กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 895.1 ใต้หล้าล้วนรับรู้
การมาเยือนท่าเรือครั้งนี้ได้ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากเผยเฉียนถึงกับค้นพบว่าในบรรดาตำราที่ถูกจับมัดวางขายราคาต่ำเป็นกองๆ มีตำราลับตัวอย่างข้อสอบหน้าพระที่นั่งอยู่ฉบับหนึ่ง เป็นลายมือของแท้หายากอย่างแท้จริง รวบรวมบทความการสอบหน้าพระที่นั่งของจ้วงหยวนเคอจวี่เกือบหนึ่งร้อยท่านในหนึ่งแคว้น กระดาษข้อสอบของจ้วงหยวนหนึ่งฉบับล้วนมีตัวอักษรสีชาดที่สีสันแดงปลั่งราวกับจะหยดออกมาเป็นน้ำ เขียนเป็นคำว่า ‘ลำดับที่หนึ่งของอันดับหนึ่ง’ ซึ่งฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยเขียนขึ้นด้วยตัวเอง นอกจากเนื้อหาหลักในคำตอบของข้อสอบแล้ว ด้านล่างสุดยังมีตำแหน่งและชื่อแซ่ของขุนนางที่ตรวจข้อสอบ แม้ว่ากลิ่นอายมังกรจะบางเบาเพราะไหลหายไปมากแล้ว แต่ปราณบุ๋นกลับเข้มข้น ถือเป็นการเก็บตกของดีมาได้อย่างจริงแท้แน่นอนแล้ว
เฉินผิงอันอ่านข้อสอบหน้าพระที่นั่งฉบับที่เก่าที่สุดและใหม่ที่สุดสองสามฉบับ แล้วจดจำชื่อและยศที่ยาวเป็นพรวนเหล่านั้นเอาไว้
ตอนนั้นข้างร้านมีผู้เฒ่าผอมแห้งสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งมองจนตาถลน คงเป็นเพราะถูกความดวงดีของเฉินผิงอันสยบเข้าให้แล้ว ลังเลอยู่นานถึงได้เปิดปากถามเฉินผิงอันว่าสามารถขายกระดาษข้อสอบพวกนี้ให้เขาได้หรือไม่
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย ‘อาจารย์ผู้เฒ่า โปรดอภัยที่ข้ามิอาจทำเช่นนั้นได้’
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม ‘วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น เป็นข้าบุ่มบ่ามแล้ว’
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในกระเป๋าของตนก็มีเงินอยู่ไม่เท่าไร มาที่ท่าเรือบนภูเขาแห่งนี้ก็เพื่อผ่อนคลายจิตใจเท่านั้น ไหนเลยจะมีความกล้าพูดเรื่องค้าขายกับเซียนซือบนภูเขา เงินเทพเซียนสามเหรียญ เกล็ดหิมะ ร้อนน้อย ฝนธัญพืช มีอย่างละหนึ่งเหรียญ ล้วนเป็นสิ่งของที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ประทานให้ เขาจึงคิดว่าจะเอาไว้เป็นสมบัติสืบทอดของตระกูล
เสี่ยวโม่ใช่เสียงในใจเอ่ย “คุณชาย เมื่อครู่นี้อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้เหมือนจะค่อนข้างใส่ใจกับกระดาษข้อสอบในช่วงปีล่าสุด พอเห็นชื่อของคนที่อยู่บนนั้น สภาพจิตใจมีความเคลื่อนไหวที่รุนแรงมาก”
เฉินผิงอันกล่าว “บนร่างของอาจารย์ผู้เฒ่ามีกลิ่นอายขุนนางและกลิ่นอายบนสนามรบเข้มข้นทั้งคู่ ไม่แน่ว่าอาจเห็นชื่อของตัวเองหรือสหายร่วมงานบนข้อสอบหน้าพระที่นั่ง”
มองเห็นตราประทับที่ปั้นนูนเป็นรูปเต่าอ๋าวและมังกร ทั้งสองชิ้นต่างก็ไม่มีอักษรริมขอบ เฉินผิงอันเห็นแล้วรู้สึกชื่นชอบอย่างมาก
รู้จักพอ รู้ไม่มากพอ
กลิ่นอายของหินทองไม่เข้มข้น แล้วก็ไม่มีการลงนามของบุคคลที่มีชื่อเสียง ดังนั้นราคาต้องถูกแน่นอน เพียงแต่ว่าไม่ขายเดี่ยวๆ เอาไว้เป็นของรางวัลเพิ่มเติม ลูกค้าต้องซื้อของที่ล้ำค่าอีกชิ้นหนึ่งถึงจะมอบให้
