กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 893.1 ยอดฝีมือนอกโลก
ตลอดทั้งคืนผ่านไปอย่างสงบไร้เรื่องราวใด
มีเสี่ยวโม่คอยเฝ้ายามให้ คิดอยากจะให้เกิดเรื่องก็ยังยาก
ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันไปเยือนเขตชิงหยวนกับเสี่ยวโม่ ยังไปเป็นผู้คุ้มภัยอยู่หลายวัน ลูกศิษย์ของศูนย์ฝึกยุทธที่เดินทางคุ้มกัน ตอนนั้นยังกังวลว่าการแหกกฎดื่มเหล้าจะถูกพวกโจรที่ดักปล้นกลางทางมาสร้างหายนะให้ขบวนผู้คุมกันหรือไม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วตอนนั้นนอกจากผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่งแล้ว ในที่ลับยังมีหยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าพลังพิฆาตของขอบเขตหยกดิบเทียบเคียงได้กับเซียนเหริน อย่าว่าแต่ไปอยู่ในเขตชิงหยวนของแคว้นเล็กเลย ไม่ว่าจะไปอยู่ในใต้หล้าแห่งใด ขบวนคุ้มกันที่เป็นเช่นนี้ หากยังมีใครทะเล่อทะล่าบุกเข้ามาก็ไม่เรียกว่าดักปล้นแล้ว ตามคำกล่าวบางอย่างของคฤหาสน์หลบร้อนนี่เรียกว่าของขวัญเบาน้ำใจหนัก เอาหัวคนมาส่งไกลพันลี้แล้ว
เฉินผิงอันหลับตาทำสมาธิ รวบรวมดวงจิตให้เป็นเมล็ดงาดวงหนึ่ง เก็บกวาดขุนเขาสายน้ำที่ปริแตกในฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์
เผยเฉียนยืนอยู่ริมหน้าผา เดินนิ่งตามตำราหมัดเขย่าขุนเขา คล้ายหลับคล้ายตื่น บำรุงปณิธานหมัดด้วยความอบอุ่น
เมื่อขอบฟ้าเริ่มกลายเป็นสีขาวพุงปลา เฉินผิงอันก็พลันเสนอว่าให้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นจากมหาสมุทรบนท้องฟ้าสูงด้วยกัน แม้ว่าจะขอบเขตถดถอย แต่เฉินผิงอันกลับยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่แท้จริง
มีเพียงเฉาฉิงหล่างที่ตอนนี้ยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร จึงขี่ลม ‘บินทะยาน’ ไปได้ไม่สูงพอ เสี่ยวโม่จึงกุมไหล่ของเขาแล้วพาไปที่ม่านฟ้าของใบถงทวีปด้วยกัน
ดวงอาทิตย์กลมโตลอยโผล่พ้นมหาสมุทร เพียงครู่เดียวก็ลอยขึ้นบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ ส่องแสงสว่างเจิดจ้า ขับไล่ดวงดาวและเศษเสี้ยวแสงจันทร์ทิ้งไป อาณาเขตของทวีปแห่งหนึ่งจากตะวันออกไปตะวันตกประหนึ่งได้รับการอภัยโทษ พันหมื่นภูเขาเหมือนถูกเปลวเพลิงลามเลีย
ชมทัศนียภาพไปแล้ว ตอนที่หวนกลับไปยังยอดเขา เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกลก็ค้นพบความผิดปกติในจุดหนึ่ง บรรยากาศปลอดโปล่งเกิดภาพมงคล ห่างจากยอดเขาไปประมาณสองพันลี้ ความเคลื่อนไหวของที่นั่นมีไม่น้อย ภูเขาลูกหนึ่งมีก้อนเมฆหลากสีมารวมตัวกันดุจเศวตฉัตร นี่คือนิมิตหมายว่าขุนเขาสายน้ำของพื้นที่แห่งหนึ่งได้ฟูมฟักวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินขึ้นมา หากไม่ใช่วัตถุดิบเซียนที่เกิดขึ้นตามฟ้าอำนวยก็ต้องเป็นสมบัติวิเศษที่ปราณแห่งขุนเขาสายน้ำฟูมฟักให้ก่อกำเนิด อย่างต่ำสุดก็ต้องมีระดับเป็นสมบัติอาคม ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจจำแลงภาพปรากฎการณ์ที่ฟ้าดินต่างขานรับเช่นนี้ได้
