กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 892.3 สำนักกระบี่ชิงผิง
เฉินหลิงจวินกระจ่างแจ้งทันใด มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ไม่นานจู่ๆ นังเด็กโง่หน่วนซู่ก็มาหาตน เอ่ยประโยคโง่ๆ สองสามประโยค ทำนองว่าให้เขาตั้งใจฝึกตนให้ดี อย่าได้ผิดต่อความหวังที่นายท่านบ้านตนฝากไว้ให้
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับอย่างแรง “นายท่าน ท่านวางใจร้อยพันดวงได้เลย ข้าจะต้องรีบฝ่าทะลุขอบเขตในเร็ววันแน่ๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “เรื่องที่มองดูเหมือนเร่งด่วนต้องรู้จักเตรียมการ ก็คือไม่ให้เจ้าถ่วงเวลาอิดออด เรื่องเร่งด่วนต้องรับมืออย่างสุขุม ก็คือต้องการให้เจ้าทำได้อย่างมั่นคงไร้ความผิดพลาด”
เฉินหลิงจวินยิ้มกว้าง “วันหน้าข้าจะอวี้เตี๋ยจดบันทึกลงบนแผ่นไม้ไผ่ แล้วเอาวางไว้บนโต๊ะหนังสือของภูเขาลั่วพั่ว ให้เป็นคติพจน์เตือนใจ”
คนชุดเขียวสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ สีหน้าอ่อนโยน เด็กชายชุดเขียวยกสองแขนกอดอก สีหน้าลิงโลดเบิกบาน
สำนักเบื้องล่างของบ้านตนแห่งนี้
ชุยตงซาน ขอบเขตเซียนเหริน
จ้งชิว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลขั้นสูงสุด
ชุยเหวย ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด ลูกศิษย์ของอีกฝ่ายคือผู้ฝึกกระบี่อวี๋เสียหุย
เฉาฉิงหล่าง ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกร กำลังจะกลายเป็นโอสถทอง
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหมี่อวี้ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตคอขวดหยกดิบ คอขวดนี้ยังลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง เรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขตยังคงห่างไกลมองไม่เห็นปลายทาง เลื่อนเป็นหยกดิบ ยาก ดังนั้นหมี่อวี้ถึงได้กลายเป็นตัวตลกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกวันนี้คิดอยากจะฝ่าทะลุคอขวดหยกดิบก็ยิ่งยากมากกว่าเดิม
ผู้ฝึกตนทำเนียบศาลบรรพจารย์สำนักเบื้องล่าง สุยโย่วเปียน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด นางนำพาลูกศิษย์ใหญ่อย่างเฉิงเฉาลู่ไปยึดครองภูเขาลูกหนึ่งเพื่อฝึกตนอยู่ด้วยกัน ภูเขาลูกนั้นถูกนางตั้งชื่อให้ด้วยตัวเองว่าหอซ่าวฮวา
อวี๋เสียหุยและเฉิงเฉาลู่ ตัวอ่อนเซียนกระบี่สองคนที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่างก็เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่มีอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาเป็นของตัวเอง