พอดีกับที่เฉินผิงอันถูกใจกาจื่อซาสือเผียวใบหนึ่งพอดี ด้านบนแกะสลักคำว่า ‘บ้านเกิดนกเขียวท่ามกลางเมฆา โลกแห่งเจียวหลงใต้ท้องทะเล’ จึงคิดว่าจะซื้อเอาไว้ วันหน้าค่อยนำไปมอบให้คนอื่น
ราคาที่ทางร้านระบุไว้คือสามสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ทุกวันนี้ข้าวของบนภูเขาของใบถงทวีป ขอแค่มีความเกี่ยวข้องกับปราณวิญญาณ บวกกับ ‘เรื่องราว’ ของจวนเซียนที่ถูกแต่งเติมเข้าไป ราคาก็มักจะสูงจนน่าตกใจ โก่งราคากันเต็มที่ ทำให้เกิดการถกเถียงกันอยู่เนืองๆ
อันที่จริงหากซื้อราคานี้ก็ออกจะแพงไปหน่อย แต่พอคิดว่าอยู่ที่ท่าเรือบ้านตน ก็ได้ คิดเสียว่ายอมแหกกฎเป็นหน้าม้าให้สักครั้งก็แล้วกัน?
เฉินผิงอันกำลังจะยื่นมือไปหยิบกาจื่อซามา แต่กลับถูกคนชนกระแทกไหล่แล้วแย่งเอากาสือเผียวใบนั้นไป ทั้งยังหันไปตะโกนเสียงดังกับเถ้าแก่ในร้าน “บอกราคามา!”
เฉินผิงอันไม่ถือสา ปล่อยให้คนผู้นั้นควักเงินซื้อกาจื่อซาใบนี้ไป ก่อนจะขยับไปหยิบกำไลมรกตสามสีที่มีความหมายแฝงว่าโชคดีอายุยืน ราคาที่ร้านระบุไว้คือสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
คิดไม่ถึงว่าสหายคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนนั้นจะยื่นมือออกมาอีก เฉินผิงอันถองศอกออกไปเบาๆ ปัดข้อมือของอีกฝ่ายทิ้งไป ยิ้มเอ่ยว่า “มีใครเขาซื้อของแบบพวกเจ้ากันบ้าง”
อันที่จริงเฉินผิงอันสังเกตเห็นเบาะแสแล้ว ในกลุ่มคนผู้นี้มีอาจารย์ชิงอูครึ่งๆ กลางๆ อยู่คนหนึ่ง เขาหดมืออยู่ในชายแขนเสื้อ แอบใช้เข็มทิศจานระบุสมบัติที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ มาวิเคราะห์ทิศทางการไหลไปของทรัพย์สิน และเนื่องจากภูเขาลั่วพั่วของบ้านตนมีผู้คุมกฎฉางมิ่ง บนร่างของเฉินผิงอันจึงมีไอของโชคลาภติดมาบ้าง แน่นอนว่าย่อมถูกอาจารย์ชิงอูผู้นั้นเข้าใจผิดคิดไปไกล บวกกับที่มีเอกสารลับข้อสอบหน้าพระที่นั่งก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายถึงได้คิดว่าเฉินผิงอันเลือกอะไรก็จะซื้ออย่างนั้น มั่นใจว่าจะต้องได้กำไรไม่ขาดทุน
อันที่จริงในกลุ่มคนที่เล่นของเก่าของโบราณล่างภูเขา นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
กำไลบนมือชิ้นนี้ เฉินผิงอันไม่มีทางยอมยกให้แน่นอน เพราะเขาคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะนำไปมอบให้กับใคร
อาจารย์ชิงอูครึ่งๆ กลางๆ ที่ในมือถือจานระบุสมบัติผู้นั้นยิ้มเอ่ย “น้องชายผู้นี้ แนะนำเจ้าว่าตัดใจมอบของรักมาเสียดีกว่า ต่อให้เป็นเทพเซียนบนภูเขา แต่ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ภูเขาสูงน้ำลึกลมแรง ต้องระวังตัวไว้ให้มาก”
ข้างกายเทพเซียนขอบเขตถ้ำสถิตคนนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เรือนกายแข็งแกร่งกำยำคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย ตรงเอวพกดาบห้อยป้ายขุนนางที่เก่าแก่มีอายุพอสมควรแผ่นหนึ่ง
หากกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตสี่ก็ถือเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตยอดเขาคนหนึ่งแล้ว
เผยเฉียนรวมเสียงให้เป็นเส้นอธิบายให้อาจารย์พ่อฟัง “คนกลุ่มนี้คือผู้ถวายงานของราชวงศ์ต้าเซี่ยที่อยู่ทางทิศใต้ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ราชสำนักแตกแยก ลำพังแค่คนที่เรียกตัวเองเป็นฮ่องเต้ก็มีถึงสามคน องค์ชายหนึ่งองค์กับแม่ทัพบู๊สองคนต่างก็ช่วงชิงสถานะที่ถูกต้องนี้มา คนของทั้งสามฝ่าย เมื่อหลายปีก่อนก็เริ่มถูกส่งออกไปกวาดค้นทรัพย์สมบัติจากด้านนอกแล้ว วิธีการที่ใช้ก็พอๆ กัน ปล้นชิงข้าวของไปตลอดทาง ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร แต่ป้ายผู้ถวายงานพวกนี้ล้วนเป็นของเก่าแก่ในวัง ข้าจึงแยกไม่ออกว่าพวกเขาเป็นลูกน้องของใครกันแน่…”
เผยเฉียนพลันลงมือ ถึงกับมีคนกล้าเอื้อมมือออกมาหมายจะกอดเอวของนาง เผยเฉียนจึงถองเข้าที่หน้าของอีกฝ่าย ฝ่ายหลังปลิวกระเด็นออกไปนอกร้านโดยตรง
อาจารย์ชิงอูผู้นั้นคำรามอย่างเดือดดาล “ระวัง คือเผ่าปีศาจ!”
เถ้าแก่ร้านตกใจจนหน้าซีดขาว เพราะว่าเมื่อหลายปีก่อนใบถงทวีปที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อถูกเผ่าปีศาจแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างเล่นงานอย่างอเนจอนาถจริงๆ จึงตะโกนไปทางนอกประตูเสียงดัง “รีบส่งข่าวไปแจ้งภูเขาหลิงปี้!”
ในอดีตยามถึงเทศกาลชิงหมิงต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ หน้าหลุมศพยังมีเถ้ากระดาษปลิวปรายเหมือนผีเสื้อขาวอยู่บ้าง ทว่าทุกวันนี้บนสุสานเงียบสงัดที่มีเพียงจิ้งจอกทอดตัวนอน ลูกหลานของหลุมศพหลายตระกูลที่มาเยือนก็มีเพียงผีใหม่จำนวนนับไม่ถ้วนที่ร้องไห้ให้กับผีเก่าเท่านั้น
ได้รับประโยคลับเสียงในใจจากอาจารย์ชิงอู ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ก่อนหน้านี้แย่งเอากาสือเผียวไปก็ตวาดกร้าว เสื้อผ้าปริแตกขาดกระจาย บนร่างเผยให้เห็นรอยสักสองสาย มีทั้งมังกรข้ามผ่านหัวไหล่ แล้วก็มีทั้งพยัคฆ์ลงจากภู
อาจารย์ผู้เฒ่าที่ยังอยู่ในร้านเอ่ยเสียงหนัก “เรื่องแบบนี้จะล้อเล่นกันไม่ได้”
เผยเฉียนหันไปมองอาจารย์พ่อ เฉินผิงอันพยักหน้าให้ ลงมือได้เต็มที่เลย
ดังนั้นเหล่านายท่านผู้ถวายงานที่มาจากอดีตราชวงศ์ต้าเซี่ยกลุ่มนี้จึงได้ออกไปนอนเสวยสุขอยู่ที่นอกประตูด้วยกันทั้งหมด
เฉินผิงอันเก็บกำไลมรกตวงนั้นใส่ชายแขนเสื้อ จากนั้นจึงหยิบตราประทับคู่นั้นขึ้นมา สุดท้ายจึงวางเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญไว้บนโต๊ะคิดเงิน หันตัวไปกุมหมัดเอ่ยกับอาจารย์ผู้เฒ่าว่า “ขอบคุณมาก”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เรื่องเล็กน้อย”
หลังจากนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ก็เอ่ยด้วยประโยคที่แฝงความหมายลึกล้ำ “อีกเดี๋ยวเมื่อเซียนซือจากภูเขาหลิงปี้มาที่นี่ ข้าสามารถช่วยอธิบายให้ได้ แต่สุดท้ายแล้วจะอธิบายได้ชัดเจนหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเหล่าเซียนซือของภูเขาหลิงปี้แล้ว”