ทว่าภาพนิมิตมงคลนี้เกิดขึ้นไม่นานนัก เพราะถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับตัวของสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินที่บ่มเพาะแสงศักดิ์สิทธิ์จิตวิญญาณที่แท้จริงได้แล้ว นี่ก็เป็นทั้งโอกาสในการพิสูจน์มรรคา แต่เมื่อความลับสวรรค์เช่นนี้ถูกเปิดเผยก็อาจเป็นหายนะได้เช่นกัน
ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ห่างอีกระยะทางหนึ่ง ด้วยขอบเขตน้อยนิดของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ ช่วยไม่ได้ คิดจะร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือก็ได้แต่ให้เสี่ยวโม่รับหน้าที่ทำแทนแล้ว
เสี่ยวโม่กวาดมองไปที่ภูเขาลูกนั้นสองสามที เอ่ยว่า “มีต้นไม้โบราณต้นหนึ่งที่ถูกสายฟ้าฟาดจนแห้งเหี่ยวตาย ด้านบนมีหลิงจือดอกหนึ่งงอกขึ้นมา มีฉิวตัวเล็กยาวชุ่นกว่าล้อมพันอยู่รอบต้นไม้แห้งเหี่ยว ช่วยรวบรวมปราณวิญญาณให้ไม่สลายหายไป เพียงแต่ว่าตบะของมันยังตื้นเขิน มิอาจบดบังความลับสวรรค์ส่วนนี้ได้ หากไม่ผิดไปจากที่คาด ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่ปี มันก็จะสามารถหล่อหลอมเรือนกายได้สำเร็จ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะช่วยปกป้องมรรคาให้กับหลิงจือที่สติปัญญาเปิดออกดอกนั้นมากกว่า ด้านข้างมีภูตตะขาบอยู่ตัวหนึ่งที่หลอมเรือนกายเป็นมนุษย์ได้สำเร็จแล้ว สวมชุดสีดำ มีรูปโฉมอ่อนเยาว์ คงเป็นเพราะอยากได้ของวิเศษนี้ มันจึงนำพาภูตภูเขาใต้อาณัติกลุ่มหนึ่งมา กำลัง…พอจะถือว่าจัดวางค่ายกลได้กระมัง เพียงแต่มันไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ฉิวน้อยตัวนั้นมากนัก กำลังรอคอยโอกาสเหมาะๆ อยู่”
“ห่างไปไม่ไกล ประมาณเจ็ดแปดร้อยลี้ บนภูเขายังมีศาลเถื่อนที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากทางราชสำนักอยู่แห่งหนึ่ง ปราณสกปรกค่อนข้างหนาหนัก น่าจะเป็นตะขาบตัวนั้นแต่งตั้งตัวเองเป็นเทพภูเขาแล้วยึดครองภูเขาตั้งตัวเป็นราชา”
“ตรงตีนเขายังมีทหารบู๊สวมเสื้อเกราะปักหลักอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มคนมีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางอยู่สามคน”
“บนเส้นทางภูเขาสายหนึ่งที่ทอดยาวไปยังศาลแห่งนั้นมีนักพรตที่สวมชุดเต๋าสีม่วงอยู่คนหนึ่ง มองดูคล้ายจะเป็นผู้ฝึกตนโอสถทอง”
