กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 894.2 เล่นหมากล้อม
เหลียงส่วงถาม “อยากจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ชุยฉานจึงต้องขอความรู้ด้านวิธีผนึกภูเขาจากอาจารย์ซานซานจิ่วโหวหรือ?”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ทั้งเป็นการขอความรู้ แล้วก็เป็นทั้งการประลองฝีมือ”
และนี่ก็ถือเป็นความเคารพนับถือผู้อาวุโสเนื่องจากตนถูกกล่อมเกลามาจากอาจารย์ หากเปลี่ยนไปเป็นเจ้าตะพาบเฒ่า จะไม่เอ่ยประโยคว่า ‘ไม่ถือว่าเป็นการขอความรู้อะไร แค่ประลองฝีมือกันเท่านั้น’ หรอกหรือ?
หากยังไม่สาแก่ใจมากพอก็อาจเพิ่มไปอีกประโยคว่า ‘คนยุคปัจจุบันไม่จำเป็นต้องเทียบคนโบราณไม่ได้’?
เจินเหรินผู้เฒ่าเอ่ย “รอสักครู่”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ผู้เยาว์จะรอก็แล้วกัน”
เจินเหรินผู้เฒ่าใช้จิตแห่งมรรคาควบคุมปณิธานเต๋าของทั้งร่าง แล้วใช้ปณิธานเต๋าชักนำปราณเต๋า สุดท้ายใช้ปราณเต๋าชักนำปราณวิญญาณที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาลเหมือนแม่น้ำลำน้ำใหญ่ที่ไหลซัดเชี่ยวให้มาโคจรรอบใหญ่ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์รอบหนึ่ง พอเหลียงส่วงถอยออกมาจากฟ้าดินของสภาพจิตใจแล้ว คนทั้งสองก็เข้ามาอยู่ในห้องที่เรียบง่ายแห่งหนึ่ง ด้านในมีเบาะรองนั่งอยู่แค่สองใบกับโต๊ะน้ำชาเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น ด้านบนวางกระถางธูปโป๋ซานใบหนึ่ง ควันม่วงลอยกรุ่น ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม
ใบหน้าของเจินเหรินผู้เฒ่าเผยรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก “อาจารย์ของเจ้าคนนี้ระมัดระวังตัวนัก ดูเหมือนว่าจะเริ่มสงสัยแล้วว่าตัวเองอยู่ในความฝันหรือไม่”
ก่อนหน้านี้คำพูดของจิตหยินตน อันที่จริงแทบไม่ต่างอะไรจากการถามกระบี่กับเฉินผิงอันแล้ว ร่างจริงของเหลียงส่วงที่อยู่ที่นี่จึงถือโอกาสนี้ใช้ใจฟ้ามองใจคน
คนรู้จักในอดีตบนโลกมนุษย์มีน้อยนิด
โจวจื่อคือคนหนึ่งในนั้น
ชุยตงซานยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นโบกต่างพัดสามที ชักนำควันสีม่วงทองที่ล้ำค่ายิ่งกว่าควันธูปในศาลให้มาทางตัวเองหลายส่วน
ไม่มากไม่น้อย สามส่วนพอดี
น้อยกว่านี้ไม่ได้ ผู้ใหญ่มอบของให้ไม่ควรปฏิเสธ มากเกินไปก็ไม่เหมาะสม
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “สามารถแบกรับความยากลำบากจากสวรรค์คือวีรบุรุษ ยากที่สุดนั้นอยู่ที่ยังคงความเดียงสาไว้ได้ตลอดกาล”
เหลียงส่วงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ ถามว่า “ข้าจำต้องทำเพราะไม่มีทางเลือก แต่เจ้าล่ะ?”
