อนคาดหวังในการใช้เรื่องที่เฉินผิงอันมารับหน้าที่เป็นราชครูต้าหลีทำให้ตัวเองเหนื่อยครั้งเดียวสบายไปตลอดชาติมากเกินไป
ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง บนภูเขาของหนึ่งทวีป เมืองหลวงสำรองต้าหลี ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมือง อุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางเหนือ ใบถงทวีปทางทิศใต้…
ความคิดเรียบง่ายเกินไปแล้ว
หวนกลับเมืองหลวงด้วยกัน
เฉินผิงอันส่งจดหมายออกไปสามฉบับ ฉบับหนึ่งเป็นกระบี่บินที่ส่งไปยังภูเขาลั่วพั่วบ้านตน บอกกับทางฝั่งนั้นว่าตนกำลังจะกลับบ้านเกิดแล้ว
และยังส่งจดหมายไปแจ้งหลิวจิ่งหลงที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย บอกว่ากำลังจะก่อตั้งสำนักเบื้องล่าง ต้องมาเข้าร่วมงานพิธีด้วย ส่วนเวลาที่เป็นรูปธรรมยังต้องรอกำหนดการอีกที เพียงแต่ว่าตอนที่เดินทางข้ามทวีปลงใต้ จำไว้ว่าให้แวะมาที่เมืองหลวงต้าหลี ช่วยชี้แนะเรื่องค่ายกลให้กับหันโจ้วจิ่นด้วย
อาจารย์ค่ายกลหญิงที่บ้านเกิดคือพื้นที่มงคลชิงถานผู้นี้ ชาติกำเนิดภูมิหลังและความสัมพันธ์บนภูเขาล้วนไม่ธรรมดา
ในบรรดาผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดิน อันที่จริงเฉินผิงอันเห็นดีในตัวคนสองคนมากที่สุด ก็คือนางกับเก๋อหลิ่ง ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่มีความหวังจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนอย่างหยวนฮว่าจิ้งและซ่งซวี่ด้วยซ้ำ
อาศัยสัญชาตญาณ
และยังมีคราวก่อนที่ไปดื่มเหล้าที่ลำคลองชางผู กวนอี้หรานอาศัยหัวข้อเรื่องหน่วยแท่นฝนหมึกมาพูดคุย ดังนั้นเฉินผิงอันจึงต้องเอ่ยเตือนต่งสุ่ยจิ่งว่าให้ระวังคุณชายตระกูลสูงศักดิ์บางคนในเมืองหลวงที่อิจฉาเขาอยู่
วิธีการทำการค้าของต่งสุ่ยจิ่ง เรียกได้ว่ามีสารพัดรูปแบบ หนึ่งในนั้นก็มีเรื่องของการเหมาภูเขามาทั้งลูก แล้วทำการผูกขาดเรื่องของดอกไม้พืชพรรณ หินหยก วัตถุดิบไม้ หรือแม้กระทั่งน้ำพุอย่างเงียบเชียบ จากนั้นค่อยจ่ายเงินให้รายงานขุนเขาสายน้ำของแต่ละฝ่ายช่วยป่าวประกาศออกไป ก่อนจะแบ่งขายให้กับคนซื้อหลายคนหรือหลายสิบคน ตัวต่งสุ่ยจิ่งเองมักจะไม่เข้าร่วมกับการค้าขายโดยตรง เฉาเกิงซิน หยวนเจิ้งติ้ง ฟู่อวี้ อู๋ยวน…ลูกหลานชนชั้นสูงคนใดก็ตามที่เคยเป็นขุนนางในหลงโจวมาก่อนล้วนมีส่วนด้วย ไม่พูดถึงพรรคบนภูเขา พูดถึงแค่ตระกูลซุนและตระกูลฟ่านของนครมังกรเฒ่า เอาเป็นว่าขอแค่เป็นสหายที่เฉินผิงอันแนะนำก็ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นสหายของต่งสุ่ยจิ่งได้ทุกคน
หากใช้คำพูดของต่งสุ่ยจิ่งก็คือ ข้าก็เป็นแค่คนที่ทำการค้าอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น หาเงินจากคนมีเงินโดยเฉพาะ
ท่าเรือส่วนตัวและเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่อยู่ในนามของคนอื่น แต่แท้จริงแล้วเป็นของต่งสุ่ยจิ่ง คาดว่าไม่ได้มีแค่ไม่กี่แห่งหรือแค่ไม่กี่ลำแล้ว
ต่งครึ่งเมือง?