“ห่างไปไกลอีกเล็กน้อย ขบวนรถที่พวกเราพบเจอก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าสังเกตเห็นความผิดปกติของที่นี่ ฝู่จวินเหนียงเนียงที่ใช้หนังสือเลิกผ้าม่านคนนั้นก็กำลังเดินทางไปที่ศาลเถื่อนของเทพภูเขาเช่นกัน”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน เอ่ยว่า “หากเป็นใบถงทวีปในอดีต ความเคลื่อนไหวของที่นี่ เกรงว่าคงจะเรียกให้เซียนดินจำนวนสองมือนับมาเยือนได้แล้ว”
วันนี้ไม่เหมือนวันวาน ดึงเอาเซียนดินโอสถทองที่ในอดีตไม่มีคุณสมบัติมากพอออกมาสักคนหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าบนภูเขาที่เป็นผู้พิชิตของพื้นที่หนึ่งในใบถงทวีปทุกวันนี้ได้แล้ว
เจ้าขุนเขาคนใหม่ของสำนักศึกษาต้าฝูมีชื่อจริงว่าเฉิงหลงโจว เคยเป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋นต้าหลี รากฐานมหามรรคาของอีกฝ่ายก็คือเจียวเฒ่าหมื่นปีที่อยู่ในอาณาเขตของแคว้นหวงถิงตัวหนึ่ง
หลังจากที่มารับตำแหน่งก็ทำเรื่องหนึ่ง นั่นคือให้ภูตตามป่าเขาทุกตนซึ่งอยู่ทางเหนือของสำนักศึกษาต้าฝูขึ้นไป ขอแค่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนในท้องถิ่น ภายในสิบปีขึ้นไปจำต้องเป็นฝ่ายยื่นเทียบแก่ราชสำนักใกล้เคียง หรือไม่ก็รายงานต่อสำนักศึกษาโดยตรง เขียนระบุนามแฝงให้ชัดเจน รวมไปถึงสถานที่ฝึกตนและอาณาเขตภายใต้การปกครอง มิอาจออกเดินทางไกลเองโดยพลการ การกระทำเช่นนี้มองดูเหมือนไร้เหตุผล แต่อันที่จริงแล้วนี่เท่ากับว่าสำนักศึกษาต้าฝูได้มอบยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่งให้กับพวกมัน เป็นยันต์ที่มีผลนานสิบปี
เนื่องจากช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบบนภูเขาหรือผู้ฝึกลมปราณจากต่างถิ่นที่เดินทางไกลมาถึงที่แห่งนี้ล้วนไม่อาจท้าท้ายหรือจับตัวผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มนี้ได้ตามใจชอบ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจในท้องถิ่นที่ถูกกรมพิธีการของแต่ละแคว้นและสำนักศึกษาต้าฝูบันทึกลงเอกสารคดี จึงไม่ถึงขั้นกลายเป็นเป้าหมายที่ถูกผู้ฝึกตนสังหารอย่างพร่ำเพื่อหรือ ‘ฆ่าผิด’ เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนเป็นคุณความชอบ หากมีข้อขัดแย้ง ไม่ว่าจะน้อยหรือใหญ่ วิญญูชนและนักปราชญ์ของสำนักศึกษาล้วนจะต้องไปที่กรมอาญาของแต่ละแคว้น ร่วมกันตรวจสอบเรื่องนี้ สืบสาวราวเรื่องให้ถึงที่สุด
เกรงว่านี่ก็น่าจะเป็นการจัดการโดยตั้งใจของศาลบุ๋น เฉิงหลงโจวถึงสามารถมารับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อได้ อีกทั้งยังได้ดูแลสำนักศึกษาต้าฝูที่ตั้งอยู่ภาคกลางของใบถงทวีปด้วย
