กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 889.3 ออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด
โจวไห่จิ้งหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ความขัดแย้งบางอย่างในยุทธภพ แสงดาบเงากระบี่ หมัดเท้าไร้ตา ใครพูดมากประโยคหนึ่ง บางทีก็อาจต้องทิ้งชีวิตไว้ตรงนั้น เจ้าสำนักเฉินใช่ว่าจะไม่รู้ถึงอันตรายในการเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกยุทธเสียหน่อย แบบนี้จะทำให้ข้าลำบากใจเกินไปหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “หากผู้อาวุโสทั้งสองท่านเข้าร่วมด้วย แม่นางโจวสามารถบอกพวกเขาก่อนได้ บอกไปว่าข้าคือสหายของแม่นางโจว หากถึงเวลานั้นผู้อาวุโสทั้งสองท่านยังยืนกรานว่าจะไม่ถอย จะเข้าร่วมกับบุญคุณความแค้นในยุทธภพครั้งนี้ให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิตแล้ว”
โจวไห่จิ้งลังเลไปเล็กน้อย “ได้ แต่ต้องถือว่าเจ้าขุนเขาเฉินติดค้างน้ำใจข้าครั้งหนึ่ง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้สิ”
โจวไห่จิ้งพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าขุนเขาเฉินไม่เหมือนเซียนกระบี่อะไรเลย เหมือนบัณฑิตมากกว่า”
บุรุษที่เคยพลัดถิ่นไปเป็นอาจารย์อยู่ในโรงเรียนของต่างบ้านต่างเมืองเคยเอ่ยว่า อริยะกล่าวไว้ว่า ปณิธานในการศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่ปวงประชา
แล้วก็เคยเอ่ยกับนางประโยคหนึ่งว่า เด็กน้อยใช้ถ่านวาดเส้นทาง ต่อให้เป็นมดก็ยังไม่กล้าข้ามผ่านไป
โจวไห่จิ้งมักจะฝันว่าตัวเองได้ไปเยือนซากปรักโบราณแห่งหนึ่งเป็นประจำ ด้านหน้าตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งมีรูปปั้นทองแดงของเซียนที่ในมือทำท่าคล้ายถือประคองของบางอย่างอยู่ ต้นกุ้ยแตกหัก ตะไคร่ขึ้นเต็มพื้น ตำหนักถูกปล่อยร้าง พืชหญ้ารกชัฏขึ้นเต็มไปหมด แทบทุกครั้งนางจะต้องได้พบเจอกับบุรุษที่เรียกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจว่าชิวเฟิงเค่อขี่ม้าลาดตระเวนยามราตรี ท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย บอกว่าตอนมีชีวิตอยู่ตัวเองหลอมโอสถอย่างยากลำบากหวังจะได้เป็นเซียน ใฝ่ฝันจะเป็นอมตะไม่แก่โทรม โจวไห่จิ้งเดินทางร่วมกับเขาไปตลอดทาง พอฟ้าสางเรือนกายของคนผู้นั้นก็สลายหายไป เป็นความฝันที่ประหลาดยิ่ง
ก่อนจะออกจากบ้านเกิด นางเคยขอให้อาจารย์ในโรงเรียนผู้นั้นทำนายฝันให้ เขาบอกว่านี่เป็นบุพเพของชาติก่อน
โจวไห่จิ้งก้มหน้าดื่มเหล้าในชามจนหมด วางชามเหล้าที่ว่างเปล่าลง นางจ้องชามขาวนิ่ง ก้มหน้าเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฉินคือผู้ฝึกตน คิดดูแล้วบนภูเขาของพวกท่านก็น่าจะมีคำกล่าวที่ว่า พวกเรามาเกิดเป็นคน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
โจวไห่จิ้งเอ่ยเสียงหนักจริงจัง “แผ่นดินที่ให้กำเนิดข้าเลี้ยงดูข้า จำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณ!”