ในคำพูดของผู้เฒ่ามีคำพูดซ่อนอยู่ ความนัยในประโยคนี้ก็คือภูเขาสำนักของพวกเจ้า หากว่ามีชื่อเสียงยิ่งใหญ่มากพอ บางทีอาจทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นไม่มีเรื่องเลยได้ ไม่อย่างนั้นจะยุ่งยากอย่างมาก อีกทั้งยังรับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด ถูกผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่เป็นผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ชี้ตัวว่าเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ อย่าว่าแต่ภูเขาหลิงปี้ที่แบกรับไม่ไหวเลย หากวันนี้เจรจากันที่ร้านนี้ไม่สำเร็จ ทั้งสองฝ่ายลงไม้ลงมือต่อกัน ไม่แน่ว่าเรื่องอาจลุกลามไปถึงสำนักศึกษาต้าฝู พวกเขาอาจตั้งใจส่งวิญญูชนหรือนักปราชญ์ของสำนักศึกษาท่านหนึ่งมาตรวจสอบสถานะที่นี่ แน่นอนว่าหลังจบเรื่องหากพิสูจน์ได้ว่าภูเขาหลิงปี้จงใจรายงานเท็จก็ต้องมีโทษไม่น้อย
ข้างกายผู้เฒ่ามีผู้ติดตามหนุ่มฉกรรจ์คนหนึ่ง เขาทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด คงกังวลว่านายท่านบ้านตนจะหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่จำเป็น
หลังจากที่ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์ภูเขาหลิงปี้ได้ข่าวแล้ว ไหนเลยจะกล้าประมาท หนึ่งโอสถทองสองประตูมังกรที่มีเจ้าขุนเขาผู้เฒ่าเป็นหนึ่งในนั้นรีบทะยานลมมายังท่าเรือเหย่อวิ๋นทันที ท่าทางประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ยืนอยู่ตรงหน้าประตูร้าน
หลังจากที่ผู้เฒ่าแนะนำตัวแล้ว เสี่ยวโม่ก็ใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “คุณชายคาดการณ์ได้แม่นยำดุจเทพจริงๆ”
เพราะอาจารย์ผู้เฒ่าที่ได้สร้างคุณความชอบต่อบ้านเมืองอีกครั้งผู้นี้ก็คือหนึ่งในคนที่เป็นผู้ตรวจข้อสอบ อีกทั้งชื่อตำแหน่งขุนนางยังค่อนข้างยาว เจ้ากรมพิธีการมหาบัณฑิตแห่งตำหนักเหวินฮว่า เซ่าเป่า (หนึ่งในตำแหน่งขุนนางซานกู ทำหน้าที่คอยช่วยเหลือรัชทายาท) ควบตำแหน่งมหาองค์รักษ์แห่งองค์รัชทายาท
เป็นขุนนางบุ๋นน้ำใสที่สุด มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง ทว่าผู้เฒ่ากลับไม่ได้ติดตามอดีตฮ่องเต้หนีไปที่ใต้หล้าแห่งใหม่ เลือกจะอยู่ในมาตุภูมิแคว้นบ้านเกิด อยู่บนสนามรบมานานหลายปี เมื่อหลายปีก่อนได้ขัดขวางการรุกรานทางชายแดนจากแคว้นเพื่อนบ้านหลายแห่งซึ่งรวมถึงอดีตราชวงศ์ต้าเซี่ยเป็นหนึ่งในนั้น ทุกวันนี้ลาออกแล้วกลับมาอยู่บ้านเกิด ผ่านทางมายังที่แห่งนี้พอดี ไร้เรื่องราวใดก็ตัวเบา คิดว่าจะลองสัมผัสกับทัศนียภาพของบนภูเขาดูสักครั้ง ความบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือกระเป๋าฟีบแบนไปหน่อย
ทางฝั่งของภูเขาหลิงปี้ เห็นได้ชัดว่ารู้ถึงสถานะของผู้เฒ่าคนนี้ เพียงแต่ยังคงไม่กล้าประมาท หากว่าปล่อยผ่านผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มหนึ่งไปจริงๆ ด้วยนิสัยของเจ้าขุนเขาคนใหม่ของสำนักศึกษาต้าฝู ภูเขาหลิงปี้อาจถูกปิดภูเขาไปร้อยปีโดยตรงเลย
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเรามาจากภูเขาเซียนตู”
บรรพบุรุษโอสถทองของภูเขาหลิงปี้ถามอย่างระมัดระวังว่า “คือสหายร่วมสำนักของชุยเซียนซือหรือ?”