เกือบจะเป็นต่งครึ่งทวีปแล้วมากกว่ากระมัง
ยากจะจินตนาการได้ว่าเด็กหนุ่มยากจนที่ต้องเลิกเรียนกลางคันของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีตผู้นี้จะอาศัยการขายเกี๊ยวน้ำและเหล้าหมักข้าวเหนียวมาตั้งตัว
เพียงแต่ว่าต่อให้จะมีเงินแค่ไหนก็ยังไม่ถ่วงรั้งการที่เขาจะเป็นเศษสวะในสายตาของหลินโส่วอี
หลักการเหตุผลเดียวกัน ต่อให้ขอบเขตด้านการฝึกตนของหลินโส่วอีในทุกวันนี้จะสูงแค่ไหน ในสายตาของต่งสุ่ยจิ่งก็เป็นแค่คนขี้ขลาด เจ้าหลินโส่วอีอ่านหนังสือมามากแล้วมีประโยชน์อะไร? ก็ยังเป็นพวกไร้ประโยชน์เหมือนตนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
ท่ามกลางแสงสนธยา โจวไห่จิ้งยกม้านั่งออกมานั่งรับลมในลานบ้าน ในมือถือพัดกลมงามประณีติที่ปักเป็นรูปสาวงามไล่จับผีเสื้อ นางโบกพัดเบาๆ เส้นผมตรงจอนหูและคอเสื้อต่างก็เพยิบไหวไปตามลม
ดั่งคำกล่าวที่ว่าถือพัดกลมปัดหิ่งห้อยนี่นะ สง่างามจะตายไป คุณหนูตระกูลใหญ่ล้วนเป็นกันเช่นนี้
หน้าประตูมีเด็กหนุ่มอยู่สองคน พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะตามติดท่านน้าโจวผู้นี้ คนต่างถิ่น แล้วยังเป็นผู้ฝึกยุทธ นี่ก็ไม่ใช่จอมยุทธหญิงผู้เดินทางมาไกลที่มีฝีมือสูงส่ง ชอบเที่ยวเล่นอยู่ในโลกมนุษย์ตามคำกล่าวของนักเล่านิทานหรอกหรือ?
เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดชื่อว่าว่านเหยียนหันหลังให้ลานบ้าน นั่งอยู่ตรงหน้าประตู เท้าคางเหม่อลอย
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งเอนๆ พิงประตู หัวเราะหึหึ นึกอยากจะให้ตัวเองเป็นวิชาเซียนสักบท จะได้จำแลงร่างกลายเป็นพัดที่อยู่ในมือของท่านน้าโจวเล่มนั้น
โจวไห่จิ้งงอนิ้วทั้งคู่ ชี้มาที่เกาโหยว
เกาโหยวหัวเราะร่า “พี่โจว เมื่อไหร่จะหาสามีสักคนล่ะ ข้ากับว่านเหยียนช่วยท่านจัดงานเลี้ยงสุรารับเงินใส่ซองได้นะ”
โจวไห่จิ้งพูดอย่างเกียจคร้าน “สมบัติมีราคายังแสวงหามาได้ แต่บุรุษที่มีใจรักจริงกลับหาได้ยากยิ่ง”
เกาโหยวหัวเราะฮ่าๆ “พี่โจว ท่านคิดว่าข้าเป็นอย่างไร? ไม่สู้แต่งๆ ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป? วันหน้าข้าต้องยกท่านขึ้นหิ้งบูชาแน่นอน”
โจวไห่จิ้งเหลือบมองเด็กหนุ่ม “ข้าว่าเจ้ากับว่านเหยียนจับคู่กันน่าจะดีกว่า พี่น้องที่รักกันนี่นะ วันนี้เจ้าเสียเปรียบเล็กน้อย พรุ่งนี้เขาเสียเปรียบนิดหน่อย ถึงอย่างไรไม่ว่าใครก็ล้วนไม่เสียเปรียบ”
เกาโหยวสะอึ้งอึกพูดไม่ออก น้าโจวผู้นี้พูดจาระคายหูเสียจริง