เฉินผิงอันรับคำต่อ “หากมิอาจตอบแทนบุญคุณ ก็ต้องชำระความแค้น”
โจวไห่จิ้งเงยหน้าขึ้นเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างที่มิอาจปิดบัง
“คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ได้รับความอยุติธรรมก็ต้องร้องทุกข์ มีหนี้ก็ต้องใช้คืน ชายหญิงในยุทธภพ พระคุณต้องตอบแทน มีแค้นต้องชำระ”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไม่อย่างนั้นพวกเราจะฝึกวรยุทธให้เหนื่อยยากกันไปทำไม”
โจวไห่จิ้งลังเลเล็กน้อย เป็นฝ่ายยื่นชามเหล้าออกมา คงจะต้องการชนชามเหล้าแล้วดื่มร่วมกันกับเฉินผิงอันอีกครั้ง
อันที่จริงเฉินผิงอันกลับลังเลยิ่งกว่า แต่กระนั้นก็ยังยกชามเหล้าชนกับอีกฝ่ายเบาๆ
เผ่าพันธุ์เจียวหลงเดินลงแม่น้ำ ผีขี้เหล้าเองก็ลงน้ำเหมือนกัน
โจวไห่จิ้งดื่มหมดในรวดเดียว เช็ดปาก เอ่ยอย่างสงสัยว่า “เจ้าสำนักเฉินไม่ใช่เซียนกระบี่หรอกหรือ? ทำไมถึงบอกว่าเรียนวรยุทธเหนื่อยยากล่ะ?”
รู้ว่าเฉินผิงอันเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่ขอบเขตวิถีวรยุทธต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน เพียงแต่มักจะรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับสถานะเซียนกระบี่ของอีกฝ่ายแล้ว วิถีการเรียนวรยุทธ เห็นได้ชัดว่าไม่สำคัญเท่า
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “การเรียนหมัดเคยช่วยต่อชีวิตให้กับข้า มีหรือจะกล้าไม่ตั้งใจ เมื่อเทียบกันแล้ว การฝึกกระบี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ กลับเป็นเป็นช่วงหลังๆ แล้ว”
โจวไห่จิ้งถาม “หรือว่าท่านเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่อย่างนั้นข้าจะเป็นอาจารย์ของเผยเฉียนได้อย่างไร”
โจวไห่จิ้งถามหยั่งเชิง “เจ้าสำนักเฉิน ท่านคงไม่ได้ถูกใจข้าเข้าแล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “แม่นางโจว เรื่องล้อเล่นแบบนี้อย่าได้พูดเลย”
โจวไห่จิ้งเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “ถ้าอย่างนั้นท่านมาคุยโวอะไรกับข้า?”
หากจะบอกว่าเฉินผิงอันเป็นขอบเขตยอดเขา โจวไห่จิ้งยังกึ่งเชื่อกึ่งกังขา แต่จะบอกว่าเป็นขอบเขตปลายทาง?!
ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปประลองฝีมือกับซ่งจ่างจิ้งสักครั้งเล่า?
