กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 890.7 อะไรคือห่มดาวสวมจันทร์
ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าต้องมาพบเจ้าขุนเขาท่านนี้ อันที่จริงเฉายางก็ถึงกับอึ้งตะลึงไป ในสมองเหมือนมีแต่แป้งเปียก
หากไม่เป็นเพราะจากภูเขาด้านหลังมายังหน้าผาเรือนไม้ไผ่แห่งนี้ต้องเดินเป็นระยะทางช่วงใหญ่ซึ่งพอจะทำให้นางสงบจิตใจได้บ้าง คาดว่ามาถึงที่นี่คงต้องเสียกิริยาแล้ว
เฉินผิงอันไม่ได้พูดคุยอะไรกับพวกเขามากนัก หลังจากพวกเขาจากไป เขาก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะบอกให้ผู้คุมกฎฉางมิ่งเรียกเผยเฉียนที่อยู่ในพื้นที่มงคลรากบัวกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว บอกว่าตนรอนางอยู่ที่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่
เดินขึ้นบันไดไปถึงระเบียงของชั้นสอง เฉินผิงอันนั่งลงตรงหน้าประตู ถอดรองเท้าผ้าวางไว้ด้านนอก
เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเผยเฉียนแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่เข้าร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยง เผยเฉียนเอ่ยประโยคหนึ่งบอกว่ากลับภูเขาลั่วพั่วมาแล้วจะฝ่าทะลุขอบเขต แต่ผลกลับกลายเป็นว่าถ่วงเวลามาครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้จะบอกว่าเพิ่งจะห่างจากครั้งก่อนมาได้ไม่นาน แต่เฉินผิงอันก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ในฐานะผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ถึงกับเลือกจะกดขอบเขตเอาไว้
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งสามารถฝ่าคอขวดไปได้แล้วแต่กลับสยบกำราบเอาไว้ หากไม่ทันระวังจะกลายมาเป็นภัยแฝงที่ใหญ่หลวงมาก
ใครมอบความกล้านี้ให้เจ้า?
อาจารย์พ่ออย่างข้าหรือ?
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้อง ด้านในว่างเปล่าไร้สิ่งใด เขาเริ่มหลับตาทำสมาธิ
ในอดีตเดินทางท่องเที่ยวไปในอุตรกุรุทวีปเพียงลำพัง อยู่ดีๆ ก็ถูกถามหมัด ตอนนั้นเฉินผิงอันเกือบเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองต้องตายแล้ว
คนที่ถามหมัดกับตนโดยไม่แยกแยะถูกผิดก็คือผู้ดูแลเฒ่าแห่งหมู่บ้านภูเขาซ่าเส่าที่เปลี่ยนชื่อแซ่เป็นอู๋เฝิงเจี่ย นามจริงคือกู้โย่ว คนของราชวงศ์ต้าจ้วน
หนึ่งในผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางท้องถิ่นสามคนของอุตรกุรุทวีปในอดีต เคยใช้สองหมัดต่อยให้พวกเซียนซือของแคว้นใต้อาณัติหลายสิบแคว้นถอยร่น ทุกคนล้วนถูกผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่บุกเดี่ยวคนนี้ขับไล่ออกไปจากอาณาเขต
และกู้โย่วก็ยิ่งเป็นบรรพบุรุษแห่งหมัดเขย่าขุนเขา
ปีนั้นตอนที่ตนรับหมัด ใช้ท่าเดินนิ่งของหมัดเขย่าขุนเขาปล่อยหมัดออกไปเกือบหนึ่งล้านหกแสนครั้ง
เพื่อหยั่งเชิงความตื้นลึกของตน กู้โย่วในเวลานั้นออกหมัดหนักหน่วงมาก เหตุผลหลักการก็ยิ่งหนักมากกว่า
ผู้เฒ่าเคยเอ่ยว่าวิชาหมัดแบบตายตัวพันหมื่นวิชาปล่อยปณิธานหมัดที่มีชีวิตอย่างหนึ่งออกไป นั่นต่างหากจึงจะเป็นการฝึกหมัดที่แท้จริง
แน่นอนว่ากู้โย่วยังเอ่ยถ้อยคำห้าวเหิมที่สอดคล้องกับการเป็นบรรพบุรุษของหมัดเขย่าขุนเขาและผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางอย่างมาก
ความหมายคร่าวๆ ก็คือเขาไม่พูดถึงว่าวิชาหมัดของชุยเฉิงสูงหรือต่ำ ทว่าความสามารถในการป้อนหมัดช่างธรรมดาจริงๆ หากเปลี่ยนมาเป็นเขารับรองว่าเฉินผิงอันจะต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทุกๆ ขอบเขต!
เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหลายกลับคืนมา ลืมตาขึ้น
เผยเฉียนมาแล้ว
นางถอดรองเท้าอยู่ตรงหน้าประตู เดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางลังเลใจ
เฉินผิงอันม้วนชายแขนเสื้อ เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ข้าไม่กดขอบเขต แบ่งแพ้ชนะกัน”
เผยเฉียนเงียบไม่พูดไม่จา ไม่ขยับตัว
เฉินผิงอันทำเหมือนปีนั้นที่ตนเองถามหมัดกับกู้โย่ว สองเข่างอลงเล็กน้อย บิดหมุนข้อมือ หมัดหนึ่งหันเข้าหาตัว อีกหมัดหนึ่งปล่อยออกไปเบื้องหน้า เอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าจะใช้หมัดเขย่าขุนเขาถามหมัดกับเจ้า”
สีหน้าของเผยเฉียนเลื่อนลอยไปเล็กน้อย เหม่อมองอาจารย์พ่อของตัวเอง
อาจารย์พ่อที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดกลับทำให้นางรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเดือดดาล “เผยเฉียน หากรับมือกับศัตรู ป่านนี้เจ้าก็ตายไปแล้ว!”
เผยเฉียนไม่พูดอะไร และบนร่างของนางก็ไม่มีปณิธานหมัดมารวมตัวกัน
เฉินผิงอันกระทืบเท้า เรือนไม้ไผ่ทั้งหลังสั่นสะเทือนตามไปด้วย หมัดหนึ่งพุ่งมาตรงหน้าเผยเฉียนอย่างว่องไวราวสายฟ้าแลบ
เผยเฉียนแค่ถอยหลังไปสองก้าว เอนหลังพิงกำแพง เฉินผิงอันเกือบจะต่อยลงบนหน้าผากของนาง เขาฝืนดึงหมัดกลับมา ทั้งโมโหทั้งขัน สุดท้ายก็เหลือเพียงความสงสาร เอ่ยอย่างจนใจว่า “ช่างเถิด”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง
เฉินผิงอันงอสองนิ้ว เขกมะเหงกจนเผยเฉียนต้องกุมหัว
เห็นว่าอาจารย์พ่อเดินไปที่หน้าประตู นั่งลงสวมรองเท้าผ้า เผยเฉียนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันใด วิ่งไปนั่งลงข้างกายอาจารย์พ่อ พูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ ว่า “อาจารย์พ่อ ข้าบอกตามตรงนะ หากแบ่งแพ้ชนะกันจริงๆ น้อยสุดสามหมัด มากสุดห้าหมัดก็ยุติแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าก็รู้ด้วยหรือ?”
การประลองฝีมือกันในปีนั้น ผู้อาวุโสกู้โย่วทั้งถามหมัด แล้วก็ทั้งถ่ายทอดวิชาหมัด
หมัดเขย่าขุนเขาของข้า หมัดที่หนักที่สุดใช้ต่อกรกับศัตรู หมัดหนึ่งรักษาเจตนารมณ์เดิม เป็นเหตุให้ต่อให้ศัตรูที่ต้องเผชิญหน้าคือบรรพจารย์สามลัทธิ ขอแค่ปณิธานหมัดไม่แหลกสลาย คนตายไปแล้วก็ยังออกหมัดได้อีกครั้ง!