อันที่จริงเด็กหนุ่มสองคนนี้ต่างก็เป็นลูกกระต่ายน่าสงสารที่มีบิดาให้กำเนิดแต่ไม่มีมารดาเลี้ยงดู หากจะบอกว่าพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่มีทางแน่นอน แต่หากจะบอกว่าเป็นคนเลวร้าย อันที่จริงในท้องก็ไม่ได้มีความคิดชั่วร้ายอะไร
อายุอยู่ในช่วงวัยของเด็กหนุ่ม เลือดลมยังไม่หยุดนิ่ง เห็นพวกสตรีหน้าอกโตเอวเล็กบางก็ควบคุมดวงตาตัวเองไม่อยู่ เหลือบมองอยู่หลายทีก็เป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็กหนุ่ม เมื่อเจอกับสตรีที่ตรงใจจริงๆ คาดว่าขอแค่ตอนกลางวันได้จับมือกันก็คงนอนไม่หลับไปครึ่งคืนแล้ว
แต่หากเป็นบุรุษ เห็นสตรีที่รูปโฉมไม่เลวสักคนกลับจะคิดว่าเตียงอยู่ที่ไหน
ก็เหมือนเกาโหยวที่ครั้งแรกที่เจอกันก็มือไม้ไม่อยู่สุข ดขาแอบชอบเด็กสาวคนหนึ่งที่เติบโตมาด้วยกัน เจอกันระหว่างทาง ต่อให้ปากเปราะพูดเกี้ยวพา แต่ได้แค่มองนางเพียงแวบเดียวก็รู้สึกอิ่มตาอิ่มใจแล้ว
กลับเป็นว่านเหยียนที่หนักแน่นกว่า อายุน้อยๆ ก็มีความคิดที่สุขุมเยือกเย็นแล้ว หากเกิดในตระกูลคนมีเงิน ได้เล่าเรียนเขียนอ่าน ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ได้ดิบได้ดีไม่น้อย ทว่าเรื่องของการเลือกครรภ์มาเกิดเป็นเรื่องที่เลือกไม่ได้ที่สุดแล้วนี่นะ
โจวไห่จิ้งใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฟังเด็กหนุ่มสองคนที่อยู่หน้าประตูหันไปพูดเรื่องราวน่าสนใจที่เพิ่งเกิดขึ้นในเมืองหลวง ยกตัวอย่างเช่นมีพรรคในยุทธภพสองแห่งยกพวกมาตีกันบนถนนหูหลูตอนกลางดึกอย่างดุเดือด สองวันมานี้กิจการโรงหมอที่อยู่ใกล้เคียงล้วนดีมาก และยังมีนายท่านเทพเซียนอีกสองคนที่เดินออกมาจากป่าลึกกลางภูเขาที่ทำการประลองเวทกันอย่างจริงจัง ยังมีเซียนกระบี่ในตำนานที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งเทพเซียน ได้ยินมาว่าคืนนั้นเซียนกระบี่เฒ่าที่ยืนอยู่บนถนนใหญ่แหงนหน้าแผดเสียงคำราม ส่งเสียงสะเทือนจนกระเบื้องหลังคานับไม่ถ้วนแตกร้าวร่วงกราว ใบไม้บนต้นไม้หล่นลงมาเป็นแถบๆ จากนั้นก็อ้าปากพ่นเอาลูกกระบี่กลมเกลี้ยงที่หมุนติ้วๆ แต่กลับไม่ร่วงลงพื้นออกมา เสียงสวบดังทีเดียวก็กลายเป็นเชือกสีทองเส้นหนึ่งที่ยาวหลายลี้ กระชากร่างนายท่านเทพเซียนอีกคนหนึ่งให้กลับลงมาบนพื้น วันต่อมานักเล่านิทานที่อยู่ตรงสะพานเสอเจียวก็บอกแล้วว่า เซียนกระบี่ผู้นั้น หากอิงตามลำดับอาวุโสต้องถือว่าเป็นอาจารย์ลุงที่อยู่สำนักเดียวกันแต่คนละสายกับเขาด้วย
ตอนนั้นก็มีพวกชอบสอดรู้สอดเห็นขัดคอขึ้นมา ถามว่าแล้วเหตุใดท่านถึงกลายมาเป็นนักเล่านิทานได้เล่า ผู้เฒ่าไม่ตื่นกลัวแม้เผชิญหน้ากับอันตราย ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยวเหงา แล้วพลันยกไม้ปลุกสติขึ้นตบหนึ่งที บอกว่าตนมีคุณสมบัติของเซียนจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ละโมบในคุณความชอบหวังความเจริญก้าวหน้า หลงเดินไปทางผิด ที่ฝึกบำเพ็ญตนมาจึงสูญเปล่าทั้งหมด