เสี่ยวโม่มาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เพียงแต่ว่าข้างกายมีผู้เฒ่าคนหนึ่งเพิ่มมาด้วย
เกาโหยวกับว่านเหยียนที่อยู่ในตรอกไม่ได้จากไปไหนไกลต่างก็ตะลึงระคนประหลาดใจ เพราะคุ้นหน้าผู้เฒ่าอยู่มาก ก็คือนักเล่านิทานที่พูดโม้น้ำลายแตกฟองอยู่ใต้สะพานลอย แล้วยังถือโอกาสขายตำราลับหลายเล่มคนนั้น
เสี่ยวโม่ใช้เสียงในใจอธิบายให้เฉินผิงอันฟัง ที่แท้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรคนนี้ก็ได้บอกว่าตัวเองเชี่ยวชาญนรลักษณ์ศาสตร์ มองปราดเดียวก็ถูกใจในชะตาของเด็กหนุ่มว่านเหยียน อีกทั้งยังสังเกตดูนิสัยใจคอของเด็กหนุ่มมาพักหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าอีกฝ่ายสามารถสืบทอดมรรคกถาส่วนหนึ่งของตัวเองได้ เพียงแต่เรื่องหลอมกระบี่นั้น หมดหวัง
ผู้เฒ่ามองบุรุษชุดเขียวที่อยู่ในลานบ้านแล้วรีบเก็บความคิดทั้งหลายกลับคืนมา ก้มหัวกุมหมัด ใช้เสียงในใจเอ่ย “ฝึกฝนน้อย คือจำศีลอยู่ในป่า ฝึกฝนใหญ่คือจำศีลอยู่ในยุคสมัย ข้าผู้อาวุโสได้แต่เที่ยวเล่นอยู่ในโลกมนุษย์ มิอาจเทียบกับเซียนกระบี่เฉินได้”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน ใช้เสียงในใจยิ้มกล่าว “สหายรับลูกศิษย์ ขอแสดงความยินดีด้วย”
โจวไห่จิ้งเอนตัวพิงประตูบ้าน รวมเสียงให้เป็นเส้นถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเป็นขอบเขตปลายทางจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันตอบกลับอย่างจริงใจ “จริง”
สายตาโจวไห่จิ้งฉายแววประหลาด “บนยอดเขาแห่งนั้นมีทัศนียภาพเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ยังไม่สูงมากพอ”
โจวไห่จิ้งมองแววตาและสีหน้าของบุรุษชุดเขียว
มารดามันเถอะ เหตุใดมองดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็หล่อเหลาเหมือนกันนะ
ดูท่าเหล่าเหนียงน่าจะดื่มจนเมาแล้ว
คงไม่ได้ถูกเจ้าหมอนี่กรอกยาลืมวิญญาณใส่ในเหล้าของตนกระมัง
โจวไห่จิ้งหัวเราะอยู่กับตัวเอง
เฉินผิงอันไม่อยู่ขัดจังหวะการกราบอาจารย์รับลูกศิษย์ของผู้อื่น
หลักๆ แล้วเป็นเพราะรอยยิ้มประหลาดของโจวไห่จิ้งต่างหากที่น่าขนลุก
เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่กลับไปที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น
เซียนเว่ยที่อยู่ในห้องด้านข้างนอนหลับกรนดังครอกๆ
ในตรอกเล็กนอกประตูบ้านของโจวไห่จิ้ง ผู้เฒ่าบอกสาเหตุที่มาเยือนอย่างชัดเจน บอกกล่าวให้รู้ถึงสำนักของตัวเอง ให้ว่านเหยียนติดตามตนไปฝึกตน
เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดมองเกาโหยวแวบหนึ่ง ลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนจะพยักหน้า เพียงแค่บอกกับเกาโหยวว่าตนต้องกลับมาแน่นอน
ผู้เฒ่าบอกกับว่านเหยียนว่าไม่ต้องเอาอะไรไปทั้งนั้น แล้วก็ออกไปจากตรอกทั้งอย่างนั้น
อันที่จริงเกาโหยวหวังให้ว่านเหยียนจากไปทั้งอย่างนี้ แต่ก็อยากให้ว่านเหยียนไม่ต้องไปไหนด้วย อยู่เป็นเพื่อนกัน มีทุกข์ร่วมต้าน แต่สุดท้ายสหายรักต้องจากไปก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แย่ไปทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรหัวใจของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ว่างโหวงแปลกๆ
โจวไห่จิ้งมองเด็กหนุ่มอารมณ์ซับซ้อนที่นั่งยองอยู่หน้าประตู ยกมือกุมหัว
นางถอนหายใจ บอกที่อยู่แห่งหนึ่งในเมืองหลวงให้กับเกาโหยว โบกมือเอ่ยว่า “เจ้าไปหาคนตามที่อยู่นี้ เขาชื่อซูหลาง ก็คือคนที่พกเหล้ามาก่อนหน้านี้ บอกไปว่าข้าให้เจ้าไปหาเขา แล้วให้เขาสอนวรยุทธกับเจ้าสักสองสามกระบวนท่า ส่วนเจ้าจะเรียนเป็นกี่มากน้อยก็ต้องดูที่ความสามารถของเจ้าเองแล้ว”
เกาโหยวหันขวับกลับมา พูดเสียงสะอื้น “ขอบคุณท่านน้าโจว”
โจวไห่จิ้งเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “เจ้าตะพาบน้อย เรียกพี่โจว!”