ต้องรู้ว่านี่คือการตระหนักรู้ตอนที่ผู้อาวุโสกู้โย่วอยู่ในขอบเขตเจ็ด
เฉินผิงอันหันไปมองห้องชั้นสองที่ว่างเปล่า อันที่จริงสัจธรรมแห่งหมัดของท่านปู่ชุยก็สูงมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า ‘เบื้องหน้าไร้คน’ เฉินผิงอันถึงขั้นไม่รู้สึกว่าต่อให้ชีวิตนี้ตนฝึกหมัดอีกมากแค่ไหนก็จะสามารถคิดสัจธรรมทำนองเดียวกันนี้ออกมาได้ หรือสามารถเขียนคำนำของตำราหมัดแบบเดียวกับที่ผู้อาวุโสกู้โย่วเขียนออกมาได้
แน่นอนว่าก็ไม่จำเป็นต้องดูแคลนตัวเอง เวทกระบี่ก็คือวิชาหมัด ก็เหมือนอย่างเศษจันทร์ที่หากเอามาใช้กับวิชาหมัด พลานุภาพก็ไม่มีทางน้อยเป็นแน่
เฉินผิงอันสวมรองเท้าผ้าเรียบร้อยแล้ว แต่กลับไม่ได้ลุกขึ้นยืน เขาเพียงแค่นั่งอยู่ตรงหน้าประตูอย่างนั้น
เผยเฉียนรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย ถามหยั่งเชิงว่า “อาจารย์พ่อ มีเรื่องในใจหรือ?”
เฉินผิงอันยื่นเมล็ดแตงส่วนหนึ่งส่งให้เผยเฉียน เอ่ยว่า “ข้าที่เป็นอาจารย์พ่อ คงไม่ใช่ว่าแค่จะป้อนหมัดให้กับลูกศิษย์สักครั้งก็คงไม่ได้กระมัง?”
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “อาจารย์พ่อเคยป้อนหมัดอย่างเป็นทางการด้วยหรือ?”
นางเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “มีเพียงสอนหมัดไม่หยุด ข้าที่มองดูอยู่ข้างๆ ล้วนจำได้แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ถือว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนนี้ผ่านด่านแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนางเรื่องที่เมื่อครู่นี้ไม่ยอมรับหมัดแล้ว
เผยเฉียนแทะเมล็ดแตง มองผ่านราวรั้วไผ่เขียวไปยังทะเลเมฆที่อยู่นอกภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันเอ่ย “หากตอนนั้นข้าอยู่บนภูเขาก็คงมีแต่จะถ่วงรั้งการฝึกหมัดของเจ้า”
ตนต้องไม่มีทางทนมองได้แน่นอน ไม่แน่ว่ามากสุดก็อาจจะหาข้ออ้างหลบไปอยู่ที่ตรอกฉีหลงด้วยซ้ำ
อีกทั้งขอแค่อาจารย์พ่ออย่างตนอยู่บนภูเขา ปีนั้นถ่านดำน้อยก็คงไม่มีความกล้านั้นกระมัง
เผยเฉียนกล่าว “อาจารย์พ่อ เฉาสือร้ายกาจมากจริงๆ เลยนะ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “รูปโฉมก็หล่อเหลาด้วย”
อาจารย์และศิษย์สองคนหัวเราะขึ้นพร้อมกันอย่างรู้ใจกันดียิ่ง
เฉินผิงอันเก็บเปลือกเมล็ดแตงของคนทั้งสองไว้ในฝ่ามือ ลุกขึ้นยืน โยนทิ้งไปยังก้อนเมฆขาวนอกหน้าผาเบาๆ
นามแฝงว่ากู้โย่วนั้น อันที่จริงเป็นชื่อของคนอื่น เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่คนหนึ่งที่ออกท่องยุทธภพซึ่งตายไปเพียงเพราะช่วยเหลือขอทานข้างทางคนหนึ่ง
ดังนั้นหลังจากที่กู้โย่วมีชื่อเสียง ขอแค่ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอกแล้วต้องถามหมัดกับผู้ฝึกยุทธบนยอดเขาก็มักจะใช้ชื่อนี้ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า ปีนั้นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ต้องทิ้งชีวิตเพียงเพื่อเด็กคนหนึ่งที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยหนองเละเทะ ไม่ได้…ไร้ค่าถึงเพียงนั้น!