เรื่องที่ปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกล มิอาจดำรงอยู่ได้นานนัก ทว่าใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ตายตัว บนภูเขาก็มีวิชานอกรีตอยู่ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นการสังหารสามอสุภะของลัทธิเต๋า หรืออย่างเช่นการกำราบจิตใจที่เป็นดั่งวานรเตลิดม้าพยศของลัทธิพุทธ
ชุยตงซานไม่ปิดบังแม้แต่น้อย “แบ่งดวงจิตส่วนหนึ่งออกมาสิงอยู่ในคนกระเบื้อง แอบไปที่ใต้หล้าห้าสี เดิมทีข้าคิดว่าจะใช้เวลาอยู่ที่นั่นหกสิบปี ช่วยให้ภูเขาลั่วพั่วสร้างสำนักเบื้องล่าง”
“วิธีการมากมาย กลอุบายลึกล้ำ แต่โอกาสจากสวรรค์กลับตื้นเขิน”
เหลียงส่วงขมวดคิ้ว “หว่านแหไปทั่วเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องการขอบเขตบินทะยานแล้วหรือ?”
ชุยตงซานกล่าว “นอกจากอาจารย์ของข้าแล้ว ภูเขาลั่วพั่วล้วนไม่ขาดใคร แต่พวกเราขาดอาณาเขตที่เป็นของตัวเอง ขาดกำลังคน และยังขาดเงิน”
ภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ ลำพังผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานก็มีถึงสองคนแล้ว คือเสี่ยวโม่กับคู่รักจิตมารของอู๋ซวงเจี้ยง
เหลียงส่วงพยักหน้ารับ “สำนักใหญ่ที่เป็นดั่งต้นไม้เจริญงอกงามดี”
ชุยตงซานคลี่ยิ้มเจิดจ้า ยกมือขึ้นกุมหมัดเขย่าอย่างแรง “ต้องเป็นคำทำนายที่เป็นมงคลอย่างแน่นอน”
เหลียงส่วงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ของเจ้าคนนี้ขอบเขตถดถอยจากหยกดิบมาเป็นโอสถทอง ตอนนี้จึงเหมือนสตรีที่ต่อให้มีฝีมือแต่ไม่มีวัตถุดิบปรุงอาหารก็แสดงฝีมือไม่ได้แล้ว แม้เขาจะรู้มรรคกถาหลากหลายที่ถือว่าเป็นคาถาชั้นยอด แต่เรื่องของการสะสมปราณวิญญาณกลับถูกจำกัดเสียได้ มิน่าเล่าถึงไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกับ ‘ข้า’ ที่แท้ก็เป็นคนที่มีชะตากรรมเดียวกันนี่เอง”
ชุยตงซานกลัดกลุ้มยิ่งนัก
เฉินผิงอันเรียนหมัดกลายเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก่อน หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้วก็มีชูอีสืออู่ที่ไม่อาจหลอมใหญ่ได้สำเร็จเสียที บวกกับฝีมือด้านยันต์ ยามที่รับมือกับผู้อื่นจึงถือว่ามากพอเหลือแหล่ ภายหลังอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริงคนหนึ่ง ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มที่ ‘ไร้เหตุผลอย่างถึงที่สุด’ ดังนั้นจึงไม่ถูกจำกัดด้านปราณวิญญาณว่ามีมากหรือน้อย จากนั้นก็ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งที่เหลือ รวมไปถึงยืมมรรคกถาขอบเขตสิบสี่จากลู่เฉินมาใช้ชั่วคราว
ดังนั้นตลอดทางที่เดินมานี้ เฉินผิงอันจึงถึงกับไม่เคยประสบกับการเข่นฆ่าบนภูเขาที่ ‘ปราณวิญญาณถูกเผาผลาญหมดสิ้น’ มาก่อน
ไม่อย่างนั้นการประลองเวทคาถาบนภูเขา หรือการปิดด่านฝึกตน ทำการ ‘พลิก’ ขุนเขาสายน้ำขึ้นใหม่ ปราณวิญญาณของผู้ฝึกลมปราณแห้งขอดจนมองเห็นก้นบึ้งซึ่งบางครั้งเป็นฝ่ายกระทำเอง บางครั้งเป็นฝ่ายถูกกระทำ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
บนภูเขามีการยกตัวอย่างว่า ปราณวิญญาณและทรัพย์สมบัติของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างมีมากหรือน้อยก็คือความต่างระหว่างเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญหรือหลายเหรียญ
เลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสร้างโอสถทองก็เท่ากับว่าได้ครอบครองเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญแล้ว
รอกระทั่งฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ปราณวิญญาณและทรัพย์สมบัติของผู้ฝึกตนคนหนึ่งก็สามารถนำเงินฝนธัญพืชมาประเมินได้แล้ว
เหลียงส่วงถาม “เจ้าเตรียมจะก่อร่างสร้างตัวด้วยมือเปล่าจากทั้งที่ใบถงทวีปและใต้หล้าห้าสีในเวลาเดียวกันหรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
“ข้ารู้สึกใคร่รู้อยู่บ้าง เจ้าดึงความมั่นใจส่วนนั้นขึ้นมาอย่างไร?”