เสี่ยวโม่ถามหยั่งเชิง “คุณชาย สมบัติในภูเขา ไม่พูดถึงฉิวน้อยที่ใช้วิธีการที่โง่เง่าที่สุดมาดูดดึงปณิธานที่แท้จริงของเวทอสนี พูดถึงแค่หลิงจือที่เอาไม้ถูกฟ้าผ่ามาทำเป็นสถานที่ฝึกตนดอกนั้น จะถือว่าเป็นของวิเศษที่สวรรค์ประทานให้อย่างที่บนภูเขาของไพศาลพูดถึงหรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าว “ถือว่าเป็นของที่มีเจ้าของครึ่งหนึ่งแล้ว”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หัวเราะ “แต่หากอิงตามกฎบนภูเขาทั่วไป ถ้าคิดจะสอดมือเข้าแทรกจริงๆ ก็ทำได้เหมือนกัน ก่อนที่ของวิเศษจะออกจากอาณาเขตที่ก่อกำเนิดมา คนนอกลงมือขัดขวางก็ไม่ถือว่าเป็นการทำลายกฎบนภูเขา ถือว่าผู้ใดที่พบเห็นก็ล้วนมีส่วนแบ่งกระมัง นี่เรียกว่าการช่วงชิง คนที่เวทคาถาสูงกว่าก็ได้ไป แต่หากถูกผู้ฝึกตนพาออกไปจากอาณาเขตได้แล้วแล้วยังยื่นเท้าเข้าแทรกก็คือการแย่งชิงแล้ว ถือว่าละเมิดข้อต้องห้าม”
เฉาฉิงหล่างเอ่ย “แล้วยังมีผู้ฝึกตนทำเนียบมากมายที่ออกมาเที่ยวเยือนหาประสบการณ์ด้านนอกแล้วได้รับโชควาสนาทำนองเดียวกันนี้ เมื่อมีสมบัติหนักติดตัว ระหว่างที่เดินทางกลับสำนักก็ต้องคอยระมัดระวังอยู่ตลอด รอกระทั่งขยับเข้าใกล้สำนักอย่างไม่ง่ายแล้วก็ยังต้องตายอย่างเฉียบพลัน ทั้งตัวคนทั้งทรัพย์สินล้วนสูญสิ้น ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเบาะแสให้สืบเสาะ ไร้หลักฐานให้ตามหาเสียเลย เพียงแค่ว่าเบาะแสพวกนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นบนภูเขาที่จงใจใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น ถึงท้ายที่สุดผู้ฝึกตนอิสระที่กลายเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุดก็ยิ่งไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองฝ่ายต่างเกลียดขี้หน้ากัน ทั้งที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาเหมือนกัน แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ถูกกันเหมือนน้ำกับไฟ แล้วจะเรียกว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันได้อย่างไร”
เฉินผิงอันกล่าว “พวกเราสามารถไปที่นั่นได้ แค่มองดูอยู่ไกลๆ ก็พอแล้ว มังกรที่แข็งแกร่งกดข่มงูเจ้าถิ่นไม่ได้นี่นะ ส่วนหลังจากนั้นจะทำอย่างไรต่อก็ค่อยว่ากัน”
ระหว่างที่เดินทางไกลอยู่บนพื้นดิน เผยเฉียนก็อธิบายให้ฟังว่า “อาจารย์พ่อ ที่นี่ถือว่าอยู่ในอาณาเขตของแคว้นต้าเหลียง มีฮ่องเต้ผู้เฒ่าอายุมากอยู่พระองค์หนึ่ง ในอดีตระหว่างที่หนีภัยก็แตกฉานซ่านเซ็นกันไปตลอดทาง ได้ยินมาว่าสุดท้ายแล้วข้างกายก็มีผู้ติดตามเหลือแค่สองสามคนเท่านั้น อีกทั้งตัวเขาเองยังมีต้นตอโรคร้ายทิ้งเอาไว้ หลังจากกอบกู้แคว้นกลับมาได้ เนิ่นนานก็ยังรักษาไม่หาย ล้มป่วยนอนติดเตียงมานานหลายปีแล้ว จึงให้รัชทายาทเป็นผู้ดูแลบ้านเมืองแทน จากนั้นก็ไม่รู้ว่าไปหานักพรตมาจากไหน เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่าสามารถโน้มน้าวให้เซียนหลอมโอสถทองได้ เส้นผมเป็นสีนิลราวสีกาน้ำ ใบหน้าเหมือนเด็ก เชี่ยวชาญศาสตร์การต่ออายุขัยชะลอวัย ว่ากันว่ามีอายุขัยยาวนานอย่างมาก มีชีวิตผ่านมาหลายรัชกาลแล้ว ข้างกายนักพรตยังมีลูกศิษย์หญิงที่รูปโฉมงดงามดุจดวงจันทร์ติดตามอยู่ด้วย นางบอกว่าตัวเองมีวาสนากับโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน เพื่อตอบแทนพระคุณของชาติก่อน ทำตามความปรารถนาให้เป็นจริง นางจึงเชิญให้อาจารย์ลงจากภูเขามาให้การช่วยเหลือ หากช่วยให้แคว้นต้าเหลียงผ่านพ้นด่านยากไปได้ นางจึงจะถือว่าสร้างบุญกุศลอย่างสมบูรณ์แล้วจะได้กลับไปฝึกตนเป็นเซียนต่ออีกครั้ง”
“นักพรตที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาผู้นั้นได้ถูกฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงแต่งตั้งให้เป็นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นออกราชโองการเรียกระดมให้กรมต่างๆ ในราชสำนักและที่ว่าการท้องถิ่นไปตามหาหญ้าเซียนตามห้าขุนเขาและภูเขาต่างๆ ที่มีชื่อเสียงเพื่อนำมาหลอมยาอายุวัฒนะ คนที่เป็นขุนนางได้เลื่อนขั้น ชาวบ้านก็ร่ำรวย คราวก่อนที่ข้าผ่านทางมาที่นี่ ทั่วทั้งแคว้นต่างก็มีแต่คนที่ขึ้นเขาออกตามหาหญ้าเซียนทั้งนั้น ขุนนางในท้องถิ่นบางส่วนเพื่อทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ หากไม่ทุ่มเงินซื้อมาจากแคว้นอื่นก็ไปกว้านซื้อมาจากท่าเรือตระกูลเซียน หากไม่มีช่องทางจริงๆ ก็ได้แต่สร้างหลิงจือพันปีโสมหมื่นปีของปลอมขึ้นมา ข้าฟังข่าวลือจากในยุทธภพบอกว่ารัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนของแคว้นต้าเหลียงผู้นั้นไม่ถูกกับเจินเหรินผู้ปกป้องแคว้นที่กุมอำนาจใหญ่อยู่ในมือผู้นี้อย่างยิ่ง”
“ตอนนั้นข้าผ่านแคว้นเหลียงแห่งนี้ กังวลว่าอาจารย์และศิษย์ที่ละโมบในตำแหน่งสูงของราชสำนักคู่นั้นจะเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างที่ไม่ทันได้หนีออกไปจากใบถงทวีป ข้าจึงลอบเข้าไปที่อารามในเมืองหลวงและไปที่ฝ่ายในของพระราชวัง ได้เจอกับสตรีผู้นั้น นางหน้าตางดงามมาก สามารถเรียกว่าสาวงามเป็นภัยได้เลยกระมัง แต่กลับไม่เหมือนคนชั่วร้ายอะไร วันๆ ก็แค่คับแค้นใจกับความผิดพลาดของตัวเองอยู่อย่างนั้น ส่วนเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นที่ฐานะสูงส่งโดดเด่น ข้าดูแล้วขอบเขตเขาก็ไม่สูง น่าจะประมาณโอสถทองของบนภูเขา น่าจะเป็นนักพรตชุดม่วงที่อาจารย์เสี่ยวโม่พูดถึงเมื่อครู่นี้แล้ว”