อย่าเห็นว่าผู้ชมในเวลานั้นโห่ใส่ ว่ากันว่าวันนั้นเขาขายตำราลับที่สืบทอดจากบรรพบุรุษไปได้หลายเล่มเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเกาโหยวก็อยากซื้อ แต่ต่อรองเรื่องราคากันไม่สำเร็จ รังเกียจว่าแพงเกินไป นักเล่านิทานตั้งราคาไว้ที่สามตำลึงเงิน บอกว่านี่ยังเป็นเพราะเห็นว่าฐานกระดูกของเกาโหยวดีแล้วด้วย ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่สามตำลึงเลย สามสิบตำลึงก็อย่าหวัง เกาโหยวไม่ได้ถูกน้ำมันหมูบดบังจิตใจ เห็นแก่เงินจนเป็นบ้าไปแล้วกระมัง สามอีแปะถึงจะพอสมควร ยังมาบอกว่าสืบทอดมาจากบรรพบุรุษเสียด้วย สืบทอดจากบรรพบุรุษแค่วันสองวันน่ะสิ
เพียงแต่เวลานี้ที่กำลังพูดคุย เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ยังอดเสียดายไม่ได้ รู้สึกว่าไม่แน่ว่าตนอาจพลาดโชควาสนาตระกูลเซียนไปแล้วก็เป็นได้
โจวไห่จิ้งฟังแล้วถึงกับกลอกตามองบน
เซียนกระบี่?
ก่อนหน้านี้บุรุษชุดเขียวที่พวกเจ้าเห็นต่างหากถึงจะเป็นเซียนกระบี่บนภูเขาที่แท้จริง
นางเบ้ปาก ยังเป็นขอบเขตหยกดิบด้วยนะ ทำให้คนตกใจกลัวแทบตายแล้ว
หากว่าเขาเป็นโจรเด็ดบุปผาที่เห็นสาวงามแล้วเกิดคิดชั่วขึ้นมา ตนควรจะทำอย่างไรดี
ต่อสู้ก็สู้ไม่ชนะ อีกฝ่ายยังบอกด้วยว่าตัวเองเป็นคนดูแลสายแผนภูมิดินชั่วคราว ตนเป็นสตรีโตเต็มวัยคนหนึ่ง จะไม่ใช่ว่าเรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบหรอกหรือ
โจวไห่จิ้งย่อมไม่โง่ ก่อนหน้านี้ที่ดื่มน้ำคุยเล่นกับเฉินผิงอัน มีเรื่องราวมากมายที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ปิดบังเอาไว้ ล้วนเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป
เฉินผิงอันหวังว่านางจะเป็นฝ่ายไปหาเขาเอง แล้วทั้งสองฝ่ายก็คุยเรื่องการค้ากันอย่างเปิดเผย
อีกฝ่ายไม่ถือว่าใช้อำนาจรังแกคนอื่น ถึงขั้นที่ว่ายังพอมีความจริงใจอยู่บ้าง ทำการค้าน่ะหรือ ทั้งๆ ที่คนซื้อมีสิ่งที่อยากได้อยู่แล้ว แต่ดันควบคุมความต้องการของตัวเองไว้ได้ จึงไม่ถูกคนขายโก่งราคา การค้าแบบเดียวกัน คนซื้ออย่างเฉินผิงอันเป็นคนซื้อที่บังคับซื้อ จะเทียบกับคนขายที่บังคับขายได้อย่างไร อันที่จริงตอนนั้นโจวไห่จิ้งเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้ว เพราะถึงอย่างไรฐานะในยุทธภพของอวี๋หงในทุกวันนี้ก็ไม่ต่ำแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งศึกที่เมืองหลวงสำรอง อวี๋หงเชี่ยวชาญการสร้างชื่อเสียงจอมปลอม ได้ความรู้สึกดีๆ จากบนและล่างภูเขาไปไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอให้อวี๋หงคว้ายันต์คุ้มกันกายจากการเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลีมาได้ ก็ยิ่งทำให้นางรับมือได้ยากเป็นทบทวี หนี้แค้นต้องชำระ คนของหอฝูสู่และพรรคอีกสองสามแห่งล้วนต้องฆ่าให้สิ้นซาก ขณะเดียวกันตนก็ต้องมีชีวิตรอดด้วย