ผู้ฝึกตน บำรุงจิตวิญญาณง่าย แต่ทำจิตวิญญาณให้กระปรี้กระเปร่านั้นยาก จิตแห่งมรรคาง่ายที่จะปริแตก ยากที่จะซ่อมแซมแก้ไข ความมั่นใจร่วงดิ่งลงง่าย ยกดึงขึ้นมากลับยาก
ชุยตงซานเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ตอนที่อยู่หน้าประตูภูเขาบ้านตัวเองถูกเจ้าคนแซ่เจิ้งทำให้โมโหเกือบตาย”
เหลียงส่วงพยักหน้า “ฝีมือการเล่นหมากล้อมของเจิ้งจวีจงสูงเกินไป ย่อมมีมาดสูงส่งของตัวเอง แต่เขากลับโปรดปราณซิ่วหู่เป็นพิเศษ”
ในเมื่อพูดไปถึงเจิ้งจวีจง เจินเหรินผู้เฒ่าที่เชี่ยวชาญศาสตร์การเล่นหมากล้อมจึงยิ้มถามว่า “มาประชันกันสักตาดีไหม?”
เด็กหนุ่มชุดขาวถูมือ “ผู้อาวุโสอยากแพ้หรืออยากชนะล่ะ?”
เหลียงส่วงส่ายหน้า “ไม่รู้จักพูดเหมือนอาจารย์เจ้าเลย”
หลังจากนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ขุนเขาสายน้ำในใบถงทวีปถูกจำแลงออกมาในห้อง เจินเหรินผู้เฒ่าสอดส่ายสายตาไปทั่ว เลือกห้าขุนเขาใหม่เก่าและภูเขาทายาทออกมา หลอมรวมพวกมันเป็นเม็ดหมากสีเขียวมรกตหนึ่งร้อยหกสิบเม็ด ชุยตงซานเอาอย่าง จำแลงแม่น้ำลำคลองของหนึ่งทวีปให้กลายเป็นเม็ดหมากสีขาวหิมะเม็ดแล้วเม็ดเล่า แต่กลับมีแค่ห้าสิบเม็ดเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าจำนวนของเม็ดหมากน้อยกว่าเจินเหรินผู้เฒ่ามาก เอาพวกมันมารวมกันไว้ข้างฝ่าเท้า เด็กหนุ่มชุดขาวกำเม็ดหมากสีขาวหิมะกำหนึ่งขึ้นมา จากนั้นชูกำปั้นขึ้น “เดาก่อน?”