เด็กหนุ่มชุดขาวที่มือเติบใจป้ำ ทุกวันนี้เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังของท่าเรือเหย่อวิ๋น ก่อนหน้านี้ได้มาเยี่ยมเยือนภูเขาหลิงปี้ บอกว่าตัวเองมาจากยอดเขาชิงผิงภูเขาเซียนตู แซ่ชุย
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เกือบจะกลายเป็นน้ำใหญ่ที่โถมกระแทกใส่วังราชามังกรเสียแล้ว นี่ออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง บรรพจารย์ทั้งสามท่านของภูเขาหลิงปี้พลันไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากอย่างไร
ไม่ได้โอภาปราศรัยกับเซียนซือทำเนียบทั้งสามท่านมากนัก เพียงแค่บอกให้ภูเขาหลิงปี้ของพวกเขาไม่ต้องเป็นกังวลว่าการทะเลาะเบาะแว้งในวันนี้จะมีภัยแฝงตามมา สามารถส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังสำนักศึกษาต้าฝูได้เลย
เฉินผิงอันหยิบกระดาษข้อสอบหน้าพระที่นั่งปึกใหญ่ออกมาอีกครั้ง ยื่นส่งให้ผู้เฒ่า ยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ผู้เฒ่ากล่าวได้ถูกต้อง วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น”
ผู้เฒ่าก็เป็นคนเปิดเผยอย่างยิ่ง รับกระดาษข้อสอบหน้าพระที่นั่งมาอย่างผึ่งผาย หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ขอถามเซียนซือ ราคาเท่าไร?”
เฉินผิงอันโบกมือกล่าว “ทองพันชั่งยากจะซื้อประโยคเป็นธรรมได้”
ผู้เฒ่าพยักหน้ายิ้มรับ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกรงใจเซียนซือแล้ว”
หลังออกมาจากร้าน เดินอยู่ริมฝั่งของท่าเรือ เฉินผิงอันหันไปมองเฉาฉิงหล่างแล้วยิ้มถาม “อยากจะพูดอะไร?”
เฉาฉิงหล่างตอบ “ศิษย์เพิ่งจะคิดจนเข้าใจกระจ่าง”
ตอนที่อยู่กับฝู่จวินแห่งภูเขาจี้ซาน อาจารย์ยังมีท่าทางหยั่งเชิง นั่นเพราะอาจารย์มองว่าเป็นเรื่องของตัวเอง แต่พอเปลี่ยนมาอยู่กับเซียนซือของภูเขาหลิงปี้ อาจารย์กลับบอกกล่าวถึงตัวตนของตัวเองตั้งแต่แรกคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายอาจแสดงออกถึงขนบธรรมเนียมที่ตรงไปตรงมา อาจเผยโฉมหน้าอัปลักษณ์ หรือไม่ก็อาจแสร้งถ่อมตัวอ่อนแอ แต่กลับทำอะไรระมัดระวัง หรืออาจเป็นไปได้ว่ายอมฆ่าผิดตัวแต่ไม่ยอมปล่อยผิดคน ลงไม้ลงมือกันโดยตรง สรุปก็คือมีความเป็นไปได้สารพัด แต่อาจารย์กลับไม่ได้ทำเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่ายังทำตามสัญญา นั่นคือยกกิจธุระทั้งหมดของสำนักเบื้องล่างให้ศิษย์พี่เล็กจัดการจริงๆ
องค์รักษ์ข้างกายผู้เฒ่าเอ่ยว่า “นายท่าน อีกฝ่ายมีความเป็นมายิ่งใหญ่มาก ไม่ต้องพูดคุยก็ถึงกับสามารถทำให้ภูเขาหลิงปี้ปล่อยคนได้แล้ว”