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงราวรั้ว หันหน้ามองไกลๆ ไปยังเมืองเล็ก
ก็เหมือนกับการที่อาจารย์ฉีปกป้องถ้ำสวรรค์หลีจู การเติบโตของคนรุ่นเยาว์ในเมืองเล็กทุกคนล้วนสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าการกระทำของเขาไม่ได้ไร้ค่าถึงเพียงนั้น
การใช้อารมณ์ของคนวัยเยาว์ในหลายๆ ครั้ง มักจะรู้สึกว่าฟ้าดินที่กว้างใหญ่ล้วนเป็นของข้า แค่ต้องดูว่าข้าต้องการหรือไม่เท่านั้น
เพียงแต่พอเติบใหญ่ ถ้อยคำห้าวเหิมต้องมีวีรกรรมยิ่งใหญ่จึงจะถือว่าเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง
ดังนั้นการประชุมในศาลบุ๋น ขณะที่สองใต้หล้าคุมเชิงกัน คนชุดเขียวพูดว่าจะตีก็ตีกันทันที
ถ้าอย่างนั้นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ย่อมไม่มีทางพูดจาง่ายๆ ดั่งคนยืนพูดไม่ปวดเอวเพียงเพราะได้กลับคืนมายังใต้หล้าไพศาลแล้วแน่นอน
ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไปลากดึงลำคลองเย่ลั่ว ฟันนครเซียนจานให้ขาดท่อน ใช้กระบี่ฟันภูเขาทัวเยว่ เด็ดหัวผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดตนหนึ่งด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันตบมวยผมทรงกลมบนศีรษะของเผยเฉียน เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้ากลับพื้นที่มงคลรากบัวไปเถอะ พรุ่งนี้สามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว”
อันที่จริงเขาเองก็รู้ว่าเหตุใดเผยเฉียนจะต้องกดขอบเขตเอาไว้ให้ได้
เพื่อรอคอยการมาถึงของวันวันหนึ่ง
เนื่องจากผู้อาวุโสชุยเฉิงจากไปในวันนั้น
ผู้เฒ่าที่อยู่ในวัดเล็กของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนไม่มีคำสั่งเสียใดๆ
ราวกับว่าหลักการเหตุผลทั้งหมดล้วนอยู่ในการสอนหมัดการป้อนหมัดครั้งแล้วครั้งเล่าบนเรือนไม้ไผ่แห่งนี้หมดแล้ว
เผยเฉียนพยักหน้ารับ หวนกลับไปยังพื้นที่มงคลรากบัวอีกครั้ง
ไม่ได้ตรงกลับไปที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน แต่เลือกพื้นที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งทิ้งร่างดิ่งลงไปเป็นเส้นตรง พื้นดินสะเทือนเลือนลั่น
จากนั้นวิ่งตะบึงไปตลอดทาง เจอน้ำลุยน้ำ เจอภูเขาข้ามภูเขา บางครั้งก็พักเท้าอยู่ริมน้ำ เผยเฉียนจะตกปลาสองสามตัวมาตุ๋นกิน ก่อไฟหุงข้าว ต้มน้ำแกงปลากินกับข้าว รสออกจะเค็มไปสักหน่อย
ท่ามกลางม่านราตรี ไปเดินเล่นอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า เดินผ่านถนนใหญ่ตรอกเล็ก ไปดูสิงโตหินสองตัวที่อยู่หน้าประตู ภายหลังก็ไปที่วัดซินเซียงของแคว้นหนันเยวี่ยน
เผยเฉียนนั่งอยู่บนขั้นบันได เหม่อมองไปยังระเบียงแห่งนั้น
นางเงียบไปนาน
รอกระทั่งท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีขาวพุงปลา เรือนกายหนึ่งก็ทะยานพุ่งจากพื้นดินไปยังม่านฟ้า
ขอให้ผู้คุมกฎฉางมิ่งที่ดูแลพื้นที่มงคลให้เปิดประตูใหญ่ของพื้นที่มงคลรากบัว
เผยเฉียนเอ่ยเสียงหนัก “เปิดประตู!”