เหลียงส่วงหยิบเม็ดหมากสีเขียวออกมาเม็ดหนึ่งโดยตรง โน้มกายไปด้านหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนจะกระโดดข้ามขั้นตอนการเดาก่อนไปโดยตรง เป็นฝ่ายวางเม็ดหมากนำไปก่อน เม็ดหมากลอยอยู่กลางอากาศ
ราวกับกำลังเอ่ยประโยคหนึ่งกับเด็กหนุ่มชุดขาวว่า ข้าเหลียงส่วงคือผู้อาวุโสที่ขึ้นเขาฝึกตนเร็วยิ่งกว่า ทุกวันนี้ขอบเขตก็สูงกว่าเจ้าด้วย เรื่องอย่างการเดาก่อน ในเมื่อไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น ไยต้องทำเรื่องที่เกินความจำเป็นนี้ด้วยเล่า
ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้คือระหว่างคนทั้งสองไม่มีกระดานหมาก
นี่เป็น ‘มาดผู้อาวุโส’ อีกอย่างหนึ่งของเหลียงส่วงแล้ว เรื่องของการเดาก่อนตนได้เปรียบ ทว่าบนกระดานหมากกลับไม่ได้เปรียบชุยตงซานเลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกัน ขนาดใหญ่เล็กของกระดานหมากที่ประลองกันครั้งนี้สามารถมีช่องที่ตัดสลับกันมากกว่าสิบเก้าช่องได้ นอกจากนี้ระยะห่างระหว่างเส้นสองเส้นที่ตัดสลับกัน อันที่จริงจำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายอาศัยการวางเม็ดหมากมาตัดสิน เป็นเหตุให้กระดานหมากนี้ นับตั้งแต่เม็ดหมากไปจนถึงการเดาก่อน จนมาถึงกระดานหมาก ล้วนแผ่ความลี้ลับขุมหนึ่งออกมาให้เห็น กฎเดิม กฎใหม่ ล้วนมีทั้งหมด ต่างฝ่ายต่างมีสูตรของการลงมือก่อน วิธีเทพเซียน วิธีไร้เหตุผล ล้วนเกิดขึ้นตามลำดับ เม็ดหมากที่อยู่บนกระดานประหนึ่งขุนเขาใหญ่หลายลูกที่ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน หลักการการเล่นหมากล้อมมากมายก็เหมือนสายน้ำหลายเส้นที่ทอดยาวอยู่ในนั้น ราวกับว่ามี ‘อายุขัยยาวนานไม่เสื่อมสลาย’ ยิ่งกว่าเซียนเหรินเสียอีก ประหนึ่งขุนเขาสายน้ำบนโลกมนุษย์ที่ต่างก็เกิดและดับอยู่บนกระดานหมากอย่างต่อเนื่อง
ทั้งสองวางเม็ดหมากรวดเร็วราวกับบิน
หลังจากต่างคนต่างลงมือไปห้าสิบครั้งแล้ว ชุยตงซานที่ไม่เหลือเม็ดหมากสีขาวหิมะแล้วก็พลันกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายถึงกับหลอมรวมเม็ดหมากสีเขียวมรกตเม็ดหนึ่งมาจากภูเขาเซียนตูของสำนักบ้านตัวเอง คีบขึ้นมาเบาๆ วางเคาะลงไปบนกระดาน
เหลียงส่วงจ้องมองกระดานหมาก ครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะถอนหายใจ คว้าเม็ดหมากสีเขียวกำหนึ่งมาโปรยลงบนกระดาน นี่ถือว่าเจินเหรินผู้เฒ่าโยนเม็ดหมากยอมแพ้แล้ว
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสมีเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรีจริงๆ”
เหลียงส่วงถาม “ชื่อของสำนักเบื้องล่าง?”