เป็นเจ้ากรมพิธีการมานานหลายปี หลายๆ ครั้งที่เป็นผู้คุมสอบเคอจวี่ ทั้งบนและล่างราชสำนักต่างก็พูดกันว่าต้นท้อต้นหลีไม่อาจพูดเรียกคน แต่ผลและดอกของมันกลับเรียกให้คนมาเหยียบย่ำใต้ต้นของมันจนเกิดเป็นทาง บนเส้นทางขุนนางก็บอกว่าเขาคือต้นท้อต้นหลีที่เบ่งบานไปทั่วใต้หล้า (เปรียบเปรยว่ามีลูกศิษย์ลูกหามากมาย)
แล้วทุกวันนี้ล่ะ
คนแก่ยังคงอยู่ แต่ต้นท้อต้นหลีพวกนั้น คนรุ่นเยาว์มากมายขนาดนั้น จิตใจและปณิธานอันฮึกเหิม เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ความสามารถด้านการประพันธ์โดดเด่น ทว่าทุกวันนี้กลับมิอาจพูดได้แล้วจริงๆ
ในสถานที่ที่ขุนเขาเขียวสายน้ำใสแห่งหนึ่ง เดินผ่านวัดตรงตีนเขาที่ตั้งอยู่นอกเขตการปกครอง คนทั้งกลุ่มพากันเดินเข้าไปจุดธูปไหว้
เข้าไปในวัด มีกรอบป้ายคำว่าไม่แสวงหาสิ่งนอกกาย กรอบป้ายที่แขวนไว้ในตำหนักใหญ่เป็นคำว่า อิสระอันยิ่งใหญ่
มีทั้งผู้แสวงบุญที่เข้ามาในวัด แล้วก็มีทั้งภิกษุที่ออกไปข้างนอก
โดยทั่วไปแล้วเมื่อจำพรรษาในวัดก็ไม่ต้องจาริกธุดงค์อีก รอแค่ถึงวันออกพรรษาก็จะสามารถเดินทางออกไปศึกษาพระธรรมข้างนอกได้ ทุกครั้งที่ภิกษุเดินทางไปถึงวัดแห่งหนึ่ง ไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ตำหนักใหญ่ แค่ดูเทวรูปของพระสกันทโพธิสัตว์ก็จะรู้ได้ว่าวัดแห่งนี้คือสือฟางฉงหลิน (สถานที่ที่รวมภิกษุไว้ด้วยกัน สามารถพักอาศัย ใช้ชีวิต ศึกษาพระธรรมอยู่ในนั้นได้) หรือเป็นจื่อซุนฉงหลินที่แค่ให้พักหนึ่งคืนกับอาหารสองมื้อ วัดแห่งนี้มือซ้ายของพระสกันทโพธิสัตว์ตั้งฝ่ามือขึ้น มือขวาถือคทาปราบมารตั้งไว้ตรงหน้าอก นี่หมายความว่าที่นี่คือฉงหลินของลัทธิพุทธที่เป็นกึ่งๆ สือฟาง กึ่งๆ จื่อซุน พระภิกษุที่เดินธุดงค์สามารถจำวัดอยู่ที่นี่ได้สามวัน แต่กลับไม่อาจจำวัดอยู่ได้นานมากกว่านั้น
กฎของลัทธิพุทธที่เกิดขึ้นจากความเคยชินนี้ไม่จำเป็นต้องให้พระที่มีหน้าที่คอยรับรองต้อนรับแขกบอกกล่าวแก่ภิกษุจากภายนอก
เดินผ่านตำหนักเทียนหวัง เฉินผิงอันกับเฉาฉิงหล่างไปหยุดอยู่ข้างนอกตำหนักใหญ่ต้าสง ต่างคนต่างถือธูปคนละสามดอก ปักลงไปในกระถางธูป
เพียงแต่ว่าลูกศิษย์ถือธูปด้วยมือซ้าย อาจารย์กลับถือด้วยมือขวา
มีเพียงเผยเฉียนที่หลังจากจุดธูปคารวะด้านนอกตำหนักใหญ่แล้วก็ยังเข้าไปโขกหัวคำนับด้านในตำหนักด้วย
เสี่ยวโม่ไม่ได้จุดธูป แค่มองไปยังพระพุทธรูปที่ตั้งบูชาอยู่ในตำหนักใหญ่เท่านั้น
คนบนโลกไม่อาจพบหน้าพระพุทธองค์ จึงมองเทวรูปต่างการพบหน้า