โชคชะตาบู๊เก้าขุมในเก้าทวีปของไพศาล
และยังมีโชคชะตาบู๊ที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาลอีกสองขุมแยกกันมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างและใต้หล้ามืดสลัวต่างพากันกรูเข้าหาภูเขาลั่วพั่ว กรูเข้าหาพื้นที่มงคลรากบัว
ถูกเผยเฉียนใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าต่อยจนแหลกสลายไปทีละขุม
ใต้หล้าของพื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง โชคชะตาบู๊เหมือนสายฝนเทกระหน่ำหล่นลงสู่โลกมนุษย์
บริเวณใกล้เคียงกับประตูของพื้นที่มงคลที่อยู่สุดขอบฟ้า เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ข้างกายคือผู้คุมกฎฉางมิ่งที่สวมชุดยาวสีขาวหิมะ
ฉางมิ่งยิ้มเอ่ย “การฝ่าทะลุขอบเขตบนวิถีวรยุทธของเผยเฉียนช่างไร้เหตุผลจริงๆ”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “ไม่น่าแปลกหรอก ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของข้านี่นะ”
หางตาฉางมิ่งเหลือบมองเจ้าขุนเขาหนุ่ม จงใจพูดให้ฟังผ่อนคลาย แต่รอยยิ้มตรงหว่างคิ้วนั่นเหมือนกับคนเป็นบิดาที่คิดว่า ‘ลูกสาวข้ายอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า เรื่องแบบนี้ยังต้องพูดอีกหรือ’
ฉางมิ่งเอ่ยสัพยอก “วันหน้าหากถูกคนเอากระสอบมาคลุมหัวกลางดึก เจ้าขุนเขาสามารถเรียกข้าได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “ถึงเวลานั้นเจ้าต้องห้ามข้าให้ระวังแรงที่ใช้ถีบคนด้วยล่ะ”
……
คนกลุ่มหนึ่งสามคนเดินเล่นที่เมืองหงจู๋กันแล้ว เฉินผิงอันก็ไปซื้อหนังสือสองสามเล่มมาจากเถ้าแก่หลี่จิ่นที่ร้าน เธอ หนังสือ
วันนี้หมี่ลี่น้อยไม่ได้พกคานหาบสีทองแล้วก็ไม่ได้หยิบไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวมาด้วย เพียงแค่สะพายกระเป๋าผ้าฝ้ายไว้เท่านั้น
บนเส้นทางภูเขา หมี่ลี่น้อยเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด สองนิ้วคีบเมล็ดแตงทองหนึ่งเมล็ด ชูขึ้นสูง โคลงศีรษะไปมา มองร้อยรอบก็ไม่เบื่อ
ท่ามกลางแสงสนธยา ศาลเทพวารีกำลังจะปิดประตูลงแล้ว
เปลี่ยนคนเฝ้าศาลใหม่ เมื่อก่อนเป็นหญิงชราคนหนึ่ง ทุกวันนี้เป็นสตรีออกเรือนแล้วท่าทางซื่อสัตย์เรียบง่ายคนหนึ่ง
เฉินผิงอันเห็นว่าหน้าตาของสตรีออกเรือนแล้วคนนั้นพอจะมีความคุ้นเคยอยู่บ้างก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ผู้นี้ใช้ทุกวิธีที่มีแล้วจริงๆ
สตรีออกเรือนแล้วที่รับหน้าที่เป็นคนเฝ้าศาลคนใหม่ตรงหน้านี้ เขารู้จักจริงๆ อันที่จริงยังถือว่าเป็นคนรุ่นเดียวกันด้วย แก่กว่าเฉินผิงอันสองสามปี
เพราะคนในท้องถิ่นของเมืองเล็กอำเภอไหวหวงล้วนแซ่หลู แต่ความสัมพันธ์กับสกุลหลูบนถนนฝูลู่กลับห่างเหินกันมานานแล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นญาติอะไรกันได้
คนที่นางแต่งงานด้วยก็เป็นคนของบ้านเกิด ทำงานอยู่ในเตาเผามังกร เพียงแต่ว่าอยู่ห่างจากเตาเผาที่เฉินผิงอันไปเป็นลูกศิษย์ค่อนข้างไกล พวกนางขายบ้านกันไปนานแล้ว ย้ายไปอยู่ที่ตัวจังหวัด ใช้ชีวิตร่ำรวยอย่างที่ในอดีตไม่กล้าคิดถึง
สตรีออกเรือนแล้วรู้สึกไม่แน่ใจ บนใบหน้ามีความปิติยินดีอยู่หลายส่วน เปิดปากถามหยั่งเชิงว่า “คือเฉิน…ผิงอันจากตรอกหนีผิง?”