ชุยตงซานตอบ “เลือกภูเขาเซียนตูของใบถงทวีป ตั้งชื่อให้ว่าสำนักกระบี่ชิงผิง”
เหลียงส่วงพยักหน้ารับ “ยอดเขาตระหง่านเสียดแทงชั้นเมฆใกล้แดนสวรรค์ เทือกเขาไม่ขาดสายทอดตรงไปยังริมชายหาดมหาสมุทรใหญ่ หันกลับไปมองเมฆขาวล่างภูเขาเชื่อมโยงเป็นแถบ หมอกอวลผลุบหายเข้าไปในหุบเขา ดินแดนเซียน (เซียนตู) ก่อกำเนิดบนเมฆขาว คนชุดเขียวกลับอยู่นอกภูเขา เพียงแต่คนไม่สนใจว่ายังอยู่”
ชุยตงซานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ผู้อาวุโสที่ไม่ด่าคนส่งเดชก็คือผู้ใหญ่ที่ดี
เหลียงส่วงกล่าว “หลิงจือในภูเขาและฉิวน้อยที่ขดตัวอยู่บนนั้นก็มอบให้พวกเจ้าจัดการแล้วกัน”
ชุยตงซานลุกขึ้นอำลา
เหลียงส่วงลุกขึ้นยืน เดินไปส่งถึงหน้าประตูก็หยุดเท้า มองเมืองหลวงแคว้นเหลียงที่คึกคักรุ่งเรืองและทัศนียภาพขุนเขาสายน้ำที่อยู่ห่างไกลยิ่งกว่า
ชุยตงซานเดินข้ามธรณีประตูไปแล้วก็หันหน้ามายิ้มเอ่ย “เห็นต้นหม่อนต้นป่านปลูกเรียงรายสองข้างทาง ถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้ข้าอยู่ในยุคสันติสุข”
เหลียงส่วงยังคงไม่ถอนสายตากลับคืนมา สุดท้ายเอ่ยประโยคทำนายที่มีความหมายลึกล้ำอย่างถึงที่สุด
ชุยตงซานยิ้มรับ ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป เรือนกายกลายร่างเป็นรุ้งขาว เดินทางไปยังศาลเทพภูเขาที่ตั้งอยู่ชายแดนของแคว้นเหลียง
เจินเหรินผู้เฒ่าหมุนตัวเดินกลับเข้าไปหากระดานหมากที่ยังไม่ถูกสลายทิ้ง ลูบหนวดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าเอ่ย “ตานี้ หากข้าวางมากไว้ตรงนี้ต้องชนะได้แน่นอน”
สตรีที่เดินถือโคมวนไปวนมาอยู่ในระเบียงมาที่หน้าประตูด้วยความมึนงง มองกระดานหมากและเม็ดหมากที่แปลกประหลาดในห้อง นางถามเสียงเบา “อาจารย์ ท่านเล่นหมากล้อมกับเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วแพ้หรือเจ้าคะ?”
เจินเหรินผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้มเอ่ย “จะเป็นไปได้อย่างไร”
สตรีเหลือบมองสถานการณ์หมาก แล้วจึงหันไปมองอาจารย์อีกครั้ง
เจินเหรินผู้เฒ่าจึงได้แต่อธิบายว่า “แพ้ในการเล่นหมากล้อม แต่กลับชนะในเรื่องน้ำใจและจิตใจ”
……
บนขั้นบันไดหน้าประตูศาลเทพภูเขา เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยอำลาเจินเหรินผู้เฒ่า
คนทั้งกลุ่มกลับไปยังภูเขาลูกที่พลิ้วกายลงมาก่อนหน้านี้อีกครั้ง ฝู่จวินเหนียงเนียงยังคงถูกทิ้งให้รออยู่ที่นี่
ชุยตงซานใช้เสียงในใจบอกเล่าคร่าวๆ รอบหนึ่ง เฉินผิงอันพยักหน้ารับ สายตาของตนไม่เลว เป็นยอดฝีมือนอกโลกที่จิตใจยากจะคาดเดาคนหนึ่งจริงๆ ด้วย
บนยอดเขา เจียงอิ๋งฝู่จวินแห่งภูเขาจี้ซาน ฝู่จวินเหนียงเนียงท่านนี้ถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาบางส่วนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเรียกขานอย่างให้ความเคารพว่าอวิ๋นเฮ้อฮูหยิน นางมีบุคลิกที่สง่างามอย่างมาก เทพหญิงและสาวใช้ในจวนถูกนางตั้งชื่อให้ว่าไฉ่ซือกวาน (ขุนนางผู้รวบรวมบทกวี) สี่โม่ (ขุนนางผู้ล้างหมึก) กวาน เป็นต้น
สาวใช้ประจำกายคนหนึ่งที่รับผิดชอบหวีผมประทินโฉมให้กับเจียงอิ๋งถามเสียงเบา “เหนียงเนียง คนต่างถิ่นกลุ่มนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปนะเจ้าคะ”
ยามนางยืนอยู่ข้างกายฝู่จวินเหนียงเนียง ตัวจะเตี้ยกว่าอีกฝ่ายถึงสองช่วงศีรษะ
เจียงอิ๋งยิ้มเอ่ยสัพยอก “เจ้าก็มองออกด้วยหรือ?”