เกาโหยวยิ้มกว้าง วิ่งปรู๊ดจากไปทันที คิดว่าจะกลับบ้านไปเก็บสัมภาระก่อน เพียงแต่ว่าตอนที่วิ่งไปถึงหัวเลี้ยว เขากลับหันหน้ามาตะโกนเสียงดัง “ท่านน้าโจว จำไว้ว่าพรุ่งนี้ช่วยบอกนางแทนข้าสักคำว่าข้าออกไปท่องยุทธภพแล้ว”
โจวไห่จิ้งไม่ได้พูดอะไร
ยุทธภพมีอะไรดีกันเล่า
เพียงแต่ว่าสำหรับเด็กหนุ่มแล้ว คนที่เคยเดินผ่านยุทธภพมาอย่างแท้จริง ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะมีชีวิตที่ดีหรือร้าย จะได้สวมชุดแพรกลับบ้านเกิดหรือกลับมาด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถึงอย่างไรก็ดีกว่าได้แต่มองยุทธภพอยู่ไกลๆ ไปทั้งชีวิต
……
ยามฟ้าสาง หนิงเหยาปิดด่านเสร็จสิ้น นางเดินหนึ่งก้าวจากห้องในโรงเตี๊ยมมาหาเฉินผิงอันที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น
เซียนเว่ยกำลังนั่งยองกินอาหารเช้ากับเสี่ยวโม่ที่หน้าประตูห้องด้านข้าง
เซียนเว่ยเห็นสตรีสะพายกระบี่คนนั้นแล้วก็ตกตะลึงอย่างหนัก หันไปยกนิ้วโป้งให้กับเฉาเซียนซือเงียบๆ
เฉินผิงอันไม่มีสัมภาระอะไรให้ต้องเก็บ แค่บอกกับเซียนเว่ยว่ากินอิ่มแล้วจะต้องออกเดินทางต่อ พวกเขากำลังจะออกจากเมืองหลวงต้าหลีกันแล้ว
เซียนเว่ยกินอีกสองสามคำก็กินเสร็จ ปัดมือ เตรียมจะเรียกเสี่ยวโม่ให้ไปด้วยกัน อย่าให้เฉาเซียนซือต้องรอนาน ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเสี่ยวโม่ยืนอยู่ด้านข้างก่อนแล้ว
ยอมจริงๆ เจ้าลูกสมุนผู้นี้
คนทั้งกลุ่มไปชำระเงินที่โรงเตี๊ยมด้วยกัน
เถ้าแก่ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “จอมยุทธน้อยเฉินจะกลับบ้านแล้วหรือ? ไม่คิดจะอยู่อีกสักสองสามวันสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองก่อนหรือไร? ไม่ต้องมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่กว่าปรมาจารย์ผู้เฒ่าอวี๋ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรแพ้ให้กับสตรีในยุทธภพอย่างโจวไห่จิ้งกระมัง?”
เฉินผิงอันเอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน หัวเราะร่าเอ่ยว่า “กลับแล้วๆ ค่าใช้จ่ายในเมืองหลวงสูง ข้าเองก็อยากอยู่ต่อสักหลายๆ วัน แต่เงินในกระเป๋าไม่ตอบตกลงด้วย”
“คราวหน้าหากมาเมืองหลวงอีกแล้วยังยินดีจะมาพักที่ร้านเล็กๆ ของข้า ข้าจะลดราคาให้เจ้าเก้าส่วน”
“หากเถ้าแก่ไม่ลดราคาให้ คราวหน้าต่อให้ข้ามาเมืองหลวงก็ไม่มีทางมาหาท่านแน่”
“มีใครเขาหั่นราคาอย่างเจ้ากันบ้าง? คุณชายเฉินเจ้าไม่ทำการค้า น่าเสียดายแล้ว”
ลูกสาวที่รักของเถ้าแก่ผู้เฒ่าหลิวมีนามว่าลู่ไฉ ชื่อเล่นคือจื้อไถ นางตื่นแต่เช้า ตอนนี้จึงหยิบผ้าหิ้วถังน้ำเตรียมช่วยทำงานแล้ว เพียงแต่ว่ายังง่วงตาปรืออยู่
แม้จะบอกว่าในเรื่องการวาดฝันถึงยุทธภพ เรื่องที่อยากเป็นจอมยุทธหญิง จะวางใจในตัวเด็กสาวไม่ได้มาโดยตลอด แต่อันที่จริงในเวลาปกตินางกลับช่วยงานที่ร้านไม่น้อย ทำงานจุกจิกยิบย่อย จะได้ขอเงินเดือนจากบิดาของนางได้ จ่ายเงินง่ายหาเงินยากนี่นะ ต้องโทษตัวเองที่อ่านหนังสือเร็วเกินไป
เฉินผิงอันจะบอกเตือนเจิงเย่ว่าวันหน้าสามารถมาเที่ยวเมืองหลวงต้าหลีได้ ถ้ามีวาสนาต่อกันก็จะได้พบเจอกันเอง
เด็กสาวมองหนิงเหยาแล้วตะโกนเรียก “อาจารย์หนิง!”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า”
เด็กสาวยิ้มกว้าง ก็แค่เรียกไปอย่างนั้นเอง อาจารย์หนิงท่านไม่เห็นต้องคิดเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ นางถามว่า “จะกลับแล้วหรือ? จะมาอีกเมื่อไหร่?”
หนิงเหยายิ้มตอบ “บอกได้ยาก”
เด็กสาวร้องอ้อหนึ่งที ยังคงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นไร ชายหญิงในยุทธภพนี่นะ หยิบขึ้นได้ก็วางได้ลง ภูเขาเขียวสายน้ำใส วันหน้าย่อมได้พบกันใหม่
เฒ่าแก่ผู้เฒ่าถอนใจโล่งอก ยังดีที่ลูกสาวไม่ได้โวยวายว่าจะหนีออกจากบ้านอะไรอีก
เมืองหลวงได้ก่อตั้งที่ว่าการตูสุ่ยเจียน (ตรวจสอบดูแลน้ำของเมืองหลวง) อยู่ในการดูแลของกรมโยธา หลางจงกรมทางน้ำ กองชิงลี่ตูสุ่ย ล้วนเป็นขุนนางใหญ่อันดับหนึ่งทั้งสิ้น ลูกชายคนโตของเถ้าแก่ผู้เฒ่าเป็นเสมียนฝ่ายป้องกันทางน้ำ รับผิดชอบคอยจับตามองประตูเขื่อนแห่งหนึ่งและเรื่องการขุดลอกท้องน้ำ ถือว่ากินอาหารของทางราชการ ไม่ถือว่าได้ดิบได้ดีอะไร แต่จะดีจะชั่วก็ยังแสวงหาผลประโยชน์ได้ต่อให้เกิดเหตุการณ์เลวร้าย บวกกับที่สามารถยื่นมือเข้าแทรกเรื่องการปลูกและการดูแลรักษาต้นอวี๋ต้นหลิ่ว จึงมีรายรับเข้ามาเพิ่มเติม ลูกชายคนรองเปิดร้านขายผ้าทางทิศเหนือของเมืองหลวง ก็ถือว่าได้ก่อร่างสร้างตัวแล้ว ดังนั้นทุกวันนี้เถ้าแก่ผู้เฒ่าจึงมีเพียงลูกสาวที่รักที่ทำให้คนไม่วางใจที่สุดตรงหน้านี้เท่านั้น การที่เขาไม่วางใจ แน่นอนว่าเป็นเพราะเขารักนางที่สุด