เส้าพอเซียน ราษฎรพลัดถิ่นของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า มีชาติกำเนิดมาจากสกุลตู๋กูของจูอิ๋ง คือองค์รัชทายาทที่ปิดบังชื่อแซ่ เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด การที่จิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลางเคารพนอบน้อมต่อภูเขาลั่วพั่วอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน เรื่องการค้าขายในอาณาเขตขุนเขาสายน้ำบ้านตัวเองก็ยอมถอยให้ชุยตงซาน แล้วยังถอยให้เฉินผิงอันอีก สุดท้ายก็แทบจะเท่ากับว่ามอบเงินให้ภูเขาลั่วพั่วเปล่าๆ ก็เพราะสาเหตุนี้นั่นเอง
สาวใช้เหมิงหลง ขอบเขตชมมหาสมุทร คือลูกหลานชนชั้นสูงอันดับหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า มาจากแซ่สกุลเหมิง
สือชิว ขอบเขตถ้ำสถิต
ผีเซียนดินสองตนที่สิงร่างอยู่ใน ‘ยันต์เนื้อหนังมังสา’ คือคู่รักบนภูเขาที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา ก่อนหน้านี้ที่อยู่บนเรือข้ามฟากเพียงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ เงียบขรึมพูดน้อย
และยังมีผู้ฝึกตนตกอับสามคนจากหอซูอี๋ของอวี้จือก่าง ตอนนี้พวกเขาถือว่ามีสถานะเป็นเค่อชิงของสำนักเบื้องล่างชั่วคราว อวี้จือก่างคิดอยากจะฟื้นคืนควันธูปการสืบทอด ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์
ตระกูลเซียนของใบถงทวีปในทุกวันนี้มองหายนะล้างสำนักของอวี้จือก่างในปีนั้นเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน มีข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงประมาณแปดคำคล้ายๆ กัน นั่นคือชักศึกเข้าบ้าน หาเรื่องใส่ตัว
ดังนั้นวันนี้ที่ทุกคนมารวมตัวกัน ลูกศิษย์ของหอซูอี๋สามคนก็ยังคงไม่เปิดเผยหน้าตา
เฉินผิงอันเองก็ไม่ถามหาสาเหตุ ถึงอย่างไรกิจธุระของสำนักเบื้องล่างไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนมอบให้ชุยตงซานจัดการทั้งหมดอยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังมีเรือข้ามฟากเฟิงยวนที่เชื่อมโยงสำนักเบื้องบนและสำนักเบื้องล่างไว้ด้วยกัน
มีผู้ดูแลใหญ่อย่างผู้คุมกฎฉางมิ่ง ผู้ดูแลรองเจี่ยเฉิง นักบัญชีจางเจียเจิน ลูกคิดน้อยน่าหลันอวี้เตี๋ย
ต่อจากนี้เรือเฟิงยวนจะเดินทางลงใต้ต่ออีกครั้ง ระหว่างทางจะต้องผ่านท่าเรือใบท้อของราชวงศ์ต้าเฉวียน สำนักกุยหยก กระทั่งไปถึงท่าเรือชวีซานที่อยู่ทางทิศใต้สุดของใบถงทวีป
เฉินผิงอันไม่ได้นั่งโดยสารเรือข้ามฟากออกเดินทางไกล แต่พาเสี่ยวโม่ เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างทะยานลมลงใต้ไปท่องเที่ยวด้วยกัน แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการออกเที่ยวภูเขาสายน้ำอะไร ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันก็คงไม่มีทางทิ้งกวอจู๋จิ่ว และยังมีจ้าวซู่เซี่ยกับจ้าวหลวนเอาไว้
เฉินผิงอันมีใจเห็นแก่ตัวและใจที่ปกป้องต่อลูกศิษย์ผู้สืบทอดกลุ่มนี้ไม่เท่ากัน แต่เขาจะไม่มีทางทำอะไรอย่างลำเอียงเด็ดขาด