“แม้จะบอกว่าการที่คนทั้งแคว้นพากันขึ้นเขาหาสมุนไพรเป็นการรบกวนชาวบ้านทั้งยังทำลายทรัพย์สิน แต่นักพรตคนนั้นก็ทำเรื่องเป็นการเป็นงานอยู่เหมือนกัน เขาเก็บกวาดโครงกระดูกที่เกลื่อนแคว้น สร้างสถานอี้จวงขึ้นมา จากนั้นก็ให้อารามน้อยใหญ่เปิดประตูรับโลงศพ ให้คนประคองโลงศพกลับบ้านเกิด ข้าเคยพิศดูสภาพจิตใจของเจินเหรินพิทักษ์แคว้นผู้นั้นแล้ว ยังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมีจิตใจดีหรือเลว ดังนั้นสุดท้ายข้าจึงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ออกเดินทางลงใต้ต่ออีกครั้ง คิดว่าวันหน้าระหว่างที่เดินทางกลับเหนือค่อยมาหยุดอยู่ที่นี่เพื่อรอดูต่ออีกสักสองสามวัน เพียงแต่ว่าภายหลังได้ไปเจอกับอาจารย์พ่อที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเสียก่อน”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ยชื่นชม “ทั้งมีใจเป็นห่วง ทั้งระมัดระวังตัว ดีมาก”
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนคนนี้เริ่มมีความหมายของคนเก่าแก่ในยุทธภพบ้างแล้ว
เผยเฉียนยิ้มกว้าง
เฉาฉิงหล่างพลันเอ่ยว่า “อาจารย์ อันที่จริงศิษย์พี่หญิงใหญ่ยังหาเวลาว่างเขียนบันทึกขุนเขาสายน้ำขึ้นมาเล่มหนึ่ง บันทึกสิ่งที่พบเจอตลอดทางในใบถงทวีปลงไป เนื้อหาละเอียดอย่างมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ประสบการณ์ในยุทธภพแถวแคว้นต้าเหลียงแห่งนี้ นางถึงไม่ได้เขียนลงไปเลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว”
เผยเฉียนถลึงตาใส่เขา
นางยังกังวลว่าเรื่องนี้จะทำได้ไม่เหมาะสมไม่รอบคอบมากพอ หากอาจารย์พ่อรู้เข้าจะโดนเขกมะเหงกหรือไม่?
เฉินผิงอันพูดได้ตรงจุดทันที “เก็บเงินเจ้าหรือไม่?”
เฉาฉิงหล่างคลี่ยิ้มน้อยๆ ไม่เอ่ยอะไร
ไฟโทสะของเผยเฉียนผุดขึ้นสามจั้ง เพียงแต่ว่าบนใบหน้าไม่ได้เผยสีหน้าใดๆ นางเพียงแค่เหล่ตามองอีกฝ่าย
ดี รอให้เจ้าเฉาตอไม้เลื่อนเป็นโอสถทองเมื่อไหร่ ก็อย่าโทษหากข้าจะประลองฝีมือกับคนร่วมสำนัก ถามหมัดเบาเกินไปก็แล้วกัน
เห็นท่าที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวซึ่งไม่เคยเห็นมานานนี้ของเผยเฉียน เฉาฉิงหล่างก็เริ่มหวาดผวาขึ้นมานิดๆ แล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ป๋ายโส่วแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุย เฉาฉิงหล่างจึงยังไม่ถึงขั้นมีเหงื่อผุดบนหน้าผาก
เฉินผิงอันตบไหล่ของลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจ ตีหน้าเคร่งเอ่ยสั่งสอนว่า “ฟ้องกันต่อหน้า ไม่สมควรนะ”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้า “จำไว้แล้วขอรับ”
ความหมายในคำพูดนี้ของอาจารย์คือไม่ควรฟ้องต่อหน้า
เสี่ยวโม่ยิ้มอย่างรู้ทัน
เผยเฉียนถาม “อาจารย์พ่อ พวกเราจะไปพบนักพรตชุดม่วงสักหน่อยหรือไม่?”
เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญของราชสำนักแคว้นต้าเหลียง อีกฝ่ายแสร้งทำหลอกผีหลอกเจ้าหรือไม่ อาจารย์พ่อของตนต้องมองออกในปราดเดียวแน่นอน อย่างมากสุดแค่พูดคุยสองสามคำก็รู้ได้แล้ว