คนทั้งกลุ่มนั่งโดยสารเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่เดินทางลงใต้ออกจากเมืองหลวงหวนกลับบ้านเกิดด้วยกัน
ภูเขาหนิวเจี่ยวในทุกวันนี้ เนื่องจากกองทัพต้าหลีที่มาประจำการณ์ทยอยกันถอนทัพออกไป เรือข้ามฟากจึงมีการสัญจรถี่แน่นมากขึ้น
นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับการดำรงอยู่ของภูเขาพีอวิ๋นและแม่น้ำสามสาย เป็นเหตุให้ท่าเรือหนิวเจี่ยวกลายมาเป็นหนึ่งในศูนย์กลางท่าเรือที่สำคัญที่สุดของเส้นทางเดินเรือเหนือใต้สองสาย
เฉินผิงอัน หนิงเหยา เสี่ยวโม่ เซียนเว่ย
ตอนมามีแค่สองคน ตอนกลับกลับมีคนมาเพิ่มอีกสองคน
คนผู้หนึ่งสวมชุดสีเขียว
หนิงเหยาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ สะพายกล่องกระบี่ นางดูแคลนที่จะร่ายเวทอำพรางตาอะไรด้วยซ้ำ
เสี่ยวโม่แต่งกายมอซอด้วยการสวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวอยู่ตลอด เซียนเว่ยที่ไปเยือนที่ว่าการเต้าเจิ้งเมืองหลวงมารอบหนึ่งก็ยิ่งใจกล้ามากขึ้น ถึงกับเตรียมกระบี่ไม้ท้อที่เป็นสัญลักษณ์ของนักพรตจวนเทียนซือให้ตัวเองเล่มหนึ่ง
หนึ่งคนพักหนึ่งห้อง
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียนเว่ยได้นั่งโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่แล่นไปโดยมีเมฆขาวและฝูงนกเป็นเพื่อน รู้สึกเพียงว่าในที่สุดตนก็ร่ำรวยแล้ว
หนิงเหยาอ่านหนังสืออยู่ในห้อง
เฉินผิงอันจึงพาเสี่ยวโม่และเซียนเว่ยมาชมทัศนียภาพที่หัวเรือ
เวลานี้ได้ยินผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์กลุ่มใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงพูดคุยกัน ไม่ได้ใช้เสียงในใจอะไร พวกเขาพูดคุยกันอย่างไร้ความยำเกรง ดูเหมือนว่าจะมาจากพรรคบนภูเขาต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน เพิ่งจะรู้จักกันที่ท่าเรือ หลังขึ้นเรือมาแล้วก็นัดหมายกัน แต่พวกผู้ฝึกลมปราณหญิงที่คุยกันเจื้อยแจ้วกลับมาจากสำนักเดียวกัน ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์นี่นะ ความสัมพันธ์ควันธูปก็ได้มาเพราะอย่างนี้นี่แหละ
เนื่องจากมีเทพธิดาอยู่เยอะ พวกผู้ฝึกลมปราณผู้ชายจึงเริ่มร่ายวิชาอภินิหาร บ้างก็แสดงความสามารถด้านการประพันธ์ ก้มหน้าพึมพำ พูดถึงความปวดร้าวที่ต้องสูญเสียแคว้น พูดถึงความเจ็บปวดที่บ้านแตกสาแหรกขาด พูดถึงความเศร้าสร้อยของชาติกำเนิด วันเวลาที่งดงามผ่านไปเร็ว ชีวิตคนยากจะคงอยู่ยาวนาน น้ำตาไหลพรากอาบใบหน้า
บ้างก็แสดงความร่ำรวยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ อันที่จริงเทียบกับการประชันความสามารถแล้วนี่กลับเห็นผลทันตามากกว่า