เพียงแต่ถึงอย่างไรโจวไห่จิ้งก็เคยชินกับการถือทวนบุกเดี่ยวออกท่องยุทธภพแล้ว ไม่อยากให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนโดยไม่จำเป็น จะทำอะไรก็ต้องรอเวลา คอยดูสีหน้าของคนอื่น นั่นไม่ใช่ลักษณะในการทำเรื่องต่างๆ ของนาง
ชีวิตคนสองร้อยยี่สิบสามชีวิต หนึ่งชีวิตแลกกับหนึ่งชีวิต โจวไห่จิ้งจะไม่เอาชีวิตจากอวี๋หงเพิ่มแม้แต่ชีวิตเดียว แต่ก็ห้ามขาดสักชีวิตเด็ดขาด!
ท่ามกลางแสงสายัณห์ ตรงมุมหัวเลี้ยวของตรอกมีบุรุษแปลกหน้าท่วงท่าสง่างามคนหนึ่งเดินออกมา
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ซูหลางมาเยี่ยมเยือนโจวไห่จิ้ง เขาเพิ่งได้รับคำสั่งลับจากทางกรมอาญาต้าหลี อีกไม่นานก็ต้องออกไปจากเมืองหลวง ไปลงหลักปักฐานทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป อยู่ในอาณาเขตราชวงศ์ป๋ายซวงเก่า รับหน้าที่สร้างพรรคในยุทธภพแห่งหนึ่งขึ้นมาอย่างลับๆ สิบปีให้หลัง หากขนาดและอิทธิพลของสำนักแห่งนี้บรรลุถึงเงื่อนไขตาม ‘แผนการใหญ่’ ของฝ่ายในกรมอาญาต้าหลี ได้รับการประเมินที่ไม่เลว ซูหลางก็สามารถถอยออกมาได้ อีกทั้งยังจะได้รับข้อยกเว้นได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ถวายงานอันดับสอง สำหรับซูหลางแล้วนี่ไม่ถือว่าเป็นงานที่เหนื่อยยากอะไร ชีวิตคนอยู่ที่ใดไม่ใช่ยุทธภพบ้างเล่า
สำหรับของขวัญที่มาเยี่ยมเยือน วันนี้ซูหลางพกเหล้าหมักตระกูลเซียนบนภูเขามาด้วยหนึ่งกา และยังมีหมูกรอบห่อกระดาษน้ำมันห่อหนึ่งเอามากินเป็นกับแกล้ม
เกาโหยวตาดี สังเกตเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญซึ่งไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมของที่แห่งนี้อย่างแรง จึงรีบเอาศอกถองสหายรัก “ยอดฝีมือเหมือนกันหรือ?”
เทียบกับบุรุษชุดเขียวที่สวมรองเท้าผ้าของเมื่อหลายวันก่อน คนตรงหน้าผู้นี้ทั้งห้อยไผ่เขียวหนึ่งลำแล้วยังสะพายกระบี่ด้วย เห็นได้ชัดว่าเหมือนยอดฝีมือยิ่งกว่า
ว่านเหยียนหันหน้ามาตอบ “เหมือน”
เกาโหยวรีบลุกขึ้นปัดก้น วิ่งเหยาะๆ ไปทางยอดฝีมือคนนั้น ถามว่า “นายท่านท่านนี้มาหาใครหรือ?”
อันที่จริงเด็กหนุ่มใช้ก้นเดาก็ยังรู้ว่าอีกฝ่ายต้องมาหาน้าโจวแน่ ไม่อย่างนั้นจะมาสถานที่ที่เต็มไปด้วยขี้ไก่ขี้หมาแห่งนี้ทำไม?