เพียงแต่เพราะเฉาฉิงหล่างคือตัวเลือกของเจ้าสำนักคนถัดไปที่ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้ว สำนักเบื้องล่างของตนคือมังกรข้ามแม่น้ำที่ข้ามทวีปจากแจกันสมบัติทวีปลงใต้มายังใบถงทวีป จึงจำเป็นต้องไปปรากฎตัวให้พวกงูเจ้าถิ่นของใบถงทวีปคุ้นหน้าคุ้นตา อีกทั้งก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของโจวอันดับหนึ่งก็ได้ตอบตกลงหวงอีอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานไว้แล้วว่าในอนาคตจะพาลูกศิษย์อย่างเผยเฉียนไปเป็นแขกที่บ้าน
นอกจากคาถาเซียนบทขอฝน ยังมีร่างเมฆาวารีที่เรียนรู้มาจากหอเซียนจิ่วเจิน ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกมาจากสำนักเบื้องล่างก็ได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้กับเฉาฉิงหล่างและจ้าวหลวนแล้ว แน่นอนว่ายังมีไฉอู๋ แม่นางน้อยที่ชอบดื่มเหล้าต้มทุกวันอย่างน้อยครึ่งจินผู้นี้ยังคงให้เสี่ยวโม่เป็นคนถ่ายทอดวิชาแทนเหมือนเดิม เฉินผิงอันสอนนางไม่ได้จริงๆ
ก่อนจะออกเดินทางกวอจู๋จิ่วหัวเราะร่าถามศิษย์พี่หญิงใหญ่ว่าต้องการให้ตนออกเดินทางไกลไปเป็นเพื่อนหรือไม่
เผยเฉียนบอกว่าต้องยินดีแน่นอนอยู่แล้ว
กวอจู๋จิ่วโบกมือ ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ถือเสียว่าข้าออกเดินทางไกลไปด้วยแล้วกัน ข้านอนอยู่ในบ้าน ไม่ได้ย่างเท้าออกไปไหนสักก้าว แต่กลับได้ท่องยุทธภพเปล่าๆ มารอบหนึ่ง ได้กำไรก้อนใหญ่แล้ว
เผยเฉียนยังจะทำอย่างไรได้อีก ได้แต่จนคำพูดกับนางเท่านั้น
เรื่องของการแขวนภาพเหมือนในศาลบรรพจารย์สำนักเบื้องล่าง ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เดินขึ้นเขา ชุยตงซานได้บอกให้ฟังถึงความคิดของเขา คิดจะเชิญให้สหายรักบนภูเขาคนหนึ่งจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางให้มาช่วยวาดภาพเหมือนของอาจารย์ตัวเอง
คือจิตรกรเอกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับอู๋เต้าเสวียน มีฉายาว่ากู้เสียชิว และทั้งสองคนนี้ต่างก็ถูกใต้หล้าเรียกขานอย่างเคารพว่าอริยะแห่งการวาดภาพ แต่ละคนมีรูปแบบการวาดภาพเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง คนหนึ่งลายพู่กันหนักแน่น ยอดเยี่ยมเป็นหนึ่งในไพศาล คนหนึ่งจรดพู่กันดุจบุปผาผลิบาน ท่วงทำนองความหมายดุจสืบทอดจากเทพ ฝ่ายแรกมาจากราชวงศ์เดียวกันกับป๋ายเหย่ อีกทั้งอายุยังใกล้เคียงกัน ก่อนที่อาจารย์ผู้เฒ่าอู๋จะขึ้นเขาไปฝึกตนก็ได้ถูกขนานนามมานานแล้วว่า ‘อายุแค่ยี่สิบปีก็มีฝีมือของยอดจิตรกรเอกแล้ว’ ฮ่องเต้ยังถึงขั้นเคยออกคำสั่งว่าหากไม่มีคำสั่งห้ามเขาวาดภาพ เหตุผลก็เพราะ ‘กังวลว่ากลิ่นอายแห่งเทพจะกระจายออกไปรบกวนภูตผีวิญญาณของแคว้น’ ฝ่ายหลังมีทักษะในการวาดภาพสูงส่ง โดยเฉพาะเรื่องของการแต้มนัยน์ตาที่เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวถึงกับเอ่ยว่า ‘นับตั้งแต่มีการบันทึกประวัติศาสตร์ในใต้หล้าก็ไม่เคยมีปรากฎมาก่อน’