ในบรรดาเซียนซือทำเนียบตระกูลที่อายุยังน้อย คำว่ามีเงินก็มีการแบ่งเป็นระดับต่างๆ เช่นกัน คนที่มีเรือข้ามฟากส่วนตัว นั่นก็แสดงว่ามีเงินจริงๆ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงบุตรชายหญิงของคู่รักจากจวนเซียนใหญ่เท่านั้นที่ถึงจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
ต่อมาก็เป็นพวกที่มีเรือบินจากยันต์ซึ่งกินเงินอย่างมาก จากนั้นก็เป็นพวกคนที่ออกจากบ้านแล้วมีพาหนะเป็นสัตว์เซียน
สุดท้ายแน่นอนว่าคือคนที่ต้องอาศัยสองขาในการเดินขึ้นเขาลงห้วย หากรีบร้อนเดินทาง อย่างมากสุดก็ใช้ยันต์เทพเดิน ยันต์ม้าเกราะที่วัสดุธรรมดา ระดับขั้นไม่สูงมาก
เฉินผิงอันจึงคิดถึงฟ่านเอ้อแห่งนครมังกรเฒ่า เขามีเกาะกุ้ยฮวาอยู่ในนามของตัวเองเชียวนะ
ส่วนหลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีป ช่างเถิด ไปเปรียบเทียบกับเขาไม่ได้หรอก
เซียนเว่ยเงี่ยหูตั้งใจฟัง ล้วนถือเป็นประสบการณ์ เป็นโลกกว้างนี่นะ
ไม่รู้ว่าทำไมถึงคุยไปถึงภูเขาพีอวิ๋นและงานเลี้ยงท่องราตรีได้
เสี่ยวโม่พอจะมีความมั่นใจแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณครึ่งๆ กลางๆ อย่างเซียนเว่ยฟังเรื่องเล่าลือในยุทธภพที่บอกต่อกันมาปากต่อปาก จึงยังไม่แน่ใจสักเท่าไร แต่เมื่อบวกกับคำพูดของผู้ฝึกตนที่มาจากทำเนียบบนภูเขาพวกนี้ กระทั่งพวกเขาก็ยังพูดแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ห่างจากความเป็นจริงเท่าไรแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่เหตุผลที่เซียนเว่ยพูดก็นับว่ามีเหตุผลมาก
คนในยุทธภพมีแค่ตั้งชื่อผิดเท่านั้น ไม่มีฉายาที่มอบให้กันผิดๆ
เว่ยท่องราตรี
เซียนเว่ยรู้สึกว่า ‘ฉายา’ นี้ ฟังมากๆ เข้าก็ดูเหมือนว่าจะเผด็จการอย่างมาก
ท่องราตรีทั้งทวีป หากไม่ใช่เว่ยป้อแล้วยังจะมีใครอีก
เสี่ยวโม่ลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “คุณชาย เว่ยซานจวินท่านนั้น?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “พูดถึงแค่รูปโฉมและบุคลิก หล่อเหลามีราศี เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งมรรคาโบราณ เห็นแล้วหลงลืมความสามัญ หากจะพูดถึงการอยู่ร่วมสังคม มีน้ำใจมีคุณธรรม เอาเป็นว่าข้าหาตำหนิอะไรของเขาไม่เจอเลยจริงๆ”
เพียงแต่ว่าครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายพบเจอกัน ตอนที่เว่ยป้อยังเป็นเทพแห่งผืนดินอยู่ที่ภูเขาฉีตุน เขาค่อนข้างจะเจ้าเล่ห์ ต่างจากภาพลักษณ์ของเว่ยซานจวินแห่งภูเขาพีอวิ๋นในทุกวันนี้ราวฟ้ากับเหว
เสี่ยวโม่พยักหน้า เข้าใจแล้ว
น่าจะเป็นเพราะคุณชายของตนพูดจาแฝงความนัย เป็นการแหกกฎเตือนตนว่ายามมอบของขวัญอย่ามอบของขวัญเบาเกินไป?
ดูท่าฉายาของเว่ยซานจวินผู้นี้จะไม่ได้เล่าลือกันอย่างเสียเปล่าจริงๆ