ก่อนหน้านี้คนกลุ่มนั้นใช้วิธีการหลบหนีที่ลี้ลับอย่างมาก พริบตาเดียวก็ขยับห่างไปหลายร้อยลี้โดยไม่มีปราณวิญญาณกระเพื่อมแม้แต่น้อย พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ศาลเทพภูเขาแห่งนั้น บริเวณรอบด้านขมุกขมัวเหมือนมองบุปผาในม่านหมอก
นี่หมายความว่ามังกรข้ามแม่น้ำที่ยังไม่ทราบสถานะกลุ่มนี้ อย่างน้อยที่สุดต้องมีคนสองคนที่เป็นก่อกำเนิด ไม่แน่ว่าในกลุ่มอาจยังมีเทพเซียนห้าขอบเขตบนอยู่ด้วย อีกทั้งต่อให้นางจะเลื่อนขั้นเป็นซานจวินห้ามหาบรรพตของหนึ่งแคว้นแล้ว หากไม่มีควันธูปที่โชติช่วงห้าหกร้อยปี ร่างทองก็อย่าหวังว่าจะเลื่อนเป็นระดับก่อกำเนิดได้
ฝู่จวินเหนียงเนียงแห่งภูเขาจี้ซานท่านนี้ใช้ตราประทับลมโชยบุปผาเบ่งบานยี่สิบสี่ฤดูกาลเล่มนั้นเคาะฝ่ามือเบาๆ
วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือกลับไปที่ราชรถแล้วเดินทางกลับจวนทันที ทำเป็นว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
ใบถงทวีปในทุกวันนี้ มังกรข้ามแม่น้ำที่มาจากทวีปอื่นมีมากเกินไปจริงๆ
พูดถึงแค่ท่าเรือชวีซานที่อยู่ทางทิศใต้สุดก็มี ‘เซียนกระบี่สวี่จวิน’ ที่มาจากทวีปอื่น รับผิดชอบคอยรับรองเรือข้ามทวีปสองลำที่มาจาก…สกุลหลิวธวัลทวีป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนเพื่อนบ้านอย่างแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือ ปีนั้นอีกฝ่ายทำได้แค่ยืดคอยาวแหงนมองใบถงทวีป ทว่าทุกวันนี้ลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน กลายเป็นผู้ฝึกตนของใบถงทวีปที่พอเจอหน้าพวกเขาแล้วต่ำต้อยกว่าหนึ่งขั้น ขอบเขตต่ำกว่าหนึ่งระดับแล้ว
ผู้ฝึกตนต่างถิ่นจำนวนไม่น้อยซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะอาศัยเงินทองหรืออาศัยอะไร ไปอยู่แคว้นเล็กๆ บางแห่งที่เพิ่งจะกอบกู้แคว้นได้ไม่กี่ปีก็ได้เป็นไท่ซ่างหวงที่ยึดกุมการปกครอง คอยประคับประคองหุ่นเชิดอยู่อย่างลับๆ ได้แล้ว พวกเขามักทำอะไรเด็ดขาด ยามหาเงินขึ้นมาก็ใจดำยิ่งนัก กว้านเอาทรัพยากรแห่งขุนเขาสายน้ำมาอย่างกำเริบเสิบสาน ยกตัวอย่างเช่นตระกูลโหวแห่งนครมังกรเฒ่าที่เป็นพันธมิตรกับราชวงศ์สกุลอวี๋…แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า จำนวนของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เหลืออยู่ซึ่งหนีกลับใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ทันมีเยอะมาก หากไม่มีพวกผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่ข้ามมหาสมุทรมาพวกนี้ ใบถงทวีปที่ย่อยยับมากพอแล้วสรรพชีวิตก็มีแต่จะยิ่งมอดม้วยวอดวาย ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกตนในท้องถิ่น เกรงว่าต่อให้ผ่านไปอีกหกสิบปีก็ยังไม่อาจรวบรวมขุนเขาสายน้ำเก่ากลับมาได้