เมื่อหลายปีก่อน คงเพราะบรรพบุรุษสั่งสมบุญกุศลเอาไว้ นางถึงกับถูกเหนียงเนียงเทพวารีหมายตา เลือกให้มาเป็นคนเฝ้าศาลของศาลเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่แห่งนี้ จึงถือเป็นคนบนภูเขาครึ่งตัว แม้ว่าจะไม่เคยฝึกวิชาเซียน แต่ก็รู้จักกับนายท่านเทพเซียนหลายคน มีทั้งชนชั้นสูงที่ได้สวมหมวกขุนนาง ส่วนสตรีออกเรือนแล้วที่สวมทองใส่หยกก็ยิ่งมีไม่น้อย สองคนในนั้นยังเป็นฮูหยินตราตั้งอย่างที่คนเล่าลือกันอีกด้วย
แรกเริ่มนางปลื้มใจอย่างมาก แต่ภายหลังสตรีออกเรือนแล้วกลับไม่อยากจะไปโอ้อวดที่จังหวัดหลงโจวแล้ว
ทุกครั้งที่บุรุษออกจากบ้านไปดื่มเหล้าจะต้องดื่มจนหน้าแดงก่ำ บอกว่าตัวเองโชคดี ได้ภรรยาที่สร้างความรุ่งโรจน์ให้กับวงศ์ตระกูล เจ้าไม่แย่ไปกว่าหญิงหม้ายตระกูลกู้ที่ตรอกหนีผิงเลยสักนิด
เฮอะ ทุกวันนี้บุรุษที่ไม่เคยเล่าเรียนเขียนอ่านของตนเรียนรู้ที่จะแต่งบทกลอนแล้ว เป็นประโยควรรคละสี่คำเรียงกันยาวเป็นพรวนซึ่งเหมือนถูกดึงออกมาจากถังผักดองอย่างไรอย่างนั้น
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เรียกชื่ออีกฝ่าย “เยี่ยนเหมย ไม่ได้เจอกันนานหลายปีเลยนะ เมื่อก่อนแค่เคยได้ยินว่าครอบครัวพวกเจ้าย้ายไปที่จังหวัดหลงโจว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่”
เมื่อก่อนคนในพื้นที่ของเมืองเล็กต่างแต่งงานกันเร็ว สตรีบางคนอายุสิบสี่สิบห้าก็ออกเรือนแล้ว
นางถาม “เฉินผิงอัน นี่คือลูกสาวของเจ้าหรือ?”
ก่อนที่นางจะเป็นคนเฝ้าศาล เกี่ยวกับเด็กกำพร้าตรอกหนีผิงตรงหน้าผู้นี้ นางแค่เคยได้ยินข่าวลือแบบกระจัดกระจายที่บอกไม่ได้ว่าจริงหรือเท็จ บ้างก็บอกว่าหลังจากที่เฉินผิงอันไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของเตาเผาแล้วก็เหมือนว่าจะได้รู้จักกับช่างหร่วนช่างตีเหล็กต่างถิ่นผ่านสหายอย่างหลิวเสี้ยนหยาง ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงได้เงินมาก้อนหนึ่งจึงซื้อภูเขาหลายลูกทางทิศตะวันตก ถือว่าร่ำรวยเป็นเศรษฐีแล้ว
ภายหลังไม่รู้ว่าอย่างไรจึงไปเข้าตานายท่านเทพภูเขาของภูเขาพีอวิ๋นท่านนั้น จึงยิ่งร่ำรวยเข้าไปอีก
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ได้ยินคำถามนี้เขาก็ได้แต่ลูบหัวของหมี่ลี่น้อยเท่านั้น
หมี่ลี่น้อยปิดปากยิ้ม ดวงตาทั้งคู่หยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว ตำแหน่งใหม่ที่หล่นลงมาจากฟ้านี้ พวกเราไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธนะ
สตรีออกเรือนแล้วถาม “พวกเจ้ามาจุดธูปที่นี่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต้องรบกวนให้เจ้าส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังจวนวารีแม่น้ำอวี้เย่ที บอกว่าข้ามาหาเย่ชิงจู๋เพราะมีธุระ”
สตรีออกเรือนแล้วตกตะลึงไปเล็กน้อย ลังเลอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยโน้มน้าวว่า “เฉินผิงอัน ทุกวันนี้ข้าถือว่าพอจะดูแลเรื่องบางอย่างได้ ข้าสามารถเรียกยันต์รถม้าช่วยให้เจ้าแหวกน้ำเดินทางไปถึงจวนวารีได้”