คนทั้งสองต่างก็เชี่ยวชาญการวาดเซียนพุทธเทพและผี เป็นเหตุให้วัดวาอารามในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หากสามารถเชื้อเชิญจิตรกรคนใดคนหนึ่งมาวาดภาพฝาผนังให้ได้ก็ถือเป็นเกียรติใหญ่เทียมฟ้า
ในอดีตภาพเหมือนของเหวินเซิ่งในศาลบุ๋นที่แขวนไว้ทั่วใต้หล้าก็มาจากฝีมือของอาจารย์ผู้เฒ่าอู๋ผู้นี้เอง
ปีนั้นซิ่วไฉเฒ่าถึงได้พึงพอใจมาก แต่ทุกวันนี้กลับไม่ค่อยพอใจแล้ว เพราะตอนอยู่ที่ตำหนักปี้โหยวลำคลองม่ายเหอของใบถงทวีป และยังมีสำนักศึกษาชุนซานแจกันสมบัติทวีป สองครั้งที่เขาเดินทางไปเยือนล้วนไม่มีใครจำเขาได้ในทันที นี่แสดงให้เห็นว่าภาพเหมือนนั้น แม้จะเหมือนกับตัวจริงก็จริงอยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังขาดจิงชี่เสินบางส่วนที่แม้จะเข้าใจได้ แต่ไม่อาจวาดถ่ายทอดออกมาได้
ดังนั้นครั้งนี้ซิ่วไฉเฒ่ากลับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจึงได้ตั้งใจไปเยี่ยมหาอริยะแห่งการวาดภาพท่านนั้นเป็นพิเศษ ตบไหล่ของอาจารย์ผู้เฒ่าแล้วซิ่วไฉเฒ่าก็ทอดถอนใจ สายตาฉายแววตำหนิ ‘ในเมื่อเป็นสหายกัน ข้าก็ไม่พูดอะไรมากแล้ว เพราะถึงอย่างไรปีนั้นก็เป็นข้าเองที่ไปขอให้เจ้าวาดภาพเหมือนให้ถึงที่บ้าน จะโทษใครไม่ได้ เร็วเข้า เอาเหล้ามากาหนึ่ง ความยอกแสลงใจบางอย่าง พวกเราสองพี่น้องเอาเหล้ามาดื่มให้เปรมปรีดิ์ก็ถือว่าเรื่องทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว’
ทำเอาอาจารย์ผู้เฒ่าโมโหจนเอียงหน้า ยกมือตบใบหน้าตัวเอง ‘เจ้าของสิ่งนี้ล่ะ? วิ่งหนีหายไปไหนแล้ว ถูกใครบ้างคนคาบไปแล้วหรือ?’
อันที่จริงชุยตงซานได้ส่งภาพเหมือนสองภาพของอาจารย์บ้านตนไปให้กับตาเฒ่ากู้แล้ว
รูปหนึ่งเป็นรูปที่อาจารย์อยู่บนเกาะกุ้ยฮวาตอนยังเป็นเด็กหนุ่ม อีกรูปหนึ่งคือตอนที่อิ่นกวานหนุ่มเข้าร่วมการประชุมศาลบุ๋น
หากตาเฒ่ากู้กล้าจัดการแค่พอถูไถ กล้าวาดไม่ดี ไม่เหมือน ไม่คล้ายคลึงทางจิตวิญญาณมากพอ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษว่าชุยตงซานไม่เห็นแก่มิตรภาพเก่าแก่แล้งน้ำใจก็แล้วกัน
ชุยตงซานยังมีข้อเรียกร้องอีกอย่างหนึ่งก็คืออาจารย์ของตนจำเป็นต้องสวมชุดเขียวอยู่ในท่าสะพายกระบี่เท่านั้น
ฟ้าดินสว่างโล่งแจ่มใส ระหว่างยอดเขาของภูเขาที่สูงตระหง่าน ลมภูเขาพัดโชย สายน้ำใสไหลแรง ท่ามกลางทะเลเมฆสีขาวที่กว้างใหญ่ไพศาล บนแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากคล้ายมีคนชุดเขียวเป็นผู้นำ ทะยานลมเดินทางไกล ชายแขนเสื้อกว้างสองข้างโบกสะบัด ส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