แม้จะบอกว่าตรอกด้านหน้ามีซ่องนางโลมที่ทำกิจการขายเนื้ออยู่หลายแห่ง ทว่าบุรุษตรงหน้าผู้นี้ต้องไม่มีทางเห็นอยู่ในสายตาแน่นอน
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่เบี่ยงตัวเดิน พูดตื๊ออย่างหน้าด้านๆ ว่า “ข้าสามารถช่วยนำทางให้ได้นะ หากนายท่านมอบเงินสองสามอีแปะให้เป็นรางวัลก็ย่อมดีที่สุดแล้ว”
เด็กหนุ่มสองคนเคยแอบขโมยชุดของเทพเจ้าแห่งโชคลาภจากโรงงิ้วมาชุดหนึ่ง พอถึงช่วงปลายปีก็ไปยังสถานที่ห่างไกลสักหน่อย ไป ‘เยี่ยมเยียนวันปีใหม่’ ตามร้านรวงต่างๆ โดยเฉพาะ ว่านเหยียนเข้าใจพูด สามารถเอ่ยถ้อยคำสุภาพไพเราะได้มากมาย พวกร้านทั้งหลายกลัวความอัปมงคล ไม่กล้าด่าทอทุบตี ‘เทพเจ้าแห่งโชคลาภ’ ในวันสิ้นปี จึงมอบเงินเหรียญทองแดงมาให้ไม่มากก็น้อย
ซูหลางไม่ได้สนใจเด็กชาวบ้านที่ชอบลักเล็กขโมยน้อยผู้นี้ เดินตรงดิ่งไปที่หน้าประตูทันที
โจวไห่จิ้งลุกขึ้นยืน โบกพัดตบลงบนไหล่ครั้งแล้วครั้งเล่า เดินมาที่หน้าประตู เหลือบมองกาเหล้าในมือของซูหลาง คลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “คราวหน้าทางที่ดีที่สุดควรพกเหล้าของตำหนักฉางชุนมานะ”
เหล้านี้ ทำให้คนละโมบอยากดื่ม
ซูหลางเอ่ยอย่างอ่อนใจ “แม่นางโจวทำให้ข้าลำบากใจแล้ว ราคาแพงยังไม่เท่าไร กัดฟันก็พอจะซื้อได้ไหว แต่เหล้าตำหนักฉางชุนนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีราคาแต่ไร้ตลาดอยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด เหล้าใหม่ของแต่ละปีล้วนถูกพวกเซียนซือบนภูเขาและตระกูลชนชั้นสูงแบ่งกันไปหมดแล้ว ไหนเลยจะตกมาอยู่ในมือของคนต่างถิ่นอย่างข้าได้”
บนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ ได้ดื่มเหล้าเซียนตำหนักฉางชุนหรือไม่ก็คือสัญลักษณ์แห่งสถานะอย่างหนึ่ง
ตำหนักฉางชุนคือกองกำลังในท้องถิ่นของสกุลซ่งต้าหลี แม้จะบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน แต่สกุลซ่งเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน คอยให้การสนับสนุนตำหนักฉางชุนอยู่มาก ในพื้นที่มังกรลุกผงาดของสกุลซ่ง ในบรรดาคนเฝ้าสุสานหลายคนที่มาสร้างกระท่อมอยู่ที่นั่นก็มีคนหนึ่งที่เป็นบรรพจารย์ไท่ซ่างของตำหนักฉางชุน
เห็นว่าเด็กหนุ่มสองคนจะยังทำตัวเป็นเทพทวารบาล โจวไห่จิ้งก็กดหัวของเกาโหยว บิดหมุนข้อมือ ให้เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หมุนตัวกลับไป จากนั้นถีบลงไปบนก้นของอีกฝ่าย “ต่อให้เป็นสตรีที่งดงามแค่ไหนก็ไม่มีทางผายลมหอมได้ ท้องหิวก็ไปหยิบขี้ไก่บนพื้นมากินแทนลูกกวาด มีอยู่เต็มพื้นเลยล่ะ รับรองว่าพออิ่มแน่”