‘คนหนุ่ม’ ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวพกไม้เท้าเดินป่าสีเขียวผู้นี้กลับเคยเห็นพระพุทธองค์ตัวจริงมาก่อน
หลังจากนั้นคนทั้งกลุ่มที่เดินผ่านตำหนักต้าสงแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปทางฝั่งซ้าย ระหว่างนั้นผ่านตำหนักของพระไภษัชยคุรุ สุดท้ายไปถึงหอเก็บคัมภีร์แล้วเดินย้อนกลับไปที่ประตูภูเขาจากทางขวา
จู่ๆ ก็มีฝนตกลงมา เฉินผิงอันยืนรอให้ฝนหยุดตกอยู่ในระเบียง ฝนเทกระหน่ำรุนแรงน่าตกใจ แต่ดูจากท่าทางแล้วน่าจะไม่ตกนานนัก
ไม่รู้ว่าเหตุใด ท่ามกลางฝนเม็ดใหญ่ถึงมีสตรีวัยกลางคนพาเด็กคนหนึ่งมานั่งคุกเข่าอยู่นอกประตูภูเขา
และในตำหนักใหญ่ของวัดก็มีภิกษุวัยกลางคนนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะรองนั่ง ก้มหน้าพนมสิบนิ้ว น้ำตาไหลอาบหน้า
เฉาฉิงหล่างอยากจะหยิบร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งออกมาจาก ‘ถ้ำสวรรค์เล็ก’ ที่เสี่ยวโม่มอบให้ชิ้นนั้น เพื่อนำไปมอบให้กับสตรีและบุตรชาย พวกนางจะได้มีร่มไว้กันฝน
เฉินผิงอันส่ายหน้า
หลังจากสตรีลุกขึ้นยืนแล้ว เฉินผิงอันก็เอ่ยกับเผยเฉียน เผยเฉียนจึงถือร่มเดินไป นางถือร่มด้วยมือเดียว
สตรีรีบเช็ดหางตา คลี่ยิ้มอบอุ่น ดึงมือบุตรเอ่ยขอบคุณสตรีที่มีจิตใจดีงามคนนั้นด้วยกัน
ปีนี้หลังจากเข้าสู่หน้าหนาว ขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปเกิดความโกลาหล อาณาเขตของภาคกลางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อยังไม่ทันเข้าสู่ช่วงหิมะน้อย แต่ละสถานที่ก็ทยอยกันมีหิมะใหญ่เท่าขนห่านตกลงมาแล้ว
ฟ้าดินเยียบเย็น ล่างภูเขาจึงมีลานน้ำแข็งเกิดขึ้นเยอะมาก มีการขุดห้องใต้ดินเอาไว้เก็บก้อนน้ำแข็ง เพื่อจะได้เอามาใช้ตอนหน้าร้อนของปีหน้า
ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าเซี่ยเก่าแห่งนั้น กองทัพม้าสองกองเข่นฆ่ากัน พี่น้องหยิบอาวุธเข้าห้ำหั่นกันเอง
เบื้องหลังกองทัพใหญ่ ชายหนุ่มที่สวมเสื้อเกราะหรูหรากำลังเอ่ยโน้มน้าวเซียนซือผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งว่าให้รีบลงมือโดยไว จะได้เปลี่ยนสถานการณ์การสู้รบให้ดีขึ้น คำพูดคร่าวๆ ของเขาก็คือจัดการกับผู้ฝึกยุทธบนสนามรบเหล่านี้ ด้วยเวทคาถาค้ำฟ้าของเซียนซือแล้วจะต้องเหมือนผ่าลำไม้ไผ่ คนคนเดียวต่อกรกับศัตรูนับหมื่น ขอแค่สร้างคุณูปการได้อีกครั้ง เมื่อกลับไปถึงเมืองหลวง ตำแหน่งราชครูของหนึ่งแคว้น ในราชสำนักย่อมไม่มีใครมีความเห็นต่างแล้ว…