ก้มหน้าลงมองโลกมนุษย์ ขุนเขาสายน้ำบนพื้นดิน
บางครั้งคนทั้งกลุ่มก็หยุดทะยานลม เดินเท้าก้าวเดินอย่างเอ้อระเหยลอยชาย
ขุนนางหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในกองถีจวี่งานด้านลำคลอง สวมชุดขุนนางเก่าคร่ำคร่า สองมือแข็งเพราะความหนาวถูกผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ลักษณะคล้ายคนงานที่ทำงานอยู่ในลำคลองชี้หน้าด่า
ในงานเลี้ยงสุราที่เสียงเพลงดังแว่ว ด้านข้างมีสายน้ำไหลคดเคี้ยว เมื่อเหล่าปัญญาชนพากันร่ำกวีก็จะมีเสียงสตรีขับร้องเป็นทำนองเพลง เสียงร้องดังไม่ขาดสาย มือเรียวยาวดุจหยกปรบกันเป็นจังหวะ คลอกับการร่ายระบำสร้างบรรยากาศสนุกสนานรื่นเริง
มีขุนนางผู้ช่วยคนหนึ่งที่อยู่ใต้อาณัติของกองวัสดุกรมโยธานำเอกสารทางการฉบับหนึ่งควบม้าเร็วมาถึง พอพลิกตัวลงจากหลังม้าแล้วก็ก้าวเดินฝีเท้าเร่งร้อนขอเข้าพบขุนนางผู้เป็นเจ้านาย คนเฝ้าประตูไม่ยอมปล่อยให้เข้าไปด้านใน ขุนนางขอร้องแต่ก็ไร้ประโยชน์ แล้วยังเจอประโยคแสกหน้าว่า ‘ไสหัวไปให้ไกลๆ หน่อย’ ขุนนางที่เนื้อตัวเปื้อนฝุ่นจากการเดินทางได้แต่ทรุดตัวนั่งยองลงที่ข้างทาง มองไปยังประตูใหญ่ตาปริบๆ รอคอยให้เจ้านายดื่มเหล้าเสร็จแล้วกลับเมืองหลวง หวังเพียงว่าขุนนางหลักที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลบรรดาศักดิ์คนนั้น วันนี้จะไม่ดื่มเหล้าเมามายจนทำให้คนเหนื่อยใจอีก
สถานที่แห่งหนึ่งที่ทัศนียภาพงดงาม สายน้ำเหมือนเข็มขัดผ้าไหมสีนิล ภูเขาเหมือนปิ่นมรกต แสงสนธยาหนาหนักอาบย้อมไปทั่วขุนเขา แสงอาทิตย์ส่องลาดเอียงไปยังหอเรือนสูง
เหล่าเซียนซือในภูเขายุ่งวุ่นวายกันผิดปกติ พากันสร้างศาลบรรพจารย์ขึ้นมาใหม่ แล้วยังทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างเจินเหรินลัทธิเต๋าที่เชี่ยวชาญด้านการวาดภาพให้วาดมังกรลงสีห้าตัวลงบนเสาคานในศาลบรรพจารย์แห่งใหม่ ยังไม่ได้แต้มนัยน์ตาให้กับมังกรก็มีภาพบรรยากาศอันเลิศล้ำดุจ ‘เกล็ดขยับโบยบิน ดุจจะก่อฝนสร้างไอหมอก’ เสียแล้ว
ในรัศมีหลายร้อยลี้รอบด้านกำลังมีการเจาะภูเขาขุดหิน ทั้งยังจ่ายเงินให้กับอำเภอและเขตที่อยู่รอบด้าน รวมไปถึงจ่ายเงินซื้อของมาจากมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขา รื้อถอนซากปรักที่ว่าการเก่าและบ้านที่ถูกทิ้งร้างเอาไม้และเสาคานทั้งหลายมา รถม้าแต่ละคันที่บรรทุกพืชพรรณหายาก วัตถุโบราณล้ำค่าเอาไว้จนเต็มคันรถขับเคลื่อนจากสี่ด้านแปดทิศมารวมตัวกันอยู่ที่ภูเขาลูกนี้
ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนในศาลบรรพจารย์แยกย้ายกันไปแล้ว คนชุดเขียวคนหนึ่งที่นำขบวนก็ผลุบหายเข้าไปด้านในด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
เผยเฉียนเคยเดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้มาก่อน นางยังเคยพูดคุยกับเซียนซือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ซื้อเหล้าจากตลาดล่างภูเขาสองสามประโยคด้วย
จวนเซียนบนภูเขาลูกนี้ไม่เคยออกจากบ้านเกิดไปอยู่ใต้หล้าห้าสี ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกตนทำเนียบจำนวนไม่น้อยที่ต้องตายไป
เฉินผิงอันใช้เวทน้ำควบกับยันต์ทำการแต้มนัยน์ตาให้กับมังกรสีหมึกตัวหนึ่งบนคาน มันก็เกือบจะจำแลงร่างแล้วบินจากไป ประหนึ่งเจินเหรินที่กลายเป็นเซียน
จากนั้นก็ประกบสองนิ้วกดลงบนหน้าผากของมังกรสีหมึกเบาๆ มอบโชคชะตาน้ำบริสุทธิ์ส่วนหนึ่งให้กับอีกฝ่าย ครั้นจึงให้มันกลับไปอยู่บนเสาคานอีกครั้ง
ท่ามกลางม่านราตรี
บนยอดเขาของกลุ่มภูเขาที่เทือกเขาทอดยาวสลับสล้าง มีเตียงปาปู้ ( เตียงขนาดใหญ่ล้อมด้วยเสาสี่ด้าน มองคล้ายห้องๆ หนึ่ง) ตัวหนึ่งบินทะยานมากลางอากาศ ขนาดใหญ่เท่าศาลา ฝีมือแกะสลักประณีติละเอียด มีภาพสลักนูนเรียงรายติดต่อกันงดงามแปลกตา
ประหนึ่งขบวนเดินทางของขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาของวงการขุนนางล่างภูเขา มีเสมียนผู้ช่วยสองกลุ่มที่มีชาติกำเนิดจากภูตผีเผยกาย มีข้ารับใช้ผู้ติดตามตีฆ้องเปิดทางนำขบวนอยู่เบื้องหน้า บอกให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป สองฝากฝั่งจึงเงียบสงัดเป็นพิเศษ ด้านหลังยังมีพัดนกยูงรำแพนหาง ร่มคันใหญ่และธงผ้าถูกชูสูงเรียงสองแถวขนาบ ‘ราชรถ’ คันนั้น
เบื้องหน้า ‘เส้นทาง’ เงาร่างหลายเงาพลันหยุดชะงัก วาดวงเป็นเส้นโค้งเล็กน้อยก่อนจะพลิ้วกายลงบนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเส้นทาง
สตรีม้วนตำราเล่มหนึ่ง ใช้ตำราเลิกผ้าม่านขึ้น นางขมวดคิ้วน้อยๆ ก้มหน้ามองภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
ผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นกลุ่มนั้นมองดูแล้วไม่คุ้นหน้า อีกทั้งยังไม่เหมือนผู้ฝึกตนทั่วไปด้วย
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางที่ไม่อยากให้เกิดเรื่องแทรกซ้อนโดยไม่จำเป็นจึงปล่อยผ้าม่านลง บอกข้ารับใช้ว่าแค่เดินทางต่อไปก็พอ
เสี่ยวโม่เห็นตำราในมือของฝู่จวินเหนียงเนียงแห่งจวนเทพภูเขาท่านนั้นแล้วก็ยิ้มเอ่ย “คือตำราตราประทับลมพัดดอกไม้บานยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาล มาจากฝีมือของไท่ซ่างเค่อชิงคนหนึ่งของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ตามคำกล่าวในรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่งของตำหนักฉางชุน ต่างก็ติดอันดับเหมือนกับตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ของคุณชาย แต่ว่าอันดับไม่สูงเท่าตำราตราประทับของคุณชาย”
เฉินผิงอันมึนงง “อันดับอะไร?”
เสี่ยวโม่อธิบาย “เป็นการประเมินฉบับใหม่ล่าสุดที่เพิ่งออกจากเตาของจวนเซียนบางแห่งของธวัลทวีป พวกเขาเลือกตำราตราประทับที่ดีที่สุดในช่วงพันปีที่ผ่านมา ตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ของคุณชายอยู่อันดับที่สาม ดูเหมือนว่าจะมีการนำตำราตราประทับสิบเล่มมาจัดพิมพ์พร้อมกันด้วย ขายดีมากทั้งบนและล่างภูเขาเลยล่ะ”
เผยเฉียนเอ่ยเสียงเบา “ทำอะไรไร้คุณธรรมเช่นนี้ วันหน้าหากอาจารย์พ่อไปเที่ยวเยือนธวัลทวีปต้องไปคิดบัญชีถึงบ้านพวกเขาด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มรับ
ในเมื่อหยุดอยู่ที่นี่แล้วเฉินผิงอันก็ถือโอกาสลากเอาพวกเสี่ยวโม่สามคนมาก่อไฟหุงหาอาหารเสียเลย
เฉาฉิงหล่างถาม “อาจารย์คิดชื่อของสำนักเบื้องล่างไว้แล้วหรือยังขอรับ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “คิดไว้แล้ว เป็นตงซานที่คิด ดีมากเลยล่ะ”
คนทั้งกลุ่มมีเพียงเฉาฉิงหล่างที่ไม่ดื่มเหล้า
ต่อให้เฉินผิงอันยกมาดอาจารย์มาขู่ก็ยังใช้ไม่ได้ผล
ดีมาก ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตน มีความคิดเป็นของตัวเอง
พอหันไปมองเผยเฉียน ดื่มเหล้าได้ไม่เลว นี่ก็ดีมากเหมือนกัน หลายครั้งที่ออกท่องยุทธภพล้วนไม่ถือว่าเสียเปล่า
เนื่องจากเฉาฉิงหล่างไม่ดื่มเหล้า เฉินผิงอันจึงไพล่นึกไปถึงหลิวไร้ศัตรูเทียมทานบนโต๊ะสุราแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยขึ้นมา ตนต้องรีบส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวอีกฝ่ายถึงจะได้ ต้องเตือนหลิวจิ่งหลงว่าระหว่างทางที่มาเข้าร่วมงานพิธีเฉลิมฉลองของสำนักเบื้องล่างต้องไปแวะที่เมืองหลวงต้าหลี ช่วยชี้แนะเรื่องค่ายกลให้กับหันโจ้วจิ่วอาจารย์ค่ายกลสายแผนภูมิดินสักหน่อย ส่วนทางฝั่งของหันโจ้วจิ่นก็โชคดีที่ตนได้บอกกล่าวไว้ล่วงหน้านานแล้ว เชื่อว่าพอหลิวจิ่งหลงไปถึงโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนั้นจะต้องไปด้วยความฮึกเหิม ไม่เมาไม่กลับแน่นอน
หลิวจิ่งหลง ดูท่าสหายของข้าคงสู้สหายของเจ้าไม่ได้สินะ
ดวงจันทร์ลอยแขวนอยู่บนขอบฟ้า ลมภูเขาพัดโชยมาเป็นระลอก เฉินผิงอันถือชามเหล้าเงยหน้ามองดวงจันทร์ จากนั้นก้มหน้า แล้วก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เหล้าชามหนึ่งถูกดื่มจนหมด คิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับลำธารกลางภูเขาของจวนเซียนบ้านตนอย่างไร ‘ดวงจันทร์กลมโตบนท้องฟ้า น้ำพุอันดับสองของโลกมนุษย์’ ส่วนน้ำพุอันดับหนึ่งและอันดับสาม ไม่รู้เหมือนกัน ใครอยากได้ก็ไปแย่งชิงกันเอาเอง
เผยเฉียนถาม “อาจารย์พ่อ ชื่อของสำนักเบื้องล่างคือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอให้ข้าอมพะนำไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยววันหน้าค่อยบอกพวกเจ้า”
ชื่อของสำนักเบื้องล่าง ก่อนที่ชุยตงซานจะออกไปจากที่ราบฝูเหยาได้ใช้เสียงในใจแนะนำว่าให้ตั้งชื่อว่าสำนักกระบี่ชิงผิง
แต่ชุยตงซานก็ไม่ลืมเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ชื่อของอาจารย์ย่อมต้องดีกว่า ถือเสียว่าศิษย์โยนอิฐล่อหยกก็แล้วกัน
เฉินผิงอันรู้สึกว่าดีมากแล้ว ดีที่สุดแล้ว จึงละทิ้งชื่อทั้งหลายที่ตัวเองเตรียมไว้ไปอย่างไม่ลังเล
มือกระบี่เมามายอยู่ในบ้านเกิดแห่งสุรา จิตแห่งมรรคาฟ้ากว้างแผ่นดินเล็ก จักรวาลแคบจอกเหล้ากว้าง นับแต่โบราณจนถึงทุกวันนี้ปณิธานสั้นลมปราณยาว มีเพียงข้าที่คลี่ยิ้มลูบไล้จอกแหน กระบี่ในมือสามฉื่อ ไม่เคยผิดต่อชีวิตนี้